Tuesday, 29 April 2025
ค้นหา พบ 47725 ที่เกี่ยวข้อง

โอบาม่า-บุช-คลินตัน พร้อมฉีดวัคซีน Covid-19 การันตีความปลอดภัย

3 อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ “บารัค โอบาม่า”, “จอร์จ บุช” และ “บิล คลินตัน” พร้อมที่จะฉีดวัคซีน Covid-19 โชว์ออกโทรทัศน์ เพื่อโปรโมทการฉีดวัคซีนให้กับประชาชน และยังเป็นการรับประกันความปลอดภัย ไร้กังวล สำหรับชาวสหรัฐที่ยังไม่มั่นใจที่จะรับวัคซีน

จากสถานการณ์ Covid-19 ล่าสุดในสหรัฐอเมริกา ผู้ติดเชื้อยังพุ่งต่อเนื่อง ยอดผู้ติดเชื้อรายวันแตะที่ระดับ 2 แสนคนต่อวัน และมีผู้ติดเชื้อสะสมทะลุ 14 ล้านคนไปเรียบร้อยแล้ว

ที่น่าตกใจยิ่งกว่ายอดผู้ติดเชื้อ ก็คือยอดผู้เสียชีวิต ที่มีรายงานว่ายอดผู้เสียชีวิตในวันพุธที่ 2 ธันวาคม พ.ศ.2563 ที่ผ่านมา สูงถึง 3,157 คน เป็นยอดที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ที่สหรัฐเจอวิกฤติ Covid-19 ทำให้ตอนนี้สหรัฐมีผู้เสียชีวิตจาก Covid-19 ไปแล้วมากกว่า 270,000 คน

ผู้เชี่ยวชาญของสหรัฐคาดการณ์ว่า หากยอดผู้ติดเชื้อยังคงพุ่งสูงเช่นนี้ อาจทำให้สหรัฐมีผู้เสียชีวิตมากถึง 450,000 คนภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2021 หากเป็นเช่นนั้นจริง จะทำให้ยอดผู้เสียชีวิตจาก Covid-19 ในสหรัฐสูงกว่ายอดผู้ที่เสียชีวิตในช่วงสงครามกลางเมืองสหรัฐถึง 2 เท่า

แต่ถึงจะมียอดผู้ติดเชื้อ และเสียชีวิตสูงมากแค่ไหนก็ตาม กลับมีชาวสหรัฐเป็นจำนวนมากที่จะไม่ยอมฉีดวัคซีนแม้รัฐบาลจะให้ฉีดฟรีก็เถอะ

จากผลโพลล่าสุดที่จัดทำโดยสำนักวิจัย Gallup พบว่ามีชาวอเมริกันถึง 42% ในกลุ่มสำรวจ ยังคงยืนยันว่าจะไม่ฉีดวัคซีนอย่างแน่นอน แม้ว่าจะฉีดฟรี เพราะไม่เชื่อมั่นในความปลอดภัย อีกทั้งในสหรัฐมีกลุ่มต่อต้านการฉีดวัคซีน และกลุ่มที่เชื่อทฤษฎีสมคบคิด QAnon ที่เชื่อว่าการฉีดวัคซีนมีจุดประสงค์แอบแฝงอื่น

อดีตประธานาธิบดี บารัค โอบาม่า ได้ให้สัมภาษณ์กับรายการ SiriusXM โดยผู้ประกาศข่าวโจ แมดิสัน ว่า หาก ดร. แอนโธนี ฟาวซี หัวหน้าศูนย์ Covid-19 แห่งสหรัฐยืนยันว่าวัคซีนไหนปลอดภัย เขาก็พร้อมที่จะฉีดวัคซีนออกสื่อเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้คนอเมริกัน

หลังจากนั้นไม่นาน โฆษกประจำตัวของอดีตประธานาธิบดีจอร์จ บุช และ บิล คลินตัน ก็ออกมาบอกว่า ทั้งบุช และ คลินตัน ก็พร้อมที่จะฉีดวัคซีนออกสื่อเหมือนกัน เพื่อให้ชาวอเมริกันที่ยังระแวง เปิดใจรับวัคซีน จะได้ยับยั้งการแพร่ระบาดของ Covid-19 ในสหรัฐได้เสียที

แต่ว่าประธานาธิบดีคนปัจจุบัน ณ เวลานี้อย่าง โดนัลด์ ทรัมพ์ ยังคงเก็บตัวเงียบ ไม่พูดถึงเรื่องปัญหา Covid-19 แต่อย่างใด

และในสัปดาห์หน้า องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐจะประชุมกันเพื่อลงมติอนุมัติวัคซีน Covid-19 ล็อตแรกของบริษัท Pfizer และ BioNTech แล้ว

ด้วยปริมาณวัคซีนที่สั่งจอง และพร้อมผลิต ก็มีพอที่จะทยอยฉีดให้ประชาชนทั่วไปได้ในปีหน้า เรื่องงบไม่มีปัญหา กลัวเพียงแต่ว่า คนอเมริกันไม่ยอมมาฉีด

แต่หากให้พรีเซนเตอร์แม่เหล็กอย่าง โอบาม่า – บุช - คลินตัน ออกมาฉีดวัคซีนโชว์ออกสื่อ ก็น่าจะสร้างแรงจูงใจให้คนอเมริกันยอมมารับวัคซีนกันไม่น้อย แต่สุดท้ายก็คงเป็นสิทธิ์ของคนอเมริกันว่าจะสมัครใจฉีดวัคซีนกันหรือเปล่า หรืออาจสละสิทธิ์ก่อนเพื่อขอดูผลข้างเคียงจากกลุ่มคนที่ได้รับวัคซีนล็อตแรกไปก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ ดังนั้นสงครามต่อสู้กับเจ้าเชื้อ Covid-19 ก็ยังไม่จบง่าย ๆ แน่นอน


แหล่งข่าว

https://www.theguardian.com/us-news/2020/dec/03/obama-clinton-bush-covid-vaccine-safety

https://www.theguardian.com/world/2020/dec/03/us-logs-a-record-3157-coronavirus-deaths-in-one-day

https://news.gallup.com/poll/325208/americans-willing-covid-vaccine.aspx

เสี่ยหนู ของขึ้น! ติงผู้ติดเชื้อใหม่ ไร้ความรับผิดชอบ

ดูท่าว่า เสี่ยหนู - อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและกรรมการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) จะของขึ้นหนัก!!

หลังคนไทยบางกลุ่ม กำลังจะเป็นชนวนการแพร่กระจายเชื้อโควิด-19 ระลอกใหม่ในไทยอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง (Super Spread) ทั้ง ๆ ที่สถานการณ์การควบคุมการแพร่ระบาดในไทยก่อนหน้านี้กำลังไปได้สวย และภาคเศรษฐกิจก็พร้อมขยับเดินหน้าเต็มตัว

"คนละครึ่ง" งานดี!! ดัน "ดัชนี" ดีดตัว

นาทีนี้ "โครงการคนละครึ่ง" กลายเป็นพระเอกสร้างชื่อให้กับรัฐบาล สร้างผลงานดี จนส่งผลให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยกันมาก หมุนวนจนระบบเศรษฐกิจเริ่มขยับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น

ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยว่า "แต้มบุญของโครงการคนละครึ่ง ทำให้เกษตรกรได้หายใจหายคอกันบ้าง เนื่องจากโครงการนี้มีส่วนช่วยกระตุ้นราคาพืชผลทางการเกษตรดีขึ้นหลายรายการ โดยเฉพาะข้าว ยางพารา ปาล์มน้ำมันและปศุสัตว์ สร้างกำลังซื้อในหลายจังหวัดให้ดีดตัวขึ้นไปตาม ๆ กัน"

แรงบวกของโครงการดังกล่าวสะท้อนไปสู่ตัวชี้วัดด้านต่าง ๆ ของประเทศที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะ "ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค" เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2563 ที่สำรวจจากประชาชน 2,241 คน ทั่วประเทศ ซึ่ง "ดีดตัว" ขึ้นทุกรายการเป็นเดือนที่ 2 และถือเป็นการดีดตัวสูงสุดในรอบ 9 เดือน นับตั้งแต่เดือนมีนาคม พ.ศ.2563 เป็นสัญญาณดีที่เศรษฐกิจไทยค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นมาบ้าง

ธนวรรธน์ กล่าวถึงดัชนี้ในส่วนอื่น ๆ อีกว่า…

- ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมก่อนหน้า คือ 43.9 ดีดขึ้นเป็น 45.6 ในเดือนตุลาคม พ.ศ.2563

- ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสในการหางานก่อนหน้านี้อยู่ที่ 49.0 เพิ่มขึ้นเป็น 50.0

- ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตจาก 59.9 ดีดมาอยู่ที่ 61.6 ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนมาถึง "ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค" ที่เคยอยู่ที่ 50.9 ดีดตัวเพิ่มขึ้นมาที่ 52.4

- คิดเป็นดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปัจจุบันจาก 35.1 ขึ้นมาอยู่ที่ 36.3

- และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในอนาคตจาก 58.5 ขึ้นมาที่ 60.1

ถึงกระนั้น ก็ไม่ใช่ดัชนีทุกรายการที่จะขึ้นทั้งหมด โดยเฉพาะในส่วนของดัชนีความเห็นทางการเมืองนั้นกลับอยู่ที่ 23.0 ซึ่งต่ำสุดในรอบ 14 ปี 3 เดือน เห็นได้ชัดเลยว่าผู้บริโภคมองการเมืองขาดเสถียรภาพอยู่มาก

อย่างไรเสีย แม้ดัชนีจะดีดตัวขึ้นในทุกรายการก็ตาม แต่ก็ยังต่ำกว่าระดับปกติที่อยู่ในระดับ 100 ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคยังมองเศรษฐกิจในมุมลบจากปัญหาการเมืองในประเทศ และวิกฤต โควิด-19 ทั่วโลกอยู่

ปี 2020 World so heat!

ปี 2020 ไม่ใช่จะมีแค่ โควิด-19 ที่เป็นเรื่องหนักหนา แต่โลกของเรายังมีความร้อนระอุมากขึ้นกว่าเดิม โดยมีรายงานจากองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก ว่าด้วยสภาพภูมิอากาศโลกปี 2020 (States of the Global Climate in 2020) ระบุว่า ความร้อนของมหาสมุทรอยู่ในระดับสูงมากเป็นประวัติการณ์ นอกจากนี้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนตุลาคม ยังสูงกว่าอุณหภูมิเฉลี่ยช่วงปีค.ศ.1850 - ค.ศ.1900 อยู่ที่ราว ๆ 1.2 องศาเซลเซียสอีกด้วย จุดนี้เองที่ส่งผลให้ปี 2020 มีแนวโน้มว่าจะเป็นปีที่มีความร้อนสูงสุดติด 1 ใน 3 ปีที่เคยบันทึกเอาไว้

.

ยังมีรายงานเพิ่มเติมอีกว่า ในช่วงที่แทบทั้งโลกต้องล็อกดาวน์ปิดประเทศเพื่อป้องกันโควิด-19 แทนที่การก่อตัวของมลภาวะต่าง ๆ จะลดลง เพราะทุกอย่างหยุดชะงัก แถมทุกคนต้องเก็บตัวอยู่กับบ้าน แต่กลายเป็นว่า ความเข้มข้นของก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศ กลับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้อุณหภูมิโลกร้อนขึ้นไปอีกหลายชั่วอายุคนเลยทีเดียว

แน่นอนว่า เมื่อโลกร้อนขึ้นอีกเช่นนี้ เหล่าภัยธรรมชาติต่าง ๆ ก็จะเกิดขึ้นเป็นผลของกันและกัน ปีนี้ทั้งปี เฉพาะในอเมริกา เกิดภัยพิบัติทั้งพายุเฮอริเคน Eta และ Iota หรือในแอฟริกาใต้และเอเชียตะวันออกฉียงใต้ ก็เกิดน้ำท่วมฉับพลันขึ้นหลายๆ แห่ง ทั้งหมดเป็นผลพวงของสภาวะที่โลกเปลี่ยนแปลงไปนั่นเอง 

หลายคนภาวนาให้ปี 2020 นี้ผ่านไปเร็ว ๆ เพื่อจะได้พบกับปีใหม่ที่ดีกว่า แต่เอาเข้าจริง ไม่ว่าจะปีนี้ หรือปีไหน โลกจะดีขึ้นได้ มันอยู่ที่พวกเรานี่ล่ะ ถึงเวลาที่ต้องร่วมมือกันอย่างจริงจังเสียที


อ้างอิง

: https://www.xinhuathai.com/inter/158054_20201203

ภาพจาก

https://www.insurancejournal.com/news/international/2015/02/27/358802.htm

การแฉกลับของ "ดร.นิว" เมื่อ 80% IO ม็อบ...ขั้วสำเนา เฝ้าอยู่นอก

ต้องยอมรับ โซเชียลมีเดีย เป็นช่องทางสำคัญในการหาแนวร่วมทางการเมือง เพราะสามารถส่งข้อมูลถึงกลุ่มเป้าหมายได้รวดเร็วและตรงตามจุดมุ่งหมายที่อยากนำเสนอ ทั้งการปลุกระดม และการแชร์ข้อมูล ทั้งที่เป็นประโยชน์ต่อฝั่งตัวเอง และให้ร้ายกับฝ่ายตรงข้าม

ก่อนหน้านี้ เรามักจะได้ยินข่าวว่า ทางฝั่งทหารใช้ปฏิบัติการไอโอ "IO" (Information Operation) เพื่อสร้างข้อมูลข่าวสารที่น่าเชื่อถือให้กับฝั่งรัฐบาล และคอยตอบโต้ฝั่งตรงข้าม

คนที่ออกมาให้ข่าวเรื่อง IO อย่างสุดลิ่มทิ่มประตูอย่างต่อเนื่อง ก็คือ "ช่อ" (พรรณิการ์ วานิช) กรรมการบริหารคณะก้าวหน้าที่พยายามขยี้เรื่องนี้แบบถี่ว่าฝั่งรัฐบาลใช้วิชามาร ทำลายความน่าเชื่อถือกลุ่มคณะราษฎร หรือม็อบ 3 นิ้ว และผู้เห็นต่างจากรัฐบาล

แต่ในขณะ "ช่อ" ออกมาเขย่าเรื่องนี้ ก็เหมือนจะถูกสังคมรื้อประวัติทางฝั่งตนที่เคยใช้สื่อโซเชี่ยลมีเดีย และ IO ปั่นกระแสช่วงเลือกตั้งปี 2562 จนได้เสียงสนับสนุนจากคนรุ่นใหม่อย่างถล่มทลาย

กระทั่งมาถึงม็อบ 3 นิ้ว ก็ยังคงมีเคลื่อนไหวของรูปแบบ IO ผ่านแอคเคาน์ทวิทเตอร์เยาวชนปลดแอก (@FreeYOUTHth) อย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากสังเกตให้ดีช่วงที่ผ่านมา จะเห็นวิธีการสร้างแแฮชแท็กให้ติดเทรนด์เป็นกระแสบนทวิตเตอร์อย่างรวดเร็ว ผ่านการแชร์หรือรีทวิตของผู้ใช้งานจำนวนมาก ๆ เพื่อให้คนส่วนใหญ่คล้อยตามและเห็นด้วย

อย่างไรก็ตามเรื่องนี้อาจจะไม่ได้มีใครออกมาแฉกันจะ ๆ แต่เมื่อยุทธการปั่นประสาทคนในเชื่อว่ารัฐใช้ IO ไม่เลิกยังมีภาคต่อ ก็เลยเกิดการแฉพฤติกรรม IO ของขั้วตรงข้ามรัฐบาลอย่างกลุ่มม็อบ 3 นิ้วให้หนาว ๆ ร้อน ๆ

โดยล่าสุดเฟซบุ๊ก "Suphanat Aphinyan" ของ "ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ" หรือ "ดร.นิว" นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และคณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas สหรัฐอเมริกา ได้ออกมาโพสต์ข้อความที่น่าสนใจระบุว่า การรีทวิต ของ "เยาวชนปลดแอก" พบว่า เกือบ 80% มาจากนอกประเทศ

ดร.นิว ให้ลองสังเกตแบบผิวเผิน คือ ในทุกๆ ครั้งที่ @FreeYOUTHth ใช้งานทวิตเตอร์จะมีการรีทวิต ภายใต้แฮชแท็กเดียวกันซ้ำ ๆ เพื่อให้แฮชแท็กที่ต้องการสามารถติดเทรนด์ขึ้นเป็นกระแสบนทวิตเตอร์ในปริมาณมากอย่างรวดเร็ว

แต่ถ้าสังเกตแบบเชิงลึกจะพบว่า @FreeYOUTHth มีขบวนการ Retweet ที่ไม่ได้เกิดจากฝีมือของมนุษย์โดยตรง แต่เป็นการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ หรือ "บอท" มาทำ IO แทน ซึ่งเกิดจากการเขียนโปรแกรม ให้มีอัลกอริทึมสั่งการให้ระบบคลาวด์ หรือ ระบบประมวลผลคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ ทำการรีทวิตแทนมนุษย์ เพื่อปั่นกระแสและชี้นำทางความคิดเชิงปริมาณ ผ่านยอดของการปั่นแฮชแท็กในทวิตเตอร์ ที่สร้างขึ้นอย่างบิดเบือน

คนไทยที่รู้ไม่เท่าทันจำนวนหนึ่ง จึงหลงเชื่อตกเหยื่อของการหลอกใช้ทางการเมืองได้ง่าย โดย ดร.นิว เผยว่า 76.69% ของการรีทวิตเกิดขึ้นภายนอกประเทศ ในขณะที่เพียง 23.31% เท่านั้นที่เกิดขึ้นจากการปั่นกระแสภายในประเทศ

ประชาชนอย่างเรา ๆ เฝ้ามองดูเรื่องราวเหล่านี้ ก็อย่าไปอินมันมาก เพราะมันก็เป็นเพียงแค่กลยุทธ์การแข่งขันทางการเมือง ที่ไม่ว่าจะกลุ่มใด ต่างก็พยายามช่วงชิงพื้นที่กลุ่มเป้าหมายมาสู่ฟากตนเท่านั้น

ฉะนั้นประชาชนแบบเรา ๆ ต้องสร้างภูมิคุ้มกันทางความคิดด้วยตัวเอง รู้ต้องรู้ให้หมด ฟังต้องฟังให้รอบ ถ้ากระแดะยึดเรื่องที่ติดหัว แล้วร้องปาว ๆ ว่าฉันฉลาด ฉันรู้ คุณก็แค่เหยื่อโง่ ๆ ที่ตกเป็นทาสกลยุทธ์ให้ชักใยไปเพลิน

ผลสุดท้าย คนคุมเกม จะชนะหรือแพ้ ก็แค่จากไปเมื่อเกมจบ ส่วนคนลงไปเล่น หรือถูกบังคับให้ลงไปเล่น ก็ได้มายาคติฝังหัว แบบยากจะแงะออก เชื่อแล้ว เชื่อเลย ใครคิดต่างก็เป็นไอ้โง่ สังคมเกิดความแตกแยกจนต่อไม่ติด แหม่ ๆ จะว่าไปแล้วเทคนิคเหล่านี้ (IO) มันก็เข้าหลักทางการตลาดแบบไวรัลมาร์เก็ตติ้งพอดีเป๊ะ

...เล่ห์การเมืองสมัยนี้ #ช่างร้ายกาจนักนะ

 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top