Thursday, 26 June 2025
ค้นหา พบ 49021 ที่เกี่ยวข้อง

‘บิ๊กป้อม’ อุบตอบ หลังเพจเฟซบุ๊ก ‘FC ลุงป้อม ประวิตร’ ซึ่งเป็นเพจสนับสนุน โพสต์ข้อความเชียร์ พล.ต.อ.จักรทิพย์ อดีตผบ.ตร. ลงชิงเก้าอี้ผู้ว่าฯกทม. ปัดแล้วแต่ที่ประชุมของพรรคพลังประชารัฐ

‘บิ๊กป้อม’ อุบตอบ หลังเพจเฟซบุ๊ก ‘FC ลุงป้อม ประวิตร’ ซึ่งเป็นเพจสนับสนุน โพสต์ข้อความเชียร์ พล.ต.อ.จักรทิพย์ อดีตผบ.ตร.ลงชิงเก้าอี้ผู้ว่าฯกทม. ปัดแล้วแต่ที่ประชุมของพรรคพลังประชารัฐ

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงเพจเฟซบุ๊ก ‘FC ลุงป้อม ประวิตร’ ซึ่งเป็นเพจสนับสนุน โพสต์ข้อความเชียร์  พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีตผบ.ตร.ลงชิงเก้าอี้ผู้ว่าฯกทม. ว่า ยังไม่ได้ประชุมพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เลย ซึ่งเรื่องนี้ต้องแล้วแต่ที่ประชุมของพรรค อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ต้องไปถามพล.ต.อ.จักรทิพย์เอาเอง ก็ขึ้นอยู่กับตัวเขา

เมื่อถามย้ำว่าในนามหัวหน้าพรรค พปชร. พร้อมสนับสนุนหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ถ้าถามในนามหัวหน้าพรรคก็ต้องตอบว่า ต้องรอให้มีให้ประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค แต่ประชุมเมื่อไหร่ยังไม่ทราบ เมื่อถามว่าพล.ต.อ.จักรทิพย์ เป็นหนึ่งในแคนดิเดตที่จะส่งลงสมัครในนามพรรคที่จะชิงเก้าอี้ผู้ว่าฯกทม.หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ยังไม่รู้ และ เรื่องนี้ตนยังไม่ได้ดูรายละเอียด  ซึ่งเราต้องหารือกับพรรคและ คณะกรรมการบริหารพรรคเสียก่อน ซึ่งที่ผ่านมาพล.ต.อ.จักรทิพย์ ยังไม่เคยมาปรึกษาตนในเรื่องดังกล่าว อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประวิตร ปฏิเสธตอบคำถามถึงคุณสมบัติของพล.ต.อ.จักรทิพย์ ว่ามีความพร้อมและเหมาะสมจะเป็นผู้ว่าฯกทม.หรือไม่

พล.อ.ประวิตร ยังกล่าวถึงกรณีกลุ่มราษฎรนัดชุมนุมที่ศาลธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี หลัง  ตำรวจจับกุม นายสิริชัย นาถึง หรือนิว นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ในข้อหาความผิด ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ว่า เรื่องนี้ก็ให้ไปถามผู้ชุมนุมแล้วกัน

เลขานุการประธานรัฐสภา ‘ราเมศ รัตนเชวง’ เดือด เกรียนคีย์บอร์ดตัดต่อภาพปืนจ่อหัว “ชวน” สวนกลับ “ภาพแบบนี้ทำกับพ่อคุณคุณจะรู้สึกอย่างไร” เตรียมแจ้ง ปอท. เอาผิด 15 ม.ค.นี้

นายราเมศ รัตนเชวง เลขานุการประธานรัฐสภา เปิดเผยว่า ในวันที่ 15 ม.ค.เวลา 13.30 ตนจะเดินทางไป กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี(ปอท.) ศูนย์ราชการ อาคาร B ชั้น 4 ถ.แจ้งวัฒนะ เพื่อดำเนินคดีกับผู้ที่ตัดต่อภาพ นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา จนได้รับความเสียหาย รวมถึงบุคคลที่โพสต์ข้อความใส่ร้าย หมิ่นประมาท ในทวิตเตอร์ และ เฟซบุ๊ก หลังมีผู้ร้องเรียนแจ้งข้อมูลมาเป็นจำนวนมาก มีทั้งการนำภาพไปตัดต่อภาพ ใช้ปืนจ่อศีรษะของนายชวนที่สื่อถึงความรุนแรง และอาจส่งผลต่อความปลอดภัย และเป็นการละเมิดสิทธิประธานรัฐสภา

หลังจากที่นายราเมศทวิตเรื่องนี้ มีผู้มาแสดงความเห็นจำนวนมาก ส่วนหนึ่งอยากให้ดำเนินคดีอย่างจริงจังเพื่อให้เข็ดหลาบ เพราะปัจจุบันแม้จะเป็นแอคเคาท์ที่ไม่เปิดเผยตัวตนก็สามารถตามตัวมาดำเนินคดีได้ ขณะที่บางคนวิจารณ์ว่าเป็นความพยายามที่จะใช้กฎหมายกับประชาชนมากเกินไปหรือไม่ ทำแล้วประชาชนก็จะมีความสุข กินดีอยู่ดี ไม่มีบ่อนไม่มียาเสพติดใช่หรือไม่ ทำให้นายราเมศต้องตอบโต้กลับเหตุผลที่ใช้สิทธิตามกฎหมาย ว่า “ภาพแบบนี้ทำกับพ่อคุณคุณจะรู้สึกอย่างไร” และมีอีกหลายภาพที่แย่กว่านี้อย่าพูดแค่ปลายเหตุการณ์

“กระทำต่อคนอื่นก่อน พอเขาใช้สิทธิตามกฎหมายก็เบี่ยงประเด็น คิดว่าจะด่าจะใส่ร้ายคนอื่นอย่างไรก็ได้หรือครับ สุดยอดเลย ส่วนงานช่วยเหลือประชาชนไม่ต้องกังวลครับ เพราะมันคนละเรื่องกัน และเป็นสิ่งที่ทำอยู่แล้ว เปลี่ยนความคิดใหม่นะครับ” นายราเมศ ระบุ

ประสบการณ์ไม่รู้ลืม!! ภาพบาดใจประชาธิปไตยสหรัฐฯ! ทหารนอนเกลื่อนรัฐสภา ราวกับครั้งเกิดสงครามกลางเมือง ช่วงทศวรรษ 1860

กำลังพลจากกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิหลายร้อยนายต้องหลับนอนบนทางเดินของอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ ซึ่งเชื่อว่าเป็นครั้งแรกที่ทหารมาปักหลักค้างคืน ณ ที่แห่งนี้ นับตั้งแต่คราวเกิดสงครามกลางเมืองในช่วงทศวรรษ 1860

ภาพต่างๆ จากตอนเช้าวันพุธ (13 ม.ค.) พบเห็นกำลังพลจากกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิพร้อมรบ กำลังหลับนอนอยู่เกือบทั่วทุกหนทุกแห่งของอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ จำนวนมาก พร้อมปืนไรเฟิลจู่โจมอยู่เคียงข้างกาย

กองทหารเข้าประจำการและหลับนอนในอาคารรัฐสภา หลังได้รับการร้องขอในตอนเวลา 18.00 น.ของวันอังคาร (12 ม.ค.) โดยเวลานี้คาดหมายว่ามีกำลังพลของกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิอย่างน้อยๆ 20,000 นายอยู่ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ท่ามกลางความกังวลที่มากขึ้นเรื่อยๆ ต่อภัยคุกคามเกิดจลาจลรุนแรง ก่อนพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีของโจ ไบเดน ในวันพุธหน้า (20 ม.ค.)

ในภาพที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน พบเห็นบรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต้องก้าวข้ามร่างของกำลังพลจากกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิเพื่อเข้าไปประชุมสภา ที่เปิดพิจารณาถอดถอนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ต่อเหตุจลาจลเมื่อสัปดาห์ที่แล้วซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้ต้องส่งทหารเข้าประจำการรักษาความปลอดภัย

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยรายหนึ่งของรัฐสภา ให้สัมภาษณ์ต่อสำนักข่าวบลูมเบิร์กว่า “มันเป็นครั้งแรกที่มีทหารมาป้วนเปี้ยนในรัฐสภานับตั้งแต่สงครามกลางเมืองสหรัฐฯ ในช่วงทศวรรษที่ 1860”

การปรากฏตัวของกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิ มีขึ้นจากความล้มเหลวด้านการประสานงานที่ทำให้กำลังพลของกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิไม่ได้ถูกเรียกเข้ามาช่วยเหลือตำรวจรัฐสภาครั้งเกิดเหตุอลหม่านเมื่อวันพุธที่แล้ว จนกระทั่งตำรวจถูกบรรดาผู้ชุมนุมบุกฝ่าเข้าไปอย่างง่ายดาย ก่อความวุ่นวายแก่ที่ประชุมรับรองชัยชนะในศึกเลือกตั้งของไบเดน

เดิมทีก่อนหน้าเกิดจลาจล ทางกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิของวอชิงตัน ดี.ซี. คาดหมายเพียงแค่จะส่งกำลังพลเพียง 340 นายเข้าช่วยเหลือจัดการด้านจลาจลและให้การสนับสนุนทางโลจิสติกส์ สำหรับพิธีสาบานตนในวันพุธหน้า แต่ “ตอนนี้คุณคาดหมายได้เลยว่าจะได้เห็นสมาชิกกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิมากกว่า 20,000 นายในเมืองหลวง” รักษาการผู้บัญชาการตำรวจ ดี.ซี.กล่าว

บริเวณด้านนอก เจ้าหน้าที่ยังได้วางแนวเหล็กโดยรอบพื้นที่สำคัญๆ ของรัฐบาล ด้วยรั้วความสูง 8 ฟุต และมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคอยประจำการอยู่หนาแน่น

ท่ามกลางทหารจำนวนมากที่ถูกส่งเข้าประจำการ เจฟฟรีย์ โรเซน รักษาการรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ เตือนว่ามีความเป็นไปได้ที่พวกก่อการร้ายภายในประเทศจะลงมือโจมตีอีก

“ผมต้องการส่งสารที่ชัดเจนถึงใครบางคนที่คิดใช้ความรุนแรง ขู่ใช้ความรุนแรงหรือทำผิดทางอาญาอื่นๆ เราจะไม่อดทนต่ออะไรก็ตามที่พยายามก่อความปั่นป่วนการถ่ายโอนอำนาจอย่างสันติ ในนั้นรวมถึงความพยายามใช้กำลังบุกยึดอาคารราชการต่างๆ” เขากล่าว “ไม่มีข้ออ้างสำหรับความรุนแรง ทำลายทรัพย์สินของรัฐ หรือรูปแบบไร้ขื่อแปอื่นๆ”

การประจำการทหารในรัฐสภา มีขึ้นตามหลังมีคำเตือนจากเอฟบีไอว่ากลุ่มติดอาวุธสาวก “ทรัมป์” เตรียมป่วนพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของ “ไบเดน” ทั้งในกรุงวอชิงตัน และทั่วอเมริกาสัปดาห์หน้า

สำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐฯ (เอฟบีไอ) ได้ออกเอกสารภายในเตือนว่า มีความเป็นไปได้ที่พวกผู้สนับสนุนทรัมป์ซึ่งติดอาวุธ เช่น กลุ่มขวาจัด “บูกาลู บอยส์” มีแผนก่อการประท้วงและบุกที่ทำการรัฐบาลในเมืองเอกของทั้ง 50 รัฐในวันที่ 20 นอกจากนั้นยังมีกลุ่มติดอาวุธกลุ่มหนึ่งขู่ก่อความรุนแรงถ้ารัฐสภาพยายามถอดถอนทรัมป์


(ที่มา: นิวยอร์กโพสต์)

Cr https://sondhitalk.com/detail/9640000003587

เลขาพรรคก้าวไกล ‘ชัยธวัช ตุลาธน’ จี้หยุดใช้ ม.112 เป็นเครื่องมือปราบปรามทางการเมือง อัดตำรวจทำเกินกว่าเหตุ เผย "ก้าวไกล" เตรียมเสนอชุดร่างแก้ไขกฎหมายคุ้มครองเสรีภาพการแสดงออก

นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีตำรวจนำกำลังเข้าจับกุม นายศิริชัย นาถึง หรือ นิว นักศึกษาชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อช่วงเวลาประมาณ 5 ทุ่ม ของวานนี้ (13 ม.ค.) จากข้อหาตามมาตรา 112 โดยกล่าวหาว่า เขากระทำความผิดจากการพ่นข้อความ "ยกเลิกมาตรา 112" และ "ภาษีกู" ว่า ตนเห็นว่านี่เป็นอีกครั้งที่เจ้าหน้าที่ได้บังคับใช้กฎหมายมาตรา 112 อย่างไม่เป็นธรรม และละเมิดสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน จนกลายเป็นเครื่องมือในการปราบปรามทางการเมือง ซึ่งในกรณีของนิว เจ้าหน้าที่ไม่มีเหตุผลที่จะต้องออกหมายจับก่อนออกหมายเรียกไปรับทราบข้อกล่าวหาตามขั้นตอนปกติ

นอกจากนี้ยังเป็นการบุกจับกุมในยามวิกาล ละเมิดสิทธิของผู้ถูกกล่าวหา ไม่ให้ติดต่อทนายความ และมีการบุกค้นสถานที่พักก่อนแสดงหมายค้น และกรณีดังกล่าวถือเป็นนโยบายที่ผิดพลาดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา นายกรัฐมนตรี ซึ่งได้แถลง เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2563 ว่าจะใช้กฎหมายทุกฉบับ รวมทั้งมาตรา 112 ต่อนักเรียน นักศึกษาที่ออกมาชุมนุม และแสดงออกทางการเมือง เพื่อให้บ้านเมืองสงบ ส่งผลให้ถึงขณะนี้มีผู้ถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 แล้ว 40 รายใน 28 คดี โดยผู้ถูกดำเนินคดีที่มีอายุน้อยที่สุดคือ 16 ปี

"พรรคก้าวไกลยืนยันว่านโยบายเช่นนี้ของรัฐบาล ไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้องในการรับมือต่อการแสดงออกทางการเมืองของนักเรียน นักศึกษา ที่มีการเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ ลาออก และปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะนอกจากจะไม่สามารถคลี่คลายความขัดแย้งและความเห็นต่างทางการเมืองได้แล้ว การบังคับใช้มาตรา 112 ในสถานการณ์ปัจจุบัน จะยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพระมหากษัตริย์กับประชาชนแย่ลงในสังคมประชาธิปไตย ผมหวังว่านิวจะได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวในวันนี้ เพื่อสามารถออกมาใช้สิทธิในการต่อสู้คดีและขอเรียกร้องให้รัฐบาลยุติการใช้มาตรา 112 รวมทั้งกฎหมายความมั่นคงอื่นๆ เป็นเครื่องมือปราบปรามทางการเมืองและละเมิดสิทธิ เสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน" นายชัยธวัช กล่าว

นายชัยธวัช กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ เมื่อสภาเปิดประชุมอีกครั้ง พรรคก้าวไกลจะยื่นร่างแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา ในฐานความผิดเกี่ยวกับการหมิ่นประมาททั้งหมด รวมถึง มาตรา 112, ร่างแก้ไข พ.ร.บ.การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560, และร่างแก้ไข พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 เพื่อคุ้มครองและประกันเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชนตามหลักการขั้นพื้นฐานในระบอบประชาธิปไตย.

ครม. ยืดระยะเวลา ปล่อยกู้ซอฟท์โลนถึงกลางปีนี้ ขยายมาตรการสินเชื่อในโครงการต่างๆ ช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อย ผู้ประกอบการอิสระ และผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้

รัฐมนตรีทบทวนมติ ครม. เกี่ยวกับมาตรการการเงินการคลังเพื่อสนับสนุนการลงทุนในประเทศ ปี 2563 มาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID - 19) ต่อเศรษฐกิจไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม ระยะที่ 2 และมาตรการช่วยเหลือ SMEs โดยอนุมัติให้มีการขยายระยะเวลาการขอสินเชื่อและพิจารณาสินเชื่อออกไปจนถึงสิ้นเดือนมิถุนายน ปีนี้ รายละเอียดดังนี้

1. มาตรการสินเชื่อเพื่อการลงทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) วงเงินสินเชื่อรวมทั้งสิ้น 5,000 ล้านบาท (วงเงินสินเชื่อไม่เกิน 100 ล้านบาทต่อราย) ให้ขยายระยะเวลาการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564 โดยยังคงเหลือวงเงินภายใต้โครงการ อีก 2,142 ล้านบาท

.

2. โครงการสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับผู้มีอาชีพอิสระที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID - 19) ซึ่งธนาคารออมสินสนับสนุนสินเชื่อ จำนวน 20,000 ล้านบาทและ ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อ 20,000 ล้านบาท ให้แก่ประชาชนที่มีอาชีพอิสระ ไม่มีรายได้ประจำหรือเกษตรกรรายย่อย ให้ขยายระยะเวลารับคำขอสินเชื่อจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564 ซึ่งรวม 2 ธนาคาร มีวงเงินคงเหลือทั้งสิ้น 14,365 ล้านบาท ธนาคารออมสินยังเหลือวงเงิน 2,990 ล้านบาท และธ.ก.ส. ยังมีวงเงินคงเหลืออีก 11,375 ล้านบาท

3. โครงการสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับผู้มีรายได้ประจำที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID - 19) ของธนาคารออมสิน จำนวน 5,000 ล้านบาท ให้จัดสรรวงเงินที่เหลือ 2,987 ล้านบาท ให้ธนาคารออมสินไปดำเนินโครงการสินเชื่อเสริมพลังฐานราก เพื่อปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการรายย่อย ผู้ประกอบอาชีพอิสระ ผู้มีรายได้ประจำ และรวมถึงบุคคลที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID – 19 ภัยทางเศรษฐกิจ และภัยทางธรรมชาติ

4. โครงการสินเชื่อเสริมพลังฐานราก ของธนาคารออมสิน : ขยายระยะเวลารับคำขอสินเชื่อออกไปจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564 วงเงินดำเนินโครงการสินเชื่อเสริมพลังฐานราก จำนวน 10,000 ล้านบาท ยังคงมีวงเงินสินเชื่อคงเหลืออยู่อีกจำนวน 7,425 ล้านบาท หากรวมวงเงินจากโครงการสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่าย ฯ ธนาคารออมสินที่เหลือ 2,987 ล้านบาท จะมีวงเงินในการปล่อยสินเชื่อในโครงการนี้ รวมทั้งสิ้น 10,412 ล้านบาท

ทั้งนี้ การขยายมาตรการสินเชื่อในโครงการต่างๆ เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อย ผู้ประกอบการอิสระ และผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ รวมทั้งลดความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ยังคงมีความไม่แน่นอน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top