Sunday, 6 July 2025
ค้นหา พบ 49226 ที่เกี่ยวข้อง

การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย เผย รถไฟฟ้า MRT พร้อมรับผู้โดยสารใช้สิทธิโครงการ ‘เราชนะ’ ได้ตั้งแต่ 5 ก.พ. - 31 พ.ค.

การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ร่วมกับ บมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM) พร้อมสนับสนุนนโยบายของรัฐบาล โดยได้เตรียมพร้อมรองรับการใช้สิทธิ์ในโครงการ “เราชนะ” ออกเหรียญโดยสาร (Token) เพื่อเดินทางในระบบรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล (MRT สายสีน้ำเงิน) และรถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรม (MRT สายสีม่วง) ได้ทุกสถานี ตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ – 31 พฤษภาคม 2564

ผู้ได้รับสิทธิในโครงการฯ แบ่งเป็น กลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และกลุ่มผู้ได้รับสิทธิ์ผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ดังนี้

กลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ สามารถใช้สิทธิสนับสนุนค่าเดินทางจากภาครัฐได้ทั้ง 2 กรณี

กรณีที่ 1 ใช้สิทธิค่าเดินทางของบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในวงเงิน 500 บาทต่อเดือน โดยผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีสัญลักษณ์ “แมงมุม” บนหลังบัตร สามารถใช้แตะที่ประตูจัดเก็บค่าโดยสารอัตโนมัติเพื่อเดินทางได้ทันที ส่วนผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีสัญลักษณ์ “Prompt Card” ต้องนำบัตรมาออกเหรียญโดยสารที่ห้องออกบัตรโดยสาร

กรณีที่ 2 ใช้สิทธิในโครงการ “เราชนะ” ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐนำบัตรมาออกเหรียญโดยสารที่ห้องออกบัตรโดยสาร ซึ่งระบบจะตัดเงินจากโครงการฯ ทั้งนี้ ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐสามารถเริ่มใช้สิทธิ์ในโครงการ “เราชนะ” ได้ตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ - 31 พฤษภาคม 2564

กลุ่มผู้ได้รับสิทธิในโครงการ “เราชนะ” ผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง (G-Wallet) สามารถมาติดต่อออกเหรียญโดยสารได้ที่ห้องออกบัตรโดยสารทุกสถานี โดยระบบจะตัดเงินจากโครงการ “เราชนะ” ผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง ซึ่งจะเริ่มใช้สิทธิ์ในโครงการฯ ได้ตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์-31 พฤษภาคม 2564

ผู้ได้รับสิทธิในโครงการ “เราชนะ” สามารถออกเหรียญโดยสารประเภทบุคคลทั่วไป โดยคิดอัตราค่าโดยสารตามระยะทาง ได้ที่ห้องออกบัตรโดยสารรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน และสายสีม่วง ทุกสถานี ระหว่างเวลา 06.00-23.00 น.

และหากผู้ใช้สิทธิออกเหรียญโดยสารแล้ว จะไม่สามารถนำเหรียญโดยสารเปลี่ยนหรือคืนได้ทุกกรณี ทั้งนี้ สิทธิในโครงการฯ ไม่สามารถใช้ออกเหรียญโดยสารประเภทเด็ก/ผู้สูงอายุ และไม่สามารถใช้เติมเงิน เติมเที่ยวโดยสาร ชำระค่าที่จอดรถ หรือชำระค่าธรรมเนียมต่างๆ ของรถไฟฟ้า MRT ได้

‘ดร.อานนท์’ ไขปม 6 ประเด็นบิดเบือน ‘ธนาธร – ปิยบุตร’ หลังใส่ความสถาบันไม่เลิก เหตุวัคซีน AstraZeneca ถึงไทยล่าช้า

‘ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์’ ดีกรี ด็อกเตอร์ ด้าน Psychometrics and Quantitative Psychology จากมหาวิทยาลัยฟอร์ดแฮม สหรัฐอเมริกา ปัจจุบัน เป็นอาจารย์ประจำสาขาวิชา Business Analytics and Intelligence และ Actuarial Science and Risk Management คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ได้โพสต์เฟซบุ๊ก Arnond Sakworawich

‘ธนาธร’ และ ‘ปิยบุตร’ กล่าวหาว่าในหลวงต้องรับผิดชอบหากวัคซีนโควิด-19 ล่าช้า ไม่เพียงพอ หรือมี Adverse Event

แต่ในความเป็นจริงไม่ได้เกี่ยวอะไรกับในหลวงเลย

1.) รัฐบาลไทยโดยสถาบันวัคซีนแห่งชาติซื้อวัคซีนจาก AstraZeneca

2.) Siambioscience แค่รับจ้างผลิต และรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีแบบ in kind คือไม่มีค่าใช้จ่าย จาก AstraZeneca และ Oxford โดยมีเงื่อนไขว่าจะไม่ได้กำไรจากการผลิตวัคซีน

3.) การควบคุมคุณภาพอยู่ที่ AstraZeneca ดังนั้นเรื่อง adverse event อันอาจจะเกิดขึ้นตามปกติ เช่น การแพ้วัคซีน ไม่ได้เกี่ยวกับ Siambiosicence แต่อย่างใด

4.) คำสั่งซื้อมาจากสถาบันวัคซีนแห่งชาติ หากจะเพียงพอหรือไม่เพียงพอ ล่าช้าหรือไม่ล่าช้า ก็ตามเป็นความรับผิดชอบของสถาบันวัคซีนแห่งชาติและ AstraZeneca ไม่ได้เกี่ยวกับ Siambioscience และไม่ได้เกี่ยวกับในหลวงแต่อย่างใด

5.) เงินที่ SCG และรัฐบาลให้มาปรับปรุงเครื่องจักรและกำลังการผลิต Siambioscience ก็นำไปซื้อวัคซีนจาก AstraZeneca ส่งมอบให้รัฐบาลคือสถาบันวัคซีนแห่งชาติต่อไป ไม่ได้ได้มาฟรีๆ แต่อย่างใด

6.) ในฐานะนิติบุคคลของ Siambioscience ผู้ที่มีความรับผิดคือกรรมการผู้จัดการใหญ่ ตามกฎหมาย หาได้เป็นความรับผิดของผู้ถือหุ้นในพระปรมาภิไธยก็หาไม่ อันนี้เป็นหลักของกฎหมายหุ้นส่วนบริษัทที่ใครที่ทำธุรกิจหรือเรียนกฎหมายมาบ้างก็ต้องรู้อยู่แล้ว ทำไมมันโง่ ไม่รู้เรื่องอะไรเลยถึงเพียงนี้

รายละเอียดอื่น ๆ แสดงในแผนภาพที่ผมวาดด้านล่างนี้

ไม่รู้มันจะพยายามโยงบ้าโยงบอเพื่อด้อยค่าสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่ยอมเลิกสักที คงต้องให้มันติดคุก ถึงจะเลิก

#ให้มันติดคุกที่รุ่นเรา


ที่มา: https://www.facebook.com/784302727/posts/10159241688227728/

‘เอ็มบีเค เซ็นเตอร์’ หรือ ที่คนไทยเรียกติดปากว่า ‘มาบุญครอง’ จะกลับมาคึกคักอีกครั้ง หลังจากหนึ่งในแผนการรีโนเวตศูนย์การค้าครั้งใหม่ในรอบ 36 ปีนั้น มีชื่อของ ‘ดองกิ’ ราชาแห่งร้านดิสเคาน์สโตร์จากญี่ปุ่นติดเข้ามาอยู่ในโผด้วย

นายสมพล ตรีภพนารถ กรรมการผู้จัดการธุรกิจศูนย์การค้า บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทได้ทำการรีโนเวตครั้งใหญ่ในรอบ 36 ปี โดยมีการปรับเปลี่ยน จัดโซนนิ่งและพื้นที่ภายในใหม่ เพื่อให้ง่ายและสะดวกต่อการเดินช็อปปิ้ง รองรับความต้องการได้อย่างตรงจุด หลังจากห้างสรรพสินค้าโตคิวได้ปิดตัวลง

สำหรับการรีโนเวตพื้นที่บางส่วนภายในศูนย์ฯ จัดวางผังร้านค้าใหม่ เพิ่มเติมร้านค้าและบริการใหม่ๆ เพื่อรองรับกับความต้องการของกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ ทั้งวัยทำงาน นักเรียน นักศึกษา และ กลุ่มครอบครัว

โดยแบ่งพื้นที่แต่ละชั้น ดังนี้

• ชั้น 1 จับมือกับเครือสหพัฒน์ทั้งในส่วนของไอ.ซี.ซี ,โอ.ซี.ซี. และร้านซูรูฮะ

• ชั้น 2 เปิดตัวร้านดองกิ (DON DON DONKI) สาขาแฟล็กชิฟสโตร์ที่ใหญ่ที่สุดในไทย เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมงและเน้นบริการสินค้าในกลุ่มอาหารเป็นหลัก

• ชั้น 3 อยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรยักษ์ใหญ่ในการเช่าพื้นที่

• ชั้น 4 เป็นโซนสินค้าไอทีทั้งหมด

ทั้งนี้ศูนย์การค้าเอ็มบีเค มีแผนเปิดตัวการรีโนเวตอย่างเป็นทางการในช่วงไตรมาส 3 นี้ ให้ได้อย่างน้อย 80% และจะเปิดได้เต็ม 100% ในช่วงปลายปี เพื่อรองรับกับความต้องการของกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ ทั้งวัยทำงาน นักเรียน นักศึกษา และ กลุ่มครอบครัว ซึ่งปัจจุบันมีผู้มาใช้บริการราว 2-3 หมื่นคนต่อวัน โดยคาดการณ์ว่า ในช่วงไตรมาส 3 หลังวัคซีนโควิด-19 เริ่มถูกนำมาใช้ น่าจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการในศูนย์ได้อีกครั้ง

สำหรับไฮไลท์ของการรีโนเวต เอ็มบีเค ในครั้งนี้ เชื่อว่าน่าจะอยู่ที่การเปิดตัวร้านดองกิ สาขาแฟล็กชิฟสโตร์ที่ใหญ่ที่สุดในไทย ต่อจากทองหล่อ และ The Market ราชดำริ เพราะจะเป็นจิ๊กซอว์เติมเต็มการจากหายไปของโตคิวได้ด้วย

...ว่าแต่ทำไม เอ็มบีเค ถึงสนใจในตัว ‘ดองกิ’

‘ดองกิ’ หรือ ‘DON DON DONKI’ (ชื่อในไทย) ถือเป็นดิสเคาน์สโตร์ที่คนไทยที่ชอบไปเที่ยวญี่ปุ่นคุ้นเคยเป็นอย่างดีอยู่แล้ว หรือเรียกว่าเป็นร้านที่ใครไปญี่ปุ่น ก็ต้องแวะ โดยชูคอนเซ็ปต์ ‘ร้านค้าที่ขายเฉพาะแบรนด์ญี่ปุ่น’ ที่ตั้งใจเจาะกลุ่มคนญี่ปุ่นที่อาศัยในไทย คนไทยและนักท่องเที่ยว

ฉะนั้นการที่ ดองกิ มาเปิดในไทย และรวมถึงมาเปิดใหม่ในเอ็มบีเค จึงเป็นการตอบโจทย์กลุ่มนักท่องเที่ยวไทยที่เคยไปเที่ยวญี่ปุ่นบ่อยๆ นี่คือโอกาสทางตรง

ขณะเดียวกันโอกาสทางอ้อม เชื่อว่าจะมาจากการพลิกวิกฤติโควิด-19 ลามกรุง และทั่วโลกมาเป็นตัวผลักดัน หลังจากช่วงเวลานี้ในอดีตมักมีคนไทยไปเที่ยวญี่ปุ่นจำนวนมาก แต่พอเจอโรคระบาดหนัก ก็ทำให้อดไป การได้มา ดองกิ ก็เหมือนได้ซึมซับความรู้สึกที่คุ้นเคยทดแทนไปกลายๆ

สำหรับผลตอบรับของ ดองกิ ในช่วงที่ผ่านมากับ 2 สาขาที่เปิดอยู่ ถือว่าน่าสนใจ เพราะแค่เพิ่งเข้ามาทำตลาดในบ้านเราได้ 2 ปี แต่ก็มีผลประกอบการที่เติบโตแบบก้าวกระโดด โดยผลประกอบการ บริษัท ดองกิ (ประเทศไทย) จำกัด

• ปี 2562 มีรายได้ 160 ล้านบาท

• ปี 2563 มีรายได้ 728 ล้านบาท

เหตุผลที่ทำให้รายได้เติบโตอย่างก้าวกระโดดของดองกิ มาจาก...

1.) รูปแบบธุรกิจมีความเฉพาะเจาะจง ยากต่อการเลียนแบบ ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบร้าน การจัดวางสินค้าที่ดึงดูดให้ลูกค้าเข้ามาสำรวจ และค้นหาหรือแม้แต่การใช้ปากกาเมจิก เขียนป้ายบอกราคา

2.) มอบประสบการณ์ที่แตกต่าง นอกจากจะมีสินค้าที่เป็นซิกเนเชอร์ หาไม่ได้จากที่ไหน เสน่ห์อีกอย่างของดองกิ คือ การมอบประสบการณ์ที่มากกว่ามาช้อปปิ้ง อย่างดองกิ สาขาทองหล่อ นอกจากจะมีร้านค้า ร้านอาหาร เครื่องดื่ม คาเฟ่ เบเกอรี และคาราโอเกะ ส่วนด้านบน ก็ยังทำเป็นสวนสนุก และสปอร์ตเอนเตอร์เทนเมนต์ นำเข้าจากญี่ปุ่น ถือเป็นอีกหนึ่งกิมมิกที่ทำให้หลายคนอยากไปเช็คอิน

สำหรับ ดองกิ ในไทยนั้น ตั้งเป้าขยายให้ได้ 20 สาขาใน 5 ปี โดยไม่จำกัดว่าต้องเป็นกรุงเทพฯ เท่านั้น แต่ยังมองไปถึงเมืองท่องเที่ยว อย่าง ภูเก็ต, เชียงใหม่ และ ระยอง อีกด้วย


ที่มา:

https://www.prachachat.net/marketing/news-605213

https://www.facebook.com/1387231808035873/posts/3635479016544463/

ผบ.ตร. แถลงจับกุมเสี่ยโป้ เปิดเว็บไซต์พนันออนไลน์ พร้อมชักชวนผ่านโซเชียลมีเดีย ยันมีหลักฐานชัด หลังใช้เวลาสืบสวนนาน 4 เดือน พบเงินหมุนเวียนกว่าพันล้านบาท

ที่กองบังคับการปราบปราม พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. แถลงผลปฏิบัติการชุดปฏิบัติการพิเศษหนุมาน กองบังคับการปราบปรามหลังจากที่ไปควบคุมตัวเสี่ยโป้ หรือ นายเสี่ยโป้ โป้อานนท์ ในข้อหา ร่วมกันจัดโฆษณาชักชวน ให้ผู้อื่นเล่นการพนัน (พนันออนไลน์) และ สมคบกันฟอกเงินว่า

ปฏิบัติการครั้งนี้ตำรวจใช้เวลาสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานนานกว่า 4 เดือน ตั้งเป้าหมายการค้นหา 7 จุด โดยรวบรวมหลักฐานยื่นศาลอนุมัติออกหมายจับเฉพาะหมายจับที่ขอมี 12 หมายและมีการจับซึ่งหน้า 1 รายเพราะมีการพกพาอาวุธปืนและมีหมายค้างเก่าอีก 2 รายรวมการจับกุมทั้งสิ้น 15 ราย

"การสืบสวนใช้เวลานานเพราะการปราบปรามธุรกิจในลักษณะนี้จะทำได้ยากขึ้นเนื่องจากผู้ต้องหา มีทุนมาก มีการใช้ ความรู้ทางกฎหมายปิดบังซ่อนเร้นพยานหลักฐานรวมทั้งมีระบบปฏิบัติการที่มีการป้องกันที่แน่นหนาทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องรวบรวมพยานหลักฐานเป็นเวลานาน"

ทั้งนี้ ได้มีโอกาสพูดคุยกับนายเสี่ยโป้ และชี้แจงว่าการดำเนินคดีของเจ้าหน้าที่ตำรวจครั้งนี้กระทำโดยไม่ได้เจาะจงเรื่องส่วนตัวในส่วนที่ผู้ต้องหาเสียหายและได้เคยแจ้งความไว้เจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะให้ความเป็นธรรม การดำเนินการทั้งหมดเจ้าหน้าที่มีพยานหลักฐาน

โดยในระหว่างแถลงข่าว ผบ.ตร.ได้ถามคำถามเสี่ยโป้ว่า เลิกได้ไหมอาชีพนี้ ซึ่งเสี่ยโป้ก็รับฟัง แต่ไม่ได้ตอบคำถามใด ๆ

ในขั้นตอนสอบสวนด้านการเงินจะต้องมีการประสานงานร่วมกับ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)เพราะพฤติการณ์ดังกล่าวเข้าข่ายฟอกเงิน จากการรวบรวมข้อมูลของเจ้าหน้าที่ตำรวจพบว่าเว็บพนันออนไลน์มีมากกว่า 2 เว็บไซต์เบื้องต้นพบ 6 เว็บไซต์โดยมี เซิร์ฟเวอร์ หลักอยู่ที่ต่างประเทศ หากทำการสืบสวน และพบเครือข่าย จะมีการดำเนินการเอาผิดทั้งหมด

สำหรับการประกันตัว ผบ.ตร. กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ชั้นสอบสวนจะคัดค้านการประกันตัวแต่สุดท้ายต้องขึ้นอยู่ที่ดุลยพินิจของศาล ว่าจะให้ประกันตัวหรือไม่

ด้าน พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. กล่าวว่า จากเว็บไซต์หลัก 2 เว็บไซต์ พบว่า มีเงินหมุนเวียน มากกว่าพันล้านบาท ซึ่งจากหลักฐานเบื้องต้นชี้ให้เห็นว่ามีการ ให้ผู้อื่นเปิดบัญชีเพื่อถ่ายโอนเงิน หลังจากนี้ทรัพย์สินที่ได้ จากการยึด ทั้งหมดจะเข้าสู่กระบวนการ ตามกฎหมายฟอกเงินรวมถึงบ้านสิ่งปลูกสร้าง

ทั้งนี้ จากการสืบสวนทราบว่า นายเสี่ยโป้ กับพวกรวม 31 คนมีพฤติการณ์สมคบกัน รู้เห็นเป็นใจในลักษณะแบ่งงานแบ่งหน้าที่ร่วมกันประกาศโฆษณาชักชวนจัดให้บุคคลทั่วไปเข้าเล่นการพนันผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์เว็บไซต์พนันออนไลน์ โดยนายเสี่ยโป้ทำหน้าที่โฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่าน Facebook ของตัวเอง และ Facebook ของภรรยารวมทั้งเว็บไซต์อื่น ๆ

สำหรับทรัพย์สินที่ตรวจยึดได้มีโทรศัพท์มือถือ 39 เครื่องสมุดบัญชีธนาคาร 65 เล่ม เครื่องบันทึกภาพกล้องวงจรปิด โนตบุ๊ค บัตร ATM อาวุธปืน รถยนต์ เงินสด แหวนทองฝังเพชร กำไลเงินฝังเพชร ธนบัตรต่างประเทศ ส่วนกรณีบ้าน คอนโดและทรัพย์สินอื่น ๆ จะมีการทำรายงาน เพื่อเสนอปปง. ดำเนินการต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top