Sunday, 15 June 2025
ค้นหา พบ 48802 ที่เกี่ยวข้อง

เปิดกลยุทธ์พรรคส้ม ยึดครองโซเชียลมีเดียปูทางโกยแต้มเลือกตั้งเบ็ดเสร็จ เน้นชูเรื่อง 'รัก-ครอบครัว-ไลฟ์สไตล์' ผ่านเพจที่ไม่สามารถยืนยันตัวผู้ดูแลได้ 

(11 ก.ย. 66) จากมุมมอง ‘คุณนฤพันธ์ โชติช่วง’ อดีตนักเรียนวิทยาลัยยามชายฝั่งญี่ปุ่น ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก 'Naruphun Chotechuang' เกี่ยวกับการเลือกตั้งซ่อมที่ระยองของไทยเมื่อวานไว้ว่า...

ผลการเลือกตั้งซ่อมที่ระยองเป็นสิ่งที่คาดการณ์ได้ครับว่า จะออกมาเหมือนเดิม จากผลงานจากการระดมอัดโฆษณาหาเสียงเลือกตั้งผ่านเพจและกลุ่มต่างๆ ทั้งแพลตฟอร์มเฟสบุ๊ก, X (ทวิตเตอร์) และติ๊กต็อกเป็นเวลานานแล้ว ตัวอย่างล่าสุดที่พึ่งเกิดกับผมคือ ด้วยความที่ตอนนี้อาศัยอยู่แถวภาคตะวันออก ทำให้มีโฆษณาจากเพจต่างๆ ของพรรคสีส้มโผล่มาให้ผมเห็นจำนวนมากกว่าปกติ (และไม่เห็นพรรคสีน้ำเงินเลย) แต่เมื่อถามเพื่อนๆ ที่อยู่ภาคอื่นกลับไม่เคยเจอเหมือนกับผม แสดงว่ามีการอัดโฆษณาอย่างแน่นอน ซึ่งผมได้รวบรวมเพจที่โฆษณาเพจตัวเอง แต่เนื้อหาของโพสที่โฆษณาจะเป็นเรื่องของหัวหน้าพรรคเท่านั้นในภาพที่ *1

และสิ่งที่น่าสนใจคือกลยุทธ์ที่พรรคสีส้มใช้ คือให้เพจที่ไม่สามารถยืนยันตัวผู้ดูแลได้ และเพจข่าวบันเทิงโฆษณาเพจตัวเอง โดยพูดถึงหัวหน้าพรรคสีส้มในเรื่องราวต่างๆ เช่น ความรัก ครอบครัว หรือชีวิตประจำวัน โดยไม่พูดถึงการเลือกตั้งซ่อมเลย เพราะตอนนี้หัวหน้าพรรคสีส้มกลายเป็นลัทธิบูชาตัวบุคคลไปเป็นแล้ว เพียงแค่พูดถึงหัวหน้าพรรคสีส้ม เท่ากับหาเสียงให้พรรค โดยที่ไม่จำเป็นต้องพูดถึงนโยบายหรือคุณสมบัติของผู้สมัครใดๆ ทั้งสิ้น เป็นเวอร์ชั่นใหม่ของการส่งเสาไฟฟ้าก็ชนะได้

จากพฤติกรรมที่พรรคสีส้มทำ ผมมองว่ากฎหมายเลือกตั้งของไทยมีปัญหาไม่ก็ตกยุคหรือเปล่า? จึงขอลองนำเอากฎหมายเลือกตั้งของญี่ปุ่นที่น่าสนใจมาเทียบเคียงกับประเทศไทยอย่างที่เคยทำดูครับ

1. กฎหมายเลือกตั้งญี่ปุ่น อนุญาตให้หาเสียงผ่าน หรือแนะนำตัวผู้สมัครผ่านเว็บไซต์ Blog และแพลตฟอร์มต่างๆ ได้ แต่ห้ามมิให้มีค่าใช้จ่ายในการโฆษณา ไม่ว่าผู้โฆษณาจะเป็นพรรคการเมือง ผู้สมัคร หรือบุคคลทั่วไป (ภาพที่ *2) กล่าวคือสามารถใช้แพลตฟอร์มยอดนิยม เช่น เฟซบุ๊กหาเสียงด้วยเพจทางการของพรรค เพจผู้สมัคร หรือเพจผู้สนับสนุนพรรคได้อย่างอิสระ แต่ห้ามจ่ายเงินเพื่อให้คนทั่วไปมองเห็น (หรือในเฟซบุ๊กจะเขียนว่า แนะนำสำหรับคุณ) มากขึ้น โดยเมื่อเทียบกับการหาเสียงของประเทศไทย พรรคสีส้มใช้วิธีนี้เป็นวิธีหลักในการหาเสียง เพราะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากที่สุด และจากประสบการณ์ของตัวเอง ไม่เคยเห็นโฆษณาของพรรคอื่นเลย (ถ้าใครเคยเห็นมาแลกเปลี่ยนความเห็นได้นะครับ) จากภาพที่ *1 จะเป็นว่าการโฆษณาไม่ได้ทำเพียงแค่เพจเดียว แต่กระจายไปหลายเพจเพื่อให้เข้าถึงคนให้มากที่สุด 

2. กฎหมายเลือกตั้งญี่ปุ่น อนุญาตให้บุคคลทั่วไปโพสต์ แชร์ รีทวิต กดไลก์ พรรคหรือผู้สมัคร แนะนำตัว ผลงาน และนโยบายต่างๆ ผ่านเแพลตฟอร์มต่างๆ (รวมถึงไลน์) แต่ห้ามมิให้พรรคหรือผู้สมัครแสดงข้อความให้ลงคะแนนกับพรรค หรือผู้สมัครคนใดคนหนึ่งใน SNS หรือโพสต์ แชร์ รีทวิตวีดีโอหรือภาพที่มีข้อความ หรือเสียงที่บอกให้ลงคะแนนกับพรรค หรือผู้สมัครคนใดคนหนึ่ง แต่บุคคลทั่วไปสามารถทำได้ (ภาพที่ *3) เมื่อเทียบกับการหาเสียงของประเทศไทย ในเคสนี้สำหรับพรรคหรือผู้สมัคร ผมเห็นทุกพรรคทำเหมือนกันหมด

ต้องเข้าใจก่อนว่าในบัตรเลือกตั้งของญี่ปุ่นใช้ระบบการเขียนชื่อนามสกุลของผู้สมัครที่ต้องการเลือก (ภาพที่ *4) โดยอนุโลมให้เขียนในเป็นอักษรฮิราคานะ หรือคันจิก็ได้ แต่จะไม่มีการกากบาทหมายเลขแทนพรรค หรือผู้สมัครใดๆ ทั้งสิ้น เพราะญี่ปุ่นถือว่า คนที่มีสิทธิ์เลือกตั้งต้องมีความรู้ที่ควรจะรู้ อย่างชื่อนามสกุลผู้แทนที่ต้องการเลือก ไม่ใช่เรื่องที่ต้องมาอำนวยความสะดวกแค่เพียงกากบาท หรืออีกนัยหนึ่งเพื่อลดความยากในการชี้นำเลือกพรรค หรือผู้สมัคร แต่ก็ยังมีปัญหาที่ควรแก้ไขคือ เพจที่ไม่สามารถยืนยันตัวตนได้ทันทีว่า ผู้โพสต์แชร์ข้อความเป็นคนของพรรค คนของผู้สมัครหรือไม่ (หรือที่พรรคสีส้มเรียกว่าหัวคะแนนธรรมชาติ) ถือว่าทำได้หรือไม่? และตรวจสอบอย่างไร? สมาชิกพรรคถือเป็นคนของพรรคหรือไม่? และญาติของสมาชิกพรรคถือว่าเป็นบุคคลทั่วไปหรือเปล่า? จะเห็นว่ายังมีความไม่ชัดเจนเหลืออยู่

3. กฎหมายเลือกตั้งญี่ปุ่น ห้ามหาเสียงแบบเดินถึงหน้าบ้าน เมื่อเทียบกับประเทศไทย มีการเดินถึงบ้านกันทุกพรรค (ภาพที่ *5)

4. กฎหมายเลือกตั้งญี่ปุ่น กำหนดขนาดโปสเตอร์หาเสียง 42x30 ซม. และขนาด 42x10 (สามารถเอามาต่อกันได้มากสุด 42x40) ต้องติดในพื้นที่ที่กำหนดให้เท่านั้น และโปสเตอร์ที่มีชื่อผู้สมัครต้องมีสัญลักษณ์ทุกแผ่นอนุญาตจากคณะกรรมการเลือกตั้ง เมื่อเทียบกับประเทศไทย กำหนดแค่ห้ามเกินขนาดที่กำหนดไว้เท่านั้น และยังติดตั้งได้ทุกที่ที่อนุญาต จนทำให้ช่วงเลือกตั้งของประเทศไทยรกเต็มฟุตบาทไปหมด (ภาพที่ *6 และ *7)

5. กฎหมายเลือกตั้งญี่ปุ่น ห้ามผู้ที่ยังมีอายุไม่ถึง 18 ปีเข้าร่วมกิจกรรมหาเสียงโดยเด็ดขาด เมื่อเทียบกับประเทศไทย เท่าที่เห็นในข่าว การเลือกตั้งรอบนี้มีอยู่พรรคเดียวที่ทำ (ภาพที่ *8)

อันที่จริงแล้วยังมีอีกหลายข้อที่น่าสนใจ บางข้อก็อาจจะมองว่าเป็นการจำกัดสิทธิด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นแล้ว ข้อไหนที่ดูแล้วดีก็ควรนำมาปรับใช้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ยัดเหยียดแบบที่ผมโดน (ภาพที่ *1) มันรู้สึกเหมือนตัวเองโดนละเมิดสิทธิยังไงก็ไม่รู้ ไม่ได้ต้องการเห็นแต่โดนบังคับให้เห็น ปรับออกก็เห็นตัวอื่นที่คล้ายกัน

แล้วยังมีเรื่องของบัตรเลือกตั้งที่อยากได้แบบเขียนชื่อ และโปสเตอร์หาเสียงที่ควรกำหนดขนาดให้มันเล็กลงอีก จำกัดพื้นที่ติดแบบญี่ปุ่นก็ดี จัดเป็นสถานทีรวมกันเลย (ภาพที่ *9) และเรื่องของจำนวนด้วย เพื่อความเท่าเทียมระหว่างพรรคใหญ่และพรรคเล็กๆ

ปล. 1 สังเกตไหมว่าภาพที่ *1 ไม่ซ้ำเลยสักเพจ แต่บางเพจใช้รูปซ้ำกัน เนื้อหาเหมือนกัน สลับนิดหน่อย

ปล. 2 ก่อนหน้าเลือกตั้งซ่อม จะเป็นโฆษณาอีกแบบหนึ่งอย่างเช่น เพจของสส.ไม่ก็สมาชิกพรรคสีส้ม เริ่มโฆษณาตัวเองจากโพสภาพการทำงานหรือกิจกรรมของตัวเองต่างๆ (ภาพที่ *10) สังเกตว่าทุกภาพเป็นโฆษณาจ่ายเงินทั้งสิ้น

ชาวอเมริกันแบนขนมยี่ห้อดัง หลังเด็ก 14 เสียชีวิต เหตุจากการแข่งท้าชิมขนมรสพริกเผ็ดที่สุดในโลก 

ถือเป็นอุทธาหรณ์สำหรับชาวอเมริกัน ที่นิยมทำการตลาดที่เล่นกับความคึกคะนองของวัยรุ่น และการเสพติดกระแสโซเชียลอย่างขาดความยับยั้งชั่งใจ จากข่าวการเสียชีวิตของ แฮริส โวโลบาห์ เด็กชายวัย 14 ปี จากโรงเรียน Doherty Memorial High School ในรัฐแมสซาชูเซตส์ ที่เสียชีวิตอย่างกะทันหัน หลังร่วมการแข่งขันท้าประลองกินขนมข้าวโพดทอดกรอบ Paqui รสเผ็ดจัด ที่ปรุงรสด้วยพริกแคโรไลนา รีเปอร์ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นพริกที่เผ็ดที่สุดในโลก ตามแคมเปญโฆษณาเชิญชวนของแบรนด์ 'One Chip Challenge'

สื่อท้องถิ่นในสหรัฐ รายงานว่า แฮริส โวโลบาห์ ได้เข้าร่วมท้าประลองชิมขนมดังกล่าวเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2566 ที่ผ่านมา ที่โรงเรียนในช่วงเช้า แต่พอคาบบ่าย เขาต้องโทรกลับบ้านไปบอกแม่ว่าเขาปวดท้องอย่างรุนแรง จนถึงขั้นหมดสติในเวลาต่อมา ทางโรงเรียนต้องรีบพาตัวส่งโรงพยาบาล แต่ไม่ทันกาล สุดท้าย แฮริส โวโลบาห์ ก็เสียชีวิตลงในช่วงเย็นวันนั้นเอง

แม้ว่าจะยังไม่มีการสรุปถึงสาเหตุการเสียชีวิตของ แฮริส โวโลบาห์ แต่ทางครอบครัวเชื่อว่าเกิดจากการที่ลูกชายร่วมแคมเปญท้าประลองกินแผ่นข้าวโพดรสเผ็ดจัดนี้อย่างแน่นอน อันเป็นเหตุให้เกิดกระแสเรียกร้องให้แบนขนมยี่ห้อดังทั่วสหรัฐ และหลายห้างดังทั้ง Amazon eBay และร้านค้าปลีก สั่งเก็บสินค้าออกจากชั้นวาง และช่องทางจำหน่ายบนหน้าเว็บไซต์ทั้งหมดแล้ว

Paqui เป็นแบรนด์ขนมอบกรอบประเภทแผ่นข้าวโพดตอร์ติญ่า ซึ่งเป็นแบรนด์ลูกของ Hershey ผู้ผลิตขนมหวานชื่อดัง ต่อมาได้ผลิตแผ่นข้าวโพดรสเผ็ดจัด ที่ผสมพริกแคโรไลนา รีเปอร์ และ พริกนากา ไวเปอร์ ที่เผ็ดติดอันดับโลก มารวมกัน สร้างรสชาติที่เผ็ดอย่างร้อนแรงที่ไม่สามารถกินเพื่อความอร่อยได้เลย

แต่ทว่าทางบริษัทกลับใช้เทคนิคการตลาด สร้างแคมเปญท้าทายผู้บริโภค ประลองความอึดด้วยการกิน Paqui รสเผ็ดจัดในคราวเดียวโดยไม่มีการดื่มน้ำ หรืออาหารอย่างอื่นที่ช่วยลดทอนความเผ็ด ว่าจะสามารถกินได้หมดซองคนเดียวหรือไม่

ต่อมามีการสร้างกระแสไวรัลในโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะใน Tiktok มีวัยรุ่นอเมริกันแชร์คลิปปฏิกิริยาหลังได้ลองชิมขนมรสเผ็ดร้อนแรงกันเป็นจำนวนมาก ที่สนับสนุนการขาย Paqui ได้อย่างแพร่หลาย แม้จะมีคำเตือนบนหน้าซอง และเว็บไซต์ของทางบริษัทว่าแคมเปญนี้สำหรับผู้ใหญ่เท่านั้น แต่ก็มีเด็ก และวัยรุ่นจำนวนไม่น้อย ที่แข่งกินขนมผสมพริกที่ได้ชื่อว่าเผ็ดที่สุดในโลก เพื่อสร้างคอนเทนท์ลงโซเชียล

จนมีข่าวการเสียชีวิตของ แฮริส โวโลบาห์ หลังการกินขนมผสมพริกเผ็ดจัด ที่อาจทำให้ชาวอเมริกันเริ่มฉุกคิดถึงการทำการตลาดเชิงท้าทายเพื่อหวังกระแส และยอดขาย โดยไม่ใส่ใจความปลอดภัยของผู้บริโภค

ซึ่งอันตรายที่เกิดจากการกินพริกที่มีระดับความเผ็ดมากๆ อย่างพริกแคโรไลนารีเปอร์ ที่มีระดับความเผ็ด 1,569,300 สโกวิลล์ สูงกว่าพริกขี้หนูของไทยถึง 15 เท่า นอกจากจะมีผลเสียต่อกระเพาะอาหารและลำไส้แล้ว ยังพบว่าอาจทำให้เกิดอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง จนถึงภาวะหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจหดตัวและภาวะหัวใจวาย ที่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้

ส่วนบ้านเรา แม้ Paqui จะยังไม่มีขายในไทย แต่ก็มีมันฝรั่งทอดกรอบ และบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจากต่างประเทศที่มีส่วนผสมของพริกที่มีความเผ็ดร้อนแรงมีจำหน่ายอยู่ทั่วไป ที่ผู้บริโภคควรใช้ความระมัดระวังในการลิ้มลอง

แม้คนไทยจะได้ชื่อว่านิยมอาหารรสเผ็ด แต่พริกที่เผ็ดระดับ พริกแคโรไลนา รีเปอร์, นากา ไวเปอร์ หรือแม้แต่ Ghost Pepper ที่เริ่มแพร่หลายในไทย ล้วนมีระดับความเผ็ดเกิน 1 ล้านสโกวิลล์ นับว่ามีอันตราย ไม่ควรรับประทานจำนวนมากในคราวเดียว แม้จะเป็นเซียนอาหารเผ็ดแค่ไหนก็ตาม  

‘เศรษฐา’ ให้กำลังใจนักกีฬาวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย หวังให้ผ่านรอบคัดเลือกโอลิมปิก ยัน!! รบ.พร้อมสนับสนุนเต็มที่

(11 ก.ย. 66) ที่ห้องรับรองพิเศษ 205 ชั้น 2 อาคารรัฐสภา นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มอบโอวาทนักกีฬาวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย ชุด ‘คัดโอลิมปิก 2024’ โดยมีนางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายสมพร ใช้บางยาง นายกสมาคมกีฬาวอลเลย์บอลแห่งประเทศไทย นายสมชาย ดอนไพรยอด ผู้จัดการทีม นายดนัย ศรีวัชรเมธากุล หรือโค้ชด่วน หัวหน้าผู้ฝึกสอนกีฬาวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย นำคณะนักกีฬาวอลเลย์บอลหญิงฯ เข้าพบรับโอวาทจากนายกรัฐมนตรี

นายกรัฐมนตรี กล่าวให้โอวาทพร้อมให้กำลังใจนักกีฬาวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย ว่า ได้ติดตามให้กำลังใจมาโดยตลอด ขอให้ทุกคนภูมิใจกับความสำเร็จและรางวัลที่ได้รับจากความทุ่มเท จากความสามารถของทุกคน ซึ่งนอกจากรางวัลที่ได้รับแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือการสร้างความสุขสร้างรอยยิ้มให้กับคนไทยทั้งประเทศ พร้อมกับกล่าวอวยพรให้นักกีฬามีสุขภาพแข็งแรง รักษาสุขภาพ อย่ามีอาการบาดเจ็บ จะได้ทำหน้าที่ในฐานะทีมชาติไทยได้อย่างเต็มศักยภาพ ซึ่งนายกรัฐมนตรีหวังให้นักวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทยผ่านรอบคัดเลือก ได้เข้าไปแข่งขันในกีฬาโอลิมปิก 2024 ตามที่ทุกคนคาดหวัง โดยในส่วนของรัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียังเน้นย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสนับสนุนโครงการ 1 กีฬา 1 รัฐวิสาหกิจ และกำชับให้ดูแลด้านวิทยาศาสตร์การกีฬาเพื่อช่วยเรื่องศักยภาพสร้างความเข้มแข็งให้นักกีฬาด้วย

สำหรับการแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงโอลิมปิก 2024 รอบคัดเลือก กำหนดแข่งขันระหว่างวันที่ 16 - 24 กันยายน 2566 ณ ประเทศโปแลนด์ โดยทีมชาติไทยอยู่ในกลุ่ม ซี ร่วมกับประเทศโปแลนด์ (เจ้าภาพ) โคลอมเบีย เยอรมนี อิตาลี สโลวีเนีย เกาหลีใต้ และสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้ ทีมวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทยพร้อมผู้ฝึกสอนจะออกเดินทางไปร่วมแข่งขันฯ ในวันที่ 12 กันยายน 2566 นี้

‘ไก่ทอดมีนา’ โร่ชี้แจง ทางร้านคิดเงินผิด-ไม่มีความคิดขูดรีดนทท. หลังทัวร์ลงกระหน่ำ ปมขายไก่ให้ยูทูบเบอร์แพงหูฉี่ 6 ชิ้น 520 บาท

(11 ก.ย. 66) กลายเป็นดรามาของร้านขายไก่ทอด เมื่อยูทูบเบอร์หนุ่มอย่าง ‘คอลแลน’ ได้ซื้อไก่ทอดหาดใหญ่จากร้าน ‘ไก่ทอดหาดใหญ่มีนา’ ซึ่งปรากฎว่ามีการคิดราคาที่แพงมากๆ ถึง 520 บาท จนเกิดประเด็นให้ชาวเน็ตถกเถียงว่าแพงเกินไปหรือไม่ หรือ ขูดรีดนักท่องเที่ยวต่างชาติเกินไปไหม

ซึ่ง ล่าสุดทางเพจ ‘ไก่ทอดหาดใหญ่มีนา’ ก็ได้ออกมาโพสต์ข้อความชี้แจงต่อประเด็นดังกล่าว โดยได้ระบุข้อความว่า

“ทางร้านขอชี้แจงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคลิปของคุณ คอลแลน Cullen Hateberry ที่ได้อัพลงทางโซเชี่ยลเมื่อวานนี้ ถึงรายละเอียดต่างๆ และข้อสงสัยที่เกิดขึ้นกับราคาในคลิปนั้น

เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นราวปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา (ถ้าจำผิดต้องขออภัย) และอย่างที่ปรากฏในคลิปนั้น เมื่อทางร้านได้รับทราบ เมื่อตอน 4 ทุ่มของคืนที่ผ่านมา ก็ได้หาช่องทางติดต่อคุณ Cullen ตั้งแต่ตอนนั้น หลังจาก 5 ทุ่ม ก็ได้ส่งอีเมลไปสอบถามรายละเอียด เพราะร้านก็ดูคลิปวนๆ อยู่เลยไม่แน่ใจว่า ไก่ส่วนไหนและกี่ชิ้นบ้าง เราจึงต้องรอความชัดเจนตรงนี้ก่อน

จนเขาตอบกลับมา ว่าไก่ที่ซื้อนั้น มี 6 ชิ้น สะโพกติดน่อง 3 , น่อง 3 , ข้าวหมก 2

ซึ่งราคาของขนาดไก่นั้น ที่ร้านขายปกติคือ สะโพกติดน่องใหญ่ชิ้นละ 80 (3ชิ้น/240), น่องชิ้นละ35 (3ชิ้น/100), ข้าวหมกกล่องละ 20 (2กล่อง/40)

พอติดรวมค่าสินค้าที่เขาได้รับไป เป็นเงิน 380 บาท แต่ในคลิปที่ทุกคนได้ดูคือ 520 บาท ซึ่งมันเกินจากราคาปกติที่ร้านขายอยู่ ทางเราดูก็ยังเกิดความสงสัยเหมือนกับทุกคน

จึงพูดคุยกับคนขายว่า เราผิดพลาดตรงไหน เขาก็ตอบด้วยความสัตย์จริงว่าคงจะคิดผิดหลังจากใส่ถุงไปแล้ว นึกว่าเป็นชิ้นส่วน น่องติดสะโพกทั้ง 6 ชิ้น 480 รวมข้าวหมกอีก 40 บาท ราคาจึงออกเป็นอย่างที่ทุกคนเห็นในคลิป

ร้านไม่ได้นิ่งนอนใจ ไม่เคยคิดเอาเปรียบนักท่องเที่ยวหรือชาวต่างชาติอย่างที่หลายท่านเมนต์มา

เราไม่ต้องการจะหาข้ออ้าง แต่มันคือข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในวันนั้น แค่อยากให้ทุกท่านเข้าใจในรายละเอียดของเหตุการณ์

ทางร้านรีบขอโทษคุณ คอนแลน และขอรับผิดชอบตั้งแต่อีเมลฉบับแรกที่เราส่งไป

ร้านขอน้อมรับทุกคำติติงของสุภาพชนอย่างเต็มใจ เพราะร้านเองที่พลาดอย่างไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ

ถึงตอนนี้ร้านจะถูกดิสเครดิตทุกช่องทาง ด้วยการตัดสินของหลายๆ ท่านไปแล้ว เราก็จะพยายามเงยหน้าขึ้นมารับผลของการตัดสินของหลายๆ ท่าน

หวังว่าทุกๆ ท่านจะเข้าใจ และทักท้วงได้หากสงสัยว่าราคาผิดพลาด ทางร้านยินดีรับฟังและรับผิดชอบครับ

ด้วยความเคารพจากใจ ร้านไก่ทอดหาดใหญ่มีน”

นอกจากนี้ ทางเพจ ‘คอลแลน’ เอง ก็ได้มีการออกมาโพสต์ข้อความด้วยเช่นกัน โดยมีใจความว่า

“ใน Ep.สงขลา นี้ ได้มีประเด็นที่พูดถึงกันอย่างมากเรื่อง ‘ไก่ทอดหาดใหญ่’ ครับ ทางทีมจะขอชี้แจงผ่านโพสต์นี้นะครับ

เนื่องจากทาง ‘ร้านไก่ทอดหาดใหญ่มีนา’ Kaitod MEENA ไก่ทอดหาดใหญ่มีนาได้คิดเงินผิดพลาด และได้ทำการติดต่อมาเพื่อชี้แจงขอโทษและแสดงความรับผิดชอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมกับคืนเงินเต็มจำนวนเรียบร้อยแล้วครับ

อย่างที่ทุกคนทราบดีว่าช่อง Cullen Hateberry เป็นช่องที่แสดงภาพลักษณ์เชิงบวก และสดใสโดยหลีกเลี่ยงข้อโต้แย้งและประเด็นที่เป็นเชิงลบครับ

ทางทีมต้องขออภัยกับประเด็นที่เกิดขึ้นและหวังว่าทุกคนจะยังคงสนับสนุนและแสดงเจตนาที่ดีต่อ ‘ร้านไก่ทอดหาดใหญ่มีนา’ กันนะครับ (ราคาไม่แพงและไก่ทอดอร่อยมากจริงๆ ครับ)”

‘เอ็กโก กรุ๊ป’ ขยายการลงทุน-สร้างโอกาสเติบโตในสหรัฐฯ  เข้าถือหุ้น 50% ใน ‘พอร์ตโฟลิโอโรงไฟฟ้าคัมแพซ’ 

(11 ก.ย. 66) บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็กโก กรุ๊ป เดินหน้าขยายการลงทุนในสหรัฐอเมริกาต่อเนื่อง ด้วยการเข้าถือหุ้น 50% ใน ‘พอร์ตโฟลิโอโรงไฟฟ้าคัมแพซ’ (Compass Portfolio) กำลังผลิตรวม 1,304 เมกะวัตต์ การซื้อหุ้นโรงไฟฟ้าที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้วจะช่วยสร้างโอกาสการเติบโตให้แก่เอ็กโก กรุ๊ป ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะสามารถรับรู้ผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นได้ทันที

นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอ็กโก กรุ๊ป เปิดเผยว่า เอ็กโก คัมแพซ ทู แอลแอลซี (EGCO Compass II, LLC) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่เอ็กโกถือหุ้นทั้งหมดและจดทะเบียนในสหรัฐอเมริกา ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้นกับบริษัทในเครือโลตัส อินฟราสตรักเชอร์ พาร์ทเนอร์ เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2566 เพื่อเข้าถือหุ้นสัดส่วน 50% ใน ‘พอร์ตโฟลิโอโรงไฟฟ้าคัมแพซ’ ซึ่งเป็นพอร์ตโฟลิโอโรงไฟฟ้า พลังความร้อนร่วมที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงและเดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้ว จำนวน 3 แห่ง ตั้งอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐอเมริกา ซึ่งประกอบด้วยมาร์คัส ฮุก เอ็นเนอร์ยี่ แอลพี (มาร์คัส ฮุก) เป็นเจ้าของโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมขนาด 912 เมกะวัตต์ ตั้งอยู่นอกเมืองฟิลาเดลเฟีย รัฐเพนซิลเวเนีย ในขณะที่มิลฟอร์ด พาวเวอร์ แอลแอลซี (มิลฟอร์ด) เป็นเจ้าของโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมขนาด 205 เมกะวัตต์ และไดตัน พาวเวอร์ (ไดตัน) เป็นเจ้าของโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมขนาด 187 เมกะวัตต์ ซึ่งทั้งสองแห่งนี้ตั้งอยู่ในรัฐแมสซาชูเซตส์

โรงไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ตั้งอยู่ในพื้นที่ยุทธศาสตร์ ใกล้กับศูนย์กลางของเมืองใหญ่ที่มีการใช้ไฟฟ้าสูงมาก ได้แก่ ฟิลาเดลเฟีย บอสตัน และพรอวิเดนซ์ โดยพื้นที่เหล่านี้มีข้อจำกัดอย่างมากในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ และมีนโยบายมุ่งสู่การเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรมพลังงานไปสู่การใช้พลังงานสะอาด ซึ่งจำเป็นต้องมีกำลังผลิตไฟฟ้าที่เสริมความมั่นคงให้แก่ระบบ ‘พอร์ตโฟลิโอคัมแพซ’ ได้รับประโยชน์จากการที่โรงไฟฟ้ามาร์คัส ฮุก มีสัญญาระยะยาวในการขายกำลังผลิตส่วนใหญ่ให้แก่ลองไอส์แลนด์ พาวเวอร์ ออธอริที (The Long Island Power Authority - LIPA) และขายกำลังผลิตส่วนที่เหลือในตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้าพีเจเอ็ม (PJM) ในขณะที่โรงไฟฟ้ามิลฟอร์ดและโรงไฟฟ้าไดตันขายกำลังผลิตให้แก่ตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้านิวอิงแลนด์ (ISO-NE) โดยโรงไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ยังขายไฟฟ้าและให้บริการเสริมความมั่นคงในระบบไฟฟ้าให้แก่ตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้าในพื้นที่ที่แต่ละโรงไฟฟ้าตั้งอยู่ คือ PJM และ ISO-NE

“การลงทุนใน ‘พอร์ตโฟลิโอโรงไฟฟ้าคัมแพซ’ จะสร้างการเติบโตเพิ่มขึ้นให้แก่เอ็กโก กรุ๊ป ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์ของบริษัทที่มุ่งเน้นการเข้าซื้อหุ้นในโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติที่มีคุณภาพสูง ซึ่งสามารถสร้างผลตอบแทนและกำไรได้อย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งช่วยสนับสนุนเป้าหมายการเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรมพลังงานของโลกไปสู่พลังงานสะอาดในอนาคต” นายเทพรัตน์ กล่าวสรุป

ทั้งนี้ การซื้อขายหุ้นจะสำเร็จหลังจากดำเนินการตามเงื่อนไขต่าง ๆ ในการปิดรายการซื้อขายแล้วเสร็จ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top