Thursday, 26 June 2025
ค้นหา พบ 49027 ที่เกี่ยวข้อง

สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียน (14 มกราคม พ.ศ. 2564)

ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประจำวัน โดยประเทศไทยพบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 271 ราย ทำให้ยอดผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 11,262 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 2 รวมยอดผู้เสียชีวิต 69 ราย รักษาหายเพิ่ม 717 ราย รวมผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 7,660 ราย ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 3,533  ราย


ผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศและเข้าสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ จากปากีสถาน 2 ราย ,ฮังการี 1 ราย ,สหราชอาณาจักร 2 ราย ,สหรัฐอเมริกา 1 ราย ,รัสเซีย 1 ราย ,เนเธอร์แลนด์ 1 ราย ,แคนาดา 1 ราย ,เยอรมนี 1 ราย ,อินโดนีเซีย 1 ราย เดินทางมาจากต่างประเทศ เป็นคนไทย 1 ราย จากมาเลเซีย
ผู้ป่วยรายใหม่จากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการ 78 ราย
ติดเชื้อจากการตรวจคัดกรองเชิงรุก 181 ราย

ขณะเดียวกันสถานการณ์ COVID-19 ของประเทศในกลุ่มอาเซียนมีการอัพเดทดังนี้
ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 174 ราย รักษาหายแล้ว 168 ราย เสียชีวิต 3 ราย
ประเทศกัมพูชา ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 411 ราย รักษาหายแล้ว 377 ราย  ไม่มียอดผู้เสียชีวิต
ประเทศอินโดนีเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 8.58 แสน ราย รักษาหายแล้ว 7.03 แสน เสียชีวิต 24,951 ราย
ประเทศลาว ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 41 ราย รักษาหายแล้ว 40 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต
ประเทศมาเลเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.45 แสน ราย รักษาหายแล้ว 1.12 แสน ราย เสียชีวิต 563 ราย
ประเทศพม่า ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.32 แสน ราย รักษาหายแล้ว 1.16 แสน ราย เสียชีวิต 2,902 ราย
ประเทศฟิลิปปินส์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 4.93 แสน ราย รักษาหายแล้ว 4.59 แสน ราย เสียชีวิต 9,699 ราย
ประเทศสิงคโปร์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 58,984 ราย รักษาหายแล้ว 58,722 ราย เสียชีวิต 29 ราย
ประเทศเวียดนาม ยอดรวมติดเชื้อ 1,521 ราย รักษาหายแล้ว 1,369 ราย เสียชีวิต 35 ราย

รัฐมนตรีว่าการท่องเที่ยวและกีฬา เสนอตั้งกองทุนการท่องเที่ยว เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาในประเทศไทย และดูแลหากประสบอุบัติเหตุหรือเจ็บป่วยในประเทศไทย ชงมาตรการจ่ายคนละครึ่งช่วยแรงงานภาคท่องเที่ยว 4 แสนคน

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการท่องเที่ยวและกีฬา ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติครั้งที่ 1/2564 ถึงมาตรการการช่วยเหลือการท่องเที่ยวในช่วงสถานการณ์โควิด -19 ว่า ในการประชุมวันนี้เป็นเรื่องนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติและเรื่องกองทุนการท่องเที่ยว เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาในประเทศไทย และดูแลหากประสบอุบัติเหตุหรือเจ็บป่วยในประเทศไทย คล้ายกับภาษีซาโยนาระของประเทศญี่ปุ่น เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยวว่า เมื่อเข้ามาในประเทศไทยและประสบอุบัติเหตุบริษัทประกันที่นักท่องเที่ยวทำไว้จะต้องดูแลตามขั้นตอนจนกระทั่งกลับประเทศ

เมื่อถามว่าค่าใช้จ่ายการทำประกัน ฝ่ายใดจะเป็นผู้รับผิดชอบ นายพิพัฒน์ กล่าวว่า นักท่องเที่ยวต้องเป็นผู้จ่าย โดยประเมินว่านักท่องเที่ยว 1 คนจะต้องจ่าย 10 ดอลลาร์สหรัฐ ครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลและกรณีเสียชีวิต ซึ่งกระทรวงการท่องเที่ยงและกีฬาจะเก็บเงินส่วนนี้เข้ากองทุน และที่ผ่านมาก็อยากมีกองทุนของตัวเองเพื่อใช้เยียวยาผู้ประกอบการการท่องเที่ยว โดยที่ประชุมวันนี้จะหารือในเรื่องนี้ด้วย หากได้รับความเห็นชอบจะเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.)ให้ความเห็นชอบต่อไป

ผู้สื่อข่าวถามว่ากระทรวงการท่องเที่ยว มีมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 อย่างไรบ้าง นายพิพัฒน์ กล่าวว่า จากการหารือกับสมาคมต่าง ๆ เช่น สภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว สมาคมโรงแรม สมาคมการจัดประชุม ได้ข้อสรุปว่าจะมีการผ่อนผันดอกเบี้ยเงินต้น การเข้าถึงซอฟท์โลน และช่วยเหลือแรงงานในภาคส่วนต่างๆ โดยเฉพาะในภาคส่วนโรงแรม จากนี้จะไปหารือกับกระทรวงแรงงานเพื่อช่วยเหลือแรงงานประมาณ 4 แสนคน ในลักษณะการแบ่งจ่ายคนละครึ่ง รัฐบาลจ่าย 50 เปอร์เซ็นต์ ผู้ประกอบการจ่าย 50 เปอร์เซ็นต์ เป็นเวลา 2 เดือน คือเดือนก.พ.และมี.ค. โดยมีเงื่อนไขผู้ประกอบการจะต้องไม่ปลดพนักงานออก จะเยียวยา

เมื่อถามว่า กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้ติดตามการช่วยเหลือสายการบินที่เคยเข้าพบพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เพื่อขอความช่วยเหลือเรื่องซอฟท์โลนหรือไม่ นายพิพัฒน์ กล่าวว่า ทางกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและกระทรวงคมนาคม ก็สอบถามไปยังกระทรวงการคลัง รวมถึงยังมีการหารือในครม.หลายครั้ง คาดว่าจะเยียวยาได้ทันก่อนที่จะเริ่มมีการเดินทาง ขอย้ำว่ารัฐบาลจะไม่ปล่อยและใครทิ้งไว้ข้างหลังเหมือนที่นายกฯ พูดไว้

กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) บุกทลายเครือข่ายคนจีน ปล่อยเงินกู้ผ่านแอปพลิเคชัน คิดดอกเบี้ยสุดโหด ส่วนวิธีการทวงหนี้ ใช้ข้อมูลในโทรศัพท์มือถือของลูกหนี้ พร้อมข่มขู่ประจานหากไม่จ่าย

ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้ติดตามสถานการณ์ความเดือดร้อนและผลกระทบของประชาชนจากการกู้ยืมเงินผ่านแอปพลิเคชันที่มีมากกว่า 30 แอปพลิเคชัน จนล่าสุดได้มีการแจ้งผ่านแอปพลิเคชันของ DSI " รู้ทัน- Rootan" ให้ข้อมูลเบาะแสรูปแบบการให้กู้ยืมผ่านแอปพลิเคชันโดยหักค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ คิดค่าธรรมเนียม เพื่ออำพรางการคิดดอกเบี้ยในอัตราที่เกินกว่ากฎหมายกำหนด (คำนวณแล้วสูงถึงร้อยละ 750 - 2,500 ต่อปี) และมีการติดตามทวงถามหนี้โดยเข้าถึงข้อมูลในโทรศัพท์มือถือของลูกหนี้ พร้อมข่มขู่ประจาน ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ ความสงบเรียบร้อยและเกิดความเสียหายแก่ประชาชนเป็นวงกว้าง

พันตำรวจโท วิชัย สุวรรณประเสริฐ ผู้อำนวยการกองคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ ศูนย์สืบสวนไซเบอร์ และศูนย์สืบสวนสะกดรอย และการข่าว กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) นำกำลังเข้าตรวจค้นสถานประกอบการในกรุงเทพฯ จำนวน 2 แห่ง พร้อมยึดของกลางอุปกรณ์คอมพิวเตอร์หลายรายการ และจับกุมนายปิน หลิว (BIN LUY) อายุ 35 ปี สัญชาติจีน ผู้ต้องหาในข้อหาร่วมกันเป็นอั้งยี่ ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ และร่วมกันให้กู้ยืมเงินหรืออำพรางการกู้ยืมเงินโดยเรียกดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด

พบว่า เป้าหมายที่เข้าตรวจค้น มีความเกี่ยวข้องกับการโฆษณาให้ประชาชนเข้าไปลงข้อมูลผ่านแอปพลิเคชันต่าง ๆ โดยให้กรอกรายละเอียดข้อมูลส่วนบุคคลและอนุญาตให้แอปพลิเคชันนั้นเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวผ่านทาง Facebook LINE โทรศัพท์มือถือ หรือแม้แต่หมายเลขโทรศัพท์ของบุคคลที่เกี่ยวข้อง รูปแบบการให้กู้ยืมเงินผ่านแอปต่าง ๆ ผู้กู้จะไม่ได้รับเงินเต็มจำนวน โดยแอปพลิเคชันเงินกู้ดังกล่าวจะมีการหักค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ เช่น กู้ยืมเงิน 4,000 บาท ผู้กู้จะได้รับเงินเพียง 2,600 บาท

โดยเงิน 4,000 บาท จะต้องชำระคืนพร้อมดอกเบี้ยภายใน 14 วัน หากลูกหนี้ไม่ชำระคืนจะมีค่าปรับตามจำนวนอัตราที่แอปพลิเคชันนั้นกำหนดไว้ เช่น กู้เงิน 4,000 บาท หากส่งคืนล่าช้า จะมีค่าปรับวันละ 400 – 600 บาท และจะมีการทวงถามไปยังบุคคลใกล้ชิดของผู้กู้ ตามที่มีรายชื่ออยู่ในสมุดโทรศัพท์ที่แอปพลิเคชันนั้นได้ข้อมูลไป มีการเอารูปภาพไปประจาน นอกจากนี้ ยังมีการข่มขู่คุกคามผู้กู้และคนใกล้ชิด ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง บางรายถึงขั้นถูกไล่ออกจากงาน

พันตำรวจโท กรวัชร์ ปานประภากร อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวว่า จากการสืบสวนพบว่า มีคนต่างด้าวเข้ามาเกี่ยวข้องและเป็นนายทุนอยู่เบื้องหลัง มีการสร้างแอปพลิเคชันโดยจะตั้งชื่อเลียนบริษัทที่มีชื่อเสียง True Cash, Cash 2 you เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ เมื่อเจ้าหน้าที่เริ่มกวดขันมากขึ้น ก็จะเปลี่ยนชื่อและกระทำในลักษณะเดียวกันมากกว่า 30 แอปพลิเคชัน เช่น มีเหรียญ ให้กู้เถอะ ยืมเงินด่วน กู้ง่าย Cash 24 h Big Money Cash Loan เป็นต้น

ตรวจสอบเบื้องต้นตั้งแต่ปลายปี 2562 พบบัญชีผู้เกี่ยวข้อง 15 บัญชี มียอดเงินหมุนเวียนกว่า 1,500 ล้านบาท และในวันเดียวกัน (13 มกราคม 2564) คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ได้อายัดบัญชีที่เกี่ยวข้องกว่า 157 บัญชี เพื่อขยายผลให้ถึงเครือข่ายและตัวการใหญ่ต่อไป

อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวต่อว่า ในการตรวจค้นจับกุมช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดโรค โควิด - 19 นั้น ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้ปฏิบัติตามมาตรฐาน Universal Precautions (UP) ตามแนวทางที่ได้ร่วมหารือกับกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข และขอขอบคุณอธิบดีกรมควบคุมโรคที่ให้คำแนะนำและมอบหมายเจ้าหน้าที่มาร่วมปฏิบัติการในครั้งนี้ด้วย

โดยขอเตือนให้ประชาชนระวังอย่าเปิดบัญชีเงินฝากให้กับมิจฉาชีพเพราะอาจถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย และหากท่านพบเห็นการกระทำความผิดเกี่ยวกับทางเทคโนโลยี สามารถแจ้งเบาะแสได้ผ่านทางแอปพลิเคชัน รู้ทัน : Rootan ของศูนย์สืบสวนไซเบอร์ กองคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI)

ทีม “ก้าวไกล-ก้าวหน้า-ส้มจี๊ด” ระดมกำลังแจกถุงยังชีพ เยียวยาน้ำท่วมใต้ - ชี้ น้ำท่วมครั้งนี้ไม่ใช่ภัยธรรมชาติ แต่เกิดจากความล้มเหลวในการบริหารจัดการน้ำ - เตรียมทำหนังสือผ่าน “ลุงชวน” ถึงความรับผิดชอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

นายประเสริฐพงษ์ ศรนุวัตร์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร์ (ส.ส.) แบบบัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล เดินทางลงพื้นที่เพื่อรับฟังความเดือดร้อนของชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม 3 จังหวัดชายแดนใต้ ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส เกิดเหตุอุทกภัยน้ำท่วมฉับพลันจากเขื่องบางลาง นอกจากนี้นายประเสริฐพงษ์ เป็นยังผู้ประสานทั้ง 3 หน่วยงาน คือ พรรคก้าวไกล คณะก้าวหน้า และบริษัทส้มจี๊ดเอ็นเตอร์ไพรส์ ในการช่วยเหลือผู้สบภัยโดยการแจกถุงยังชีพ ช่วยเหลือเยียวยาให้กับประชาชนผ่านพ้นวิกฤติน้ำท่วมครั้งนี้ไปให้ได้

นายประเสริฐพงษ์ กล่าวว่า ขณะนี้มีพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมฉับพลันทั้งสิ้น 4 จังหวัด คือ สงขลา ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส รวม 32 อำเภอ 193 ตำบล 1,047 หมู่บ้าน มีประชาชนได้รับผลกระทบกว่า 70,000 ครัวเรือน ซึ่งวันนี้ตนอยู่ในพื้นที่ ต.ปะกาฮะรัง จ.ปัตตานี แม้ระดับน้ำจะลดลงแต่ยังคงต้องใช้เรือในการสัญจรและเข้าไปช่วยเหลือประชาชน ซึ่งประชาชนยังคงอยู่ในพื้นที่สูงอย่างเช่นบนสะพาน ส่วนความเสียหายของชาวบ้านคือกระชังปลา และวัวที่ล้มตายจากเหตุน้ำท่วม ส่วนวานนี้ตนได้ลงพื้นที่ ต.ยุโป อ.เมือง ยะลา โดยมีผู้นำชุมชนเป็นผู้ประสานในการแจกถุงยังชีพ จากสิ่งที่ตนเห็นนั้นสังเกตได้ว่า ประชาชนที่อาศัยเป็นบ้านชั้นเดียวนั้นขนย้ายสิ่งของเครื่องใช้ไฟฟ้าไม่ทัน ส่วนคนที่อยู่บ้านสองชั้นขนย้ายสิ่งของทันเป็นบางส่วน

“การลงพื้นที่ช่วยเหลือเยียวยาประชาชนในครั้งนี้เป็นการร่วมมือกันของ 3 หน่วยงาน คือ พรรคก้าวไกล คณะก้าวหน้า และบริษัทส้มจี๊ดเอ็นเตอร์ไพรส์ โดยเป็นการเข้าไปรับฟังปัญหาและแจกถุงยังชีพ ซึ่งประกอบด้วย ชุดข้าวสารอาหารแห้ง และนมแพะ ที่เป็นผลิตภัณฑ์ส่งเสริมเศรษฐกิจระดับรากหญ้าของบริษัทส้มจี๊ด และจากการรับฟังปัญหามานั้น ชาวบ้านได้ตั้งคำถามกับเหตุการณ์น้ำท่วมในครั้งนี้ เนื่องจากน้ำท่วมครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากภัยธรรมชาติ แต่เกิดจากการบริหารจัดการน้ำผิดพลาดจากเขื่อนบางลาง ซึ่งปัญหาทั้งหมดผมจะนำเข้าสู่การประชุมสภาในวาระต่อไป”

นายประเสริฐพงษ์ กล่าวต่อว่า เหตุการณ์น้ำท่วมลักษณะนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก เพราะเมื่อ 2-3 ปีที่แล้วก็เกิดเหตุการน้ำท่วมในลักษณะเดียวกัน ดังนั้น น้ำท่วมในครั้งนี้คือความล้มเหลวในการบริหารจัดการน้ำของเขื่อนบางลาง ตนเชื่อว่าในเมื่อเรามีเทคโนโลยีที่ดีที่ทันสมัย เราสามารถป้องกันไม่ให้เกิดน้ำท่วมในลักษณะแบบนี้ได้ ทั้งนี้ตนจะใช้ช่องทางการประชุมสภาในช่วงปรึกษาหารือในวาระต่อไป ผ่านท่านประธานสภาให้ทำหนังสือไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ผู้บริหารเขื่อนบางลางที่อยู่ในการดูแลของ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) แสดงความรับผิดชอบ และให้ความชัดเจน เนื่องจากประชาชนในพื้นที่ยังคงมีความกังวล ว่าเขื่อนบางลางจะปล่อยน้ำเป็นระลอกที่ 2 หรือไม่ ทำให้ประชาชนในพื้นที่ยังไม่กล้าขนย้ายสิ่งของกลับเข้าบ้านของตนเอง

ทั้งนี้ หากสถานการณ์ดีขึ้น ระดับน้ำลดลง เครือข่ายของคณะก้าวหน้าและพรรคก้าวไกลจะระดมกำลังเข้ามาช่วยเหลือประชาชน ในการซ่อมแซม เยียวยาและฟื้นฟูบ้านเรือนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมในครั้งนี้

ไมค์ ภาณุพงศ์ แกนนำม็อบคณะราษฎร ปลุกสาวกสามนิ้ว แบน ‘ดอยคำ’ โครงการหลวง ตัดทางทำมาหากินของชาวดอยผู้ด้อยโอกาส

จากกรณีที่พิมรดาภรณ์ เบญจวัฒนะพัชร์ หรือพิมรี่พาย แม่ค้าออนไลน์และยูทูปเบอร์ชื่อดัง ได้เดินทางไปที่ หมู่บ้านแม่เกิบ ต.นาเกียน อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ เพื่อช่วยเหลือชาวบ้านและเด็กๆ ซึ่ง พิมรี่พาย ก็ได้ทุ่มเงินของตัวเองกว่า 5 แสนบาท ในการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ และซื้ออุปกรณ์อื่นๆ เพื่อช่วยเหลือเด็กๆ ที่ด้อยโอกาสนั้น

ต่อมาก็ได้เกิดประเด็นร้อนแรง โดยมีสาวกปลดแอก ได้โพสต์ข้อความถึงกรณีของพิมรี่พาย และขยายผลเชื่อมโยงไปโจมตีสถาบัน โดยเฉพาะโครงการหลวงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 9 ที่ทรงมีพระราชดำริตั้งโครงการต่างๆ เพื่อช่วยเหลือพี่น้องชาวเขา ที่อยู่ในถิ่นทุรกันการให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีรายได้หาเลี้ยงตัวเองได้

ล่าสุด นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือไมค์ ระยอง แกนนำกลุ่มคณะราษฎร กลายเป็นอีกคนที่ออกมาโพสต์โจมตีเกี่ยวกับโครงการหลวง โดยได้โพสต์ข้อความถึงโครงการหลวงโครงการหนึ่งอย่าง ‘ดอยคำ’ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์สินค้าที่แปรรูปผ่านโรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูป หนึ่งในโครงการตามพระราชดำริ ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 9 โดยระบุข้อความว่า

“ผลิตภัณฑ์ #ดอยคำ

ผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ ‘ดอยคำ’ มาจากการพัฒนาของ ‘มูลนิธิโครงการหลวง’ ที่ #ได้งบประมาณจากรัฐปีละหกร้อยกว่าล้านบาท สำหรับทำกิจกรรมต่างๆ โดยหนึ่งในกิจกรรมที่ใช้งบประมาณที่ว่านี้ คือการแปรรูปและพัฒนาสินค้าเกษตร ก่อนจะถูกนำไปผลิตและจำหน่ายโดย ‘#บริษัทดอยคําผลิตภัณฑ์อาหาร จํากัด’ ภายใต้แบรนด์ ‘ดอยคำ’

ที่หลายคนอาจจะเข้าใจว่า “#บริษัทดอยคำฯ” เป็นของมูลนิธิโครงการหลวง แต่ข้อเท็จจริงคือมูลนิธิฯ ถือหุ้นเพียง 2.94% ส่วนที่เหลืออีก 97.06% นั้นถือหุ้นโดยสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ อันนี้ว่าตามข้อมูลปี 2560 เพราะปัจจุบันหุ้นในส่วนนี้ #ถือตรงโดยพระนามของในหลวง ร.10 ของเรา

งบประมาณจากเงินภาษี -> อุดหนุนมูลนิธิโครงการหลวง -> ม.โครงการหลวงใช้งบประมาณรัฐพัฒนาผลิตภัณฑ์ (ปั้นโปรดักส์) ก่อนจะให้ บจก.ดอยคำ ซึ่งมีฐานะเป็น ‘บริษัทเอกชน’ (และถือหุ้นใหญ่โดยในหลวง ร.10) ผลิตและจำหน่าย”

สำหรับ ดอยคำ ก่อตั้งขึ้นจากแนวพระราชดำริของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 9 ที่ทรงมีพระราชประสงค์ในการแก้ไขปัญหาความทุกข์ยากของราษฎรบนพื้นที่สูงทางภาคเหนือของไทย ทรงก่อตั้งโรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูปขึ้นในพื้นที่การเกษตร เมื่อปี พ.ศ.2515 ดำเนินการส่งเสริม รับซื้อ พัฒนา และแปรรูปผลผลิต เพื่อให้ได้มาซึ่งผลิตภัณฑ์ส่งเสริมสุขภาพที่มีคุณภาพ ในราคาเป็นธรรม โดยเริ่มต้นเพียง 10 รายการ ใน 2 กลุ่มสินค้า ต่อมาในปี พ.ศ.2537 ได้จัดตั้งองค์กรเป็นนิติบุคคลภายใต้ชื่อ บริษัท ดอยคำผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด ดำเนินธุรกิจเพื่อสังคม ตามศาสตร์พระราชา พัฒนาสร้างสรรผลิตภัณฑ์คุณภาพจากชุมชนและผลผลิตของเกษตรกรไทย ส่งเสริม รับซื้อ พัฒนา และแปรรูปผลผลิต พร้อมสนับสนุนและส่งเสริมเกษตรปลอดภัย พลังงานทดแทน เพื่อความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับการมุ่งพัฒนาชุมชน ให้เกิดความเข้มแข็งและมีคุณภาพชีวิตที่ดี อย่างยั่งยืน จวบจนปัจจุบัน


ที่มา: The Truth


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top