Saturday, 14 June 2025
ค้นหา พบ 48796 ที่เกี่ยวข้อง

‘สว.อุปกิต’ เอือม!! ‘โรม’ ชิ่งนัดคดี หลังถูกฟ้องหมิ่น 20 ล้าน  ชี้!! ประชาชนเข้าใจเบื้องลึก ‘คน-การเมืองพรรค’ นี้แล้ว

(11 ก.ย. 66) ที่ศาลอาญารัชดา นายอุปกิต ปาจรียางกูร สมาชิกวุฒิสภา เดินทางมาพร้อมทนายความตามกำหนดนัดของศาลเพื่อไต่สวนมูลฟ้องคดีซึ่งนายอุปกิต ฟ้องนายรังสิมันต์ โรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เมื่อวันที่ 19 มิ.ย.ที่ผ่านมา ข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา โดยเรียกค่าเสียหาย 20 ล้านบาท

นายอุปกิต กล่าวว่า การเดินทางมาศาลวันนี้เพื่อยืนยันการใช้สิทธิตามกฎหมาย ปกป้องชื่อเสียง เนื่องจากเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2566 หลังการยุบสภา และอยู่ในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง นายรังสิมันต์ ได้แถลงข่าวและโพสต์ข้อความในสื่อโซเชียล กล่าวหาหมิ่นประมาทตนต่างๆ นาๆ ทั้งที่ไม่มีเอกสิทธิ์คุ้มครอง ถือเป็นการกระทำผิดซ้ำ ตนจึงจำเป็นต้องฟ้องนายรังสิมันต์เป็นคดีที่ 2 ส่วนศาลจะพิจารณารับฟ้องหรือไม่ก็อยู่ที่กระบวนการพิจารณาของศาล ซึ่งในวันนี้นายรังสิมันต์ ไม่ได้เดินทางมา โดยแจ้งขอเลื่อนนัดอ้างว่า ทนายติดว่าความคดีอื่น โดยศาลนัดไต่สวนมูลฟ้องใหม่ไปเป็นวันที่ 27 พฤศจิกายน 2566

“การอ้างความเป็นคนรุ่นใหม่ แต่ทำทุกวิถีทางเพื่อเข้าสู่อำนาจการเมือง ไม่สนใจว่าจะทำลายใคร ซึ่งสำหรับผมคงไม่ยอมที่จะเป็นฝ่ายถูกกระทำ ขอพึ่งกระบวนการยุติธรรมในการต่อสู้ วันนี้ผมคิดว่า ประชาชนเข้าใจเบื้องหน้าเบื้องหลังของพรรคการเมืองพรรคนี้แล้ว” นายอุปกิตกล่าว

ทั้งนี้ก่อนหน้าเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 นายอุปกิต ฟ้องนายรังสิตมันต์  ข้อหาหมิ่นประมาท โดยเรียกค่าเสียหาย 100 ล้านบาทมาแล้วคดีหนึ่ง และศาลมีคำสั่งรับฟ้องไปเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคมที่ผ่านมา

‘การบินไทย’ เพิ่มเที่ยวบินจีน รับฟรีวีซ่า  พร้อมเปิดบินในปท.เข้าภูเก็ตไวขึ้น 1 ต.ค.นี้

(11 ก.ย. 66) นายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวภายหลังเข้าหารือกับ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ว่าการบินไทยในฐานะสายการบินแห่งชาติยินดีและมีความพร้อมในการร่วมขับเคลื่อนการส่งเสริมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศ เพื่อรองรับการเติบโตของปริมาณความต้องการเดินทาง (Demand) ของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนและอินเดียที่ได้รับการคาดหมายว่าจะมีการปรับตัวสูงขึ้นจากนโยบายฟรีวีซ่า Free Visa ในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว (High Season) ที่กำลังจะมาถึง

การบินไทยจึงได้ปรับแผนเริ่มทำการบินในเส้นทางกรุงเทพ-ภูเก็ต ไป-กลับ เร็วขึ้นกว่ากำหนดเดิม ด้วยเครื่องบินลำตัวกว้าง ซึ่งมีความจุ 292 ที่นั่ง ให้บริการในชั้นธุรกิจ 30 ที่นั่ง และชั้นประหยัด 262 ที่นั่ง ด้วยความถี่ 7 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 เป็นต้นไป

โดยมีรายละเอียดเที่ยวบินดังนี้…

- เส้นทางกรุงเทพฯ-ภูเก็ต : เที่ยวบินที่ TG201 ออกจากกรุงเทพฯ เวลา 08.00 น. ถึงภูเก็ตเวลา 09.25 น.
- เส้นทางภูเก็ต-กรุงเทพฯ : เที่ยวบินที่ TG202 ออกจากภูเก็ต เวลา 10.20 น. ถึงกรุงเทพฯ เวลา 11.50 น.

โดยเมื่อรวมกับเที่ยวบินของสายการบินไทยสมายล์ ซึ่งทำการบินในเส้นทางกรุงเทพฯ-ภูเก็ต ไป-กลับ ด้วยเครื่องบินแบบแอร์บัส A320 สัปดาห์ละ 49 เที่ยวบิน รวมเป็นจำนวน 56 เที่ยวบินต่อสัปดาห์

อีกทั้ง บริษัทฯ ยังมีแผนเพิ่มความถี่เที่ยวบินในเส้นทางสาธารณรัฐประชาชนจีนจาก 25 เที่ยวบิน เป็น 35 เที่ยวบิน ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2566 เป็นต้นไป ดังรายละเอียดต่อไปนี้…

- เส้นทางกรุงเทพฯ-ปักกิ่ง ไป-กลับ ทำการบิน 6 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ระหว่างวันที่ 29 ตุลาคม - 30 พฤศจิกายน 2566 เพิ่มเป็นสัปดาห์ละ 7 เที่ยวบิน ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2566
- เส้นทางกรุงเทพฯ-เซี่ยงไฮ้ ไป-กลับ ทำการบิน 7 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ระหว่างวันที่ 29 ตุลาคม 2566 - 30 มีนาคม 2567
- เส้นทางกรุงเทพฯ-กวางโจว ไป-กลับ ทำการบิน 7 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ระหว่างวันที่ 29 ตุลาคม 2566 - 30 มีนาคม 2567
- เส้นทางกรุงเทพฯ-คุนหมิง ไป-กลับ ทำการบิน 3 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ระหว่างวันที่ 29 ตุลาคม - 30 พฤศจิกายน 2566 เพิ่มเป็นสัปดาห์ละ 7 เที่ยวบิน ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2566
- เส้นทางกรุงเทพฯ-เฉิงตู ไป-กลับ ทำการบิน 2 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ระหว่างวันที่ 29 ตุลาคม - 30 พฤศจิกายน 2566 เพิ่มเป็นสัปดาห์ละ 7 เที่ยวบิน ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2566

ผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดตารางการบิน พร้อมทั้งสำรองที่นั่งและออกบัตรโดยสารได้ที่เว็บไซต์ thaiairways.com หรือ สำนักงานขายการบินไทยและตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ หรือ THAI Contact Center 0-2356-1111 (ตลอด 24 ชั่วโมง)

เอาแล้ว!! จีนเร่งพัฒนาอุตสาหกรรม ‘เมตาเวิร์ส’ พุ่งเป้าสู่เสาแห่ง ‘วิถีชีวิต-เศรษฐกิจดิจิทัล’

(11 ก.ย. 66) สำนักข่าวซินหัว เผย กระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศของจีน และหน่วยงานอื่นๆ อีก 4 แห่ง ร่วมออกแผนปฏิบัติการ ระยะ 3 ปี (2023-2025) เพื่อส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมของอุตสาหกรรมเมตาเวิร์ส (Metaverse)

แผนปฏิบัติการดังกล่าวกำหนดรายละเอียดมาตรการอันรวมถึงการสร้างเทคโนโลยีเมตาเวิร์สขั้นสูงและระบบอุตสาหกรรม โดยจีนจะมุ่งสร้างความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี อุตสาหกรรม การประยุกต์ใช้ และด้านอื่นๆ เกี่ยวกับเมตาเวิร์ส รวมถึงทำให้เมตาเวิร์สกลายเป็นเสาแห่งการเติบโตที่มีนัยสำคัญในเศรษฐกิจดิจิทัล

นอกจากนั้นจีนตั้งเป้าหมายบ่มเพาะบริษัทเกี่ยวกับเมตาเวิร์สที่มีอิทธิพลระดับโลก 3-5 แห่ง และสร้างเขตกลุ่มอุตสาหกรรม 3-5 แห่ง พร้อมมุ่งยกระดับนวัตกรรมเชิงบูรณาการของเทคโนโลยีเมตาเวิร์สที่สำคัญ และวางพันธกิจขั้นต้นในอุตสาหกรรมเมตาเวิร์สและวิถีชีวิตดิจิทัล

‘พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา’ แถลงนโยบาย  หลังนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี สมัยแรก

ย้อนไปในวันนี้ เมื่อ 9 ปีก่อน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้นำคณะรัฐมนตรีแถลงนโยบาย 11 ด้าน ต่อที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หลังนั่งเก้าอี้นายกฯ สมัยแรก

เมื่อวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2557 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้นำคณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ตามระเบียบการบริหารราชการแผ่นดินตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 โดยกล่าวตอนหนึ่งว่า รัฐบาลชุดนี้มีข้อแตกต่างด้านเงื่อนไขและเวลา ต่างจากรัฐบาลชุดก่อน ๆ คือ ต้องสืบทอดสานต่อภารกิจจากที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่กำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาประเทศไว้ก่อนแล้วเป็น 3 ระยะ และรัฐบาลนี้ไม่ได้จัดตั้งขึ้นจากพรรคการเมืองจึงไม่มีนโยบายที่ใช้หาเสียง หวังคะแนนประชานิยม เป็นฐานทางการเมือง

สำหรับนโยบายที่แถลงนั้น จำแนกเป็น 11 ด้าน ดังนี้

1. การปกป้องเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์

2. การรักษาความมั่นคงของรัฐและการต่างประเทศ แบ่งเป็น
2.1ระยะเร่งด่วน รัฐบาลให้ความสำคัญต่อการเตรียมความพร้อมสู่ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน
2.2 เร่งแก้ไขปัญหาการใช้ความรุนแรงในจังหวัดชายแดนใต้
2.3 พัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพของกองทัพ และระบบป้องกันประเทศให้ทันสมัย
2.4 เสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีกับนานาประเทศบนหลักการนโยบายการต่างประเทศ

3. การลดความเหลื่อมล้ำของสังคมและการสร้างโอกาสการเข้าถึงบริการของรัฐ

4. การศึกษาและเรียนรู้ การทำนุบำรุงศาสนา และศิลปวัฒนธรรม

5. การยกระดับคุณภาพ และบริการด้านสาธารณสุขและสุขภาพของประชาชน

6. การเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ

7. การส่งเสริมบทบาทและการใช้โอกาสในประชาคมอาเซียน

8. การพัฒนาและส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนา และนวัตกรรม

9. การรักษาความมั่นคงของฐานทรัพยากรและการสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์กับการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน

10. การส่งเสริมการบริหารราชการแผ่นดินที่มีธรรมาภิบาลและการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ และ

11. การปรับปรุงกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมระยะเฉพาะหน้า

บสย. ผนึก SET เปิดโครงการ SME Platform  เชื่อม Start up - SMEs พร้อมเข้าตลาดทุน

บสย.- SET ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการ SME Platform พัฒนาและสนับสนุนวิสาหกิจเริ่มต้นและวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เชื่อมโยง Start up - SMEs ด้วยการบ่มเพาะความรู้พื้นฐานด้านการเงิน

บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ผนึก ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ โครงการ SME Platform พัฒนาและสนับสนุนวิสาหกิจเริ่มต้นและวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เชื่อมโยง Start up - SMEs ด้วยการบ่มเพาะความรู้พื้นฐานด้านการเงิน เพื่อการเป็นผู้ประกอบการที่มีคุณภาพและเตรียมความพร้อมการเติบโตไปสู่โอกาสการระดมทุนในตลาดทุนต่อไป

นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.)  และ นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้ช่วยผู้จัดการ สายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ‘โครงการ SME Platform เพื่อพัฒนาและสนับสนุนวิสาหกิจเริ่มต้นและวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม’ เพิ่มศักยภาพผู้ประกอบการทั้งภาคการเงิน การผลิต เทคโนโลยีสมัยใหม่ โดย 2 หน่วยงานจะร่วมมือกันเชื่อมโยงบทบาทการทำงานของตลาดเงินและตลาดทุน ในการส่งเสริมสนับสนุนกลุ่ม Start up และ SMEs ผ่านโครงการ SME Platform  รองรับการเติบโตของภาคธุรกิจเพื่อเตรียมสร้างความพร้อมสู่การระดมทุนในตลาดทุน

บสย. และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จะร่วมกันบ่มเพาะเติมความรู้ด้านการเงินการลงทุนให้แก่ Start up และ SMEs เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่แหล่งทุนและการระดมทุน ผ่านหลักสูตร e-Learning  และ Scaling Up Platform หลักสูตรการอบรมเชิงลึก การจัดระบบงาน จับคู่ธุรกิจและให้คำปรึกษาธุรกิจ รวมถึงสนับสนุนการพัฒนาระบบนิเวศน์ที่ช่วยส่งเสริมการเติบโตผ่านช่องทางตลาดหลักทรัพย์ Live Exchange และผ่าน บสย. Business School ซึ่งดำเนินการโดยศูนย์ที่ปรึกษาทางการเงิน บสย. F.A. Center

นายสิทธิกร กล่าวว่า ความร่วมมือในครั้งนี้ บสย. จะให้ความช่วยเหลือ SMEs และ Start up ใน 3 มิติ คือ 

1. มิติการเข้าถึงแหล่งทุนจากสถาบันการเงินผ่านกลไกผลิตภัณฑ์ค้ำประกันสินเชื่อภายใต้โครงการ SMEs เข้มแข็ง (PGS10)

2. ด้านการบ่มเพาะผู้ประกอบการให้มีความรู้ทางการเงิน  (Financial Literacy) ผ่าน บสย. F.A. Center และ Live Platform ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย SET

และ 3.มิติการบริหารหนี้ ช่วย SMEs แก้หนี้อย่างยั่งยืน โดยการค้ำประกันสินเชื่อเป็นกลไกที่ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ (Economic Value) ให้กับ SMEs ซึ่งมีมูลค่าต่อ GDP 30-35% และรักษาการจ้างงานกว่า 70%

ดังนั้นความร่วมมือครั้งนี้ จะเปิดโอกาสให้ขยายความช่วยเหลือโดยใช้ศักยภาพและกลไกของทั้ง 2 หน่วยงานเชื่อมโยงช่วยเหลือให้ SMEs ได้เข้าถึงแหล่งทุน จากทั้งตลาดเงิน และการระดมทุนผ่านตลาดทุน โดย บสย. มีฐานลูกค้าค้ำประกันสินเชื่อ SMEs มากกว่า 8 แสนราย ซึ่งมี SMEs ที่มีโอกาสขยายกิจการเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ไลฟ์เอ็กซ์เช้นจ์ (LiVEx) ประมาณร้อยละ 30 หรือราว 240,000 ราย โดยภายใต้โครงการนี้ คาดว่าจะช่วยเชื่อมโยงให้ SMEs ได้รวมตัวกันและ scale up ขยายธุรกิจเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ไลฟ์เอ็กซ์เช้นจ์ (LiVEx) เพื่อให้บริษัทเหล่านี้พัฒนาและเติบโตไปเป็นบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ใน SET ต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top