Sunday, 29 June 2025
ค้นหา พบ 49099 ที่เกี่ยวข้อง

รองโฆษกพท.จี้นายกฯ แสดงภาวะผู้นำ สั่ง 'อนุทิน' เพิกถอนประกาศสธ.กัญชาเสรี

รองโฆษกสาวเพื่อไทย โหน สมาคมแพทย์นิติเวชฯ จี้นายกฯ แสดงภาวะผู้นำสั่ง 'อนุทิน' เพิกถอนประกาศสธ.กัญชาเสรี ที่นำมาใช้เกินเลยจากการแพทย์ หวั่นเด็ก-เยาวชนพลัดหลงเข้าสู่วงจรยาเสพติด

(11 พ.ย. 65) น.ส.ตรีชฎา ศรีธาดา รองโฆษกพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า พรรคเพื่อไทย พรรคร่วมฝ่ายค้านและประชาชน ขอแสดงความขอบคุณ ผศ.นพ.สมิทธิ์ ศรีสนธิ์ นายกสมาคมแพทย์นิติเวชแห่งประเทศไทย ที่ร่วมกันกับพรรคร่วมฝ่ายค้านไปยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลางเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน ขอให้ศาลฯ มีคำสั่งเพิกถอนประกาศกระทรวงสาธารณสุข ลงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565 เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 พ.ศ. 2565 ให้มีผลย้อนหลังไปถึงวันที่มีการออกประกาศฉบับดังกล่าว และให้กัญชาจัดเป็นยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 ตามประกาศ สธ.ลงวันที่ 8 ธันวาคม 2563 ดังเดิม การที่นายกสมาคมแพทย์นิติเวชแห่งประเทศไทย จับมือกับพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมฝ่ายค้านอื่น ๆ ต่อสู้ เพื่อต่อต้านคัดค้านกัญชาเสรีที่มีการนำมาใช้เกินเลยไปจากทางการแพทย์ เป็นสิ่งที่สร้างความถูกต้องให้กับผู้ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดกัญชาเสรีของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข

แก้หนี้กันเถอะ!กับ "มหกรรมร่วมใจแก้หนี้" | NEWS GEN TIMES EP.75

แก้หนี้กันเถอะ!กับ 'มหกรรมร่วมใจแก้หนี้'

ครั้งที่ 1 ผ่านไปแล้วเหลืออีก 4 ครั้ง ใครมีปัญหาหนี้สินรีบไปงานนี้ด่วน

.

NEWS GEN TIMES ชวนคิด กับ กิตติธัช

.

โดย อ.ต้อม - กิตติธัช ชัยประสิทธิ์ นักวิชาการอิสระและอาจารย์ประจำคณะสถาปัตยกรรม ศิลปะและการออกแบบ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง .

เศษซากคณะราษฏร มายาคติแห่งความก้าวหน้า ที่ใช้สถาบันมา ‘ย่ำยี’ สืบทอด ‘ร่างทรง’ จนประเทศชาติยากจะไปต่อ

จริง ๆ เรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องที่เอามาเล่าในช่วงประมาณเดือนมิถุนายนหรือในช่วงใกล้วันรัฐธรรมนูญ แต่เอาเข้าจริง ๆ หยิบมาเล่าทวนความสักหน่อยก็น่าจะดี เรื่องของ ‘คณะราษฎร’ ที่มีหลายกลุ่มหัวก้าวหน้ายึดถือเป็นไอดอล และทำทุกอย่างเพื่อจะสานต่อปณิธานของคนกลุ่มนี้ โดยเฉพาะเรื่องของการล้มล้างระบอบพระมหากษัตริย์และยึดทรัพย์สินของพระองค์มาเป็นของพวกพ้องตัวเองโดยวิธีสร้างเรื่องปลอม ๆ ตลอดเวลา ช่างก้าวหน้าจริง ๆ 

คณะราษฎรเริ่มต้นด้วยกลุ่มนักเรียนหัวนอกรุ่นก่อตั้ง 7 คน ที่กรุงปารีส นำโดยนายปรีดี พนมยงค์ อันนี้หลาย ๆ ท่านคงทราบแล้ว ผสมกับทหารหัวนอกจากเยอรมันนำโดยเชษฐบุรุษ พระยาพหลพลพยุหเสนา และ พระยาทรงสุรเดช ผู้เป็นมันสมองหลักในการจัดการกำลังพล

เขาบอกกันว่าหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ที่เขาว่ามันคือประชาธิปไตย เอาเข้าจริงๆ แล้วมันคือการปกครองแบบคณาธิปไตยที่ใช้การเลือกตั้งแบบปลอม ๆ จัดตั้งขึ้นมา ส่วนอำนาจจริง ๆ อยู่ในกลุ่มบุคคลเพียงไม่กี่คนผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันขึ้นมาใช้

ซึ่งหากไม่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี 2475 ไม่นานสยามก็จะต้องมีรัฐธรรมนูญ และมีการเลือกตั้งเช่นกัน เพราะโลกเปลี่ยนไป ทัศนคติของคนเปลี่ยนไป ซึ่งตามประวัติศาสตร์ที่บันทึกไว้ ก็ชี้ชัดว่าสยามใกล้จะมีรัฐธรรมนูญแล้ว โดยไม่ต้องมีการใช้กำลัง เพียงแต่พวกที่กลัวจะตกขบวนรถไฟ ชิงกระทำการก่อนเพื่อให้พวกตนได้กุมอำนาจ พอได้อำนาจแล้วทำอะไรต่อมาติดตามกัน 

ถ้าไม่มีคณะราษฎร...ประเทศไทยคงไม่ต้องสูญเสียกษัตริย์ ถึง 2 พระองค์... รัชกาลที่ 7 คงไม่ต้องเสด็จฯ ต่างประเทศและสวรรคตที่นั้น และ รัชกาลที่ 8 คงไม่ต้องสวรรคต เพราะการลอบปลงพระชนม์ ที่เกิดจากการแก่งแย่งชิงดีในทางการเมืองของคณะราษฎรและการที่กลุ่มบุคคลที่ไม่แน่ใจว่าจะเรียกอะไรดี เพราะชื่อมันเยอะเหลือเกิน แต่ที่รู้ ๆ บูชาคณาจารย์ที่เรียกกลุ่มว่ากลุ่มนิติราษฎร พยายามใส่ร้าย ร.9 ในกรณีการลอบปลงพระชนม์นั้นก็เพราะต้องการทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์และคืนชีพ ‘คณะราษฎร’ จึงดำเนินการเสี้ยมในทุก ๆ ทาง โดยเฉพาะกรณีการเรียกร้องให้ยกเลิก ม.112 อย่างข้าง ๆ คู ๆ แล้วเรียกหรู ๆ ใหม่ว่า ‘การปฏิรูป’

กลับมาที่หลัง 24 มิถุนายน 2475  ที่คณะราษฎร ยึดอำนาจ (การปกครอง) จากรัชกาลที่ 7 เสร็จแล้วก็พยายามจะตามมายึดพระราชทรัพย์ เพราะเพิ่งรู้ว่ารัฐไทยขณะนั้นยากจน เพราะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก บีบคั้นพระองค์ท่านจนสละราชสมบัติ ในพ.ศ.2477สละราชสมบัติได้เดี๋ยวเดียว รัฐบาลก็รีบหาทางจัดการทรัพย์สินของพระมหากษัตริย์ โดยมุ่งจะยึดเอา ‘พระคลังข้างที่’ 

โดยออกเป็นกฎหมายชื่อว่า ‘พระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พุทธศักราช 2479’ และเริ่มใช้บังคับตั้งแต่ 15 มิถุนายน 2479 เป็นต้นมา พ.ร.บ.ฉบับนี้ ได้แยกทรัพย์สินหรือสิทธิ ออกเป็นสองส่วนคือ ‘ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์’ .. ‘ทรัพย์สินส่วนพระองค์’ และ ‘ทรัพย์สินส่วนสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน’ เอาจริง ๆ ก็ก่อนหน้าปฏิวัติ ในหลวงรัชกาลที่ 5 ท่านแยกไว้แล้วว่าอันไหนทรัพย์ส่วนพระองค์ อันไหนทรัพย์ของแผ่นดิน แต่คณะราษฎรเขาไม่แคร์

หลังจากออก พรบ. นายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งเป็นรัฐมนตรีคลังในขณะก็ตั้งกรรมการขึ้นมาตรวจสอบบัญชีพระคลังข้างที่แล้วพบว่าเงินหายไปหลายรายการ เอาจริง ๆ นะครับ ‘พระคลังข้างที่’ นั่นมันเป็นเงินของพระองค์ พระองค์จะเอาไปใช้ทำอะไรมันก็เรื่องของพระองค์ ซึ่งก็ปรากฏว่า เป็นการไปซื้อประกันภัย และเป็นเงินฝากในต่างประเทศตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5

รัฐบาลของฝ่ายผู้ก่อการได้ยื่นฟ้อง พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นจำเลยที่ 1 และสมเด็จพระนางเจ้า รำไพพรรณี เป็นจำเลยที่ 2 ให้ชดใช้เงินแก่กระทรวงการคลัง เป็นจำนวนทั้งสิ้น 6,272,712 บาท 92 สตางค์และขอให้ศาลยึดทรัพย์ของจำเลยไว้ (วังศุโขทัย) ศาลไม่อนุมัติ รัฐมนตรี ก็สั่งย้ายอธิบดีศาลแพ่งไปเสีย แล้วให้หลวงกาจสงคราม (นายพลตุ่มแดง) นำหมายศาลไปปิดและยึดทรัพย์ในวังศุโขทัย ในที่สุดศาลก็มีคำสั่งให้รัชกาลที่ 7 เป็นฝ่ายแพ้คดี (พิพากษาหลังสวรรคต) รัฐบาลสั่งยึดทรัพย์และขายทอดตลาดวังศุโขทัย แต่ขายไม่ได้ สุดท้าย กระทรวงสาธารณสุขมาเช่าใช้ จน พ.ศ. 2493 แต่สุดท้ายทางการก็ได้ถวายวังศุโขทัยคืนแด่สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีเพื่อเป็นที่ประทับต่อไป

ยังไม่รวมกรณีหลังจากที่นายปรีดีเป็นผู้สำเร็จราชการอีกหลายกรณี จนกระทั่งอำนาจเปลี่ยนมือมาสู่คณะราษฎรสายทหาร จอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งท่านผู้นี้คือไอดอลของเด็กอ้วน 3 นิ้ว อันมีวีรกรรมที่แจกแจงได้อย่างสนุก อย่างแรกคงต้องพุ่งเป้าไปที่การสร้างสัญลักษณ์ของตนเทียมอย่างเจ้า มีคฑาตราไก่ของตนเอง นำรูปของตนและภรรยาขึ้นเป็นรูปเคารพแทนพระมหากษัตริย์ พยายามสร้างตำแหน่งใหม่อย่าง สมเด็จเจ้าพญาชาย สมเด็จเจ้าพญาหญิง ซึ่งเป็นระบบฐานันดรที่คณะพวกเขาบอกว่าไม่ดี แต่ก็ทำซะเอง !!!! 

'เรวดี ศรีท้าว' ชี้!! การให้เกียรติ 'เพลง-ธง' ของชาติอื่น แสดงถึงความเคารพในประวัติศาสตร์ของแต่ละประเทศ

(11 พ.ย. 65) เรวดี ศรีท้าว วัฒนสิน อดีตนักวิ่งทีมชาติไทย โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กในหัวข้อ 'ความศิวิไลซ์ของคนศิวิไลซ์' ระบุว่า...

พี่ผ่านการแข่งขันกรีฑาในนามทีมชาติไทยมาทุกระดับตั้งแต่ซีเกมส์ เอเชี่ยนเกมส์ ชิงแชมป์เอเชีย ชิงแชมป์โลกและโอลิมปิก ที่มีประเทศที่เข้าร่วมการแข่งขันจากทั่วโลก ทุกประเทศ ทุกทวีป ไม่ว่าจะยุคใด การยืนตรงแสดงความเคารพธงชาติของประเทศ ที่ขึ้นแป้นรับเหรียญ ในทุกสนามการแข่งขัน ไม่ว่าจะในระดับโลก ระดับเอเชีย ระดับอาเซียน เมื่อเสียงเพลงชาติดัง ทุกคนในสนาม คนดูทุกคนที่นั่งบนอัฒจรรย์ นักกีฬาที่อยู่ในสนามทุกคนจะหยุดและยืนตรง เมื่อเสียงเพลงชาติดังขึ้นไม่ว่าจะใช่เพลงชาติของตนหรือไม่ 

#ขอย้ำว่าทุกคนในสนามคนดูหลักหมื่นหลักแสนในสนามบนอัฒจรรย์ทุกคนจะยืนตรงเคารพเพลงชาติของประเทศอื่นทุกคน นั่นคือการแสดงการให้เกียรติ การแสดงความเคารพในประวัติศาสตร์ของแต่ละประเทศ ถึงแม้จะไม่รู้จักไม่เข้าใจเนื้อเพลงนั้นเลยก็ตาม ทุกคนจะยืนตรงให้ความเคารพ ทุกประเทศโดยไม่แบ่งแยกว่าใครเป็นประชาธิปไตยใครเป็นคอมมิวนิสต์ ประเทศไหนรวย ประเทศไหนจน ประเทศไหนเจริญ ประเทศไหนด้อยความเจริญ

‘บิ๊กป้อม’ ร่วมงานสัมมนาพรรคพลังประชารัฐ ฝาก ‘ส.ส. - ว่าที่ผู้สมัครฯ’ จับมือกันสู้ศึกเลือกตั้ง

เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ (11 พ.ย. 65) ที่รร.รามาการ์เด้นส์ กรุงเทพฯ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จัดกิจกรรมสัมมนาส.ส. และว่าที่ผู้สมัครส.ส.ภายใต้ชื่องาน พลังประชารัฐ พลังคนสร้างชาติ ‘เพราะมีคุณ จึงมีพรรค’ โดยมีแกนนำ ส.ส. 80 คน และว่าที่ผู้สมัครส.ส. ร่วมงาน อาทิ นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ในฐานะเลขาธิการพรรค นางนฤมลภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิก นายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรค นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรค นายนิโรธ สุนทรเลขา ส.ส.นครสวรรค์ ประธานวิปรัฐบาล ทั้งนี้เป็นที่น่าสังเกตว่าแกนนำระดับรัฐมนตรีพรรค ร่วมงานบางตา ขณะที่นายอันวาร์ สาและ ส.ส.ปัตตานี พรรคประชาธิปัตย์ ร่วมสังเกตการณ์

โดยกิจกรรมช่วงเช้า ได้บรรยายเรื่องการสร้างภาพลักษณ์และพัฒนาบุคลิกภาพ และฝึกพัฒนาบุคลิกภาพ จากวิทยากรด้านการสื่อสารที่มีประสบการณ์ 

จากนั้นในช่วงบ่ายจะมีการบรรยายเกี่ยวกับกฎหมายการเลือกตั้ง หัวข้อ ‘ได้ใจชาวบ้านโดยไม่ผิดกฎหมายเลือกตั้ง’ และ ‘หาเสียงอย่างไรให้ถูกกฎหมาย’ โดยสำนักงานคณะกรรมการสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และทำแบบทดสอบ และกิจกรรมระดมความคิดเห็น และกิจกรรม TikTok ในการสื่อสารประเด็นข่าวในสังคมออนไลน์ จะสามารถช่วยเหลือประชาชนได้อย่างไรโดยไม่ผิดกฎหมาย และปิดท้ายด้วยกิจกรรมสันทนาการจับกลุ่ม สานสัมพันธ์ผู้สมัคร ส.ส.ขณะที่วันที่ 12 พ.ย. 65 จะมีการบรรยายการใช้สื่อสังคมออนไลน์และสรุปการสัมมนาปิดท้ายกิจกรรม

จากนั้นเวลา 14.00 น. พล.อ.ประวิตร เดินทางมาพบปะกับส.ส.และว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. บรรยากาศเป็นไปอย่างชื่นมื่นโดยพล.อ.ประวิตร กล่าวแนะนำนายสัญญา สถิรบุตร ในฐานะที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค ให้สมาชิกพรรครับทราบ โดยระบุว่าเป็นบุคคลสำคัญ ที่จะมาช่วยเหลือพรรค โดยไม่ได้หวังตำแหน่งอะไร จากนั้นพล.อ.ประวิตร กล่าวกับส.ส.ว่า ก่อนที่จะให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) พูดขอเวลาพูดกับสมาชิกทุกคนทั้งใหม่และเก่าที่มาเยอะแยะ ที่จะเสวนาเรื่องต่าง ๆ ของพรรค และรับฟังกกต. 

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เห็นมาร่วมงานอย่างนี้แล้วดีใจที่พรรคจะเข้มแข็งต่อไปในอนาคต การที่พรรคจะเข้มแข็งเพราะเราทุกคนช่วยกัน ไม่มีใครคนใดคนหนึ่งจะนำพาพรรคไปได้คนเดียวเป็นไปไม่ได้ ทุกคนต้องร่วมมือกันช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ข้ามความขัดแย้งทั้งหมด และขอต้อนรับสมาชิกพรรคที่อยู่กับเราเพื่อจะรับการเลือกตั้งในต้นปีหน้า ที่ผ่านมาพรรคพปชร.ร่วมมือร่วมใจกันทำให้เป็นสถาบันการเมืองที่มั่งคง มั่งคั่ง สร้างประโยชน์ให้ประชาชน ตลอดเวลาที่ผ่านมา พรรคพปชร.เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และตลอดเวลา 3 ปีที่ผ่านมาผ่านวิกฤตและอุปสรรคไปได้ด้วยดี ด้วยความสามารถของรัฐมนตรี และพรรคการเมืองทั้ง 3-4 พรรคที่ช่วยจัดตั้งรัฐบาล ก็ผ่านไปได้ และจะสร้างพรรคพปชร.ให้แข็งแรงยิ่งขึ้นต่อไป โดยตนได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรค จากสมาชิก ไม่ว่าจะสมัครใจหรือไม่สมัครใจก็ตาม มาถึงช่วงนี้สมาชิกพากันปรบมือชอบใจ ทำให้พล.อ.ประวิตร เอ่ยแซวว่า ปรบมือนี่อาจจะไม่เห็นด้วยก็ได้ตนได้รับเลือกและตระหนักอยู่เสมอว่าเมื่อส.ส.วางใจ ตนก็วางใจส.ส.ว่าจะไปด้วยกันด้วยความเป็นหนึ่งเดียวของพรรค จึงตั้งใจมุ่งมั่นทำงานเสริมสร้างความเข้มแข็งให้พรรคเต็มที่เท่าที่ทำได้ ย้ำว่าทุกคนต้องร่วมมือกัน เพราะพรรคไม่ได้อยู่คนเดียวโดดเดี่ยว แต่เราร่วมกันและข้ามความขัดแย้งทั้งหมด


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top