Saturday, 5 July 2025
ค้นหา พบ 49226 ที่เกี่ยวข้อง

แจ็ค หม่า ผู้ก่อตั้งธุรกิจ อี-คอมเมิร์ชยักษ์ใหญ่ อาลีบาบา และเคยได้ชื่อว่าเป็นอภิมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของจีน ถูกถอดชื่ออกจากทำเนียบรายชื่อผู้ประกอบการชั้นนำของจีน ที่ตีพิมพ์ใน Shanghai Securities News ซึ่งเป็นสื่อของรัฐบาลที่ทรงอิทธิพลอย่างมากในแวดวงนักธุรกิ

นอกจากจะไม่ปรากฏชื่อของ หม่า หยุน หรือ แจ็ค หม่า แล้ว ยังไม่ลงตัวเลขรายได้ของเครือบริษัทอาลีบาบา อีกด้วย ทั้งๆที่ยังปรากฏชื่อผู้ประกอบการรายใหญ่แถวหน้าของจีนยังอยู่ครบ ไม่ว่าจะเป็นโทนี่ หม่า ผู้ก่อตั้งบริษัท Tencent คู่แข่งของแจ็ค หม่า เหริน เจิ้งเฟย ผู้ก่อตั้ง Huawei หรือ เหลย จุน ผู้ก่อตั้ง Xiaomi

ทางสำนักข่าว Shanghai Securities News ลงความเห็นไว้ว่า ผู้ประกอบการบางคนที่เคยได้รับการยกย่องว่าเป็น ฮีโร่ ที่กล้าเดินออกจากกรอบระบบเศรษฐกิจเก่าๆ แต่วันนี้เขาก็ยังคงต้องเป็นผู้นำในองค์กร ที่ต้องปฏิบัติตามกฏหมายอย่างเคร่งครัด

ซึ่งก็อาจเป็นการส่งสัญญาณให้กับแจ็ค หม่า ที่ตอนนี้ไม่ใช่ลูกรักของรัฐบาลจีนอีกต่อไป และกับผู้ประกอบการบริษัทยักษ์ใหญ่เจ้าอื่นของจีน อย่าง Tencent หรือ Pinduoduo ที่กำลังจะดำเนินตามรอยแจ็ค หม่า ขึ้นท้าทายระบบเศรษฐกิจ และอุตสาหกรรมโลกการเงิน ที่รัฐบาลจีนยังถืออำนาจควบคุมอยู่

ทางฝ่าย อาลีบาบา ก็ไม่ได้ออกมาให้ความเห็นว่าทำไมถึงไม่มีข้อมูลบริษัท และชื่อของ แจ็ค หม่า ตีพิมพ์ในสื่อของรัฐบาลเหมือนอย่างเคย แม้ว่าจะได้ส่งรายงานตัวเลขรายได้ของบริษัทไปให้แล้วก็ตาม

และก็ยังคงไม่อาจคาดเดาได้ถึงอนาคตของแจ็ค หม่า ซึ่งยังคงเก็บตัวเงียบ และ อาลีบาบา ที่กำลังโดน รัฐบาลจีนสั่งตรวจสอบทั้งเครือว่าเข้าข่ายผิด กฏหมายต่อต้านการผูกขาดตลาดหรือไม่

แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่ายคาดการณ์ว่ารัฐบาลจีนมีแผนที่จะหั่นซอย อาลิบาบา ออกมาเป็นบริษัทเล็กๆ ที่จะมีอำนาจในการกำหนดทิศทางตลาดในจีนน้อยลง และก็อาจสร้างปรากฏการณ์ อาลีบาบา เอฟเฟค ที่กระทบไปยังอีกหลายเครือบริษัทยักษ์ใหญ่ในจีนได้ในอนาคตเช่นกัน


อ้างอิง

https://www.reuters.com/article/us-china-alibaba-jack-ma-idUSKBN2A20E1

https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-02-02/china-state-media-celebrate-top-entrepreneurs-except-jack-ma

https://www.straitstimes.com/asia/east-asia/jack-ma-omitted-from-china-state-medias-top-entrepreneurs-list

Jeff Bezos มหาเศรษฐีระดับท็อปของโลก ประกาศลาออกจากซีอีโอ Amazon หลังจากบริหารงาน Amazon จากเว็บไซต์ขายหนังสือในปี 1995 จนกลายมาเป็นธุรกิจอีคอมเมิร์ซใหญ่ที่สุดของโลกในปัจจุบัน

ล่าสุดทาง Jeff Bezos ซึ่งเป็นทั้งผู้ก่อตั้งและซีอีโอในปัจจุบัน ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งแล้ว เขาจะยังคงบริหารงานต่อไป เพื่อเตรียมการเปลี่ยนผ่านสู่ซีอีโอคนใหม่ในช่วงกลางถึงปลายปี 2021 นี้

หลังจากลาออก ถึงแม้จะยังคงตำแหน่งประธานบริษัทอยู่ แต่งานบริหารทั้งหมดนั้นจะถูกส่งต่อไปยัง Andy Jassy ผู้บริหารซึ่งเข้าไว้ใจที่สุดให้มารับช่วงต่อ

Andy Jassy ปัจจุบันเป็นผู้บริหารของ Amazon Web Services ซึ่งถือเป็นธุรกิจคลาวด์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกเช่นกัน และเป็นธุรกิจของ Amazon ที่เติบโตเร็วมาก ๆ ในช่วงหลัง

ซึ่งการบริหารงานที่ดีในธุรกิจคลาวด์ น่าจะเป็นเหตุผลหลักที่ Jeff เลือกเขามารับตำแหน่งแทน

หลังจากลาออกจากซีอีโอแล้ว Jeff ระบุว่าตัวเขาจะได้เอาเวลาและพลังงานของตัวเอง ไปโฟกัสไปที่อีก 4 งาน นั่นก็คือ

- ธุรกิจสื่อ The Washington Post

- ธุรกิจด้านอวกาศ Blue Origin

- กองทุนช่วยเหลือคนไร้บ้านและการศึกษา Day 1 Fund

- กองทุนอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม Bezos Earth Fund

ภายใต้การบริหารงานของ Jeff ตลอด 25 ปีที่ผ่านมานั้น ทำให้ Amazon พัฒนาจากเว็บไซต์เล็กๆ กลายมาเป็นบริษัทที่มีมูลค่ากว่า 50 ล้านล้านบาท

และส่งผลให้ผู้ก่อตั้งอย่าง Jeff เป็นมหาเศรษฐีด้วยทรัพย์สิน 5.8 ล้านล้านบาทอีกด้วย


ที่มา: Billion Mindset

https://www.facebook.com/331394447302302/posts/1148298742278531/

"ชินวรณ์" มั่นใจปชป.เสียงไม่แตกโหวตศึกซักฟอก หลังลูกพรรคออกมาขู่พปชร.ส่งผู้สมัคร ส.ส.นครศรีฯแข่ง เชื่อแยกเรื่องออก เมินฝ่ายค้านขอเพิ่มวัน เชื่อเสียเวลาเปล่า ไม่เป็นผลดี ชี้ "เพื่อไทย - ก้าวไกล"

นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะรองประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้ (3 ก.พ.) จะมีการประชุมคณะกรรมการประสานงานร่วมสภาผู้แทนราษฎรที่มีนายสุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภาฯคนที่ 1 เป็นประธานในเวลา 15.00 น.

เพื่อประชุมเรื่องกรอบเวลาหลักที่กำหนดไว้จำนวน 4 วัน คือวันที่ 16 - 19 ก.พ. และลงมติในวันที่ 20 ก.พ. โดยประเด็นหลักจะดูเนื้อหาสาระ และผู้เสนอญัตติที่จะอภิปราย ทั้งนี้ ที่ผ่านมาทางวิปรัฐบาลได้เสนอความเห็นนี้ไปยังคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้วโดยครม.มีมติให้ความเห็นชอบว่าช่วงเวลาดังกล่าวเป็นเวลาที่เหมาะสม และพรรคร่วมรัฐบาลยังยึดในหลักการเดิม

เมื่อถามถึงกรณีที่ฝ่ายค้านจะขอเวลาอภิปรายไม่ไว้วางใจเพิ่มอีก 1 วัน นายชินวรณ์ กล่าวว่า ได้พูดคุยกับฝ่ายค้านไปแล้วว่าพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลต้องไปบริหารจัดการเวลา ไม่ควรให้เกิดกรณีเหมือนครั้งที่ผ่านมา เพราะจะทำให้มีข้อถกเถียงกันเอง อีกทั้งตนได้เสนอว่าหากมีการขอเพิ่มเวลาจริงอีก 1 วัน แต่ก็ยังไปถกเถียงกันเรื่องเวลาจะทำให้เสียเวลาเปล่า

และที่สำคัญฝ่ายค้านจะเสียประโยชน์ แทนที่ผู้สรุปจะได้สรุปญัตติให้เกิดความชัดเจน และสื่อมวลชนจะได้สนใจเรื่องดังกล่าวพร้อมทั้งนำไปขยายผลต่อไป หากไปจบเรื่องการถกเถียงเวลาก็ไม่มีประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ตนพูดด้วยความปรารถนาดี

เพราะอยากให้รัฐสภาเป็นที่หวังของประชาชนว่าอย่างน้อยท้ายที่สุดถึงไม่มีหลักฐานอะไรที่เป็นใบเสร็จ แต่รัฐสภาสามารถตรวจสอบเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจตามกลไกการเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่ทุกฝ่ายต้องยอมรับ ดังนั้นเราให้เกียรติฝ่ายค้านเต็มที่ แต่ฝ่ายค้านก็ต้องบริหารจัดการเวลาที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

เมื่อถามว่า การลงมติให้กับรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายฯ ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์จะคุมเสียงอย่างไร เพราะมีปัจจัยการแข่งขันการเลือกตั้งซ่อมส.ส.เขต 3 จ.นครศรีธรรมราชด้วย นายชินวรณ์ กล่าวว่า "การอภิปรายไม่ไว้วางใจกับการเลือกตั้งซ่อมเป็นคนละมิติกัน

ซึ่งการเลือกตั้งซ่อมเป็นเรื่องของคณะกรรมการบริหารที่จะต้องพูดคุยกัน ในส่วนของบทบาทในสภาฯ โดยเฉพาะการอภิปรายไม่ไว้วางใจถือเป็นเรื่องสำคัญที่บัญญัติไว้ในกฎหมายรัฐธรรมนูญและข้อบังคับโดยให้สิทธิ์ทั้งสองฝ่ายอภิปรายอย่างเท่าเทียมกัน"

โดยหลักทั่วไปฝ่ายรัฐบาลมีเสียงข้างมากทุกครั้งก็จะชนะ เพราะรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่าผู้อภิปรายไม่ไว้วางใจต้องมีเสียงเกินกว่ากึ่งหนึ่งของสมาชิกสภาที่มีอยู่ ซึ่งขณะนี้คือต้องเกิน 244 เสียง แต่ของฝ่ายค้านไม่ถึง ดังนั้นประเด็นไม่ได้อยู่ตรงนี้

แต่อยู่ที่เนื้อหาสาระของฝ่ายค้านว่ามากพอหรือไม่ และทำให้ประชาชนเชื่อถือหรือไม่ ส่วนประเด็นมติที่จะออกมานั้นเป็นไปตามหลักการทุกครั้งที่มีการอภิปรายฯ ที่พรรคร่วมรัฐบาลจะตั้งคณะทำงานติดตามข้อมูลอยู่แล้ว และหลังจากอภิปรายฯเสร็จตามเจตนารมณ์ของข้อบังคับและรัฐธรรมนูญต้องทิ้งไว้ 1 วันสำหรับลงมติฯ เพื่อให้ไตร่ตรองกันให้ดีก่อน เราก็ต้องฟังการอภิปรายฯก่อนจึงจะมาพูดเรื่องการลงมติ แต่ตนมั่นใจว่าพรรคร่วมรัฐบาลจะไปในแนวทางเดียวกัน

เมื่อถามว่า แต่ก็เริ่มมีส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ออกมาขู่ว่าจะโหวตไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐ เพื่อแก้เกมกรณีส่งผู้สมัครส.ส.แข่งที่จ.นครศรีธรรมราช นายชินวรณ์ กล่าวว่า คงจะใช้เงื่อนไขอื่นมาเป็นเงื่อนไขที่จะรับผิดชอบต่อประเทศชาติบ้านเมืองไม่ได้ เพราะการอภิปรายไม่ไว้วางใจไม่ใช่เรื่องส่วนตัว

แต่เป็นเรื่องรัฐบาลร่วมกัน อยู่ที่วิรัฐบาลต้องติดตามและมีมติที่ชัดเจน รวมถึงต้องเปิดโอกาสให้เพื่อนสมาชิกได้รับฟังความคิดเห็นก่อน ส่วนจะอ้างเหตุผลเรื่องอื่นหรือเรื่องส่วนตัวก็เป็นเรื่องที่เป็นความคิดเห็นของแต่ละคน

เมื่อถามว่า พรรคประชาธิปัตย์จะคุมเสียงพรรคอย่างไร นายชินวรณ์ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยมีปัญหา เพราะเป็นเรื่องที่เราต้องทำความเข้าใจร่วมกันอยู่แล้ว ตนเข้าใจว่าเมื่อวิปแต่ละฝ่ายได้อธิปบายเหตุผลแล้ว ทุกคนต้องยอมรับมติวิปแต่หากใครไม่ยอมรับก็เป็นเรื่องของกรรมการบริหารพรรคแต่ละพรรคต้องดำเนินการต่อไป

เมื่อถามย้ำว่า จะมีการปล่อยฟรีโหวตหรือไม่ นายชินวรณ์ กล่าวว่า ไม่เคยมี เพราะการอภิปรายไม่ไว้วางใจต้องมีการทำงานร่วมกันของระบบรัฐสภา ไม่เช่นนั้นระบบรัฐสภาจะอยู่ไม่ได้ เพราะต้องเดินด้วยเสียงข้างมาก ส่วนผู้ชี้แจงจะชี้แจงเป็นที่พอใจหรือไม่ก็เป็นเรื่องที่ผู้ชี้แจงต้องรับผิดชอบเอง

เมื่อถามว่า มั่นใจพรรคประชาธิปัตย์จะคุมส.ส.ของพรรคได้หรือไม่ นายชินวรณ์ กล่าวว่า "คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าการแข่งขันในการเลือกตั้งนั้นเป็นอย่างไร และการทำงานร่วมกันในระบบรัฐสภาควรเป็นอย่างไร ก็คงไม่มีปัญหา ส่วนการคุมส.ส.ตอนนี้คุมง่ายขึ้นเพราะเหลือส.ส. 51 คน เมื่อถามว่ากรรมการบริหารพรรคมีการคาดโทษที่โหวตแหกมติพรรคหรือไม่ นายชินวรณ์ กล่าวว่า ยังไม่ถึงขั้นนั้น โดยเรายังไม่ได้คุยกัน ซึ่งมีเพียงคณะทำงานติดตามข้อมูล"

หลายท่านคงได้เห็นการเปิดตัวของ ‘Top News TV’ นำทีมโดย ‘สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม’ และอดีตทีมงาน ‘เนชั่นทีวี’ โดยมีธงในการนำเสนอที่ชัดเจนกันไปบ้างแล้ว

ทว่า ในบางมิติของสถานีข่าวดังกล่าว ก็เริ่มมีเสียงสะท้อนออกมาเชิงติติงถึงการนำเสนอที่อาจสร้างความขัดแย้งได้เบา ๆ โดย ผศ.ดร.วรัชญ์ ครุจิต รองคณบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ คณะนิเทศศาสตร์และนวัตกรรมการจัดการ ที่ได้ติดตามชมช่องนี้ ก็ได้โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กส่วนตัว Warat Karuchit ว่า...

ด้วยความปรารถนาดีต่อ Top News นะครับ...

ความเห็นส่วนตัวของผมคือ คุณไม่ต้องเน้นย้ำเรื่องการนำเสนอ "ความจริง" หรอกครับ (แถมยังเป็น "ที่สุดแห่งความจริง" อีกต่างหาก)

คนที่เป็นแฟนคลับ ก็เชื่ออยู่แล้ว ไม่ต้องบอกก็เชื่อ

คนที่ชิงชัง หมั่นไส้ บอกยังไงก็ไม่เชื่อ จะเอาไปล้อเลียนด้วยซ้ำ

และอันที่จริงสำนักข่าวชั้นนำทั่วโลก ไม่มีใครจำเป็นต้องบอกหรอกครับว่าเป็นสถานีที่นำเสนอความจริง

เพราะสำนักข่าวมีหน้าที่นำเสนอความจริงอยู่แล้ว และความจริงก็คือความจริง ไม่มีอะไรจริงมากจริงน้อย จริงน้อยก็คือบิดเบือน หรือไม่จริงนั่นเอง

ยิ่งเน้นย้ำเรื่องความจริง ยิ่งรู้สึกเหมือนพยายามจะปกปิดอะไรไปเสียอีก

การยิ่งย้ำเรื่องความจริง ในความคิดเห็นผม ยิ่งเป็นการผลักให้ Top News มีจุดยืน "ยึดครองความจริง" ชุดเดียวที่มีอยู่ ซึ่งผมไม่เห็นด้วย

ทุกสำนักข่าวสามารถใช้ความจริงได้ แต่แบบนี้เหมือนว่าสำนักข่าวอื่นนั้นจริงไม่เท่า ทำให้ตัวเองแปลกแยกออกมาและถูกหมั่นไส้โดยไม่จำเป็น ยิ่งเป็นเป้าให้จับผิดด้วย

ดังนั้นในแง่แบรนด์ดิ้ง ลองขยายจุดยืนไปให้มากกว่า "ความจริง" และ "รักชาติ" อาจจะขยายฐานผู้ชมได้มากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมอยากเห็น มากกว่าจะเป็นผู้ชมกลุ่มเดิม ๆ ที่เหนียวแน่น แต่จำนวนเท่าเดิม

ผมว่าในยามนี้สร้างมิตรดีกว่าศัตรู ทั้งในเรื่องผู้ชมและสปอนเซอร์ด้วย ตั้งใจทำดีต่อไป ให้ผลงานเป็นเครื่องพิสูจน์ดีกว่าครับ ว่าสำนักข่าวนี้จะสร้างประโยชน์ให้สังคมได้อย่างไรบ้าง


ที่มา: https://m.facebook.com/story.phpstory_fbid=4275680352447571&id=100000169455098

ภาคธุรกิจเอกชน ชงรัฐตั้งคณะทำงานฉีดวัคซีนโควิด-19 พร้อมดันเป็นวาระแห่งชาติ ระบุอยากเห็นคนไทยได้ฉีดวัคซีนตั้งแต่ ก.ค.นี้

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) คือ ส.อ.ท. สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ได้เห็นชอบให้จัดทำข้อเสนอให้ภาครัฐตั้งคณะทำงานเตรียมการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้ประชาชนในประเทศเป็นเรื่องเร่งด่วน และกำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนไทยและต่างชาติ

ทั้งนี้ ภาคเอกชนอยากเห็นประเทศไทยมีการฉีดวัคซีนให้ประชาชนภายในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 หรือตั้งแต่เดือนก.ค.เป็นต้นไปจนถึงธ.ค.นี้ โดยให้ทำใบรับรองยืนยันการฉีดวัคซีน หรือวัคซีน พาสสปอร์ตให้กับพนักงานต่างชาติที่ทำงานในไทย และต่างด้าวโดยในส่วนของต่างด้าวและต่างชาติเอกชนพร้อมร่วมมือรัฐในเรื่องค่าใช้จ่าย โดยขอลดหย่อนภาษีเรื่องการฉีดวัคซีนโดยเป็นโมเดลในการบริหารจัดการนำร่องในภาคท่องเที่ยวเป็นลำดับแรก

นอกจากนี้ กกร.ยังประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2564 โดยประเมินว่า จะขยายตัวในกรอบ 1.5-3.5% การส่งออกคาดว่าจะขยายตัวได้ 3-5% อัตราเงินเฟ้อทั่วไป 0.8 -1% เนื่องจากเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top