Thursday, 3 July 2025
ค้นหา พบ 49165 ที่เกี่ยวข้อง

‘แรมโบ้’ เตือน ผู้นำฝ่ายค้าน ไม่แก้ไขญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ชี้อาจตกหลุมพราง-ร่วมทฤษฎีสมคบคิด หวั่นประชาชนเกิดความไม่พอใจ จนอาจนำไปสู่ความขัดแย้งบานปลายได้อีก

นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่พรรคฝ่ายค้านไม่ยอมแก้ไขญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ว่า แม้นายชวน หลีกภัย ประธานสภาฯ จะบอกว่าไม่ได้เป็นการบังคับ อยู่ที่การตัดสินใจของฝ่ายค้าน แต่นายสมพงษ์ก็ไม่ควรที่จะยื่นญัตตินี้มาอภิปรายฯ

และหากนายสมพงษ์และฝ่ายค้านไม่ยอมถอน และแก้ญัตติเรื่องนี้ เป็นการทำให้เห็นว่านายสมพงษ์ไม่มีความห่วงใยบ้านเมือง คาดการณ์ได้เลยอาจจะมีเหตุการณ์วุ่นวายในสภาฯและนอกสภาฯได้

นายสมพงษ์ไม่เหมาะสมกับตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ เพราะตัดสินใจไม่เป็นว่าญัตตินี้ไม่ควรยื่นอย่างยิ่ง และสิ่งใดควรทำ สิ่งใดไม่ควรทำ เป็นผู้ใหญ่แล้วไม่กล้าตัดสินใจ กลายเป็นเครื่องมือให้พรรคที่คิดล้มล้างสถาบัน ยืมพรรคเพื่อไทยมาเป็นเครื่องมือในการที่จะนำมาอภิปรายเสียดสีสถาบัน คิดได้ว่าพรรคเพื่อไทยอาจจะใช้ "ทฤษฎีสมคบคิด" นั้นด้วย

ตนไม่เคยมั่นใจเลยว่าฝ่ายค้านจะระมัดระวังคำพูดของตนเองในการอภิปรายฯ ที่จะไม่ให้กระทบกระทั่งกับสิ่งที่ไม่บังควร เพราะเห็นจากพฤติกรรมของ ส.ส. บางคนหรือบางพรรคการเมืองที่มีความคิดคอยแต่จาบจ้วงสถาบันและสนับสนุนคนออกมาบนท้องถนน มีพฤติกรรมที่ทำผิดมาตรา112 ตลอดมา ซึ่งผู้นำฝ่ายค้านและพรรคร่วมฝ่ายค้านก็ทราบดี

ขณะเดียวกันขอฝ่ายค้านอย่าโยนให้ประธานฯ ในที่ประชุมเพียงฝ่ายเดียวที่เป็นผู้ดูแลการประชุมให้เกิดความเรียบร้อย แต่จะต้องแก้ที่ต้นตอด้วย คือฝ่ายค้านไม่ควรนำมาอภิปรายแต่แรกจะดีกว่า เพื่อให้การอภิปรายเป็นไปได้ด้วยดีและตรงประเด็น เชื่อว่า ส.ส. ฝ่ายค้านแท้จริงแล้วไม่ได้อยากใช้เวทีนี้เพื่อการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯหรือรัฐมนตรี เพราะไม่มีข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงนำมาอภิปรายฯ

ขอถามว่าหากมีใครอภิปรายฯ จาบจ้วงสถาบัน นายสมพงษ์ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านฯ จะรับผิดชอบไหวหรือไม่ อย่าบอก ว่าส.ส.ต้องควบคุมตนเอง เพราะมั่นใจว่าไม่มีทางทำได้อย่างแน่นอน เนื่องจาก ส.ส.บางคนรับงานมาพูดเรื่องสถาบันโดยเฉพาะ

ซึ่งจะไม่สนใจประธานในที่ประชุมอย่างแน่นอน หากมีการพูดพาดพิงสถาบัน แม้ประธานในที่ประชุมจะสั่งให้ถอนคำพูด ตนเองก็มองว่าแก้ไขอะไรไม่ได้ เพราะได้พูดไปแล้วประชาชนได้ยินทั่วประเทศแล้ว และคนทั้งประเทศที่ได้รับชมรับฟังจากการถ่ายทอดสดจะทำให้เกิดความรู้สึกกระทบกระเทือนจิตใจอย่างมาก และเกิดความไม่พอใจ จนอาจนำไปสู่ความขัดแย้งบานปลายได้อีก

รมว. คมนาคม ‘ศักดิ์สยาม ชิดชอบ’ แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ เร่งเดินหน้าระบบตั๋วร่วมรถไฟฟ้า แบ่งเป็นระยะสั้นและระยะยาว รวมทั้งกำหนดมาตรฐานอัตราค่าโดยสารและจัดสรรรายได้ คาดใช้ได้เต็มรูปแบบ ม.ค. 65

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายระบบตั๋วร่วม (คนต.) ครั้งที่ 1/2564 วันนี้ (28 ม.ค. 2564) ว่า การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ได้รายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานระบบตั๋วร่วม โดยแบ่งเป็น 2 ระยะ ประกอบด้วย

1.ระยะสั้น ให้เร่งจัดทำระบบให้บัตรโดยสารที่ประชาชนมีอยู่ในปัจจุบัน สามารถใช้บัตรข้ามระบบได้ ซึ่งเมื่อสามารถใช้บัตรข้ามระบบระหว่างรถไฟฟ้าสายสีเขียว สายสีน้ำเงิน และสายสีม่วง ซึ่งจะทำให้ประชาชนได้รับความสะดวกในการใช้บริการระบบขนส่งมวลชน และส่งผลให้มีปริมาณผู้โดยสารที่เดินทางข้ามระบบสูงขึ้น ทั้งนี้ ให้ รฟม. สนับสนุนข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในการทำให้ระบบดังกล่าวแล้วเสร็จโดยเร็ว

2.ระยะยาว มีการพิจารณาความชัดเจนเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดทำระบบตั๋วร่วมแบบ Account Based Ticketing (ABT) โดยใช้บัตร EMV Contacless (Europay Mastercard and Visa) มาใช้กับระบบตั๋วร่วม โดย รฟม. มีความพร้อมที่จะร่วมมือกับสถาบันการเงินที่มีระบบ EMV ซึ่งปัจจุบันมีธนาคารกรุงไทย ที่แจ้งว่ามีความพร้อมที่จะลงทุนในระบ EMV ทั้งหมด เพื่อให้ผู้ประกอบการมาใช้บริการของธนาคารกรุงไทย สำหรับสายสีม่วง และสายสีน้ำเงิน โดยใน ต.ค. 2564 จะใช้ได้ประมาณ 50% และจะใช้ได้อย่างเต็มรูปแบบภายใน ม.ค. 2565

นายศักดิ์สยาม กล่าวต่ออีกว่า ที่ประชุม คนต. ยังมีมติแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพิ่มเติม 2 คณะ ประกอบด้วย 1.คณะอนุกรรมการด้านการกำหนดมาตรฐานทางเทคโนโลยีและสถาปัตยกรรมองค์กร โดยจะทำหน้าที่กำหนดมาตรฐานเทคโนโลยีการออกตั๋วร่วม มาตรฐานเทคโนโลยีระบบงาน มาตรฐานโครงสร้างข้อมูล มาตรฐานความปลอดภัยทางเทคโนโลยี และมาตรฐานการดำเนินงานของระบบงาน

และ 2.คณะอนุกรรมการด้านการกำหนดมาตรฐานอัตราค่าโดยสารและจัดสรรรายได้ โดยจะทำหน้าที่กำหนดมาตรฐานการจัดเก็บค่าธรรมเนียม มาตรฐานการจัดสรรรายได้ มาตรฐานอัตราค่าโดยสารในกรณีใช้อัตราค่าโดยสารร่วม และกรอบมาตรฐานค่าธรรมเนียมการชำระเงิน และการเจรจาต่อรองกับผู้ให้บริการ

ขณะเดียวกัน ได้มอบนโยบายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาและบริหารจัดการระบบตั๋วร่วมบูรณาการความร่วมมือและความต้องการของประชาชน เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนระบบตั๋วร่วมให้เกิดผลเป็นรูปธรรม เพื่อประโยชน์สูงสุดและการพัฒนาระบบการคมนาคมที่มีประสิทธิภาพ และคำนึงถึงข้อกฎหมาย ระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปด้วยความถูกต้อง ตามหลักธรรมาภิบาล

นอกจากนี้ได้มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) พิจารณาถึงความซ้ำซ้อนของการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับระบบตัวร่วมทั้งหมดที่กำลังพัฒนาอยู่ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยให้พิจารณาถึงการเปิดโอกาสให้สถาบันการเงินหรือธนาคารพาณิชย์เข้ามาร่วมพัฒนาระบบตั๋วร่วมได้ รวมถึงการพัฒนาระบบเก็บค่าผ่านทางอัตโนมัติในรูปแบบ M-Flow ตลอดจนดำเนินการกำหนดองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมการทั้ง 2 คณะ ให้แล้วเสร็จ เพื่อนำเสนอคณะกรรมการในการประชุมครั้งต่อไป ภายในเดือน ก.พ. 2564

30 มกราคม พ.ศ. 2554 หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน เจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี rพระภิกษุผู้มีคุณูปการต่อชาติ ละสังขารอย่างสงบ...

วันนี้ถือเป็นการครบรอบ 10 ปี ของการมรณภาพของพระภิกษุ ผู้ได้ชื่อว่าเป็นสมณคุณเจ้าที่มีประชาชนศรัทธา ตลอดจนทำคุณประโยชน์ต่อชาติบ้านเมืองอย่างมากมาย พระคุณเจ้าท่านนี้คือ พระธรรมวิสุทธิมงคล หรือ หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน

หลวงตามหาบัว เกิดเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2456 จังหวัดอุดรธานี เข้าอุปสมบทเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคมพ.ศ. 2477 ณ วัดโยธานิมิตร จังหวัดอุดรธานี โดยได้ฉายานามว่า ‘ญาณสมฺปนฺโน’ แปลว่า ‘ถึงพร้อมแล้วด้วยการหยั่งรู้’

นอกจากจะอุทิศตนเพื่อการศาสนา หลวงตามหาบัวยังมีคุณูปการต่อชาติบ้านเมือง โดยในช่วง พ.ศ. 2540 เมื่อคราวที่ประเทศต้องประสบภาวะวิกฤติเศรษฐกิจตกต่ำ หลวงตามหาบัวได้ตั้งโครงการ ‘ผ้าป่าช่วยชาติ’ ซึ่งตั้งเป้านำ ‘ทองคำ’ เข้าคลังหลวงให้ได้ 10 ตัน หรือ 10,000 กิโลกรัม

ผลปรากฎว่า สินทรัพย์ที่ ‘โครงการช่วยชาติ โดยหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน’ บริจาคตั้งแต่ 12 เมษายน พ.ศ. 2541 ถึง 9 มกราคม พ.ศ. 2553 ได้นำเข้าคลังหลวงแล้วทั้งสิ้นกว่า 15 ครั้ง เป็นทองคำ 967 แท่ง น้ำหนักรวมกว่า 12,087.50 กิโลกรัม คิดเป็นเงินกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท

หลวงตามหาบัวมรณภาพจากอาการอาพาธจากปอดติดเชื้อ เมื่อเวลา 03.53 น. ของวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2554 สิริอายุรวม 97 ปี 5 เดือน 18 วัน 77 พรรษา ภายหลังการละสังขาร ท่านยังได้สั่งเสียให้นำเงินสดทั้งหมดไปซื้อทองคำแท่ง เพื่อมอบให้ธนาคารแห่งประเทศไทยไว้ใช้เป็นทุนสำรองของประเทศต่อไป

รมว.แรงงาน เล็งช่วยผู้ประกันตน "ประกันสังคมมาตรา 33" ประมาณ 11 ล้านคน จ่ายเยียวยา 4 พันบาท 1 เดือน เร่งถกคลังสรุปตัวเลขและงบประมาณ ชงเข้าครม.สัปดาห์หน้า

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า กระทรวงแรงงานหารือสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แล้ว เกี่ยวกับแนวทางการช่วยเหลือ ผู้ประกันตน ในระบบ ประกันสังคมมาตรา 33 ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ให้ได้รับเงินเยียวยา 3,500 หรือ 4,000 บาท เป็นระยะเวลา 1 เดือน โดยเบื้องต้นจะใช้เงื่อนไขเหมือนกับโครงการเราชนะ ว่า ต้องเป็นแรงงานสัญชาติไทย และมีเงินฝากไม่เกิน 5 แสนบาท

ทั้งนี้ สศช.จะนำรายละเอียดข้อมูลกลับไปหารือร่วมกับกระทรวงการคลัง เพื่อสรุปตัวเลขและงบประมาณ คาดว่าสัปดาห์หน้าจะได้ข้อสรุป หลังจากนั้นจะเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.) พิจารณาเห็นชอบต่อไป ทั้งนี้ เบื้องต้นมีจำนวนผู้ประกันตนมาตรา 33 ประมาณ 11 ล้านคน คิดเป็นงบประมาณที่ต้องใช้กว่า 40,000 ล้านบาท


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top