Wednesday, 14 May 2025
ค้นหา พบ 48047 ที่เกี่ยวข้อง

‘ณัฐวุฒิ’ ลั่น!! นายกฯ ต้องมาจากแคนดิเดต ‘เพื่อไทย’ เผย พร้อมตั้งรัฐบาลผสมกับพรรคที่ยึดหลักประชาธิปไตย

(29 มี.ค. 66) เฟซบุ๊กแฟนเพจหลักของ ‘พรรคเพื่อไทย’ ได้ออกมาโพสต์ข้อความ โดยมีเนื้อหาระบุว่า…

“ถ้าพรรคเพื่อไทยชนะลำดับ 1 เพื่อไทยต้องเป็นแกนนำตั้งรัฐบาล นายกรัฐมนตรีต้องมาจากแคนดิเดตคนใดคนหนึ่งของพรรคเพื่อไทย  เราจะตั้งรัฐบาลผสมและพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยต้องเป็นพรรคที่ยืนยันหลักการประชาธิปไตย และนโยบายของพรรคเพื่อไทยต้องเป็นนโยบายหลักของรัฐบาล”

ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์สดในรายการเปลี่ยนใหม่หรือไปต่อ ตอน ตัวตึง!!! ดำเนินรายการโดย สรยุทธ สุทัศนะจินดา ทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีช่อง 3 โดยมีตัวแทนพรรคการเมืองอื่นเข้าร่วมอีกรวม 6 พรรค ในช่วงแรก ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ กล่าวตอบคำถามของผู้ดำเนินรายการถึงเหตุผลอะไรที่จะต้องเลือกพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลว่า เพราะในช่วง 8 ปีของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นช่วงที่มีแต่ข่าวการทุจริตคอร์รัปชัน โดยสถาบันจัดลำดับการคอร์รัปชั่นทั้งในและต่างประเทศได้รายงานการทุจริตเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาจะอ้างเสมอว่าตัวเองเป็นคนดี ยึดมั่นสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ในส่วนนั้นตนให้ความเคารพ แต่ที่เห็นได้ชัดคือพลเอกประยุทธ์ไม่เคยได้ยึดมั่นในประชาชนเลย เพราะพลเอกประยุทธ์ยึดอำนาจมาจากประชาชน และเขียนกติกาสืบทอดอำนาจให้พลเอกประวิตร วงศ์สุวรรณมาตั้ง ส.ว. และให้ ส.ว.มาเลือกพลเอกประยุทธ์มาเป็นนายกรัฐมนตรี สิ่งเหล่านี้มันจึงอธิบายว่าประเทศกำลังเดินผิดทางและผลกระทบจากการเดินผิดทางคือความเดือดร้อนทุกข์ยากของประชาชน พรรคเพื่อไทย จึงเสนอตัวและเป็นทางเลือกทางเดียวที่จะปฏิเสธการเดินต่อของพลเอกประยุทธ์คือการต้องสนับสนุนพรรคเพื่อไทย เปลี่ยนขั้วตั้งรัฐบาลฝ่ายประชาธิปไตย

ณัฐวุฒิ กล่าวต่อว่า ถ้าพรรคเพื่อไทยได้คะแนนเป็นลำดับหนึ่ง ต้องเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล เพื่อไทยจะตั้งรัฐบาล นายกรัฐมนตรีต้องมาจากแคนดิเดตคนใดคนหนึ่งของพรรคเพื่อไทย เราจะตั้งรัฐบาลผสมและพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยต้องเป็นพรรคที่ยืนยันหลักการประชาธิปไตย และนโยบายของพรรคเพื่อไทยต้องเป็นนโยบายหลักของรัฐบาล

“ผมกล้าเชื่อว่า ถ้าหากว่าเพื่อไทยเสียงนำมาเป็นที่หนึ่ง และจับกับพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยตั้งรัฐบาลแล้ว เชื่อว่า ส.ว. 250 เสียงจะไม่ตัดสินใจเหมือนเดิมไม่กล้าโหวตสวน แต่จะมีจำนวนหนึ่งที่ยอมรับการตัดสินใจของประชาชน และหันกลับมาโหวตให้ฝ่ายประชาธิปไตยจัดตั้งรัฐบาล” ณัฐวุฒิ กล่าว


ที่มา : https://www.facebook.com/pheuthaiparty/posts/pfbid0UB8rRebSpurtV7YQ1mA4SswQhKRY8Q8JRiCaYCS31kSyjWPReD5asciAmJv35phPl

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ สั่งทลายสมาคมเถื่อน “แก๊ง14K” เพื่อหลอกลวงทรัพย์สิน และหาผลประโยชน์จากคนไทยและจีน

จากกรณีสำนักข่าวและสื่อสังคมออนไลน์นำเสนอเกี่ยวกับกลุ่มแก๊งมาเฟียจีน ชื่อกลุ่ม 14K เข้ามาตั้งสมาคมที่ผิดกฎหมาย เพื่อมาประกอบธุรกิจผิดกฎหมาย ทุนจีนสีเทา นั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ชุดสืบสวนดำเนินการตรวจสอบกรณีดังกล่าว หากพบการกระทำความผิดจริงให้ดำเนินการตามกฎหมายจนถึงที่สุด


จากการสืบสวนทราบว่าได้มีกลุ่มคนจีนจัดตั้งสมาคมเชื่อได้ว่าขัดต่อกฎหมายจริง โดยตรวจพบสมาคมที่ใช้ชื่อ “หงเหมิน” ประกอบในชื่อสมาคมจำนวน 2 แห่ง คือ


1.สมาคมประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมโลกหงเหมิน มี “นายป๋าย จ้าวฮุย”(Mr.Bai Zhaohui / 白兆辉) ซึ่งแสดงตัวว่าได้รับแต่งตั้งเป็นประธานสมาคม ประจำสาขาไทย มีที่ตั้งสมาคมอยู่ที่แขวงพลับพลา เขตวังทองหลาง กรุงเทพมหานคร ปัจจุบันเดินทาง ออกเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566 (ก่อนมีการนำเสนอข่าว)
2.สมาคมพันธมิตรหงเหมินโลก มีนายวุฒิ แซ่เหลียง แสดงตัวว่าได้รับแต่งตั้งเป็นประธานสมาคม ประจำสาขาไทย  


เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนร่วมกับเจ้าหน้าที่กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ตรวจสอบสมาคมทั้ง 2 ดังกล่าวพบว่า สมาคมประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมโลกหงเหมินประจำสาขาประเทศไทยและ สมาคมพันธมิตรหงเหมินแห่งโลก สาขาประเทศไทย ไม่มีการขออนุญาตจัดตั้งสมาคมแต่อย่างใด อีกทั้งไม่พบว่ามีสมาคมใดใช้ชื่อ “หงเหมิน” หรือ “หงเมน” จดจัดตั้งสมาคมอีกด้วย เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนพร้อมกับเจ้าหน้าที่กรมปกครองจึงยื่นคำร้องขอหมายค้นต่อศาล

 
และเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2566 เจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมเจ้าหน้าที่กรมปกครอง กระทรวงมหาดไทยนำกำลังเข้าค้นสมาคมทั้งสอง โดยผลการตรวจค้นปรากฏดังนี้


1.ที่อยู่แขวงพลับพลา เขตวังทองหลาง กรุงเทพมหานคร พบเป็นอาคารพาณิชย์ลักษณะภายในตกแต่งเป็นสมาคม มีตราสมาคม, ป้ายสมาคม และสุราต่างประเทศซึ่งไม่มีอากรแสตมป์ปิดไว้ อยู่ภายในอาคารดังกล่าว โดยมีนายป๋าย จ้าวฮุย เป็นผู้เช่า จึงตรวจยึดของกลาง รวบรวมพยานหลักฐานและร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สน.วังทองหลาง เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป และได้ออกหมายจับผู้กระทำความผิดแล้ว


2.ที่อยู่แขวงแสมดำ เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร พบเป็นอาคารพาณิชย์ ภายในตกแต่งเป็นห้องหรู มีป้ายสมาคมติดอยู่ภายใน สอบถามจากบุคคลผู้แสดงตัวเป็นนายกสมาคม รับว่าไม่เคยขออนุญาตตั้งสมาคมแต่อย่างใด จึงตรวจยึดของกลางและร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สน.ท่าข้าม ดำเนินคดีในความผิดฐาน 

‘ดร.เอ้’ ควง ‘ผู้การแต้ม’ ลงพื้นที่ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ กร้าว!! ไม่ทนปัญหาฝุ่น ชู ‘กม.อากาศสะอาด’ ปกป้องคนกรุง

(29 มี.ค.66) ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ประธานคณะทำงานนโยบาย กทม. นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย รองโฆษกพรรคฯ พร้อมด้วย ‘ผู้การแต้ม’ พล.ต.ต.ดร.วิชัย สังข์ประไพ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. กทม.เขตหลักสี่-จตุจักร พรรคประชาธิปัตย์ ลงพื้นที่บริเวณทางเข้าศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ เพื่อตรวจวัดค่า PM 2.5 ซึ่งเป็นจุดที่มีการจราจรหนาแน่นโดยเฉพาะในช่วงเช้าที่มีการสัญจรไปมา รวมถึงมีการก่อสร้างในบริเวณใกล้เคียง

โดย ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ย้ำว่าปัญหาเรื่องฝุ่น PM 2.5 เป็นปัญหาใหญ่ระดับชาติ ไม่ใช่ปัญหาของพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง ซึ่งทุกคนในประเทศต้องพร้อมร่วมมือกันในการแก้ไขรวมถึงภาคประชาชน ที่ต้องตระหนักถึงความสำคัญว่ามีอันตรายต่อชีวิต จึงพร้อมผลักดันให้มี ‘กฎหมายอากาศสะอาด’ เพื่อเป็นแนวทางแก้ไขปัญหา เพราะการมี ‘กฎหมายอากาศสะอาด’ จะช่วยให้หน่วยงานที่ดูแลและแก้ไขปัญหา PM 2.5 มีอำนาจในการบังคับใช้มาตรการต่าง ๆ ในการควบคุมและแก้ไขปัญหาที่ต้นตอของ PM 2.5 โดยที่ผ่านมาหน่วยงานต่าง ๆ มักจะแก้ปัญหาอย่างเฉพาะหน้า สาเหตุหนึ่งมาจากการไม่มีกฎหมายมารองรับ และสนับสนุนอย่างจริงจัง ทำให้ไม่สามารถควบคุมและแก้ไขปัญหาที่เกิดจากแหล่งกำเนิดได้ เลยต้องไปแก้ไขที่ปลายเหตุ สุดท้ายปัญหาคงก็อยู่

ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ กล่าวต่อไปว่า ‘กฎหมายอากาศสะอาด’ ที่ออกมาจะช่วยเป็น ‘เครื่องมือ’ ให้หน่วยงานที่ดูแลเรื่องสิ่งแวดล้อม สามารถนำมาตรการและข้อบังคับไปควบคุมสาเหตุของ PM 2.5 ได้ถึงต้นตอ ไม่ว่าจะเป็น 

- การกำหนดเขตพื้นที่มลพิษต่ำ หรือ Low Emission Zone บริเวณพื้นที่ใจกลางเมือง 16 เขต  
- การควบคุมรถควันดำ ต้นตอสำคัญของ PM 2.5 
- การจัดเก็บภาษีการปล่อยมลพิษยิ่งปล่อยมากยิ่งจ่ายมาก เพื่อเป็นการบังคับให้หาทางลดการปล่อยมลพิษ 
- การลดภาษีพื้นที่สีเขียวเป็นรางวัลให้คนทำดี

“เป็นที่น่าเสียดายว่าวันนี้ประเทศไทยยังไม่มี ‘กฎหมายอากาศสะอาด’ เพื่อคุ้มครองให้คนในชาติได้สูดอากาศบริสุทธิ์แม้แต่ฉบับเดียว ที่ผ่านมาแม้จะมีการผลักดันจากหลายภาคส่วน แต่ก็ยังถูกละเลย ไม่มีการนำมาประกาศบังคับใช้ บางคนอาจมองว่ามีความซ้ำซ้อน เพราะกฎหมายสิ่งแวดล้อมเดิมก็มีอยู่ แต่ที่ผ่านมาก็พิสูจน์มาแล้วว่าถ้ากฎหมายสิ่งแวดล้อมเดิมใช้ได้จริงพวกเราชาวกรุงเทพฯ คงไม่ต้องมาทนกับปัญหานี้ในปัจจุบัน ทั้งหมดนี้เป็นทางรอดเพื่อให้พวกเราชาวกรุงเทพฯ ได้กลับมาสูดอากาศบริสุทธิ์กันทุกคน” ศ.ดร.สุชัชวีร์ กล่าว

ในขณะที่ ‘ผู้การแต้ม’ พล.ต.ต.ดร.วิชัย สังข์ประไพ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ยืนยันจะเดินหน้าต่อเพื่อประกาศสงครามกับปัญหามลพิษทางอากาศ PM 2.5 อย่างต่อเนื่อง ซึ่งไม่ใช่การทำเพื่อหวังผลทางการเมือง แต่มองประเด็นเรื่องคุณภาพชีวิตของคนไทยเป็นสำคัญ โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ ที่ต้องเผชิญปัญหาเหล่านี้มาเป็นเวลานานและยังไม่ได้รับการแก้ไขจากผู้ที่มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง

ด้านนางดรุณวรรณ ได้กล่าวด้วยว่าบรรยากาศการลงพื้นที่ที่ศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ ในวันนี้ได้รับกำลังใจจากประชาชนที่เห็นความมุ่งมั่นในการทำงานของพรรค โดยบางท่านได้มาจอดรถทักทายและส่งเสียงเชียร์ ให้กับ ศ.ดร.สุชัชวีร์ และผู้การแต้ม รวมถึงขอบคุณที่พรรคประชาธิปัตย์มาลงพื้นที่ตรวจวัดค่าฝุ่น PM 2.5 ทำให้ได้ตระหนักถึงอันตรายและอยากให้พรรคได้เข้ามาแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจัง

ทั้งนี้ ศ.ดร.สุชัชวีร์ ย้ำว่าฝุ่น PM 2.5 เป็นสิ่งที่มองไม่เห็นนั้น มันอันตรายกว่าโควิด 19 ซึ่งสามารถรักษาให้หายได้ หากแต่ภัยจาก PM2.5 สามารถซึมเข้าไปในร่างกายได้อย่างต่อเนื่อง และสุดท้ายอาจทำให้เกิดภาวะสมองตายได้ นอกจากจะนำเสนอ กฎหมายอากาศสะอาด แล้ว ยังตั้งทีมเพื่อวัดค่าฝุ่น PM2.5 อย่างต่อเนื่อง พร้อมนำเสนอแนวทางการป้องกันและแก้ไขเบื้องต้นให้แก่ประชาชนในพื้นที่ต่าง ๆ ต่อไป
 

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและนายกสมาคมแม่บ้านตำรวจนำข้าราชการตำรวจร่วมฟังธรรมในโครงการ “ธรรมนำใจ” เพื่อตำรวจไทยมีคุณธรรม ฟังธรรมตามกาล คือมงคลอันประเสริฐ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พลตำรวจเอก ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีความห่วงใยข้าราชการตำรวจทั่วประเทศในทุกมิติ ทั้งการทำงาน สุขภาพกาย และสุขภาพใจ ซึ่งในการปฏิบัติหน้าที่อาจทำให้ข้าราชการตำรวจและครอบครัวเกิดความเครียดและวิตกกังวล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และคุณสุมนา กิตติประภัสร์ นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ จึงได้จัดทำโครงการ “ธรรมนำใจ” ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 เพื่อให้ข้าราชการตำรวจได้น้อมนำคุณธรรม มาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน

วันนี้ (29 มี.ค.2566) เวลา 09.30-11.00 น. พลตำรวจเอก ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย คุณสุมนา กิตติประภัสร์ นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ ได้เป็นประธานในโครงการ “ธรรมนำใจ” ครั้งที่ 1 ซึ่งได้กราบอาราธนานิมนต์ และรับเมตตาจากพระเดชพระคุณ “หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม” ประธานสงฆ์ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อ.วังน้ำเขียว จว.นครราชสีมา มาแสดงพระธรรมเทศนา เรื่อง “ครองตน ครองคน ครองงาน บริหารตามหลักธรรมาธิปไตย” ณ ห้องประชุมแจ้งยอดสุข ชั้น 2 อาคาร ศูนย์ฝึกอบรมพัฒนาบุคลากร และสวัสดิการ  สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถ.พระราม 1 เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร โดยมี พลตำรวจโท กรไชย คล้ายคลึง ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ , พลตำรวจโท นิธิธร จินตกานนท์ ผู้บัญชาการประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ,พลตำรวจโท ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้บัญชาการสำนักงานกำลังพล , พลตำรวจโท นัยวัฒน์ ผะเดิมชิต ผู้บัญชาการสำนักงานยุทธศาสตร์ตำรวจ , พลตำรวจโท อนุชา รมยะนันทน์ ผู้บัญชาการสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ , พลตำรวจโท สุคุณ พรหมายน ผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว , คุณนิภาพรรณ สุขวิมล อุปนายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ , พลตำรวจตรีหญิง วิรญา พรหมายน ,คุณรงรอง ภูริเดช , คุณชนาพร ไกรทอง กรรมการบริหารสมาคมฯ , คณะแม่บ้านฯ พร้อมข้าราชการตำรวจ เข้าร่วมพิธี

ทั้งนี้ โครงการ “ธรรมนำใจ” ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 กำหนดให้มีการฟังบรรยายธรรม เดือนละหนึ่งครั้ง ระหว่างเดือนมีนาคมถึงกันยายน 2566 และให้ข้าราชการตำรวจเข้าร่วมฟังบรรยายจำนวนคราวละ 350 นาย ณ ห้องประชุมแจ้งยอดสุข ชั้น 2 อาคารศูนย์ฝึกอบรมพัฒนาบุคลากรและสวัสดิการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งวันนี้เป็นการจัดกิจกรรมครั้งแรก

ศาลชั้นต้นสั่งเรียกคืน มาสด้า 2 ดีเซล ปี 2014-2018 ทุกคัน หลังพบปัญหาการใช้งาน ซึ่งอาจเกิดอันตรายกับผู้ขับขี่

ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้บริษัทมาสด้า เรียกคืนรถยนต์มาสด้า 2 เครื่องยนต์เชื้อเพลิงดีเซล (Mazda 2 Skyactiv D 1.5) ที่ผลิตในปี 2014-2018 ทุกคัน พร้อมชดใช้ค่าเสียหายให้ผู้บริโภค หลังผู้บริโภค 9 คน รวมตัวฟ้องบริษัทเป็นคดีแบบกลุ่ม เนื่องจากพบปัญหาการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องสั่น หรือเครื่องยนต์เร่งไม่ขึ้น ซึ่งอาจเกิดอันตรายกับผู้ขับขี่ได้

(29 มี.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (28 มี.ค.) นางสาวจิณณะ แย้มอ่วม ทนายความผู้ดูแลคดีการฟ้องร้อง มาสด้า 2 เปิดเผยว่า ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เรียกคืนรถยนต์มาสด้า 2 เครื่องยนต์เชื้อเพลิงดีเซล (Mazda 2 Skyactiv D 1.5) ทุกคันที่ผลิตในปี 2014-2018 (ปี พ.ศ. 2557-2561) เข้ามาซ่อมแซม

เนื่องจากเป็นสินค้าที่ชำรุดบกพร่องและเป็นสินค้าไม่ปลอดภัยที่อาจทำให้เกิดอันตรายกับผู้ขับขี่ได้ นอกจากนั้นยังได้กำหนดให้บริษัทต้องชดใช้ราคาค่าซ่อมตามจริง ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถวันละ 1,800 บาท รวมถึงค่าเสียหายทางจิตใจรายละ 30,000 บาท

อีกทั้งบริษัทต้องจ่ายดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปีนับจากวันฟ้อง หลังจากที่ผ่านมาผู้บริโภคจำนวน 9 คน ได้ยื่นฟ้องบริษัทมาสด้าเป็นคดีแบบกลุ่ม ที่ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ เนื่องจากพบปัญหาเรื่องการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเครื่องสั่น หรือปัญหาเครื่องยนต์เร่งไม่ขึ้น

ทั้งนี้ เมื่อวิเคราะห์จากคำพิพากษาของศาลที่ออกมานั้นเป็นเรื่องที่ดีและเป็นบรรทัดฐานให้กับผู้ประกอบการรายอื่นที่จะต้องรับผิดชอบกับผู้บริโภคหรือลูกค้าของตัวเอง เพราะที่ผ่านมาเมื่อไม่มีสภาพบังคับที่ชัดเจน ผู้ประกอบการจะพยายามหลีกเลี่ยงและหลบหลีกความรับผิดชอบ

“ในหลาย ๆ คดี เมื่อเกิดสภาพบังคับโดยคำพิพากษาของศาลขึ้นและหากผู้ประกอบการหรือบริษัทไม่น้อมรับหรือไม่ปฏิบัติตาม อาจส่งผลให้ศาลชั้นสูงมองว่าเอาเปรียบผู้บริโภคและอาจมีคำสั่งลงโทษ โดยเพิ่มค่าเสียหายเชิงลงโทษโดยบริษัทจะต้องจ่ายให้กับผู้บริโภคอีก ซึ่งหลังจากนี้ผู้บริโภคต้องการเห็นความรับผิดชอบของผู้ประกอบการในการเยียวยาแก้ไขความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างจริงจัง” น.ส.จิณณะ ระบุ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top