Sunday, 15 June 2025
ค้นหา พบ 48802 ที่เกี่ยวข้อง

‘ดร.นิว’ ชี้!! 9 ปี ‘ก้าวไกล’ จากลัทธิหลบๆ ซ่อนๆ  ผงาดครองพื้นที่ ‘สื่อ-โซเชียลมีเดีย’ ไว้เกือบหมด 

(11 ก.ย. 66) ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ ดร.นิว นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Suphanat Aphinyan’ ระบุว่า…

“9 ปีก่อน พวกเขาเป็นเพียงแค่ลัทธิที่ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ แอบสร้างแนวร่วมอยู่ในซอกหลืบของรั้วมหาลัย แต่ทว่าทุกวันนี้พวกเขาได้ครองพื้นที่สื่อและโซเชียลมีเดียไว้เกือบทั้งหมด สามารถชี้นำทางความคิดช่วงชิงฐานเสียงมวลชนไปได้แล้วกว่าสิบล้าน ทั้งหมดนี้เป็นผลงานชิ้นโบแดงของใคร? ใครรู้ช่วยตอบที?”

ทั้งนี้ ข้อความดังกล่าว เกิดขึ้นหลังจาก ดร.นิว ได้โพสต์ถึงการเลือกตั้งซ่อมระยองไว้ว่า “ถ้าก้าวไกลชนะ ก็คงเป็นภาพสะท้อนความสิ้นหวังทางการเมืองของประชาชน ที่ย่ำแย่ถึงขั้นหันไปพึ่งอสูรกายแก้วทางการเมืองกันแล้ว ถ้ายังคิดผิดทำผิด เลือกตั้งรอบหน้าได้ว้าวุ่นเลยทีนี้”

‘ศิริกัญญา’ อัด!! นโยบาย ‘รัฐบาลเศรษฐา’ ว่างเปล่า-ไร้เป้าหมาย-ไร้ตัวชี้วัด แถมไม่ตรงปกนโยบายช่วงหาเสียง ลั่น!! ให้อยู่เกรดเดียวกับรัฐบาลบิ๊กตู่

(11 ก.ย. 66) ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เป็นสมาชิกคนแรกที่ขึ้นอภิปรายการแถลงนโยบายในวันนี้ โดยกล่าวถึงนโยบายทางด้านเศรษฐกิจเป็นหลัก โดยระบุว่าคำแถลงนโยบายที่ดีต้องบอกเป้าหมายว่ารัฐบาลใน 4 ปีนี้จะเดินทางไปด้วยเส้นทางไหน ด้วยวิธีการใด และจะไปถึงเป้าหมายเมื่อไหร่ ซึ่งคำแถลงนโยบายเมื่อครู่นี้ ไม่แตกต่างไปจากเอกสารที่ออกมาก่อนหน้า ไม่ได้บอกอะไร มีแต่คำพูดกว้างๆ ไม่มีตัวชี้วัดและมีแต่คำขยายเต็มไปหมด ถ้าบอกว่านี่คือจีพีเอส ประเทศก็คงหลงทาง ว่างเปล่า และเบาหวิว

พรรคการเมืองไหนก็ตามที่คิดกลับคำ ไม่ยอมระบุนโยบายที่หาเสียงไว้ในการแถลงนโยบายเมื่อได้เป็นรัฐบาล โดยปราศจากเหตุผลที่รับฟังได้ พรรคการเมืองนั้นก็ย่อมคือผู้ทรยศต่อความไว้วางใจของประชาชน คำแถลงของนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ ตนขอให้อยู่ในเกรดเดียวกับรัฐบาลประยุทธ์ ที่น่าผิดหวังคือพรรคเพื่อไทยที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลมาตรฐานตกจากสมัย ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มีเป้าหมายชัด มีนโยบายที่หาเสียงบรรจุไว้ตรงเกือบทั้งหมด มีกรอบเวลาตั้งแต่ช่วง 1 - 4 ปี

การแถลงนโยบายที่ดี สิ่งแรกที่ควรจะมีคือเป้าหมายที่ชัดเจน ตัวชี้วัดที่วัดผลได้ มีกรอบเวลาชัดเจน ไม่ใช่แค่บอกว่าอยากให้ประเทศเป็นแบบนั้นแบบนี้ แต่ไม่มีตัวชี้วัดว่าประเทศไทยบรรลุเป้าหมายนั้นหรือยัง ไม่ใช่การเขียนแบบพูดอีกก็ถูกอีก เหมือนพูดว่า ‘น้ำเป็นของเหลว’

ต่อมา คำแถลงนโยบายต้องมีคำอธิบายแต่ละนโยบายที่ชัดเจนให้เห็นว่ารัฐบาลกำลังจะทำอะไร ไม่ใช่เหมือนเป็นแค่คำอธิษฐานหรือ wish list ที่สำคัญ การหาเสียงเลือกตั้งต้องเป็นสัญญาศักดิ์สิทธิ์ เมื่อได้รับเลือกมาแล้วก็ต้องทำตามสัญญา ไม่เช่นนั้นการเลือกตั้งก็ไร้ความหมาย 

สุดท้ายต้องกำหนดกรอบเวลาในการดำเนินการให้ชัดเจน ซึ่งรัฐบาลยิ่งลักษณ์มีรายละเอียดชัดเจน ตรงกับนโยบายที่ได้สัญญาไว้ กรอบเวลาก็ชัดมาก แต่ในรัฐบาลปัจจุบัน ก็ไม่เข้าใจว่ามาจากพรรคเดียวกันหรือไม่ เพราะไม่มีทั้งรายละเอียด ไม่มีการกำหนดเป้า ไม่มีกรอบระยะเวลาที่ชัดเจน

“คุณเศรษฐาแถลงเป้าหมายของบริษัทแสนสิริด้วยมาตรฐานการแถลงเป้าหมายของบริษัทระดับโลก มีเป้าหมาย กรอบระยะเวลา ตัวชี้วัดที่ชัดเจน แต่พอมาเป็นนายกรัฐมนตรี คุณเศรษฐากลับแถลงเป้าหมายของรัฐบาลเพื่อไทยด้วยมาตรฐานเดียวกันกับรัฐบาลประยุทธ์ คือเลื่อนลอย ไม่ยอมสัญญาอะไรที่เป็นรูปธรรมทั้งนั้น” ศิริกัญญา กล่าว

แต่ที่สำคัญ คือนโยบายตามที่หาเสียงเอาไว้ของพรรคเพื่อไทย เมื่อเทียบกับสิ่งที่อยู่ในเล่มแถลงนโยบาย พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงคำพูดไปอย่างชัดเจน จากที่มีตัวเลขเป้าหมายก็กลายเป็นนามธรรม จากที่มีตัวเลขระยะเวลาก็ตัดทิ้งไป

การแถลงนี้ ยังเป็นการแถลงที่ปราศจากความทะเยอทะยานที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงใดๆ หลับตาข้างหนึ่งแล้วก้าวข้ามความขัดแย้งเหมือนว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทั้งความขัดแย้งทางการเมือง สามจังหวัดชายแดนใต้ การลดความเหลื่อมล้ำ ไม่กล้าแตะเรื่องยากที่ต้องแก้ปัญหาที่ต้นตอ ทั้งที่ตอนหาเสียงท่านกล้าหาญกว่านี้มาก คล้ายกับตอน พล.อ.ประยุทธ์แถลง ซึ่งตนคิดว่าเป็นเพราะสองเหตุผล กล่าวคือ

1) รัฐบาลกลัวการผูกมัด กลัวทำไม่ได้อย่างที่สัญญา หรือมองว่าบางนโยบายไม่สามารถทำได้ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นก็ไม่ควรหาเสียงกับประชาชนไว้แบบนั้นแต่แรก และ 2) การเป็นรัฐบาลผสมข้ามขั้วที่นโยบายเป็นคนละขั้ว ซึ่งสุดท้ายหาข้อตกลงไม่ได้จึงต้องเขียนให้ลอยและกว้างไว้ก่อน แถมที่มาของอำนาจต้องเกรงใจกลุ่มอำนาจเก่าและกลุ่มทุน จึงไม่กล้าทำเรื่องยากที่ต้องปะทะกับใครเลย

ส่วนในด้านเนื้อหานั้น มีการแบ่งเป็นตามกรอบระยะสั้น และระยะกลางและยาว โดยในกรอบระยะสั้นมี 6 เรื่อง แต่ยังขาดเรื่องที่สำคัญเร่งด่วนหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภัยแล้ง pm2.5 ความขัดแย้งทางการเมือง และชายแดนใต้ เรื่องเหล่านี้ไม่เร่งด่วนอีกต่อไปแล้วเช่นนั้นหรือ?

ส่วนในระยะกลางและระยะยาว เมื่อไล่ดูนโยบายที่บรรจุไว้เหลือแค่ 3 เรื่อง ที่ตนอยากเน้นเป็นพิเศษคือการลดความเหลื่อมล้ำ ที่ถูกลดทอนเหลือแค่ความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษา ทั้งที่ก่อนเข้าทำงานการเมือง นายกรัฐมนตรีเคยให้ความสำคัญกับการลดความเหลื่อมล้ำ มีความคิดที่ตนสนับสนุนเห็นด้วยหลายประการ แต่ตอนนี้กลับไม่เห็นอยู่ในคำแถลงนโยบายแล้ว จึงอยากถามว่านายกรัฐมนตรียังคิดอยู่แบบเดิมหรือไม่ จุดยืนและอุดมการณ์ของพรรคเพื่อไทยยังคงเดิมอยู่หรือไม่

ต่อมา ตนขอกล่าวถึงแหล่งรายได้และที่มางบประมาณ โดยเฉพาะต่อนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต 5.6 แสนล้านบาท ไม่ว่าจะออกแบบให้เป็นแบบใด รัฐบาลจำเป็นต้องมีเงินสดกองไว้เต็มจำนวน เพื่อรับประกันว่า 1 บาทในโลกจริงจะเท่า 1 บาทดิจิทัล ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าแหล่งที่มาของเงินน่าเชื่อถือหรือไม่ หากทำไม่ได้ก็จะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของร้านค้า และอาจเกิดเป็นเงินเฟ้อในโลกดิจิทัลขึ้นได้

การจะมีเงินสดกองไว้เต็มจำนวน 5.6 แสนล้านบาท มีอยู่สองทางเลือกเท่านั้น คือ 1) การใช้งบประมาณแผ่นดิน หรือ 2) เงินนอกงบประมาณ ซึ่งปัญหาของการใช้งบประมาณแผ่นดินปี 2567 จะไม่พออย่างแน่นอน เพราะงบประมาณ 3.35 ล้านล้านบาท มีหลายค่าใช้จ่ายที่ไม่สามารถตัดทอนได้ เช่น งบประมาณชำระหนี้ ดอกเบี้ย เงินคงคลัง เงินอุดหนุนท้องถิ่น สวัสดิการตามกฎหมาย เหลือใช้จ่ายได้จริงๆ ก็แค่ราว 4 แสนล้านบาท ซึ่งไม่สามารถเอามาลงในโครงการดิจิทัลวอลเล็ตได้ทั้งหมด

หรือหากจะใช้ดุลเงินสดของงบประมาณรายจ่ายประจำปี ก็ต้องลดรายจ่ายจาก 1.2 ล้านล้านให้เหลือครึ่งหนึ่ง คุมเงินนอกงบประมาณให้สมดุล ซึ่งเงินสดก็ยังคงจะไม่พออยู่ดี จะมีการกู้ชดเชยขาดดุลล่วงหน้ามาใช้กับโครงการนี้หรือไม่ ซึ่งหากทำเช่นนั้นก็จะเกิดค่าเสียโอกาสคือค่าดอกเบี้ย หากทำแบบนี้ก็จะสุ่มเสี่ยงว่านอกจากงบประมาณจะไม่พอแล้ว เงินสดก็จะไม่พอด้วย

ส่วนการใช้เงินนอกงบประมาณ ก็ไม่สามารถใช้ได้ถ้าไม่แก้กรอบวินัยการเงินการคลัง หรือหากจะยืมเงินกองทุนหมุนเวียนมาใช้ ก็มีสองอยู่กองเท่านั้นคือกองทุนของผู้ประกันตนหรือข้าราชการบำนาญ ซึ่งก็ไม่สมควรที่จะทำ หรือสุดท้ายหากจะกู้ธนาคารรัฐ ซึ่ง ณ ปัจจุบันมีกรอบอยู่ที่ไม่เกิน 32% ของรายจ่ายงบประมาณประจำปี ซึ่งวันนี้กำลังจะถึงจุดนั้นแล้ว หากจะกู้จริงก็ต้องแก้ ม.28 ของกรอบนโยบายการเงินการคลัง ซึ่งก็จะไม่สง่างามเท่าไหร่

สุดท้ายนี้ ความเสี่ยงที่รัฐบาลต้องพึงระวังและไม่ได้อยู่ในคำแถลงนโยบาย คือการกระตุ้นเศรษฐกิจสมควรทำ แต่การวินิจฉัยโรคไม่ถูกก็อาจจะนำไปสู่การรักษาที่ไม่ถูกต้อง เศรษฐกิจไม่สามารถเติบโตอย่างยั่งยืนได้ถ้าโตเฉพาะส่วนบน การลดความเหลื่อมล้ำอย่างเป็นรูปธรรมต้องจัดการระบบภาษีไปพร้อมกัน วิธีคิดนโยบายที่มีแต่การโยกกระเป๋าซ้ายไปกระเป๋าขวา แต่หลีกเลี่ยงการแก้ปัญหาที่ต้นตอ เช่น กลุ่มทุนที่สามารถมีอำนาจเหนือตลาดและผูกขาด ย่อมไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจไทยได้อย่างยั่งยืน

วันนี้โลกเปลี่ยนไปแล้ว ไทยเปลี่ยนไปแล้ว ระดับหนี้ครัวเรือน หนี้สาธารณะ ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว เงินเฟ้อกำลังสูงทั่วโลก ส่งออกก็ไม่รุ่ง ตลาดก็กระจุกตัวขึ้น รัฐบาลจะมีแนวทางแก้ไขปัญหาอย่างไร

“ดิจิทัลวอลเล็ตย่อมสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้แน่นอน แต่มันไม่เพียงพอให้เกษตรกรขุดแหล่งน้ำบรรเทาภัยแล้ง ไม่สามารถทำให้เกษตรกรได้เอกสารสิทธิในที่ดินทำกิน ไม่สามารถช่วยผู้ส่งออกให้ส่งออกเพิ่มหรือไม่ตัดโอทีในโรงงานได้ จึงขอให้รัฐบาลจัดลำดับความสำคัญให้ดี จะเทหมดหน้าตักแล้วหวังน้ำบ่อหน้าไม่ได้ แต่ข้อดีของการแถลงกว้างๆ แบบนี้ คือท่านยังมีโอกาสได้แก้ไขในการแถลงงบประมาณ เพื่อส่งมอบนโยบายอะไรบ้างใน 1 ปีข้างหน้าจากนี้” ศิริกัญญา กล่าว

‘ดีเจมะตูม’ อวดความน่ารัก หลังเจอ ‘แบมแบม’ ที่เกาหลีใต้ บอก!! เป็นซุปตาร์ที่น่ารัก ไม่ถือตัว แถมเลี้ยงข้าวพี่ๆ ด้วย

เรียกได้ว่าเป็นโมเมนต์สุดพิเศษของพิธีกร ดีเจมากความสามารถ ‘มะตูม เตชินท์ พลอยเพชร’ ที่ได้บินลัดฟ้าไปโกอินเตอร์เดินแบบที่งาน ‘Seoul fashion week’ ณ ประเทศเกาหลีใต้ แต่ความน่ารักมันเกิดขึ้นเมื่อเจ้าบ้านอย่างหนุ่มหล่อ ‘แบมแบม กันต์พิมุกต์ ภูวกุล’ หรือ ‘แบมแบม GOT7’ ได้สละเวลาซ้อมคอนเสิร์ตของตัวเองออกมาหา ‘มะตูม’ แถมยังเลี้ยงข้าวอีกตั้งหาก…

ล่าสุดในอินสตาแกรมของ ‘มะตูม เตชินท์’ ได้โพสต์ภาพคู่หนุ่ม ‘แบมแบม กันต์พิมุกต์’ พร้อมระบุข้อความอวยความน่ารักของแบมแบมยาวเหยียดให้แฟนได้หวีดตาม ๆ กัน ว่า…

"กราบขอบพระคุณเจ้าบ้าน @bambam1a ที่ออกมาเลี้ยงข้าวพี่กับเพื่อน ๆ ที่เกาหลี! ขนาดซ้อมคอนเสิร์ตหนักทุกวัน ยังแว๊บมาให้พี่รบกวนจนได้! ขอบคุณน้องมาก ๆ นะแบม เป็นซุปตาร์ที่โคตรน่ารักและไม่ถือตัวเลย เป็นการกินข้าวด้วยกันที่ประทับใจมากกกก แบมเป็นเจ้าบ้านที่ดี พากินเมนู local สุด ๆ ชอบซุปดักแด้มากกกกก

ขอบคุณที่ทำให้การมาแฟชั่นวีคที่เกาหลีของพี่สมบูรณ์แบบมากขึ้น ขอบคุณที่บอกจะเลี้ยงข้าวพี่และน้องก็ทำตามคำพูด และขอบคุณ ที่ให้เกียรติดีเจตัวเล็ก ๆ อย่างพี่นะครับแบม แถมยังให้คำแนะนำเรื่องการมาเดินแบบที่นี่ของพี่ด้วย ยังไงดีเจมะตูมขอฝากตัวด้วยกับน้องด้วยละกันนะครับรุ่นพี่แบมแบม 555555

เห็นตอนกินข้าวเห็นเรายังแซวกันเรื่องคอนเสิร์ตน้องกันเลยว่าบัตร จะ sold out มั้ย พี่บอกเพิ่มรอบรอได้เลย ยังไงก็หมด เป็นไงวันนี้หมดเกลี้ยงไม่กี่นาที เชื่อพี่ยัง5555555 เจอกันวันคอนเสิร์ตน้องนะค้าบ พี่รู้ว่าแบมตั้งใจกับคอนเดี่ยวนี้มาก และเชื่อได้เลยว่า มันจะต้องออกมาอย่างดีมากอย่างแน่นอน bambam fighting!!!! Love and lot supports as always na

ปล.แอบจิ๊กหนังไก่ของพี่ไปด้วย 1 ซอง เป็นบุญของพี่มากที่น้องชอบ แค่แบมบอกอร่อย พี่ก็พร้อมซื้อโรงงานทอดหนังไก่เพิ่มเพื่อน้องแล้วครับ 555 และที่สำคัญขอบอก แบมแบม หน้าสด หล่อออออออออออออออออออ มากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก see you again real soon bro!!!!"

ซึ่งทางด้านของ ‘แบมแบม’ ก็ได้เข้ามาคอมเมนต์โพสต์ของ ‘มะตูม’ ว่า "พี่!! ไม่ขนาดนั้นครับ!! อ่านข่าวผมมา 5 ปี ขอตอบแทนนะครับ เจอกันเดือนหน้าครับ!" และมะตูมก็ได้ตอบคอมเมนต์ของแบมอีกว่า "เจอกัน พร้อมกรี๊ดคอแตก เว่าแล้วก็ไป๊!!!"

‘อนุทิน’ เชื่อมือ ‘ชาดา’ ปราบผู้มีอิทธิพลได้ พร้อมเผย บัญชีมาเฟียมีความคืบหน้าแล้ว

(11 ก.ย. 66) ที่รัฐสภา นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย กล่าวถึงการปราบปรามกลุ่มผู้มีอิทธิพลและมาเฟีย ว่า ตนมอบหมาย นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รมช.มหาดไทยไปแล้ว ซึ่งความคืบหน้าการดำเนินการ ตั้งแต่วันที่ 13 ก.ย.นี้ ตนก็จะมีอำนาจการบริหารราชการแผ่นดินอย่างเต็มที่ เพราะเมื่อนายกรัฐมนตรี แถลงนโยบายจบ เราก็จะเริ่มทำงานได้เต็มตัว

เมื่อถามว่า จะมั่นใจว่านายชาดาจะจัดการบริหารเรื่องนี้ได้หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ก็ต้องมั่นใจเพราะทุกคนมีระยะทดลองงาน

เมื่อถามว่า ตั้งกรอบระยะเวลาการทำงานไว้หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า งานและปัญหาประชาชนมีอยู่ตลอดเวลา เราจะไปตั้งกรอบเวลามันไม่เกิดประโยชน์ เราต้องแก้ปัญหาไปทุกวันๆ

เมื่อถามกรณี ความคืบหน้าการสั่งผู้ว่าราชการจังหวัดจัดทำบัญชีผู้มีอิทธิพล นายอนุทิน กล่าวว่า ก็คืบหน้าไปเรื่อยๆ และตอนนี้ได้มอบหมายนายชาดาไปแล้ว

เมื่อถามว่า การอภิปรายในสภาฯ เป็นอย่างไรบ้าง หากเทียบกับบรรยากาศการอภิปรายในอดีตที่ผ่านมา นายอนุทิน กล่าวว่า นายกฯ พูดถึงเนื้อหาได้ดี

เมื่อถามว่า คิดว่าจะนำเงินงบประมาณมาจากไหนเพื่อผลักดันนโยบายต่างๆ นายอนุทิน กล่าวว่า นโยบายอะไรที่เป็นประโยชน์กับประชาชน เราก็จะหาเงินก้อนนั้นมาให้ได้

‘แบมแบม’ ไม่ทนอีกต่อไป!! หลังเจอคนอัพราคาบัตรคอนเสิร์ตตัวเอง วอนแฟนคลับอย่าสนับสนุน พวกชอบเอาความพยายามคนอื่นมาหากิน

(11 ก.ย. 66) หลังจากที่ แบมแบม กันต์พิมุกต์ ภูวกุล หนึ่งในสมาชิกวง GOT7 ได้ประกาศเวิล์ดทัวร์คอนเสิร์ตเดี่ยวครั้งแรก คือ 2023-2024 BamBam THE 1ST WORLD TOUR [AREA 52]

ธีมคอนเสิร์ต AREA 52 นั้นมาจาก AREA 51 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่หลายคนคิดว่ามีเอเลียน หรือยูเอฟโอในพื้นที่นั้น แล้วความชอบจักรวาลเลยเอาชื่อมาเปลี่ยนรวมกับวันเกิด 2 พฤษภาคม กลายเป็น AREA 52

สำหรับคอนเสิร์ตที่กรุงเทพฯ จะจัดในวันที่ 28 ตุลาคม ที่ธันเดอร์โดม สเตเดียม (Thunderdome Stadium)

ซึ่งในวันที่ 10 กันยายนที่ผ่านมา เริ่มขายบัตรในเวลา 10.00 น. เหล่าอากาเซ่ พร้อมใจกันกดจองบัตรทันที ซึ่งเป็นไปตามคาด เพราะบัตรกว่า 20,000 ต่าง SOLD OUT อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ #BamBamAREA52inBKK ทะยานขึ้นอันดับ 1 ในเทรนทวิตเตอร์ (X) อย่างรวดเร็ว

แม้จะเป็นเรื่องดีที่บัตรขายหมดอย่างรวดเร็ว แต่สิ่งที่แฟนคลับทุกด้อมต้องเจอนั้น คือ จะมีกลุ่มคนมากดบัตร เพื่ออัพราคา ทำให้แฟนคลับที่อยากเจอ และอยากจะร่วมสร้างความทรงจำกับศิลปินที่ตนเองชื่นชม และติดตามมาตลอด ต้องถูกเอาเปรียบ

หากใครต้องการปรับจริงๆ อาจจะต้องเสียเงินมากกว่าค่าบัตรปกติ 2-3 เท่าตัว!! ทำให้เหล่าอากาเซ่ต่างออกมาสะท้อนปัญหานี้จำนวนมาก

เมื่อ ‘แบมแบม’ ทราบปัญหานี้ ก็ไม่ทนเช่นกัน เข้าไปตอบกลับทวีตที่อากาเซ่ ออกมาบ่นเรื่องนี้เช่นกัน

โดยเธอได้ออกมาสะท้อนปัญหาว่าต้องการให้บัตร vvip และ vip ควรจะมีชื่อผู้ซื้อบัตรด้วย เพราะเธอนั้นเข้าไปทักถามราคาบัตร VVIP ‘AREA52’ PACKAGE ที่ปกติจะขายราคา 9,700 บาท พุ่งสูงขึ้นเป็น 55,000 บาท!!!

ซึ่ง ‘แบมแบม’ ได้เข้ามาตอบเธอว่า “บัตรอัพ ขอให้ทุกคนอย่าไปสนับสนุนเลยนะครับ คนแบบนี้ น่ารังเกียจ สกปรกที่สุด เอาความพยายามของคนอื่นมาทำมาหากิน”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top