Wednesday, 11 June 2025
ค้นหา พบ 48711 ที่เกี่ยวข้อง

ชีวิตจริงของผู้ออกข้อสอบ ‘เกาเข่าจีน’ ต้องตัดขาดจากโลก นาน 1 เดือนเต็ม

(10 มิ.ย. 68) ก่อนการสอบ “เกาเข่า” หรือสอบเข้ามหาวิทยาลัยของจีนจะเริ่มขึ้นในแต่ละปี ซึ่งมีกลุ่มคนสำคัญที่ต้อง “หายตัวไปจากโลก” นานถึงหนึ่งเดือนเต็ม และไม่ใช่อาชญากร แต่คือ “ผู้ออกข้อสอบ” ซึ่งต้องรับหน้าที่สำคัญในการออกข้อสอบให้เป็นธรรม ปลอดการรั่วไหล ยุติธรรมที่สุดสำหรับนักเรียนหลายสิบล้านคนทั่วประเทศ พวกเขาเหล่านี้ต้องเซ็นสัญญารักษาความลับ และถูกนำตัวไปกักบริเวณทันทีแบบลับๆ

ในช่วงกักตัว ผู้ออกข้อสอบจะถูกยึดโทรศัพท์ ห้ามใช้คอมพิวเตอร์ และตัดขาดจากอินเทอร์เน็ตโดยสิ้นเชิง แม้แต่ครอบครัวก็ไม่สามารถติดต่อได้ พวกเขาอาจบอกได้เพียงว่า “ไปทำงานนอกสถานที่” เพื่อปิดบังจุดประสงค์ที่แท้จริง ความเงียบงันและการตัดขาดนี้เป็นมาตรการที่เข้มงวดเพื่อป้องกันการรั่วไหลของข้อสอบ ซึ่งถือเป็น “วาระแห่งชาติ” ของจีน โดยที่ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ยังไม่เคยเกิดข้อสอบรั่วแม้แต่ครั้งเดียว

ผู้ออกข้อสอบต้องทำงานภายใต้การจับตาของกล้องวงจรปิดตลอด 24 ชั่วโมง ร่างข้อสอบผิดพลาดเล็กน้อยก็ต้องเผาทิ้งทันที พวกเขายังต้องเตรียมข้อสอบ 2 ชุด ทั้งชุดจริงและชุดสำรอง โดยแม้แต่ตัวผู้ออกข้อสอบเองก็ไม่รู้ว่าจะเลือกใช้ชุดไหน การมีระบบสำรองเช่นนี้ทำให้สามารถรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดคิด เช่น โรคระบาด หรือเหตุฉุกเฉินได้ทันท่วงที

เพื่อหลีกเลี่ยงผลประโยชน์ทับซ้อน มีข้อห้ามชัดเจนว่า ผู้ออกข้อสอบจะต้องไม่มีญาติหรือบุตรหลานที่สอบเกาเข่าในปีเดียวกัน และห้ามสอนนักเรียนระดับ ม.6 โดยเด็ดขาด บางคนถึงขั้นถอนตัวจากหน้าที่ออกข้อสอบด้วยตนเอง เช่น ศาสตราจารย์รายหนึ่งที่ขอยกเลิกการเป็นผู้ออกข้อสอบ เนื่องจากบุตรชายจะเข้าร่วมสอบในปีนั้น ข้อมูลยังเผยว่า กว่า 90% ของผู้ออกข้อสอบต้องยอมถูกโยกย้ายตำแหน่งชั่วคราว เพื่อป้องกันการเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ได้ตั้งใจ

แม้ผู้ออกข้อสอบจะดูเหมือนมีอำนาจในการกำหนดอนาคตของนักเรียน แต่พวกเขาเองก็ต้องรับผิดชอบต่อคุณภาพของข้อสอบ หากข้อสอบยากเกินไปจนคะแนนเฉลี่ยต่ำลง กระทรวงศึกษาธิการจะเรียกทีมออกข้อสอบมาหารือทันที เช่นในปี 2021 ที่ข้อสอบคณิตศาสตร์บางมณฑลยากเกินไป ทีมออกข้อสอบต้องออกมาขอโทษต่อสาธารณชน และแนวข้อสอบก็ถูกปรับในปีถัดมา เพื่อความสมดุล

เบื้องหลังข้อสอบที่ยุติธรรม คือการเสียสละเสรีภาพ ความสะดวกสบาย และแม้แต่โอกาสในหน้าที่การงานของกลุ่มคนจำนวนหนึ่งที่ยอม “หายตัวไป” เพื่อให้ทุกคนมีโอกาสเริ่มต้นอย่างเท่าเทียม ผู้ออกข้อสอบไม่ได้แข่งขันเพื่อชื่อเสียงหรือผลตอบแทน แต่คือผู้พิทักษ์ “ความฝัน” ที่ซ่อนอยู่ในกระดาษคำตอบของนักเรียนจีนทุกคน

‘เอกนัฏ’ ให้คำมั่นรวมไทยสร้างชาติ “ต้องไปต่อ” ยันไม่มีสัญญาณปรับ ครม. - สส. ทุกคนยังอยู่กับพรรค

‘เอกนัฏ’ ให้คำมั่น พรรครวมไทยสร้างชาติ “ต้องไปต่อ” ย้ำไม่มีสัญญาณปรับ ครม.-สส. ทุกคนยังอยู่กับพรรค ชี้สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติทางการเมือง หากใครมีสิ่งใดไม่พอใจมาคุยกันได้

(10 มิ.ย.68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยถึงกระแสข่าวที่เกิดขึ้นกับพรรคในขณะนี้ว่า ตนขอแยกออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรก คือ ส่วนของรัฐบาลที่มีกระแสการปรับรัฐมนตรีของพรรคออกจากรัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรี(ครม.) ซึ่งส่วนนี้ตนยืนยันว่า จนถึงขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณใด ๆ จากนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการปรับ ครม. และนายกรัฐมนตรี ก็ยังให้การสนับสนุนเป็นอย่างดี ทั้งนี้ตนทราบดีว่าในทางการเมืองไม่มีอะไรแน่นอน ไม่มีใครรู้ว่าวันพรุ่งนี้จะเกิดอะไร หรือมีการปรับสิ่งใดบ้าง จึงไม่เคยอยากจะประเมินว่าจะได้ดำรงตำแหน่งถึงเมื่อใด แต่สิ่งที่ต้องประเมินและเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การทำหน้าที่ของตนในวันนี้ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ตนยึดถือปฏิบัติมาเสมอและจะยังคงทำต่อไปในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ที่จะมุ่งมั่นทำงานเพื่อประเทศและคนไทย ตามแนวคิด “ทำทันที ทำทุกวินาที ไม่ยอมจนกว่าจะสำเร็จ”

ทั้งนี้ขอย้ำว่า ตนจะไม่ทำงานหรือบริหารสิ่งใดจากข่าวลือต่าง ๆ แต่จะยึดจากข้อเท็จจริงที่ออกมา พร้อมเชื่อว่าสิ่งที่ตนและนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ทำมาเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองและได้รับการสนับสนุนจากทั้งคนไทยและรัฐบาล

ในส่วนกระแสข่าวของพรรค นายเอกนัฏ กล่าวว่า พรรคมีกลไกของพรรคอยู่แล้วในการจัดการปัญหาภายในต่าง ๆ อย่างไรก็ดีสิ่งสำคัญ คือ การยึดมั่นในอุดมการณ์ที่มีมาตลอดของพรรคให้คงอยู่ต่อไป ส่วนประเด็นข่าวที่ว่า มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(สส.) ของพรรคบางคนไม่พอใจผู้ใหญ่ภายในพรรค ทั้งยังมีปัญหาระหว่างกัน ตนมองว่า เรื่องที่เกิดขึ้นมาจากการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชน ที่นำเอาภาพเพียงภาพเดียวอันเป็นภาพงานเลี้ยงของ สส. พรรคที่มีแกนนำพรรคที่ไม่พอใจพรรคในปัจจุบันพยายามรวมตัวกลุ่ม สส. ผ่านงานเลี้ยงเพื่อสร้างกระแสข่าว ซึ่งตนย้ำว่า ภาพดังกล่าวมีคนแค่ 15 คน แต่มีการตัดต่อแต่งภาพเพิ่มเติมอีก 8 คน และมีการใส่ข้อมูลที่ไม่ใช่เรื่องจริง โดยเฉพาะการย้ายออกจากพรรครวมไทยสร้างชาติ มาเล่นเป็นประเด็นทางการเมือง ซึ่งการกระทำดังกล่าวไม่ได้มีประโยชน์ต่อประเทศหรือคนไทย แถมยังทำให้ประชาชนเบื่อหน่ายการเมืองมาขึ้นด้วยซ้ำ แต่ตนก็เข้าใจดีว่าเรื่องเช่นนี้เป็นเรื่องปกติทางการเมืองที่ต้องยอมรับ

นายเอกนัฏ กล่าวต่อว่า ในทางกลับกัน ตนได้นัด สส. ของพรรคทานข้าวร่วมกันเกือบทุกสัปดาห์ เพียงแต่ไม่ได้มีการส่งภาพให้สื่อมวลชนหรือนำลงสื่อสังคมออนไลน์ เพราะตนมองว่า ไม่ได้มีนัยสำคัญใด ๆ สิ่งสำคัญ คือ การให้ข่าวตามความเป็นจริงมากกว่า

ส่วนกับนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ สส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรค ที่มีกระแสข่าวย้ายออกไปรวมกับพรรคการเมืองใหม่นั้น ตั้งแต่เกิดเหตุตนก็ไม่ได้คุยกับนายสุชาติ อีกเลย ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็คุยกันตามปกติมาตลอด ตนก็ยังแปลกใจว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับคุณสุชาติ แต่ก็พอเข้าใจได้ว่าอาจมาจากความคิดและแนวทางที่แตกต่างกัน ซึ่งตนก็คงว่าสิ่งใดไม่ได้ เพียงแต่ขอให้ทุกอย่างเป็นไปตามกติกาก็พอ

นายเอกนัฏ ย้ำด้วยว่า ที่ผ่านมาตนรับฟังความเห็นของ สส. ทุกคนมาตลอด ทั้งยังเปิดโอกาสให้สอบถาม ร่วมเสนอแนะและบอกเล่าปัญหาต่าง ๆ ทั้งผ่านจากการนัดกินข้าวประจำสัปดาห์ของตน และจากการนัดประชุมพรรคต่าง ๆ พร้อมกล่าวว่า หากตนบกพร่องสิ่งใดก็ให้มาพูดคุยกันได้ เพื่อปรับเปลี่ยนทุกอย่างให้ดีขึ้น แต่ถ้านำมาเล่นเป็นเกมการเมืองหรือต่อรองเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน ตนมองว่าไม่ใช่เรื่องดีและไม่ควรทำ

ส่วนสถานการณ์จำนวน สส. ของพรรคในปัจจุบัน นายเอกนัฏ ย้ำว่า พรรคยังมี สส. อยู่ครบ 36 คน และ สส.ทุกคนยังยืนยันว่าจะอยู่กับพรรค ไม่ย้ายไปที่ใด ทั้งนี้ตนไม่อยากนำประเด็นนี้มาเป็นประเด็นหลัก เพราะปัจจุบันปัญหาของประเทศก็มีให้แก้ไขมากมายอยู่แล้ว ทั้งเรื่องสงครามการค้า, เรื่องปัญหาด้านอุตสาหกรรม ตนจึงไม่ต้องการนำเรื่องเหล่านี้มาทำให้ปวดหัว แต่ย้ำว่า สส. ทุกคนสามารถมาพูดคุยกับตนได้เหมือนเดิม

“สุดท้ายนี้ตนขอให้คำมั่นกับคณะผู้บริหาร สส. และสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติทุกคนว่า พรรครวมไทยสร้างชาติ จะเดินหน้าไปต่อด้วยอุดมการณ์เดิมอันมั่นคงที่แน่นอนของพรรค ไม่ว่าจะเกิดอุปสรรคหรือสิ่งใด ๆ พรรคก็จะเดินหน้าต่อไป เพื่อประเทศชาติและคนไทยทุกคนจนกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้จะสำเร็จลุล่วงในที่สุด” นายเอกนัฏ กล่าวทิ้งท้าย

'สนธิ-จตุพร' ประกาศกร้าวไม่อ่อนข้อให้กัมพูชา พร้อมส่งสัญญาณให้รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาชายแดน

'สนธิ-จตุพร' ประกาศกร้าวไม่ขออ่อนข้อให้กัมพูชา ชู 6 มาตรการให้รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาชายแดน จี้ให้ยกเลิก MOU 43 ใช้แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ใน JBC

(10 มิ.ย. 68) ที่ศูนย์ร้องทุกข์ ทำเนียบรัฐบาล นายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ในฐานะประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน พร้อมด้วยกลุ่มแนวร่วมที่สนับสนุน รวมถึงนักวิชาการและประชาชนผู้รักชาติรักแผ่นดินจำนวนมาก เช่น นายจตุพร พรหมพันธุ์ หม่อมหลวงวัลย์วิภา จรูญโรจน์ นายวีระ สมความคิด นายนิติธร ล้ำเหลือ นายพิชิต ไชยมงคล เรือตรีแซมดิน เลิศบุศย์ นายใจเพชร กล้าจน นายคมสัน โพธิ์คง นายประพันธ์ คูณมี ฯลฯ ทยอยเดินทางมารวมตัวเพื่อ แสดงจุดยืนปกป้องอธิปไตยกรณีความขัดแย้งตามแนวชายแดนกับกัมพูชา

ทั้งนี้ นายสนธิ และคณะ ได้ยื่นหนังสือผ่านศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ ถึง น.ส.แพทองธาร นายกรัฐมนตรี เพื่อให้รัฐบาลดำเนินการปกป้องอธิปไตยของชาติอย่างเป็นรูปธรรม โดยบรรยากาศตั้งแต่ช่วงสาย มีบรรดาผู้สนับสนุนเดินทางมาร่วม อาทิ กลุ่มแนวร่วมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พร้อมกับป้ายข้อความแสดงจุดยืนต่างๆ อาทิ การยกเลิก MOU43 และ MOU44 ที่ไม่จำเป็นต้องมี รวมถึงการเพิกถอน JC 2544

"ผมยืนยันถึงเวลาที่ต้องปกป้องอธิปไตยไทย และทำให้รัฐบาลชั่วช้า จะลงถนนตนไม่ขัดข้องถึงอายุ 78 ปี จะเป็นการลงครั้งสุดท้ายก่อนตายตนก็ยินดี และเชื่อว่าประชาชน หรือว่าทุกคนบนโต๊ะนี้ร่วมกับผมแน่ และขอฝากถึง นายกฯแพทองธาร นายภูมิธรรม นายทักษิณ ประวัติศาสตร์กำลังจะซ้ำรอย เรามาเตือนรัฐบาล ใครก็ตามที่มีเจตนาใช้แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ในการเจรจาทวิภาคี คือการสละอธิปไตย เป็นกบฏ 20 ปีที่ทำเรื่องนี้มา เรามีหลักฐานว่าความผิดสำเร็จแล้ว เราไม่อยากสิ้นชาติ สิ้นรัฐบาลไม่เป็นไร" นายสนธิ กล่าว

ด้านนายปานเทพ กล่าวว่า แม้มีสัญญาณว่ากัมพูชาจะถอยแต่เราไม่เชื่อ เราเชื่อว่าเป็นการถอยทางยุทธวิธี เพราะปัจจุบันเรายังไม่สามารถไว้วางใจได้ เรายังเห็นท่าทีของกัมพูชาเป็นปัญหาภัยคุกคามต่อความมั่นคงเศรษฐกิจของไทย อีกทั้ง กัมพูชายังประกาศว่าพื้นที่ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย และพื้นที่มอมเบย (สามเหลี่ยมมรกต) เป็นของกัมพูชาและจะนำเรื่องเข้าสู่การตัดสินที่ศาลโลก และกัมพูชายังยึดมั่นในพื้นที่มาตรา 1:200,000 ที่จัดทำโดยฝรั่งเศส ซึ่งเป็นการรุกล้ำฝ่ายไทยตั้งแต่ปี 2543 จนถึงปี 2547 มีการละเมิดข้อตกลงไปแล้ว 470 ครั้ง อีกทั้ง MOU 2543 สร้างความขัดแย้งให้กับไทย-กัมพูชา มา 25 ปี รวมทั้งกัมพูชายึดเส้นเขตไหล่ทวีปทางทะเลและสร้างสิ่งปลูกเพิ่มยื่นเข้ามาในอ่าวไทย ที่สำคัญกัมพูชาเป็นพื้นที่อาชญากรรมทำลายเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศไทยตลอดแนวชายแดน ไม่ว่าจะกาสิโน แก๊งคอลเซ็นเตอร์ พนันออนไลน์ และการทำลายสัตว์ป่า ป่าไม้ตลอดแนวชายแดนของประเทศไทย ทำลายความมั่นคงทางเศรษฐกิจทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จึงเรียกร้องให้รัฐบาล ทำตาม 6 มาตรการ ดังนี้

มาตรการที่ 1 รัฐบาลไทยต้องไม่ยอมรับอำนาจศาลโลกหรือศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ และไม่ยอมรับการที่กัมพูชานำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาไม่ว่ากรณีใดๆ ไม่ยอมรับอำนาจจากองค์กรอื่นหรือประเทศอื่นมาตัดสินในเรื่องอธิปไตยของประเทศไทย และใช้กลไกทวิภาคีเจบีซีเท่านั้น

มาตรการที่ 2 ไทยต้องประท้วงอย่างเป็นทางการต่อรัฐบาลกัมพูชาและทางสากล ว่า 3 ปราสาทและ 1 ดินแดน เป็นดินแดนอธิปไตยของราชอาณาจักรไทย มีการแบ่งเขตแดนเสร็จสิ้นแล้วระหว่างสยามและฝรั่งเศส ต้องแก้ไขคำพูดของ นายภูมิธรรม ว่าการรุกล้ำของกัมพูชาต้องแก้ไขที่เป็น โนแมนสแตน ทั้งที่เป็นแผ่นดินไทยของราชอาณาจักรไทยเท่านั้น

มาตรการที่ 3 ยกเลิกเอ็มโอยู 2543 เพื่อยกเลิกแผนที่มาตราส่วน 1:200,000

มาตรการที่ 4 ยกเลิกเอ็มโอยู 2544 ยกเลิกเส้นไหล่ทวีปของกัมพูชา และใส่เส้นมัธยะตามหลักสากล

มาตรการที่ 5 สั่งการและมีมติเพิ่มเติมอำนาจต่อรองให้คณะเจรจา ไม่ว่าจะปิดด่าน แก้ปัญหาชายแดนพนันออนไลน์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ อาวุธสงคราม ยาเสพติด ตัดไม้ทำลายป่า ต้องกดดันต่อด่านปอยเปรตและกาสิโนทั้งหมด

มาตรการที่ 6 หากสถานการณ์ไทย-กัมพูชา เลวร้าย ไม่สามารถเจรจาได้ ภาคประชาชนสนับสนุนให้กองทัพไทยประกาศกฎอัยการศึก เพื่อป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อนที่มาจากความผูกพันทางเครือญาติของผู้นำการเมืองทั้งสองประเทศ หรือการสมยอมผลประโยชน์ส่วนตัวซึ่งกันและกัน โดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติ

ด้านนายวีระ กล่าวว่า หากใช้เอ็มโอยู 2543 ไปเจรจาเราจะแพ้กัมพูชา แค่เริ่มก็แพ้ และขอให้เปลี่ยนตัวหัวหน้าคณะเจรจาคือ นายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย อดีตเอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงพนมเปญ ทำให้ตนถูกจำคุกที่ กรุงพนมเปญ ให้ยอมรับว่าเราเข้าไปในเขตกัมพูชาทั้งที่เป็นเขตของประเทศไทย กล่าวหาว่าเราเป็นสายลับ ไปโจรกรรมความลับในกัมพูชา ขอยืนยันถ้าไทยจะให้ นายประศาสน์ เป็นหัวหน้าคณะเจรจา ตนว่าประเทศเสียหาย และรัฐบาลแพทองธารต้องรับผิดชอบ เราถูกหลอก รัฐบาลหลอกประชาชน หลักฐานคือเมื่อวานกระทรวงกลาโหมกัมพูชากับ จอมพลสมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโชฮุนเซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ออกแถลงยืนยันว่ายังไม่ถอนทหารแค่ปรับกำลัง ประเทศไทยกลับออกข่าวว่ามีการถอนทหาร กัมพูชายอมแล้ว

จากนั้น นายสนธิ และแกนนำคนอื่นๆ ได้เดินออกมาพูดคุยกับมวลชน บริเวณด้านหน้าศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ เพื่อพูดคุยถึงข้อตกลงต่างๆ ที่ส่งให้นายกรัฐมนตรีแล้ว

สำหรับบริเวณด้านหน้า นายจตุพร กล่าวว่า ไทยเสียดินแดนมากกว่าที่เหลือ ช่วงรัชกาลที่ 9และรัชกาลที่ 10 พูดว่าจะไม่ยินยอมเสียแม้แต่ตารางนิ้วเดียว แต่รัฐบาลภายใต้การนำของ นายกฯแพทองธาร และนายทักษิณ เราเห็นเรื่องดินแดนเป็นเรื่องรอง แต่เรื่องหลักคือการแย่งตำแหน่งรัฐมนตรี การลงพื้นที่ของนายกฯ ตรงข้ามกับแหล่งปัญหาทุกเรื่อง จะเปลี่ยนสนามรบให้เป็นสนามตะกร้อ "โนแมนแลนด์ แปลว่าแผ่นดินไม่มีเจ้าของ แต่แปลว่าชายที่ไม่มีแผ่นดินอยู่" เมื่อมีการยืนยันชัดเจนว่า 3 ประสาทจะนำขึ้นศาลโลก ไม่ประชุมในโต๊ะเจบีซี และประเทศไทยส่ง นายประศาสน์ ไปเจรจาเรื่องประสาท ความเป็นจริงการเจรจาต้องยกเลิกเพราะเจบีซีคือทุกสิ่งทุกอย่าง เราไม่ขอเจรจากับกัมพูชา

ด้านนายสนธิ กล่าวกับมวลชนว่า ตนได้ประกาศไปแล้วว่าเรื่องอะไรพอจะรับกันได้นั่นคือ อดทนกันได้ แต่ถ้าเรื่องอธิปไตยของชาตินั้นยอมกันไม่ได้เลย ถ้าพูดกันไม่รู้เรื่องก็ต้องแตกหักกัน ตนเชื่อว่าประเทศไทยคนไทยทั่วประเทศจะเข้ามาร่วมกับตนและพวกเรา ในเรื่องของการปกป้องอธิปไตยของชาติ เพราะว่าเรามีคนไทยใจเขมร แม้กระทั่งประธาน JBC ซึ่งรัฐบาลชุดนี้แต่งตั้ง ที่เป็นอดีตทูตไทยประจำกัมพูชา การเอาอดีตทูตไทยประจำกัมพูชามาเป็นประธาน JBC แสดงว่ารัฐบาลชุดนี้ไม่จริงใจต่อการเจรจา เรามีข้อสรุปว่ากัมพูชายังไม่ได้ถอยจริง เรายื่นข้อเสนอ ว่าถ้ายังแก้ไขไม่ได้เราจะให้ทหารเข้ามาประกาศกฎอัยการศึกเพื่อจัดการกับกัมพูชา และคนไทยขายชาติซึ่งตนมีรายชื่อหมดแล้ว อย่าประมาทประชาชน พวกเราทำอะไรมีเหตุมีผลตลอดเวลา เราไม่รับอำนาจศาลโลก เราไม่ได้คลั่งชาติจะไปรบกับใคร แต่ตนคิดว่าคนไทยไม่กลัวกัมพูชา และทหารไทยไม่กลัวทหารกัมพูชา

"วันนี้เราประสานงานกับทุกฝ่าย ไม่ว่าจะกลุ่มจตุพร พรหมพันธุ์ ผม และอาจารย์ปานเทพ ร่วมมือเพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ แล้วไล่ฮุน เซนให้ลงนรกไป" นายสนธิ กล่าว

อ.ไชยันต์ ชี้ ปัญญาชนบางกลุ่มปฏิเสธชาตินิยมที่ขับเคลื่อนโดยชนชั้นนำในอดีต โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระราชา

(10 มิ.ย.68) ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์ประจำภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊ก Chaiyan Chaiyaporn ระบุว่า “จากราชาชาตินิยม ถึง ปัญญาชน-ชาตินิยมผูกขาด” 

เรื่องชาตินิยมนี้ ปัญญาชนบางกลุ่มปฏิเสธชาตินิยมที่ขับเคลื่อนโดยชนชั้นนำในอดีต โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระราชา เพราะชาตินิยมที่ยอมรับได้สำหรับพวกเขา คือ ชาตินิยมของมหาชน ที่จะต้องมีปัญญาชนอย่างพวกเขาเป็นผู้นำทางความคิดจิตวิญญาณเท่านั้น

คณะกรรมาธิการการทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา ลงพื้นที่เพื่อติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชา และเยี่ยมกำลังพลของกองกำลังสุรนารี  พร้อมทั้งมอบสิ่งของเพื่อเป็นขวัญกำลังใจ ณ จังหวัดสุรินทร์

เมื่อวานนี้ (9 มิ.ย.68) เวลา 09.30 น. ถึง 12.00 น. คณะกรรมาธิการการทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา นำโดย พลเอก สวัสดิ์ ทัศนา ประธานคณะกรรมาธิการ พร้อมด้วยกรรมาธิการ ได้แก่ นายสมบูรณ์ หนูนวล ร้อยตำรวจเอกฉลอง ทองนะ ว่าที่พันตรี กรพด รุ่งหิรัญวัฒน์ นายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล นางสาวนวลนิจ หงษ์วิวัฒน์ พร้อมด้วยนักวิชาการ เลขานุการประจำคณะกรรมาธิการ และอนุกรรมาธิการ ได้เดินทางไปศึกษาดูงานเพื่อติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชา และเยี่ยมกำลังพล ของกองกำลังสุรนารี โดยมี พลตรี วีระยุทธ รักศิลป์ รองแม่ทัพภาคที่ 2 และพลตรี สมภพ ภาระเวช ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี ให้การต้อนรับ โดยคณะกรรมาธิการได้รับฟังบรรยายสรุปเกี่ยวกับผลการปฏิบัติของกองกำลังสุรนารี ณ ห้องประชุมเหมะบุตร นอกจากนี้ คณะกรรมาธิการได้มีการเยี่ยมเยือนกำลังพล เพื่อให้กำลังใจ และยกย่องเชิดชูในความเสียสละ และอดทนในการปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็งเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนในการแก้ไขปัญหา สถานการณ์ความมั่นคง ชายแดนไทย - กัมพูชาที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ 

และในช่วงบ่าย เวลา 13.00 น. ถึง 16.30 น .คณะกรรมาธิการได้เดินทางไปติดตาม สถานการณ์ความมั่นคงตามแนวชายแดน บริเวณปราสาทตาเมือนธมและปราสาทตาควาย พร้อมเยี่ยมให้กำลังใจทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยบริเวณชายแดน ไทย - กัมพูชา รวมทั้งมอบสิ่งของจำเป็น และพระเครื่อง เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติภารกิจ ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการได้รับทราบปัญหาอุปสรรคในการปฏิบัติงาน โดยเฉพาะในเรื่องของ ระบบการสื่อสาร การขาดอุปกรณ์ที่ทันสมัย ในการเฝ้าระวัง ป้องกัน และรักษาความมั่นคง ปัญหาการขาดยุทธศาสตร์ระดับชาติในการผลักดันส่งกลับชาวกัมพูชาในพื้นที่ที่รุกล้ำแผ่นดินไทย ปัญหาการขาดแคลนสาธารณูปโภคที่สำคัญ เช่นไฟฟ้าและประปา เป็นต้น ปัญหาการทักท้วงเพื่อรักษาสิทธิในดินแดนของประเทศไทย ยังไม่เป็นรูปธรรมที่ชัดเจน และประการสุดท้าย คือ การสร้างถนนยุทธศาสตร์ ซึ่งมีความสำคัญ ต่อความมั่นคงตามแนวชายแดนยังขาดการบูรณาการระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงยังไม่สามารถดำเนินการได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยคณะกรรมาธิการจะได้นำข้อมูลที่ได้เพื่อเสนอแนะต่อรัฐบาลตามบทบาท ภารกิจ อำนาจและหน้าที่ต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top