Sunday, 15 June 2025
ค้นหา พบ 48802 ที่เกี่ยวข้อง

‘UN’ ชี้!! ‘ยาไอซ์’ ใน ‘อัฟกานิสถาน’ ยุคตอลิบานพุ่ง ขึ้นแท่นแหล่งผลิตรายใหญ่ของโลก แม้ไล่บุกทลาย

(11 ก.ย.66) เอพี ได้เปิดเผยว่า ทางสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (The United Nations’ Office on Drugs and Crimes - UNODC) ได้เผยแพร่รายงานซึ่งระบุถึงประเทศอัฟกานิสถาน ที่ขณะนี้ได้กลายเป็นแหล่งผลิตเมทแอมเฟตามีน หรือ ‘ยาไอซ์’ ที่มีอัตราการเติบโตเร็วที่สุดในโลก ทั้งยังเป็นผู้ผลิต ‘ฝิ่น’ และ ‘เฮโรอีน’ รายใหญ่ แม้รัฐบาลตอลิบานจะประกาศทำสงครามกับยาเสพติดหลังจากที่ยึดอำนาจปกครองเมื่อเดือน ส.ค. ปี 2021 ก็ตาม

UNODC ระบุว่า ยาไอซ์ในอัฟกานิสถานส่วนใหญ่ผลิตจากสารตั้งต้นที่หาได้อย่างถูกกฎหมาย หรือสกัดมาจากต้นอีเฟดรา (ephedra) ซึ่งเป็นพืชที่พบในแถบจีน อินเดีย และปากีสถาน

รายงานของ UNODC ยังเตือนด้วยว่า การผลิตเมทแอมเฟตามีนในอัฟกานิสถานกำลังกลายเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพและความมั่นคงทั้งในระดับชาติและภูมิภาค โดยมีรายงานว่าการตรวจยึดเมทแอมเฟตามีนที่คาดว่ามีแหล่งที่มาจากอัฟกานิสถานได้ทั้งในสหภาพยุโรป (อียู) และแอฟริกาตะวันออก

เมทแอมเฟตามีนจากอัฟกานิสถานที่ถูกตรวจยึดได้เพิ่มขึ้นจากไม่ถึง 100 กิโลกรัมในปี 2019 กลายเป็นเกือบ 2,700 กิโลกรัมในปี 2021 ซึ่งบ่งชี้ว่ามีการลักลอบผลิตในปริมาณที่มากขึ้น ทว่า UNODC ยังไม่สามารถประเมินมูลค่า ปริมาณการผลิต รวมถึงปริมาณการเสพภายในประเทศ เนื่องจากไม่มีข้อมูล

แองเจลา มี หัวหน้าแผนกวิจัยและวิเคราะห์เทรนด์ของ UNODC ให้สัมภาษณ์กับ AP ว่า กระบวนการผลิตเมทแอมเฟตามีน โดยเฉพาะในอัฟกานิสถาน สามารถทำได้ง่ายดายกว่าการผลิตเฮโรอีนและโคเคนมาก

“คุณไม่จำเป็นต้องรอให้พืชอะไรสักอย่างโต... คุณไม่ต้องมีที่ดิน คุณแค่ต้องการคนปรุงที่รู้วิธีทำเท่านั้น ห้องแล็บผลิตยาไอซ์สามารถเคลื่อนย้ายได้ หลบซ่อนได้ง่าย และในอัฟกานิสถานมีต้นอีเฟดราซึ่งพบในแหล่งผลิตเมทแอมเฟตามีนใหญ่ที่สุดของโลกอย่างพม่าและเม็กซิโก พืชชนิดนี้ไม่ผิดกฎหมายในอัฟกานิสถานและมีขึ้นอยู่ทั่วไป เพียงแต่ต้องใช้ในปริมาณมากเท่านั้น” มี กล่าว

ด้าน อับดุลมาทีน กอนี โฆษกกระทรวงมหาดไทยอัฟกานิสถาน ยืนยันกับ AP ว่า รัฐบาลตอลิบานห้ามการปลูก ผลิต จำหน่าย และใช้สารเสพติดทุกประเภทในอัฟกานิสถาน และที่ผ่านมา ได้มีการทำลายโรงงานผลิตไปแล้ว 644 แห่ง รวมถึงที่ดินอีก 12,000 เอเคอร์ที่ใช้เพาะปลูก แปรรูป และผลิตสารเสพติด

ทางการตอลิบานยังส่งเจ้าหน้าที่บุกทลายแหล่งผลิตยาเสพติดอีกกว่า 5,000 กรณี และมีการจับกุมผู้ที่เกี่ยวข้องแล้วราว 6,000 คน

“เราคงอ้างไม่ได้ 100% ว่ายาเสพติดหมดไปแล้ว เพราะอาจจะมีผู้ลักลอบผลิตกันอยู่บ้าง และเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้ยาเสพติดลดลงเป็นศูนย์ในระยะเวลาอันสั้น” กอนี กล่าว

“แต่เราได้กำหนดแผนยุทธศาสตร์ 4 ปีว่าจะทำให้ยาเสพติดทั่วๆ ไป โดยเฉพาะยาไอซ์ หมดไปจากประเทศนี้”

รายงาน UN ซึ่งเผยแพร่เมื่อเดือน พ.ย.ปีที่แล้วระบุว่า การปลูกฝิ่นในอัฟกานิสถานเพิ่มขึ้นถึง 32% จากปีก่อนหน้านับตั้งแต่ตอลิบานกลับเข้าปกครองประเทศ อีกทั้งการประกาศห้ามปลูกฝิ่นในเดือน เม.ย. ปี 2022 ส่งผลให้ราคาฝิ่นในท้องตลาดพุ่งสูงขึ้น โดยเกษตรกรผู้ปลูกฝิ่นในอัฟกานิสานมีรายได้เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าตัว จาก 425 ล้านดอลลาร์ในปี 2021 มาอยู่ที่ 1,400 ล้านดอลลาร์ในปี 2022 

‘สว.สมชาย’ มอง ‘ร่างนโยบาย รบ.เศรษฐา 1’ เลื่อนลอย-ไม่ชัดเจน ขาดรายละเอียดเรื่องความยั่งยืน-สังคมปรองดอง-ปราบคอร์รัปชัน

(6 ก.ย. 66) นายสมชาย แสวงการ ประธานคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน และสมาชิกวุฒิสภา ได้ให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นการแถลงนโยบายรัฐบาล ภายใต้การนำของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ผ่านรายการ ‘คุยข่าว ถึงเครื่อง’ ประจำวันที่ 11 ก.ย. 66 เผยแพร่ผ่านช่องทางรับชมในเครือ THE STATES TIMES, คุยถึงแก่น, เปรี้ยง, NAVY AM RADIO / MAYA Channel ช่อง 44 และ FM101 โดยมี นายปรเมษฐ์ ภู่โต สื่อมวลชนอาวุโส พิธีกร ผู้ประกาศข่าวรายการคุยถึงแก่น เป็นผู้ดำเนินรายการ โดยสาระสำคัญจาก นายสมชาย ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ ว่า…

“ผมเสียดายนิดเดียวว่า นโยบายฉบับนี้น่าจะใช้โอกาสในการเปลี่ยนแปลงเรื่องที่สําคัญ คือการเป็นรัฐบาลสลายขั้ว ที่ฝ่ายค้านอย่างเพื่อไทย มาเป็นรัฐบาลร่วมกับพรรครัฐบาลเก่า เช่น ภูมิใจไทย พลังประชารัฐ รวมไทยสร้างชาติ ก็น่าจะมีนโยบายที่เด่นชัดในเรื่องการปรองดอง สมานฉันท์ แต่กลับไม่ชัด ท่านนายกก็พูดถึงเรื่อง มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ต่อจากท่านพลเอกประยุทธ์ แต่ว่าในนโยบายยังไม่มีเลยว่าจะสานต่อนโยบายมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน อย่างไร”

นายสมชายกล่าวต่อว่า “ต่อมาคือเรื่องการปฏิรูปตามยุทธศาสตร์ชาติ ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก ประเทศไทยใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แผนละ 5 ปี โดยหลักยุทธศาสตร์ชาติ ต้องวางกัน 20 ปี อย่างในเนเธอร์แลนด์วางยุทธศาสตร์ชาติเกี่ยวกับน้ำ 50-100 ปี แต่เราก็ไม่ได้เน้นในเรื่องยุทธศาสตร์ชาติ แต่มองเพียงว่าในระยะ 4 ปีรัฐบาลจะทําอะไร มันก็เลยไปเกี่ยวพันกับเรื่องของเงิน สําหรับการทํางานเฉพาะหน้า”

นายสมชายระบุต่อว่า “ยกตัวอย่าง เช่น ในสมัยพลเอกประยุทธ์ ก็จะมีการวางรากฐานโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ไว้ เช่น รถไฟความเร็วสูง รถไฟทางคู่ มีเขตเศรษฐกิจพิเศษ EEC และกำลังจะมีแลนด์บริจด์เกิดขึ้นที่ระนอง-ชุมพร เพื่อเชื่อมต่อการขนส่งสินค้า หรือแม้แต่เรื่องการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ผมคิดว่าหากต่อยอดก็จะทำให้เกิดความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืนได้ตามยุทธศาสตร์ ในคำอธิบายของรัฐบาลไม่ชัดเจนตรงนี้ จึงทำให้ไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการพัฒนา-กระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งอาจจะเป็นจุดอ่อน”

นายสมชาย ได้กล่าวถึงเรื่องเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาทของพรรคเพื่อไทย ที่คาดว่าจะมีการใช้จ่ายจริงในปีต้นปี 2567 ว่า… “ในส่วนของเรื่องเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท ผมก็มองว่า เราใช้เงิน 5.6 แสนล้านบาทเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งเทียบเท่ากับงบประมาณในการนำเงินลงทุนต่อปีเลย นโยบายนี้ถ้าทำสำเร็จ มันก็มีประโยชน์ เพียงแต่ว่ากระตุ้นเศรษฐกิจในระยะยาวไม่ได้ เป็นเหมือนการให้ยาสเตรียรอยด์ เพื่อรักษาโรค หากให้ในระยะยาว ก็จะเกิดอาการป่วย ต่อมาจะเป็นคำถามว่า เอาเม็ดเงินจากไหนมาทำนโยบายนี้ ใช่การไปดึงเงินคลัง หรือทุนสำรองมาทำหรือไม่? จะกลายเป็นประเด็นเหมือนช่วงจำนำข้าว ที่นำเงิน ธ.ก.ส. หรือออมสิน มาใช้ ก็ต้องดูให้ดี”

นายสมชาย กล่าวต่อว่า “อีกเรื่องที่น่ากังวลคือ การให้สิทธิ์แบบถ้วนหน้า คือให้คนที่อายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไป ผมมองว่ามันไม่ควรจะจ่ายให้ทุกคน เพราะมันไม่มีคําตอบว่าทําไมถึงจะต้องให้ 56 ล้านคน แต่หากมองในมุมร้ายก็มองว่าเป็นการนําไปสู่คะแนนเสียงในการเลือกตั้งสมัยหน้า นอกจากนี้ยังมีเรื่องของความต้องการใช้เงิน จุดประสงค์ของการเกิดนโยบายนี้คือกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ คนจนใช้เงินมากกว่าคนรวย เมื่อมีนโยบายนี้ก็จะนำเงินมาใช้ทั้งหมด แต่สำหรับคนมีเงินหรือคนรวย ก็จะมองว่าเป็นจำนวนเงินที่เล็กน้อย ก็อาจจะไม่ได้ใช้เงินตรงนี้ได้ตามจุดประสงค์ ส่วนช่องทางในการจ่ายเงิน ผมมองว่าควรใช้ผ่านแอปเป๋าตัง ซึ่งเป็นแอปที่มีอยู่แล้ว มีทั้งข้อมูล รายละเอียดต่าง ๆ ไม่จำเป็นต้องทำแอปใหม่แต่อย่างใด”

เมื่อถามว่า นโยบายที่รัฐบาลแถลง ส่วนหนึ่งก็มาจากสิ่งที่เคยพูดไว้ตอนหาเสียง ซึ่งพอได้เป็นรัฐบาลแล้ว หากไม่ทำตามที่หาเสียงไว้ก็จะโดนประชาชนกดดันหรือเปล่า? นายสมชาย ระบุว่า “ตอนเพื่อไทยจับมือพรรคต่าง ๆ จัดตั้งรัฐบาล ผมก็ได้แสดงความยินดี แล้วก็เสนอไป 11 ประเด็นแล้วว่าต้องเอานโยบายมาหลอมรวมกัน พอถึงการหลอมรวม ก็ต้องอธิบายชาวบ้านได้ว่าเงินดิจิทัลหมื่นบาทของเพื่อไทย ขณะนี้ได้ประชุมกับพรรคร่วมรัฐบาลแล้ว เห็นว่าไม่สามารถแจกได้ทุกคนเห็นควรที่จะทําให้มันถูกต้อง แล้วก็ใช้บัตรพลังประชารัฐ บัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็นตัวตั้ง แล้วก็แจกให้กับพี่น้องคนที่เขาลําบาก แล้วก็ไม่ต้องไปจํากัดเวลาด้วยว่าต้อง 6 เดือนเท่านั้น อีกอย่างการใช้เงินดิจิทัลนี้มีข้อครหาว่ากำลังมีคนรอช้อนซื้อ ซึ่งฟังดูไม่ดีเลย แล้วพวกเรื่อง Blockchain ก็ตรวจสอบได้ยาก หาที่มาที่ไปไม่ได้ ดังนั้น ถ้ารัฐบาลยังเดินหน้านโยบาย ต้องแยกให้ชัดเจนนะว่าเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ต้องพุ่งเป้าไปที่ตัวคนที่ต้องถูกกระตุ้น”

เมื่อถามถึงภาพรวมในการอภิปรายนโยบายของรัฐบาล ซึ่งถูกศิริกัญญา สส.จากพรรคก้าวไกลออกมาเปรียบเทียบว่าสู้รัฐบาลประยุทธ์หรือรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ไม่ได้ นายสมชาย กล่าวว่า… “ขอกล่าวถึงเฉพาะรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์นะครับ เพราะรัฐบาลของคุณยิ่งลักษณ์ผมก็ไม่ค่อยเห็นด้วยกับคุณศิริกัญญา เนื่องจากตอนนั้นเรื่องจำนำข้าวมันชัดเจนอยู่แล้ว ส่วนของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ในการแถลงนโยบาย 12 ข้อนั้นถือว่าค่อนข้างชัดเจนและก็เดินไปสู่เป้าหมายได้ แต่การมาเขียนนโยบาย 2-3 บรรทัด แล้วบอกว่าจะทำ ก็มองว่าไม่สามารถทำได้ อาจจะไม่ต้องเขียนลงรายละเอียดทั้งหมด แต่ต้องเขียนให้ชัดเจนว่าจะทำอย่างไร และมีความหนักแน่น เช่นนโยบายในอดีต เรียนฟรี 12 ปี”

“ส่วนในเรื่องกระบวนการยุติธรรม ที่ค่อนข้างน่าเป็นห่วง แต่คุณเศรษฐาก็พูดไว้ดีนะครับว่าจะยึดหลักนิติธรรม แต่ยังไม่ได้บอกว่าจะทำอย่างไร อย่างเช่น ในกรณีคุณทักษิณที่ได้รับอภัยโทษแล้ว หากไม่มีการขอลดโทษอีก ก็จะเป็นตัวอย่างที่ดีของการยึดหลักนิติธรรม ประชาชนก็จะมองว่าน่าเชื่อถือ ต่อมาคือเรื่องการทุจริตคอร์รัปชัน ต้องประกาศให้ชัดเจน และต้องไม่มีการทุจริตในทุก ๆ เรื่อง เพื่อสร้างความมั่นใจและสมัครสมานสามัคคีแก่คนในสังคม” นายสมชายกล่าวทิ้งท้าย

‘กรมพัฒน์ฯ’ ปลื้ม!! งาน SMART Local ของดีพื้นถิ่น ดันซอฟต์พาวเวอร์ผ้าไทยขายได้กว่า 10 ล้านบาท

กรมพัฒนาธุรกิจการค้าโชว์ผลจัดกิจกรรม SMART Local ของเด่นพื้นที่ ของดีพื้นถิ่น ในงาน OTOP ศิลปาชีพ ประทีปไทย OTOP ก้าวไกลด้วยพระบารมี ประสบความสำเร็จ สามารถดัน Soft Power ผ้าไทย เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่ ทั้งไทยและต่างชาติ สร้างยอดขายกว่า 10 ล้านบาท

(11 ก.ย.66) นายทศพล ทังสุบุตร อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยถึงผลการดำเนินกิจกรรมส่งเสริมตลาดผลิตภัณฑ์ชุมชน ภายใต้แนวคิด ‘SMART Local ของเด่นพื้นที่ ของดีพื้นถิ่น’ ว่า กรมได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดผลิตภัณฑ์ชุมชน SMART Local ในงาน OTOP ศิลปาชีพ ประทีปไทย OTOP ก้าวไกลด้วยพระบารมี เมื่อเดือนส.ค.2566 ที่ผ่านมา ณ อาคารชาเลนเจอร์ 2 อิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยจัด 2 กิจกรรมย่อย ได้แก่…

1. SMART Local Events จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชน SMART Local ในความส่งเสริมของกระทรวงพาณิชย์ กลุ่มผ้าและเครื่องแต่งกาย และกลุ่มสมุนไพร รวมจำนวน 30 ราย เพื่อส่งเสริมตลาดและสร้างโอกาสทางการค้าแก่ผลิตภัณฑ์ชุมชนให้เข้าถึงตลาดกลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่เพิ่มขึ้น

2. SMART Local Display โดยจัดแสดงผลงานผลิตภัณฑ์ชุมชน SMART Local กลุ่มผ้าและเครื่องแต่งกาย ที่ผ่านการพัฒนาจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เพื่อสร้าง Soft Power ภาพลักษณ์ผลิตภัณฑ์ผ้าไทยมิติใหม่ จากภูมิปัญญาสมัยใหม่ ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น อย่างมีสไตล์ สามารถสวมใส่ได้ทุกเพศทุกวัย ทุกโอกาส

“การจัดกิจกรรมในครั้งนี้ ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก โดยสามารถผลักดัน Soft Power ผ้าไทย ภาพลักษณ์มุมมองใหม่ ที่มีความทันสมัย แต่ยังคงไว้ซึ่งความเป็นเอกลักษณ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่มีคุณค่า ให้เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่ทุกเพศ ทุกวัย ทุกระดับ หวังปลุกกระแสนิยมแฟชันผ้าไทยในกลุ่มผู้บริโภคทั้งชาวไทยและต่างชาติให้หันมาเลือกสวมใส่ผ้าไทยเพิ่มขึ้น และสามารถสร้างมูลค่าการค้ากว่า 10 ล้านบาท ซึ่งได้มีส่วนช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากได้เพิ่มขึ้น” นายทศพล กล่าว 

ในปี 2566 กรมได้ดำเนินกิจกรรมส่งเสริมตลาดผลิตภัณฑ์ชุมชนอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี ภายใต้แนวคิด ‘SMART Local ของเด่นพื้นที่ ของดีพื้นถิ่น’ เน้นชูอัตลักษณ์และภูมิปัญญาท้องถิ่นผสมผสานนวัตกรรมเชิงสร้างสรรค์ที่มีความเป็นเอกลักษณ์ในแต่ท้องถิ่นที่แตกต่างมาสร้างจุดขาย ควบคู่กับการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการชุมชนในด้านต่างๆ ทั้งด้านการตลาด ในการวิเคราะห์ตลาด เลือกตลาดให้เหมาะสมกับผลิตภัณฑ์ และเทคนิคการนำเสนอผลิตภัณฑ์ ทั้งในรูปแบบการจัดแสดง และการจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ต่างๆ เพื่อเตรียมความพร้อมให้แก่ผู้ประกอบการชุมชนในการรับมือกับสถานการณ์ตลาดที่มีการแข่งขันสูงและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตลอดเวลาได้อย่างมีศักยภาพ

โดยมีเป้าหมายสำคัญ เพื่อยกระดับสร้างมูลค่าเพิ่ม สร้างโอกาสทางการค้า สร้างช่องทางตลาดใหม่ สร้างการรับรู้ภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่สินค้าชุมชน สู่การเป็นธุรกิจชุมชนยุคใหม่ที่มีความเข้มแข็ง และพึ่งพาตนเองได้

‘จุรินทร์’ โชว์ฟอร์ม จวกนโยบายรัฐบาล ‘เศรษฐา’ เหมือนหาเสียงการละคร ‘เลื่อนลอย-คลุมเครือ’

(11 ก.ย. 66) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายนโยบายรัฐบาลว่า พรรคประชาธิปัตย์จะทำหน้าที่ฝ่ายค้านของประชาชน ตรวจสอบการบริหารอย่างเต็มความสามารถ โดยจะเป็นฝ่ายค้านที่เข้มแข็ง แต่จะไม่ค้านทุกเรื่อง รักษาประโยชน์สูงสุดของประเทศ ส่วนการทำงานกับพรรคร่วมฝ่ายค้านอื่น คือแสวงจุดร่วมสงวนจุดต่าง ยืนยันไม่สนับสนุนการแตะต้องมาตรา 112 แต่จะทำงานร่วมกับฝ่ายค้านอื่น ๆ อย่างเต็มความสามารถ

นายจุรินทร์ มองว่า มาตรฐานของนโยบายชุดนี้ ‘สวนทางกับความสูงท่านนายกฯ’ การตั้งโจทย์ประเทศก็คลุมเครือ ตัวนโยบายเลื่อนลอย ขาดความชัดเจน ฟุ่มเฟือยด้วยวาทกรรม วนไปวนมา กลายเป็นนโยบายน้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรง นโยบายที่แถลงกับที่หาเสียง เป็นหนังคนละม้วน ไม่ตรงปก เช่น นโยบายค่าแรงปริญญาตรี 25,000 บาท อยู่ๆ ก็เป็นนโยบายนินจา หายไปแบบไร้ร่องรอย หรือคิดว่าอย่างไรรัฐบาลก็อยู่ไม่ถึงปี 2570 ตามที่หาเสียงไว้ เช่นเดียวกับนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาทต่อวัน ที่เป็นนโยบายนินจาตัวที่ 2 นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ทำทันทีหายไป รถไฟฟ้าไปจอดหลับอยู่ที่ไหน จนนักข่าวทนไม่ไหว ตามไปสัมภาษณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ก็อึกอัก ๆ บอกว่าอีก 2 ปีจะทำ

ส่วนนโยบายเพิ่มรายได้ให้ครอบครัวที่มีรายได้ต่ำกว่า 20,000 บาทต่อเดือน จะเอางบประมาณมาจากที่ใด ขณะที่นโยบายกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น จะให้เลือกตั้งผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ ตอนนี้เหลือเป็น ผู้ว่าฯ CEO รวบอำนาจมาสู่การปกครองส่วนภูมิภาค ย้อนหลังไป 20 กว่าปี ที่พูดมา มองว่าเป็นแค่ลมปากตอนหาเสียง ต้องมีความรับผิดชอบ อย่าให้เหมือนตอนไล่หนูตีงูเห่า สุดท้ายทั้งหนูและงูเห่ามาอยู่ด้วยกัน และกลายเป็นนโยบายการละคร

สำหรับนโยบายด้านการเกษตร แม้นายกรัฐมนตรีจะประกาศว่าไม่มีนโยบายจำนำข้าว ถือเป็นเรื่องดี เพราะโครงการนี้สร้างหนี้รวม 884,000 ล้านบาท ยังต้องใช้หนี้อีก 254,000 ล้านบาท ตั้งแต่ปี 2566 อีกทั้งนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต ก็ไม่มีการชี้แจงที่มาของเงินที่ชัดเจน ยังไม่มีข้อสรุป แปลว่าเป็นนโยบายไปตายเอาดาบหน้า และต้องขอเตือนว่าอย่าให้เป็นการทุจริตเชิงนโยบาย

นายจุรินทร์กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์พร้อมให้การสนับสนุนการแก้รัฐธรรมนูญ แต่มีข้อสังเกต ว่าในนโยบาย ระบุว่าไม่แก้ไขในหมวดพระมหากษัตริย์ คือหมวด 2 ซึ่งเห็นด้วย แต่แปลว่าหมวด 1 แก้ได้ใช่หรือไม่ คือเรื่องระบอบการปกครอง และรูปแบบของรัฐแบ่งแยกมิได้ เหตุใดนโยบายรัฐบาลไม่ระบุให้ชัด หรือเกรงใจใคร หรือพรรคร่วมรัฐบาลพรรคใด อย่าคิดว่าการแบ่งแยกดินแดนจะไม่เกิด ที่ผ่านมาก็มีการยื่นร้องศาลรัฐธรรมนูญแล้ว

สำหรับนโยบายการแก้ทุจริตคอร์รัปชัน นายจุรินทร์กล่าวว่ารัฐบาลเอาจริงแค่ไหน เพราะมีระบุเพียงเล็กน้อย รัฐบาลต้องตระหนักว่า รัฐบาลท่านในอดีตเคยถูกยึดอำนาจมา 2 ครั้ง เพราะเหตุแห่งการทุจริต และออกกฎหมายล้างผิดการทุจริต จะต้องไม่นำประวัติศาสตร์ให้ซ้ำรอยเดิม

“รัฐบาลต้องฟื้นฟูหลักนิติธรรมให้กลับมาเข้มแข็ง ไม่มีผู้ใดอยู่เหนือกฎหมาย ต้องบังคับใช้กฎหมายโดยเสมอกัน นักโทษทุกคนต้องเท่าเทียมกัน นโยบายนี้จะเป็นจริงได้ อยู่ที่นายกรัฐมนตรี และรัฐบาล การพระราชทานอภัยโทษ นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ที่ผู้ได้รับอภัยโทษต้องสำนึก และรัฐบาลต้องสำนึก ว่าแม้โดนอภัยโทษก็ยังมีความผิด และยังมีโอกาสรับโทษใหม่ในอนาคต หากรัฐบาลก่อนหน้าทำไม่ถูก เราก็ทำให้ถูก อย่าปล่อยเลยตามเลย อย่าสร้างมาตรฐานใหม่ เหยียบย่ำหัวใจคนรักความยุติธรรมและความสุจริต ให้หมดกำลังใจ นี่เป็นโอกาสสำคัญของรัฐบาล ที่จะทำให้วลีที่เราพูดกันติดปากว่า ‘คุกมีไว้แค่ขังคนจน กับคนไม่มีอำนาจ’ มลายไปได้ โดยนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ เศรษฐา ทวีสิน” นายจุรินทร์กล่าว 

‘S&P’ ผุดนิวโมเดลไซส์ย่อ เจาะปั๊ม ปตท. รับเทรนด์ ‘ซื้อกลับ-สั่งด่วน’ มาแรง

‘เอส แอนด์ พี’ ผุดสาขารูปแบบใหม่ นำร่องเจาะปั๊มน้ำมัน ปตท. 2 สาขาแรก เบเกอรี่ครบไลน์ อาหารเน้นเมนูสะดวกรวดเร็ว เผยแผนทั้งปีนี้ลุยเปิดเบเกอรี่ช็อป 25 สาขา และร้านอาหาร 3 สาขา โชว์ครึ่งปีแรกรายได้รวมโต 12% ส่วนช่องทางนั่งทานในร้านพุ่ง 66%

(11 ก.ย.66) นายอรรถ ประคุณหังสิต ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฎิบัติการธุรกิจเอสแอนด์พี บริษัท เอส แอนด์ พี ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) หรือ S&P เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้เปิดตัวธุรกิจร้านโมเดลใหม่ ‘คอนเซ็ปท์ ฟุ้ด แอนด์ เบเกอรี่’ (Food and Bakery) ซึ่งเป็นร้านที่มีบริการทั้งเบเกอรี่ เครื่องดื่มครบไลน์ และบริการอาหารด้วย โดยเปิดสาขาแรกที่ปั๊มน้ำมัน ปตท. พระรามสี่ใกล้กล้วยน้ำไท พื้นที่ประมาณ 100ตารางเมตร เปิดบริการเมื่อประมาณ 3 เดือนที่ผ่านมา และเตรียมที่จะเปิดสาขาที่สองอีกที่ปั๊มน้ำมัน ปตท. วิภาวดีรังสิต ซึ่งเป็นปั๊มที่สร้างใหม่

“รูปแบบของสาขาโมเดลใหม่นี้ จะมีขนาดที่ไม่เล็กไม่ใหญ่ แต่มีบริการเบเกอรี่เครื่องดื่มครบไลน์ ส่วนอาหารจะไม่ครบไลน์เหมือนร้านอาหารมาตรฐานเดิม จะเป็นลักษณะคล้ายนั่งทานอาหารหน้าเคาน์เตอร์บาร์ เน้นเมนูสะดวกรวดเร็ว และเน้นเทคอะเวย์กับเดลิเวอรีด้วย อย่างไรก็ตาม ไม่ได้ผูกติดเฉพาะกับปั๊มน้ำมันเท่านั้น ขึ้นอยู่กับว่าได้ทำเลและขนาดพื้นที่ที่มีความเหมาะสมหรือไม่” นายอรรถ กล่าว

ทั้งนี้ การเปิดตัวร้านรูปแบบใหม่ถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนการขยายสาขาอย่างต่อเนื่องของบริษัทฯ โดยปีนี้วางแผนที่จะเปิด ร้านเบเกอรี่ช็อป ประมาณ 25 สาขา ลงทุนเฉลี่ย 2 ล้านบาทต่อสาขา เปิดไปแล้ว 15 สาขา และจะเปิดอีก 10 สาขาต่อถึงสิ้นปีนี้ ส่วนร้านอาหาร ลงทุนเฉลี่ย 8-10 ล้านบาทต่อสาขา ซึ่งจะเปิดเล็กลงประมาณ 150 ตารางเมตร จากเดิมเฉลี่ยมากกว่า 200 ตารางเมตร จะเปิดปีนี้ 3 สาขา โดยเปิดไปแล้วที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ และเตรียมจะเปิดอีกที่โรงพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข และอีกแห่งจะเปิดในเครือข่ายค้าปลีกของกลุ่มเซ็นทรัลสาขา

ปัจจุบัน บริษัทฯ มีเครือข่ายร้านค้ารวม 437 สาขา โดยแบ่งเป็น ร้านเบเกอรี 300 สาขา และร้านอาหาร 137 สาขา อีกทั้งยังไม่ได้นับรวม ร้านเดลโก้ ที่่เป็นจุดบริการเดลิเวอรีโดยเฉพาะ อีก 33 สาขา ซึ่งก็ยังคงมีการเติบโตที่ดีแต่อาจจะไม่หวือหวาเหมือนช่วงโควิด-19ระบาดหนัก ที่ความต้องการเดลิเวอรีสูงมาก ส่วนแผนการรีโนเวทร้านเดิมก็ยังมีต่อเนื่อง ซึ่งช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาที่โควิดระบาด มีการรีโนเวทไปมากกว่า 100 สาขาแล้ว ใช้งบไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท ส่วนปีที่แล้วเปิดร้านใหม่ประมาณ 35 สาขา

นายอรรถ กล่าวต่อว่า บรรยากาศการจับจ่ายในภาพรวมขณะนี้ ถือว่าในส่วนของกรุงเทพและปริมณฑลกลับมาดีมากขึ้นแล้ว ขณะที่ในตลาดต่างจังหวัดยังไม่ค่อยคึกคักเท่าที่ควร เพราะกำลังซื้อลดลง แต่คาดว่าจากนี้น่าจะดีขึ้นบ้างจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหลังจากที่มีรัฐบาลชุดใหม่แล้ว

สำหรับผลประกอบการที่ผ่านมาเป็นไปในทิศทางที่ดี มีการเติบโตที่ดี โดยในไตรมาสที่2ปี2566 รายได้รวมทั้งกลุ่ม 1,457 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 156 ล้านบาท หรือเติบโต 12% จากไตรมาสสองปีที่แล้ว ส่วนกำไรมีประมาณ 89 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6 ล้านบาท

ส่วนช่วงครึ่งปีแรกพบว่า มีรายได้รวมทั้งกลุ่ม 2,892 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 350 บาท หรือเติบโต 12% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และมีกำไรสุทธิครึ่งปีแรกที่ 194 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24 ล้านบาท เติบโต 14% โดยสัดส่วนรายได้หลักกว่า 80% มาจากร้านอาหาร ร้านเบเกอรี่ ในประเทศ ส่วนอีก 20% มาจากกลุ่มรีเทลฟู้ดกับต่างประเทศ

ทั้งนี้ ครึ่งปีแรกพบว่า รายได้จากช่องทางร้านอาหารนั่งทานในร้านเติบโตมากถึง 66% ช่องทางเทคอะเวย์ เติบโต 7% และช่องทางเดลิเวอรี เติบโต 5% สาเหตุหลักที่นั่งทานในร้านเติบโตมากเพราะพฤติกรรมผู้บริโภคกลับมาทานอาหารในร้านมากขึ้นแล้ว รวมทั้งกลยุทธ์ตลาดที่บริษัทฯ ทำด้วยในช่องทางร้านอาหาร เช่น ช่วงเดือนมีนาคมและเมษายน จัดเทศกาลเมนูข้าวแช่ ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีมาก เดือนพฤษภาคมเริ่ม แคมเปญฉลอง 50 ปี 50 เมนู ซึ่งกิจการจะครบ 50 ปีในวันที่ 14 ตุลาคมนี้ ล่าสุดเทศกาลขนมไหว้พระจันทร์ ซึ่งปีนี้เปิดตัว 2 รสชาติใหม่คือ ใส้เกาลัดและชาอู่หลง ใส้บัวมันม่วง พร้อมโปรโมชั่นมากมาย

“ปีนี้คาดว่ารายได้รวมน่าจะเติบโต 15% ซึ่งขณะนี้รายได้รวมกลับไปถึงปี 2562 แล้วประมาณ 80% และคาดว่าปีหน้าน่าจะกลับคืนมา 100% ได้แน่นอน” นายอรรถ กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top