Tuesday, 10 June 2025
ค้นหา พบ 48683 ที่เกี่ยวข้อง

‘หนุ่มวิชาการจีน’ อ้าง จบ 2 อภิมหาบัณฑิต 4 ป. เอก 4 ป. โท ชาวเน็ตสวมวิญญาณโคนัน ตามสืบ!! ‘ปริญญาจริงหรือจกตา’

(23 ต.ค. 67) จ้าว จือเจี้ยน นักวิชาการจีนป้ายแดง วัย 29 ปี ได้ปลุกสัญชาตญาณโคนันของชาวเน็ตจีนทั่วประเทศไปแล้ว เมื่อประวัติการศึกษาของเขาถูกเผยแพร่หลังจากได้รับตำแหน่งนักวิจัยของสถาบัน Inner Mongolian National Culture and Art Research Institute ที่เต็มไปด้วยวุฒิการศึกษามากมายเหลือเชื่อ อันประกอบด้วย งานวิจัยหลังปริญญาเอก 2 ใบ, ปริญญาเอก 4 ใบ, ปริญญาโท 4 ใบ และเป็นสมาชิกองค์กรทางวิชาการอีกมากกว่า 20 แห่ง 

นอกจากจะเป็นนักวิชาการมากปริญญาแล้ว ยังมาจากหลากหลายสาขาวิชาอีกด้วย โดย จ้าว จือเจี้ยน อ้างว่า เขาได้รับปริญญาเอกในสาขา ศิลปะการแสดง, จิตวิทยา, การศึกษา และ พระคัมภีร์ศึกษา อีกทั้งยังระบุถึงสถาบันที่จบมาด้วยว่า ได้ปริญญาเอกมาจากมหาวิทยาลัยคาทอลิคแห่งหนึ่งในเกาหลีใต้ และ Lyceum of the Philippines University ที่เป็นสถาบันเอกชน

นอกจากนี้ เขายังจบปริญญาโทจากหลายสถาบัน ในสาขาการสื่อสาร, พุทธศาสนา, จิตและสมาธิศึกษา จาก University of Hong Kong, Baptist University และ University of Zaragoza,  Miguel de Cervantes European University ในสเปน

ไม่เพียงแค่ใบปริญญาในปริมาณน่าสะพรึงเท่านั้น เขายังเข้าร่วมเป็นสมาชิกในองค์กรวิชาการถึง 22 แห่ง ในสาขาต่างแขนง ตั้งแต่เศรษฐศาสตร์ ยันแพทยศาสตร์ และยังเคยตีพิมพ์บทความทางวิชาการระดับสูงอีก 24 ชิ้น ที่ได้รับคะแนนความถี่ในการอ้างอิงระดับ 28+ 

แต่ถึงจะมีหลักฐานอ้างอิง แต่ประวัติการศึกษาของ จ้าว จือเจี้ยน ก็เต็มไปด้วยคำถาม เพราะการจบวุฒิปริญญาเอกสักใบ ต้องใช้เวลาศึกษาค้นคว้าอย่างหนักไม่ต่ำกว่า 4 ปี ไม่น่าเชื่อที่นักวิชาการหนุ่มวัยเพียง 29 ปี จะเรียนได้หมดครบทุกปริญญาที่อ้างมา

เมื่อประวัติการศึกษาของ จ้าว จือเจี้ยน กลายเป็นประเด็นถกเถียง ทางสถาบันต้นสังกัดที่รับเขาเข้าทำงานจึงต้องระงับการจ้างเพื่อตรวจสอบ

โดยเมื่อ 12 ตุลาคมที่ผ่านมา หยิน ฟู่จุน หัวหน้าของสถาบันกว่าผ่านสื่อ China Newsweek ว่า จึงตอนนี้ยังไม่พบ ‘การปลอมแปลงที่ชัดเจน’ ของใบปริญญาโททั้ง 4 ใบของจ้าว จากการตรวจสอบของหน่วยงานบริการด้านการศึกษาแลกเปลี่ยนของจีน (CSCSE) จึงเชื่อได้ว่าปริญญาโททั้ง 4 ใบ เป็นของจริง 

ส่วนวุฒิปริญญาเอก 1 ใบก็ผ่านการตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว และยังรอผลการตรวจอีก 1 ใบ ส่วนปริญญาเอกใบอื่นๆที่เหลือ จ้าว จือเจี้ยน ไม่ประสงค์ยื่นตรวจสอบ แต่ทั้งนี้ หยิน ฟู่จุน หัวหน้าสถาบันระบุว่า จ้าว ผ่านขั้นตอนการประเมินของสถาบันในตำแหน่งนักวิชาการเรียบร้อยแล้ว และรู้สึกเสียใจที่เกิดดรามาในประวัติการศึกษาของเขา

แต่นักวิจารณ์ชาวเน็ตยังไม่จบง่ายๆ และได้โต้แย้งในประเด็นเรื่องความถูกต้องตามกฎหมายของวุฒิการศึกษาของเขา เนื่องจากใบปริญญาบางส่วนของเขาได้รับจากหลักสูตรออนไลน์ และ มหาวิทยาลัย อย่าง Miguel de Cervantes European ไม่ได้อยู่ในบัญชีรายชื่อสถาบันที่ใช้ตรวจสอบด้วยซ้ำ (ซึ่งในบ้านเราจะเรียกว่า สถาบันที่ กพ. ไม่รับรอง)

มิหนำซ้ำ CSCSE เพิ่งจะระบุเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาว่า สถาบัน Lyceum of the Philippines University วิทยาเขตบันทังกัส ที่จ้าวจบมา เป็นหนึ่งใน 13 สถาบันต่างประเทศที่อยู่ในระดับล่าง ที่จำเป็นต้องตรวจสอบวุฒิการศึกษาอย่างเข้มงวด 

ส่วนองค์กรวิชาการ 22 แห่งที่จ้าว จือเจี้ยน อ้างว่าเป็นสมาชิก หลายแห่งเป็นสมาคมสาธารณะ หรือไม่ก็ก่อตั้งโดยกลุ่มนักศึกษา ที่แค่จ่ายเงินค่าสมาชิกก็เข้าร่วมได้

และตอนนี้ รัฐบาลจีนได้เพิ่มความเข้มข้น ในการปราบปรามนักวิชาการหลายคนที่พยายามหาทางลัดในการเพิ่มวุฒิการศึกษาเพื่อความก้าวหน้าในอาชีพของตน 

โดยเมื่อปี 2022 อธิการบดีของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในมณฑลหูหนานถูกไล่ออก หลังพบว่าสถาบันได้ใช้เงินกว่า 18 ล้านหยวน ส่งบุคลากร 23 คนไปเรียนหลักสูตรปริญญาเอกฉบับเร่งรัด การันตีจบได้ภายใน 28 เดือนที่มหาวิทยาลัยอดัมสันในฟิลิปปินส์

ด้วยเหตุนี้ ทำให้อาจารย์ และนักวิชาการหน้าใหม่ที่โชว์ปริญญาเวอร์วัง หรือมีประวัติการศึกษาน่าเหลือเชื่อ ชวนสงสัย จึงกลายเป็นเป้าสายตาของเหล่าบรรดานักสืบโซเชียลจีน ไม่ว่าจะมีกี่สิบปริญญาขุดหมด ถ้าไม่สลด ขุดต่อ 

แม้ทีม ‘เจ้ต้อย’ จะเป็นต่อ ก็จะประมาททีม ‘น้ำ วาริน’ไม่ได้ ใช้ไม้เด็ด!! ‘น้ำซึมบ่อทราย’ แทรกซึม ทุกพื้นที่ กระแสเริ่มมา

(23 ต.ค. 67) ถ้ายอมรับความจริง ต้องบอกว่า ‘น้ำ-วาริน ชิณวงค์’ ผู้สมัครชิงนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราช (อบจ.)หมายเลข 2 จากกลุ่มนครเข้มแข็ง ยังเป็นรอง ‘เจ้ต้อย’ กนกพร เดชเดโช อดีตนายกฯอบจ. ผู้สมัครนายกฯอบจ.หมายเลข 1 จากกลุ่มพลังเมืองนคร

เจ้ต้อยเป็นต่อในฐานะเป็นแชมป์ บริหาร อบจ.มาเกือบ 4 ปี แน่นอนว่าผลงานมี เป็นที่ปรากฏ ชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในแวดวงการเมือง กลุ่มพลังสตรี ในฐานะประธานสตรีนครศรีธรรมราช

ไม่ใช่แค่นั้นเจ้ต้อยยังเป็นภริยาของ ‘วิฑูรย์ เดชเดโช’ อดีตนายกฯอบจ และยังเป็นแม่ของ ‘แทน-ชัยชนะ เดชเดโช’ และ พิทักษ์เดช เดชเดโช สส.ประชาธิปัตย์ นครศรีฯ เป็นแม่ของ ‘ทอ-พิชิตชัย เดชเดโช’ ส.อบจ.นครศรี อันเป็นเครื่องข่ายใหญ่ เชื่อมโยงไปถึงระดับท้องที่ ท้องที่

แต่ก็มีคำถามมากมายประเดและดังเข้าหาเจ้ต้อย สังเกตเห็นในสังคมออนไลน์ว่า ลาออกแล้วมาสมัครใหม่ทำไม หรือบางเรื่องในรอบเกือบ 4 ปี ทำไมไม่ทำ เหล่านี้เป็นต้น แต่เจ้ต้อยก็ให้คำตอบไว้ชัดว่า การลาออกก่อนหมดวาระ เกิดจากข้อจำกัดในการใช้งบประมาณแก้ไขปัญหาในกรอบ 180 วัน กับปัญหาที่เห็นอยู่ในอนาคต คือปัญหาภัยพิบัติ ก็เป็นเหตุผลที่รับฟังได้ นายกฯอบจ.หลายจังหวัดในโซนภาคกลาง นครสวรรค์ 
พระนครศรีอยุธยา อ่างทอง อุทัยธานีก็ลาออกก่อนหมดวาระด้วยเหตุผลเดียวกัน

ส่วน ‘น้ำ-วาริน’ โตมาทางสายธุรกิจ เช่น ธุรกิจคอมพิวเตอร์ ร้านอาหาร และล่าสุดกับการทำสวนส้มโอทับทิมสยาม เคยเป็นประธานหอการค้านครศรีฯ และกรรมการหอการค้าไทย ในทางการเมือง ก็ถือว่าเริ่มต้นมาตั้งแต่สมัยเรียนเคยเป็นนักศึกษากิจกรรม เคยเป็นนายกสโมสรนักศึกษา การเลือกตั้ง สส.ครั้งที่แล้ว เกือบได้ลงสมัคร สส.ในเขตบ้านเกิดในนามพรรคภูมิใจไทย แต่ด้วยเขตซ้ำซ้อนจึงต้องหลีกทางให้ ‘มานะ ยวงทอง’

หลังการเลือกตั้ง ‘น้ำ’ ได้รับความไว้วางใจให้ทำหน้าที่เลขานุการส่วนตัว ‘พิพัฒน์ รัชกิจประการ’ รมว.กระทรวงแรงงาน จนเมื่อ ‘เจ้ต้อย’ ลาออกจากนายกฯ อบจ. ‘น้ำ’ จึงกราบลาพิพัฒน์ ทิ้งเก้าอี้ หิ้วกระเป๋ากลับบ้านด้วยมาดสาวมั่น ตั้งใจรับใช้ภารกิจทางการเมืองในตำแหน่ง นายกฯ อบจ.นครศรีฯ พิพัฒน์ก็ให้การสนับสนุนเต็มกำลัง

‘สู้เต็มที่ไม่มีถอย’ พิพัฒน์ กล่าวกับเพื่อนในวงสังสรรค์ที่หาดใหญ่ เป้าหมายคือต้องชนะ

แม้การฟอร์มทีมบริหารของ ‘น้ำ’ จะดูไม่สด ไม่ใหม่ แต่การจัดวางคนเพื่อคุมพื้นที่ หาคะแนนน่าสนใจ เป็นการจัดวางคนเพื่อสะสมแต้ม เก็บเล็กผสมน้อย เก็บทุกเม็ดเท่าที่ ค่อยๆเดินอย่างสุขุมนุ่มลึก แทรกซึมเข้าไปเรื่อย กระแสก็จะค่อยๆมา

หมากเกมการเดินของทีมยุทธศาสตร์น้ำ เป็นกลยุทธ์ที่ประมาทไม่ได้ แม้วันนี้จะเป็นรอง แต่ในทางการเมือง 30 กว่าวันที่เหลืออะไรก็เกิดขึ้นได้

ประชาชนจะเป็นผู้กำหนดในวันเดินเข้าสู่คูหา 24 พฤศจิกายนนี้

ขสมก. ลงโทษ!! พนง.จ่ายงาน ใช้ถ้อยคำไม่เหมาะสมกับ ‘คนขับรถเมล์’ พร้อม!! อบรมใหญ่ ให้เป็น ‘หัวหน้าที่ดี’ รับฟังปัญหา ‘ผู้ใต้บังคับบัญชา’

(23 ต.ค. 67) จากกรณีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งโพสต์ภาพที่แคปจากแชตที่คุยกับหัวหน้างาน ขอลางานกลับไปหาแม่ที่กำลังป่วยหนัก โดยบทสนทนาระบุว่า ผมกำลังกลับบ้านนะพี่ แม่ผมไม่ไหวแล้ว ถ้างั้นผมจะบอกพี่อีกทีนะ แม่ผมจะตาย พี่ให้ผมทำไง โดยหัวหน้างานตอบกลับมาว่า ทำไมหยุดงานมั่วซั่วงี้ ไม่แจ้งล่วงหน้ากลับเชิญพบหัวหน้า ไม่ใช่มาแจ้งตอนเขาปิดงาน อย่างไรก็ดี จากการตรวจสอบพบว่าผู้โพสต์เป็นพนักงานขนรถโดยสารของขนส่งมวลชนแห่งหนึ่ง และมารดาเสียชีวิตแล้วเมื่อวันที่ 20 ตุลาคมที่ผ่านมา

ล่าสุด องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ หรือ ขสมก. ออกแถลงการณ์ ลงวันที่ 22 ตุลาคม 2567 เรื่อง การดำเนินการพนักงานจ่ายงาน กรณีใช้ถ้อยคำไม่เหมาะสมกับพนักงานขับรถโดยสาร เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมระบุบทลงโทษด้วยการว่ากล่าวตักเตือน พร้อมอบรมเกี่ยวกับการเป็นหัวหน้างานที่ดีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

แถลงการณ์ระบุว่า เนื่องจากสื่อโซเชียลได้มีการเผยแพร่ข่าว กรณี พนักงานจ่ายงาน ใช้ถ้อยคำไม่เหมาะสมกับ พนักงานขับรถโดยสาร ที่ส่งข้อความขออนุญาตลางานอย่างกะทันหัน ผ่านทางแอปพลิเคชันไลน์ เพื่อเดินทางไปเยี่ยมมารดาที่ป่วยและมีอาการทรุดหนัก ซึ่งอยู่ระหว่างรักษาตัวในห้องไอซียู ณ โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดกำแพงเพชร เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2567 ซึ่งต่อมามารดาของพนักงานได้ถึงแก่กรรม เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2567

องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ขอแสดงความเสียใจกับพนักงานขับรถโดยสารคนดังกล่าว และขอชี้แจงให้ทราบว่า จากการสอบข้อเท็จจริง พนักงานจ่ายงานคนก่อเหตุให้การยอมรับว่าได้ใช้ถ้อยคำไม่เหมาะสมกับพนักงานขับรถโดยสารจริง เนื่องจากอ่านข้อความไม่ครบถ้วน และเสียใจกับการกระทำของตนเอง โดยให้สัญญาว่าจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก

ขสมก.ได้ลงโทษพนักงานจ่ายงาน ด้วยการว่ากล่าวตักเตือน พร้อมทั้งอบรมพนักงานเกี่ยวกับการเป็นหัวหน้างานที่ดี รับฟังและช่วยแก้ไขปัญหาเมื่อผู้ใต้บังคับบัญชาได้รับความเดือดร้อน เพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างมีความสุข นำไปสู่การให้บริการที่ดีแก่ประชาชน

ต่างชาติ แห่ส่งลูกเรียน!! ‘โรงเรียนนานาชาติในไทย’ มากขึ้น ดันมูลค่าตลาดใกล้แตะแสนล้าน ชี้!! มีมาตรฐาน - ค่าเทอมไม่สูง

(23 ต.ค. 67) นายณพงศ์ ปริพนธ์พจนพิสุทธิ์ กรรมการผู้จัดการ โอเชี่ยน กรุ๊ป กลุ่มธุรกิจของไทยสมุทรประกันชีวิต เปิดเผยว่า ภายในเดือนสิงหาคม 2568 โรงเรียนนานาชาติเซนต์สตีเฟ่นส์ บนถนนวิภาวดีรังสิต เป็นแคมปัสใหม่ ซึ่งบริษัทใช้เงินลงทุนไป 1,000 ล้านบาท จะเปิดสอนอย่างเป็นทางการ ในหลักสูตรตั้งแต่ระดับอนุบาลถึงเกรด 13 โดย 80-90% เป็นนักเรียนไทย ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้าง มีเนื้อที่ 10 ไร่ เป็นอาคารสูง 6-7 ชั้น จำนวน 3 อาคาร

อยู่ด้านหลังโรงเรียนนานาชาติเซนต์สตีเฟ่นส์เดิม เนื่องจากพื้นที่เดิมไม่สามารถขยายได้อีก และเต็มความจุ 400-500 คน รวมถึงเปิดสอนมา 20-30 ปีแล้ว ส่วนพื้นที่ใหม่จะรองรับได้สูงสุด 1,200-1,400 คน ส่วนค่าเทอมอยู่ที่ 600,000 บาทต่อปี ในอนาคตมีแผนจะนำโรงเรียนเดิมอยู่ด้านหน้าทุบและนำที่ดินพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมและสำนักงาน รองรับผู้ปกครองนักเรียน

โดยมองว่าต่อไปอาจจะมีต่างชาติเข้ามาเรียน หลังเห็นสัญญาณชาวต่างชาติส่งลูกมาเรียนโรงเรียนนานาชาติในไทยมากขึ้น ในย่านกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่หรือภูเก็ต โดยเฉพาะชาวจีน ที่มาซื้อบ้านหรูอยู่ใกล้โรงเรียน และระยะหลังก็เริ่มมีชาวเมียนมาเข้ามามากขึ้น ซึ่งต่างชาติมองว่าโรงเรียนนานาชาติในไทยนั้นได้มาตรการฐานและค่าเทอมก็ไม่สูงมาก เขาสามารถจ่ายได้ปีละ 1 ล้านบาท

ขณะที่คนไทยก็นิยมส่งลูกเรียน โรงเรียนนานาชาติ หรือโรงเรียนที่มีการเรียนการสอนสองภาษา เพราะมองว่าถูกกว่าส่งไปเรียนที่ต่างประเทศ ประกอบกับนักเรียนในระบบเริ่มลดลงด้วย จึงทำให้ธุรกิจโรงเรียนนานาชาติเติบโตและเป็นธุรกิจขาขึ้นมากในช่วง 2-3 ปีนี้ที่เกิดโควิด โตปีละ 10% หรือปีละ 10,000 ล้านบาท คาดอีก 3 ปี ข้างหน้ามูลค่าตลาดรวมน่าจะแตะ 100,000 ล้านบาท จากปีนี้คาดมูลค่าตลาดอยู่ที่กว่า 80,000 ล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมามีนักลงทุนต่างชาติเป็นกองทุนก็มีความสนใจจะซื้อกิจการโรงเรียนนานาชาติในไทย รวมถึงของเราด้วย แต่เราไม่ขาย นายณพงศ์กล่าว

นายณพงศ์ ยังกล่าวอีกว่า ปัจจุบันบริษัทมีโรงเรียนนานาชาติ 3 แห่ง อยู่ที่กรุงเทพ 2 แห่ง และเขาใหญ่ 1 แห่ง โดยสร้างรายได้ให้บริษัทประมาณ 800 ล้านบาท ปี ประกอบด้วย โรงเรียนนานาชาติไบรท์ตันคอลเลจ ถนนกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ มีนักเรียน 700 คน ค่าเทอมประมาณ 6 แสนถึง 1 ล้านบาทต่อปี , โรงเรียนนานาชาติเซนต์สตีเฟ่นส์ บนถนนวิภาวดีรังสิต มีนักเรียน 400-500 คน ค่าเทอมประมาณ 5-7 แสนบาทต่อปี และโรงเรียนนานาชาติเซนต์สตีเฟ่นส์เขาใหญ่ มีนักเรียนกว่า 100 คน ค่าเทอมประมาณ 5-7 แสนบาทต่อปี โดยนักเรียนทั้งหมดมีนักเรียนชาวไทยประมาณ 60% และต่างชาติประมาณ 40% และในนี้มีนักเรียนชาวจีน 10%

‘อุ๊งอิ๊ง’ ปลื้ม!! ‘นักธุรกิจ - นักลงทุน’ ทั่วโลก เชื่อมั่น ‘ประเทศไทย’ เผย!! ยอดคำขอรับ การส่งเสริมการลงทุน สูงสุดในรอบ 10 ปี

(23 ต.ค. 67) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักงานนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้รับรายงาน จากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ว่า มีนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศให้ความสนใจลงทุนเป็นจำนวนมากและได้กำชับให้กระทรวงที่เกี่ยวข้องกับการกระตุ้นเศรษฐกิจ และสนับสนุนการลงทุนในประเทศไทยเร่งดำเนินนโยบายและแนวทางอำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุนเพื่อเพิ่มศักยภาพและเพิ่มปริมาณการเข้าลงทุนในประเทศไทยให้มากขึ้น

นายจิรายุ กล่าวต่อไปว่า บีโอไอ ได้รายงานว่ามีตัวเลขคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 พบว่าเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งจำนวนโครงการและเงินลงทุน โดยมีจำนวนมากถึง 2,195 โครงการเพิ่มขึ้นร้อยละ 46 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนมูลค่าเงินลงทุนมีมากถึง 722,528 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากถึงร้อยละ 42 ซึ่งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีประมาณ 5 แสนล้าน โดยนักลงทุนส่วนใหญ่ให้เหตุผลว่าปัจจุบันประเทศไทยเป็นประเทศที่น่าลงทุนในภูมิภาคนี้และการขอรับการลงทุนครั้งนี้ ถือเป็นยอดลงทุนที่สูงสุดในรอบ 10 ปี โดยกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีมูลค่าเงินลงทุนสูงสุด 5 อันดับแรกโดยกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้ามาเป็นอันดับ 1 มีมูลค่า กว่า1.8 แสน กลุ่มดิจิทัล มูลค่า 9 หมื่นกว่าล้านบาท อันดับ3 เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน มีมูลค่าประมาณ6.7 หมื่นล้านบาท กลุ่มเกษตรและแปรรูปอาหาร มูลค่า 5.2 หมื่นล้านบาท และ อันดับ5 เป็น กลุ่มปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ มีมูลค่าประมาณ3.4 ล้านบาท

นายจิรายุ กล่าวว่า สำหรับการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง ล่าสุด มีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริม 1,449 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 66 เงินลงทุนรวมกว่า 5.4แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 38 โดยประเทศที่มีมูลค่าขอรับการส่งเสริมสูงสุด 5 อันดับแรกคือ สิงคโปร์ประมาณ1.8แสนล้านบาท จีน 1.1แสนล้านบาท ฮ่องกง 6.8หมื่นล้านบาท ไต้หวัน 4.4หมื่นล้านบาท และญี่ปุ่น 3.5หมื่นล้านบาท และพบว่าเงินลงทุนสูงสุดอยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออก อาทิ ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา 4.08 แสนล้านบาท ภาคกลาง 2.2 แสนล้านบาท ภาคเหนือ 3.5 หมื่นล้านบาท ภาคใต้ 2.5 หมื่นล้านบาท ภาคอีสาน2.3หมื่นล้านบาท และภาคตะวันตก 8.8 พันล้านบาท

นายจิรายุ กล่าวว่า ส่วนการขอรับการส่งเสริมตามมาตรการยกระดับอุตสาหกรรม (Smart and Sustainable Industry) ซึ่งเป็นมาตรการที่ช่วยสนับสนุน ‘ผู้ประกอบการรายเดิมให้สามารถปรับตัว’ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้นั้น มีคำขอรับการส่งเสริมจำนวน 287 โครงการ เงินลงทุนรวม 2.7 หมื่นล้านบาท รวมทั้งการออกบัตรส่งเสริมในช่วง 9 เดือนแรกของปี มีจำนวน 2,072 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 59 เงินลงทุน 6.72 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นมากกว่า100% (เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน) ทั้งนี้ การออกบัตรส่งเสริมเป็นขั้นตอนที่ใกล้เคียงการลงทุนจริงมากที่สุด โดยปกติบริษัทต่าง ๆ จะเริ่มทยอยลงทุนภายใน 1 - 3 ปี หลังจากออกบัตรส่งเสริม
“ตัวเลขการลงทุน สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพและโครงสร้างพื้นฐานที่ดีของประเทศไทย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน รัฐบาลพร้อมสนับสนุนเดินหน้าเร่งพัฒนาระบบนิเวศและปัจจัยที่จะส่งผลต่อการลงทุน เพื่อรองรับกับสถานการณ์การเคลื่อนย้ายฐานการผลิตโลก ซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืนได้ในระยะยาว” นายจิรายุ กล่าวทิ้งท้าย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top