Thursday, 3 July 2025
ค้นหา พบ 49177 ที่เกี่ยวข้อง

‘ทิพานัน’ ชี้ หาก "ก้าวไกล" ยื่นญัตติแก้ไขยกเลิก มาตรา 112 เข้าข่ายโทษยุบพรรค เหตุถูกชี้นำ ย้อน ‘ปิยบุตร’ เผด็จการทางความคิด ไล่ไทม์ไลน์ ตอนเป็น ส.ส. ก็ไม่ยกเลิกมาตรา 112 ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขตจอมทอง-ธนบุรี อดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่ภายหลังจากที่พรรคก้าวไกลมีมติดำเนินการเพื่อแก้ไขยกเลิกกฎหมายอาญา ม.112 และมี ส.ส.พรรคก้าวไกลบางคนออกมาแสดงจุดยืนไม่เห็นด้วยและจะไม่ออกเสียงลงมติดังกล่าว

และหลังจากนั้น นายปิยบุตร แสงกนกกุล อดีตเลขาฯพรรคอนาคตใหม่ และเลขาธิการคณะก้าวหน้าก็ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวหัวข้อว่า [ ส.ส. ต้องเป็น “ผู้แทน” ของราษฎร มิใช่ “พนักงานของรัฐ” ] พร้อมแฮชแท็ก “ยกเลิก112” นั้น ถือว่าเป็นการกระทำที่อาจเข้าข่ายฝ่าฝืนมาตรา 29 แห่ง พรป. พรรคการเมือง 2560 ที่บัญญัติว่า “ห้ามมิให้ผู้ใดซึ่งมิใช่สมาชิกกระทำการใดอันเป็นการควบคุม ครอบงำ หรือชี้นำกิจกรรมของพรรคการเมืองในลักษณะที่ทำให้พรรคการเมืองหรือสมาชิกขาดความอิสระ ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม”

ซึ่งหากพรรคก้าวไกลและสมาชิกยังคงดำเนินการยื่นญัตติและลงมติเพื่อแก้ไขยกเลิกกฎหมายดังกล่าวแล้ว ก็จะเป็นการชัดเจน มีผลให้นายปิยบุตรต้องโทษตามมาตรา 108 คือ จำคุกตั้งแต่ 5-10 ปี และปรับตั้งแต่ 100,00-200,00 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง

"นอกจากนี้ สำหรับพรรคก้าวไกลหากยังคงเดินหน้าดำเนินการยื่นญัตติและลงมติเพื่อแก้ไขยกเลิกกฎหมายดังกล่าว ก็อาจจะเข้าข่ายฝ่าฝืนมาตรา 28 แห่ง พรป. พรรคการเมือง 2560 ที่บัญญัติว่า “ห้ามมิให้พรรคการเมืองยินยอมหรือกระทำการใดอันทำให้บุคคลอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกกระทำการอันเป็นการควบคุม ครอบงำ หรือชี้นำ กิจกรรมของพรรคการเมืองในลักษณะที่ทำให้พรรคการเมืองหรือสมาชิกขาดความอิสระ ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม” ทำให้ต้องได้รับโทษยุบพรรคการเมืองตามมาตรา 92(3) และคณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองจะถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งตามมาตรา 92 วรรคท้าย" น.ส. ทิพานัน กล่าว

น.ส. ทิพานัน กล่าว จากการแสดงออกของนายปิยบุตรเองนั้น แสดงให้เห็นลักษณะของการเผด็จการทางความคิด และเป็นที่น่าเสียดายที่นายปิยบุตรไม่สามารถควบคุมโทสจริตของตนเองได้จนมีหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงการพยายาม ควบคุม ครอบงำ หรือชี้นำ ทั้งทางตรงและทางอ้อมให้พรรคการเมือง และ ส.ส. ดำเนินการแก้ไขยกเลิกกฎหมายอาญา ม.112 ในสภา

น.ส. ทิพานัน กล่าวว่า นอกจากนี้การชี้นิ้วประณาม ส.ส. ว่า “..ส.ส. ก็เป็นเพียงคนที่หายใจไปวันๆ เพื่อตำแหน่ง ยศถาบรรดาศักดิ์ เงินทอง อำนาจ ของตนเท่านั้น หาก ส.ส. ไม่กล้าเปลี่ยนแปลงกฎหมาย ..” ซึ่งในที่นี้หมายถึงการยกเลิกกฎหมายอาญามาตรา 112 ตามแฮชแท็กในโพสต์ดังกล่าวแล้ว ก็ขอให้นายปิยบุตรย้อนดูการกระทำของตัวเองว่าที่ผ่านมาในขณะที่เป็น ส.ส. นั้น นายปิยบุตรก็เข้าข่ายเป็น ส.ส. ที่หายใจไปวันๆ เพื่อตำแหน่ง ยศถาบรรดาศักดิ์ เงินทอง อำนาจ ของตนเอง และคิดว่า ส.ส. เป็น “อาชีพ” ตามที่ว่าคนอื่นหรือไม่ อยากให้ศึกษาสุภาษิตไทยที่ว่า “ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง” ด้วย

หากไล่ตามไทม์ไลน์ นายปิยบุตรก็กลับไปกลับมาในประเด็นดังกล่าวและหยุดเคลื่อนไหวแก้ไขยกเลิกกฎหมายเพื่อดำรงความเป็น ส.ส. ของตัวเองไว้ ดังนี้

เมื่อ 17 ม.ค. 2555 นายปิยบุตรในฐานะนักวิชาการได้เข้าร่วมลงชื่อในคณะรณรงค์แก้ไขมาตรา 112 และเคลื่อนไหวในประเด็นดังกล่าวมาโดยตลอด

เมื่อ 27 มี.ค. 2561 เมื่อเข้ามาเป็นนักการเมือง ก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่เพื่อสมัครเป็น ส.ส. ก็ประกาศหยุดเคลื่อนไหว และเคยให้สัมภาษณ์ ว่า “ขอยืนยันว่าจะไม่นำเรื่องการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 มาเกี่ยวข้องกับพรรค และไม่นำไปผลักดันในพรรค”

เมื่อ 8 เม.ย. 2561 ยืนยันอีกครั้งโดยนายธนาธร ว่า หากเป็นนายกฯ ไม่คิดแก้ ม.112 แม้นายปิยบุตรเคยเคลื่อนไหวก็ตาม

ต่อมาเมื่อนายปิยบุตร ไม่ได้เป็น ส.ส. เพราะถูกเพิกถอนสิทธิรับสมัครเลือกตั้งแล้ว นายปิยบุตรก็กลับมาเคลื่อนไหวการแก้ไขกฎหมายดังกล่าวอีกและยังพยายามชี้นำ ครอบงำ ส.ส. ให้ผลักดันแก้ไขกฎหมายดังกล่าวด้วย โดยเมื่อ 14 ม.ค. 64 ได้ออกมาโพสต์ข้อความยอมรับเองว่า “กลางเดือนมีนาคม 2561 สมัยผมเริ่มก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ ผมยอม “กลืนเลือด” ตัดสินใจขัดแย้งกับมโนธรรมสำนึกของผมอย่างสิ้นเชิงมาแล้ว ด้วยการประกาศว่า ไม่มีนโยบายแก้ 112 ทั้งนี้ ก็เพื่อขจัดอุปสรรคขัดขวาง ให้พรรคก่อตั้งได้ ให้พรรคได้ไปต่อ เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานทำงานได้ เพื่อฝ่าแรงเสียดทานจนไปสู่การลงเลือกตั้งได้ และด้วยหวังว่าเขาจะปรานีให้พรรคอนาคตใหม่ได้ต่อสู้ทางการเมือง”

คำพูดตามไทม์ไลน์เหล่านี้แสดงให้เห็นว่านายปิยบุตร ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่หายใจไปวันๆ เพื่อตำแหน่ง ยศถาบรรดาศักดิ์ เงินทอง อำนาจ ด้วยหรือไม่ น.ส. ทิพานัน กล่าว

นครราชสีมา พบผู้สูงอายุ 610 ราย ถูกเรียกเบี้ยยังชีพคืนย้อนหลัง ด้านผู้ว่านครราชสีมา เร่งหาทางช่วยเหลือด้านกฎหมายและการเยียวยาด่วน

ก่อนหน้านี้มีข่าวพบผู้สูงอายุจำนวน 13 ราย ในพื้นที่ ต.จอหอ อ.เมือง จ.นครราชสีมา ถูกเทศบาลตำบลจอหอ เรียกเก็บเงินค่าเบี้ยยังชีพคืนย้อนหลัง ตามคำสั่งของกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง หลังจากตรวจพบว่าผู้สูงอายุเหล่านั้นได้รับเงินบำนาญพิเศษมาก่อนแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นผู้ขาดคุณสมบัติในการได้รับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ

ทางเทศบาลตำบลจอหอ จึงได้มีหนังสือเรียกเก็บเงินคืนย้อนหลัง ทั้งเงินต้นพร้อมดอกเบี้ย โดยให้ผ่อนชำระรายเดือน ใน 3 เดือนแรก ในอัตราเงินที่สูง บางรายเดือนละ 18,000 บาท

หลังจากนั้นก็ให้ผ่อนชำระในอัตราลดหย่อนลงมาจนครบ ซึ่งมีผู้สูงอายุ จำนวน 9 รายที่ยอมจ่ายเงินคืน ขณะที่อีก 4 ราย ปฏิเสธการจ่ายคืน เนื่องจากเป็นเงินจำนวนมากไม่มีเงินมาจ่ายคืน ทำให้ทางเทศบาลตำบลจอหอ ต้องส่งเรื่องฟ้องไปยังศาลแขวงนครราชสีมา เพื่อพิจารณาคดีทางแพ่ง

ต่อมา นายวิเชียร จันทรโณทัย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา ได้สั่งการให้สำนักงานท้องถิ่นจังหวัด และสำนักงานคลังจังหวัด ทำการสำรวจจำนวนผู้สูงอายุที่ถูกเรียกเงินเบี้ยยังชีพคืนในพื้นที่ทั้ง 32 อำเภอ เพื่อหาแนวทางการช่วยเหลือเยียวยา และช่วยเหลือทางด้านกฎหมายอย่างเร่งด่วน

ล่าสุด วันนี้ (29 มกราคม 2564) นายวิเชียร จันทรโณทัย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา ได้เผยว่า ทำการสำรวจในระบบในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมาทั้ง 32 อำเภอ มีผู้สูงอายุที่ถูกเรียกเก็บเบี้ยยังชีพคืนทั้งหมดจำนวน 610 ราย ซึ่งตามระเบียบการเรียกเงินคืนนั้นก็มีแนวทางในการผ่อนปรน คือ ผ่อนจ่ายเป็นรายเดือน โดยหากผ่อนจ่าย หมดไม่เกิน 1 ปี จะไม่เสียดอกเบี้ย หากเกิน 1 ปี จะเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อย 7.5 ต่อปี

ส่วนผู้สูงอายุจำนวน 610 ราย ที่ต้องถูกเรียกเบี้ยผู้สูงอายุคืนย้อนหลังนั้น ขณะนี้กำลังตรวจสอบมียอดจำนวนเงินเท่าไร มีจ่ายคืนแล้วจำนวนกี่ราย

อย่างไรก็ตามทางหน่วยงานภาครัฐเข้าใจถึงความเดือดร้อนของประชาชนและพร้อมให้ความช่วยเหลือเพื่อให้ทุกฝ่ายที่ได้รับผลกระทบได้รับผลกระทบน้อยที่สุด

สำหรับประเด็นการเรียกคืนเบี้ยยังชีพย้อนหลังนี้ ทางกรมบัญชีกลางได้ให้ท้องถิ่นทุกพื้นที่ สำรวจตั้งแต่เดือน พฤศจิกายน 2562 ก่อนจะพบผู้สูงได้รับเงินทับซ้อน จึงมีการเรียกเก็บคืน บางรายก็ยอมผ่อนจ่ายตามระเบียบ แต่ก็มีบางรายไม่มีจ่ายคืน จึงทำให้ทางท้องถิ่นจำเป็นต้องดำเนินการทางกฎหมายเพื่อเรียกเก็บเงินคืน

‘แนทเธอรีน ดุสิตา’ อดีต BNK48 เจ้าของฉายา ‘ธิดาชาวสวน’ และกูรูผู้ทายผลบอลทีมนั้นชนะ ทีมนั้นมักแพ้ทุกที ยิ้มออก หลังศาลพิพากษาไม่ผิดปมต้นสังกัดฟ้องหมิ่น ส่วนสัญญาลาออกมีผลทันที

แต่ให้ชดใช้ 1 แสนค่าครู พร้อมคืนบัญชีสื่อโซเชียลมีเดีย แต่ขอเล็งอุทธรณ์บางประเด็น

ที่ห้องพิจารณา 712 ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ พ1806/2563 ที่บริษัท อินดิเพนเด้นท์ อาร์ทิสท์ เมเนจเม้นท์ จำกัด (หรือ iAM ต้นสังกัดของศิลปินเกิร์ลกรุ๊ปไอดอล BNK48) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง แนทเธอรีน - น.ส.ดุสิตา กิติสาระกุลชัย ศิลปิน อดีตสมาชิก BNK48 รุ่น 2 เป็นจำเลย ในข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาและการระบุเรื่องของขวัญจากแฟนคลับที่ไม่ได้รับ ซึ่งทางโจทก์มองว่าเป็นการหมิ่นประมาท

โดยโจทก์ฟ้องขอค่าเสียหายต่อชื่อเสียงที่เสียไป จากการที่จำเลย กล่าวหาว่า ลักของขวัญจากแฟนคลับ 1 ล้านบาท และค่าพัฒนาศิลปินอีกต่างหาก รวมเป็นค่าเสียหาย 1,588,298 บ.พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป ให้จำเลยส่งมอบ User (ชื่อผู้ใช้) และ Password (รหัสผ่าน) ของ Facebook และ Instagram ซึ่งเป็นสิทธิในทางทรัพย์สินของโจทก์คืนให้กับโจทก์, ให้จำเลยลบโพสต์หมิ่นประมาทโจทก์ทั้งหมดออกจากระบบคอมพิวเตอร์และระบบอินเตอร์เน็ต, ให้จำเลยขอขมาโจทก์ผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ และแถลงข่าวขอขมาโจทก์

วันนี้ น.ส.ดุสิตา, นายดุสิต กิติสาระกุลชัย บิดา พร้อมนายพงศธร เอมอ่อน ทนายความจำเลย พร้อมทีมงานบุคคลใกล้ชิดเดินทางมาศาล ฝ่ายโจทก์มีเสมียนทนายความมาศาล นอกจากนี้ ยังมีแฟนคลับของ น.ส.ดุสิตา เดินทางมาให้กำลังใจอีกจำนวนหนึ่ง

ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์กับจำเลยแล้ว เห็นว่า กรณีจำเลยโพสต์ข้อความว่าของหายหมดเลยนั้น จำเลยไม่ได้ระบุชัดเจนว่าใครเอาของขวัญไป คนทั่วไปไม่ทราบว่าใครเอาไป จึงไม่เป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ ไม่ทำให้โจทก์เสียหายแก่ชื่อเสียง จึงไม่มีค่าเสียหายส่วนนี้ที่จะให้จำเลยต้องชดใช้ แต่จำเลยเลิกสัญญาก่อนครบกำหนดในสัญญาโดยไม่ได้บอกกล่าวก่อนเป็นกำหนดระยะเวลาอันสมควร ถือว่าจำเลยผิดสัญญาพัฒนาศิลปิน จึงกำหนดค่าเสียหายในส่วนค่าพัฒนาศิลปิน 100,000 บาท พร้อมส่งมอบบัญชี Facebook และ Instagram คืนให้แก่โจทก์

ภายหลังฟังคำพิพากษาแล้ว น.ส.ดุสิตา หรือแนทเธอรีน เปิดเผยว่า รู้สึกดีใจที่เราออกจากวงได้ หลังจากก่อนหน้านี้ตนส่งจดหมายลาออกไป แต่ทางวงแจ้งว่ายังไม่อนุมัติให้ลาออก แต่ศาลระบุการลาออกของตนมีผลตั้งแต่วันที่ส่งจดหมายลาออกแล้ว ดีใจที่เป็นอิสระรับงานได้อย่างไม่มีข้อผูกมัดอะไร ตอนนี้มีงานเข้ามาเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นงานแสดง งานเพลง ซึ่งเพลงที่ 2 เพิ่งเขียนเสร็จ กำลังจะทำการอัดในไม่ช้านี้ การที่เรามาศาลเพราะตกลงกันไม่ได้ มีประเด็นที่เห็นไม่ตรงกันต้องมาจบกันที่ศาล ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่ดีในฐานะเด็กคนหนึ่ง ที่เรามาสู้เพื่อตัวเอง

น.ส.ดุสิตา กล่าวถึง กรณีหมิ่นประมาทที่ศาลยกฟ้องส่วนนี้ว่า ตนบอกไม่ได้รับของจากแฟนคลับ ของหายไป ตอนนั้นคุยกับแฟนคลับทาง Messenger หลังพ้นสภาพเป็น BNK48 แล้ว เขาถามได้รับของหรือยัง ตนบอกยังไม่ได้ ของหายไปไหนไม่รู้ เขาก็แคปข้อความไปลงทางเฟซบุ๊กพิมพ์ด่าต้นสังกัด แต่ตนไม่รู้เห็นด้วย และคำว่าของหายไปแปลว่าเราไม่ได้รับ ไม่ได้แปลว่าเราบอกว่าเขาขโมยไป ตนไม่เคยคิดแบบนั้นเลย ทั้งนี้ ตนพอใจกับคำพิพากษา รู้สึกโล่ง หายกังวล ตนไม่ได้หมิ่นประมาท การถูกฟ้องทำให้ตนเสียใจมาก กระทบความรู้สึกมาโดยตลอด เพียงเท่านี้ก็ดีใจมาก ยิ้มกว้างได้เสียที

ด้าน นายดุสิต บิดาของแนทเธอรีน เปิดเผยว่า เราเคารพคำพิพากษาของศาล และศาลตัดสินแล้วว่า น.ส.ดุสิตา พ้นสภาพจากการเป็น BNK48 ตั้งแต่วันที่ 6 ม.ค. 2563 แล้ว ที่ยังไม่อนุมัติให้ออกไม่ถูกต้อง มีผลกับคนอื่นที่อยู่ในวงด้วย ถ้าคนไหนต้องการลาออกก็สามารถลาออกได้ ไม่จำเป็นต้องได้รับอนุญาต ทันทีที่ลูกจ้างต้องการยกเลิกสัญญา สามารถยกเลิกสัญญาได้ทันที ทั้งนี้ นายดุสิตยังมองว่า งานบางอย่างที่ไม่อยู่ในสัญญาแต่ไปให้คนในวงไปทำงาน ถ้าหาเงินได้จากตรงนั้น ทุกคนก็ควรจะได้รับค่าตอบแทนด้วยความเป็นธรรม คนในวงเหมือนลูกตนทั้งนั้น พ่อแม่ก็รักกันสนิทกัน

ส่วนประเด็นการส่งคืนบัญชี Instagram (ไอจี) นั้น นายดุสิต บิดาของแนทเธอรีน ระบุว่า สภาพบังคับยาก หลัง น.ส.ดุสิตา ออกจากวงมาแล้ว ศาลให้เหตุผลว่าผลงานในสื่อสังคมเป็นผลงานของต้นสังกัด ในข้อเท็จจริงหลังออกจากวง รูปภาพทั้งหมดที่ใส่ไปคือรูปหลังออกจากวง รูปก่อนหน้านี้ไม่มีแล้ว ถ้าเอากลับไปก็เป็นผลงานของ น.ส.ดุสิตา ใช้อะไรไม่ได้ ถ้าเอาไปปิดเฉยๆ ปัญหานี้ตนว่าต้องอุทธรณ์ ถ้าศาลสูงตัดสินให้ไอจีเป็นของ น.ส.ดุสิตา ทางนั้นปิดไปแล้วจะมาคืนได้อย่างไร ไอจีจะเปิดหรือทำใหม่ไม่เป็นปัญหา แต่ปัญหาคือเราไม่เห็นด้วย น่าจะสร้างบรรทัดฐานให้รู้ว่าน่าจะเป็นข้อตกลงว่าไอจีเป็นของใคร น่าจะทำตั้งแต่แรก สัญญาไม่ได้กำหนด ตอนแรกน่าจะไม่มีปัญหาอะไรเลย ถ้าไม่ฟ้องเรื่องหมิ่นประมาท คงไม่มีอะไรเลยตั้งแต่แรก ฟ้องมาก็เสียใจ เพราะในวง น.ส.ดุสิตา ไม่เคยมีปัญหาอะไรกับใครเลย

ส่วน นายพงศธร ทนายความของ น.ส.ดุสิตา จำเลย เปิดเผยว่า กรณีที่มีปัญหากันมีทั้งหมด 3 ประเด็น ศาลพิพากษาออกมาแล้ว ประเด็นแรก เรื่องการยกเลิกสัญญา มีผลไปแล้วตั้งแต่วันที่เราบอกเลิกสัญญา แต่ศาลให้ชดเชยค่าเสียหายจากการยกเลิกสัญญา (ค่าครูสอน/เทรนเนอร์) จำนวน 1 แสนบาท ซึ่งสมเหตุสมผล เราก็ยินดี เพราะว่าจะทำให้ยุติสัญญาไปด้วยความสบายใจ แล้วก็จะเป็นบรรทัดฐานให้กับสมาชิกในวงคนอื่นๆ ต่อไปอีกด้วย ถ้าหากวันใดวันหนึ่ง ถ้าเกิดไม่พอใจในวงแล้วอยากจะเลิกสัญญาก็สามารถทำได้

ประเด็นที่สอง เรื่องเฟซบุ๊กและไอจี ศาลให้คืนชื่อและพาสเวิร์ดให้กับบริษัท ซึ่งเราจะปรึกษากันในการอุทธรณ์ต่อไป ส่วนประเด็นที่ 3 ศาลพิพากษาว่าการโพสต์ข้อความนั้นไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท ทั้งนี้ คดีเป็นเพียงศาลชั้นต้น ยังไม่ถึงที่สุด จึงจะต้องปรึกษาหารือกับ น.ส.ดุสิตา, บิดา และทีมทนายความว่าจะทำอย่างไรต่อไป โดยอาจจะอุทธรณ์ในบางประเด็นที่เรายังไม่พอใจ ซึ่งหากจะอุทธรณ์เมื่อไหร่ก็จะให้ข่าวอีกครั้ง


Cr : ภาพ https://www.facebook.com/natherinedusitaa

SMEs อ่อนแรงกำลังสอง พรรคก้าวไกล ดันแก้กฎหมายช่วย | สนามนักสู้ EP. 22

"จากข่าว พรรคก้าวไกล ดัน 4 มาตรการกู้ชีพ SMEs - ท่องเที่ยว ยื่นแก้ไข 'พ.ร.ก.ซอฟท์โลน' อุ้มธุรกิจเข้าถึงแหล่งเงินทุน พร้อม 'สินเชื่อคืนภาษี 10 ปี' พยุงธุรกิจท่องเที่ยว

Link ข่าว : https://thestatestimes.com/post/2021011520

SMEs อ่อนแรงกำลังสอง ในยุคโควิดระบาดซ้ำ หาแหล่งเงินทุนมาหมุนต่อได้อย่างไร ปรับตัวอย่างไร พรรคก้าวไกลเสนอแนวทางแก้ไขปัญหานี้อย่างไร เพื่อช่วยธุรกิจ SMEs มาดูกัน

 

 

ปฏิบัติการเพื่อสิ่งแวดล้อมของนายโจ ไบเดน หลังเข้ารับตำแหน่งประธนานาธิบดีสหรัฐอเมริกาไม่นาน ก็ประกาศคำสั่งการด้านสิ่งแวดล้อมออกมามากมาย มีเรื่องอะไรที่น่าสนใจบ้าง ลองไปดูกัน

ประกาศนโยบายชัดเจนมาตั้งแต่ช่วงหาเสียงเลือกตั้งแล้วว่า หากได้เข้ามารับตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาเมื่อไร หนึ่งใน ‘เรื่องใหญ่’ ที่ต้องผลักดันและฟื้นฟู นั่นคือ เรื่องสิ่งแวดล้อม

หลังการนั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีได้ไม่กี่สัปดาห์ นายโจ ไบเดน ก็ ‘ออกตัว’ กับเรื่องราวดังกล่าวแบบ ‘แรงจริงได้ใจ’ ไม่ว่าจะเป็นการประกาศโละรถยนต์ที่ใช้น้ำมันทั้งหมดของหน่วยงานรัฐบาล ให้เปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ากว่า 650,000 คัน

หรือการเซ็นคำสั่งกลับเข้าร่วมภาคีข้อตกลงปารีส เพื่อร่วมกันแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศโลก ซึ่งไบเดนจรดปากกา ‘จัดการคำสั่ง’ เหล่านี้ นับตั้งแต่หย่อนตัวลงนั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีก็ว่าได้

หลายสิ่งอย่างเหล่านี้ สะท้อนได้ดีว่า เขาให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาโลกร้อน และภาวะธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ถึงขนาดหล่นประโยคสำคัญเมื่อเข้าสู่ทำเนียบขาวในวันแรก ๆ ว่า “ถึงเวลาต้องดำเนินการแล้ว”

The States Times รวบรวมแอ็คชั่นคำสั่งการต่าง ๆ ของไบเดน กับภารกิจรักษ์โลกครั้งนี้ ไปดูกันว่า เขาได้ทำ และกำลังทำอะไร เพื่อสิ่งแวดล้อมแล้วบ้าง?


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top