Wednesday, 25 June 2025
ค้นหา พบ 49000 ที่เกี่ยวข้อง

‘พุทธะอิสระ’ อดีตเจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ค ‘หลวงปู่พุทธะอิสระ (Buddha Isara)’ ระบุ อย่าวางใจกรณีม็อบ 3 นิ้ว ดูเงียบสงบ คาดรอ ‘นายใหญ่ประชาธิปไตย’ จากต่างประเทศชี้นิ้ว

หลายคนถามเข้ามาว่า พักนี้ทำไมพวกม็อบสามนิ้ว ดูจะเงียบๆ ทั้งที่ข้อเรียกร้องก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ

ตอบแบบไม่ต้องคิด ไม่ซับซ้อน เอาง่ายๆ

เมื่อใดการเมืองของสหรัฐยังไม่ชี้ชัด ภายในประเทศประชาธิปไตยที่ใหญ่ที่สุดในโลกยังไม่สงบ ลิ่วล้อม็อบสามนิ้ว ก็ยากที่จะก่อตัว

ซึ่งยุทธวิธี ท่อน้ำเลี้ยง และกำลังเสริม ล้วนแล้วแต่เป็นนายใหญ่ประชาธิปไตย เป็นผู้ให้มาทั้งนั้น

อีกทั้งการเมืองในระดับท้องถิ่นของแนวร่วม ก็พ่ายแพ้หัวทิ่มบ่อ แบบหมอไม่รับเย็บ

ตราบใดที่ประเทศประชาธิปไตยตัวพ่อ ยังไม่ชี้ทิศทางการเมืองระหว่างประเทศลงมา และหัวหน้าแนวร่วมภายในประเทศยังไม่หายเมายาแก้แพ้ บ้านเมืองไทยในวิกฤตโควิด ก็คงยังจะดูสงบไปอีกพักใหญ่ๆ

ถามว่า แล้วพวกม็อบนักเรียนเลว ที่ออกมาเรียกร้องเรื่องการเรียนออนไลน์ แต่มาจบลงตรงยกเลิกมาตรา 112

เรียกว่า ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ แต่จบลงท้ายดันกลายเป็นบ้องกัญชา

ถามว่า มีการชุมนุมในสถานการณ์โรคระบาดและประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเช่นนี้ แสดงว่า ปี่กลองการชุมนุมจะเริ่มขึ้นแล้วใช่ไหม

ตอบว่า มองได้สองอย่าง

อย่างแรก เป็นการหยั่งเชิง ลองเรียกแขกดูว่าจะมีมวลชนเข้าร่วมมากน้อยแค่ไหน

อย่างที่สอง เป็นการสำรวจกระแสว่ายังมีผู้เห็นด้วยต่อข้อเรียกร้อง และแสดงออกแค่ไหน เพื่อจะนำมากำหนดแผนขับเคลื่อนมวลชน และเรียกความสนใจต่อนายทุนว่า จะทุ่มงบมาให้เท่าไหร่ต่อไปในอนาคต

พุทธะอิสระ


ที่มา : เฟซบุ๊ค : หลวงปู่พุทธะอิสระ (Buddha Isara)

กระทรวงศึกษาธิการ ชื่นชมเน็ตไอดอลและทุกภาคส่วน ที่ตั้งใจช่วยเด็กพื้นที่ห่างไกล ยืนยันนโยบายกระทรวงศึกษา ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเท่าเทียม ครอบคลุมทุกพื้นที่

นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ และโฆษกรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช) เปิดเผยว่า ตามที่ขณะนี้ในสื่อและสังคมออนไลน์ได้มีการพูดถึงกรณีการไปทำ CSR ลงพื้นที่ช่วยเหลือเด็กบนดอยของเน็ตไอดอลชื่อดัง จนกลายเป็นกระแส ดราม่าในสังคม

ทำให้หลายคนตั้งคำถามถึงกระทรวงศึกษาธิการในการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลนั้น โดยส่วนตัวรู้สึกชื่นชมเน็ตไอดอล รวมถึงภาคส่วนต่าง ๆ ที่มีเจตนาดี ในการช่วยเหลือเด็กให้ได้รับโอกาสและถือเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับคนในสังคมในเรื่องของการแบ่งปัน และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ตามกำลังความสามารถของแต่ละคนไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนว่ามากหรือน้อย

ทั้งนี้ในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการ ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช มีความตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะปฏิรูปการศึกษาทั้งในเชิงโครงสร้างและการปฏิรูปไปสู่ตัวเด็กโดยตรง ดังนั้นการที่มีโครงสร้างบางส่วนที่ยังคงเป็นปัญหาและไม่สอดรับกับแนวทางตามตามมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 จะต้องมีการปรับปรุงแก้ไขและพัฒนาให้ดีขึ้นจากเดิมในยุคนี้

ในส่วนของโรงเรียนขนาดเล็กที่กระจายอยู่ในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศไทย ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช มีนโยบายที่ชัดเจนที่จะไม่มุ่งยุบ ในสองลักษณะคือ กรณีที่เป็นโรงเรียนขนาดเล็กที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล ไม่มีโรงเรียนโดยรอบที่มีขนาดใหญ่ จะไม่มีการยุบหากคนในพื้นที่ยังมีความต้องการ เเต่จะเน้นไปที่การเพิ่มการพัฒนาด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม การเรียนการสอน บุคคลากร ปรับปรุงกฎและระเบียบเรื่องงบประมาณการอุดหนุนต่อหัวตามความเหมาะสมและจำเป็นเพื่อให้ขับเคลื่อนต่อไปได้ ส่วนโรงเรียนขนาดเล็กที่โรงเรียนโดยรอบขนาดใหญ่ จะใช้การเชื่อมโยงเครือข่าย แลกเปลี่ยนทรัพยากรซึ่งกันและกันเป็นโรงเรียนพี่โรงเรียนน้อง เพื่อช่วยลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเท่าเทียมในทุกพื้นที่

นางดรุณวรรณ ยังกล่าวด้วยว่า คุณหญิงมีความตั้งใจดีที่จะพัฒนาการศึกษาไทยในทุกพื้นที่ รวมถึงในถิ่นทุรกันดาร ตามรอยเบื้องพระยุคลบาทของในหลวงรัชกาลที่ 9 และในหลวงรัชกาลที่ 10 ที่ทรงสืบสานต่อพระราชปณิธานของพระราชบิดา จึงมีความมุ่งมั่นที่จะช่วยให้เด็กไทยทุกคนมีความรู้ ด้วยนโยบายต่าง ๆ เพื่อให้สามารถพึ่งพิงตนเองได้ทั้งในยามปกติและในยามที่มีวิกฤต แต่ที่ผ่านมาอาจมีข้ออุปสรรคอยู่บ้างในเรื่องของการบริหารจัดการ กฏระเบียบ และการจัดสรรงบประมาณที่ไม่ตอบโจทย์ความต้องการที่แท้จริง จึงได้มีความพยายามแก้ไขทั้งในเชิงโครงสร้าง และตัวผู้เรียนโดยตรง และเชื่อว่าจะสามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่ค้างคาได้ในสมัยนี้

“ขอบคุณทุกคน ทุกภาคส่วนที่เห็นความสำคัญของเด็กและการศึกษาไทย ร่วมมือร่วมใจกันอย่างน่าชื่นชม ในขณะที่ภาครัฐยังมีข้อจำกัดอยู่บ้าง อยากให้กำลังใจและไม่อยากให้คนที่ทำความดีต้องรู้สึกท้อแท้กับเสียงวิจารณ์ หากทุกคนช่วยเหลือกันสังคมก็จะขับเคลื่อนต่อไปได้ เพราะประเทศชาติจะพัฒนาได้ด้วยการวางระบบรากฐานการศึกษาที่ดี มีการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมมาปรับใช้เพื่อสร้างคนไทยให้สอดรับกับศตวรรษที่ 21 ” นางดรุณวรรณ กล่าว

‘บิ๊กป้อม’ เป็นประธานประชุมร่างแผนปฏิบัติการด้านการเสริมสร้างความมั่นคงของสถาบันหลักของชาติ เน้นทุกภาคส่วน เสริมสร้างจิตสำนึกรักและหวงแหน แสดงความจงรักภักดี ธำรงรักษาไว้ ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานประชุมคณะกรรมการนโยบายของสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) โดยที่ประชุมเห็นชอบ ร่างแผนปฏิบัติการด้านการเสริมสร้างความมั่นคงของสถาบันหลักของชาติ ภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ระยะที่ 1 (พ.ศ.2563-2565) เน้นการเสริมสร้างจิตสำนึกรักและหวงแหน แสดงความจงรักภักดี ธำรงรักษาไว้ ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ให้เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งชาติ โดยมีเป้าหมายที่สำคัญ คือ ให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เทิดพระเกียรติพระมหากษัตริย์และพระบรมราชวงศ์ อย่างถูกต้องเหมาะสมตามราชประเพณี และขนบธรรมเนียมประเพณี และให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการธำรง รักษาไว้ ซึ่งความมั่นคง ยั่งยืน ของสถาบันพระมหากษัตริย์

ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าการจัดทำร่างนโยบายการบริหาร และการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (จชต.) ฉบับใหม่ ขณะนี้อยู่ระหว่างการนำเข้าสู่กระบวนการพิจารณากลั่นกรอง และรับทราบความคืบหน้าการปรับปรุงแผนส่งเสริมการอยู่ร่วมกัน ภายใต้สังคมพหุวัฒนธรรมในประเทศไทย โดยให้สอดคล้องกับ ยศ.ชาติ (2561-2580) รวมถึงผลดำเนินงานของกองอำนวยการปฏิบัตินโยบายชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน (กอ.นชท.) ด้านความมั่นคงชายแดน ผ่านกลไกทวิภาคีที่สำคัญ ส่งเสริมคุณภาพชีวิตและการช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ชายแดน เสริมสร้างความสัมพันธ์และการพัฒนาพื้นที่ของจังหวัดชายแดน โดยจะเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมหารือ เพื่อปรับปรุงแผนงานให้สอดคล้อง กับสถานการณ์ปัจจุบันต่อไป

พล.อ.ประวิตร. กล่าวว่า ทุกเหล่าทัพ ทุกกระทรวง และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ร่วมกันขับเคลื่อนบูรณาการทำงาน ตามแผนปฏิบัติการฯอย่างมีเอกภาพ และเร่งนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ เพื่อรักษาความมั่นคงและผลประโยชน์ของประเทศชาติให้ได้ผลเป็นรูปธรรม โดยยึดสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งชาติ ดังนั้นทุกภาคส่วน พร้อมด้วยประชาชนทุกหมู่เหล่าจะต้องร่วมกัน ปกป้อง เทิดทูน และรักษาไว้ ให้อยู่คู่สังคมไทย ตลอดไป

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ‘สุชาติ ชมกลิ่น’ สั่งหน่วยงานสังกัดในพื้นที่จังหวัดทางภาคใต้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วม เร่งระดมให้การช่วยเหลือดูแลผู้ใช้แรงงาน สถานประกอบการ และประชาชน

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงกรณีสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่หลายจังหวัดทางภาคใต้ จนทำให้มีผู้ได้รับความเดือดร้อนเป็นจำนวนมากว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และกระทรวงแรงงาน ภายใต้การกำกับดูแลโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มีความห่วงใย พี่น้องผู้ใช้แรงงานและประชาชนทั่วไปทุกคนที่ประสบปัญหาอุทกภัยได้รับความเดือดร้อน โดยได้สั่งการให้แต่ละหน่วยงานในพื้นที่ที่เกี่ยวข้อง บูรณาการให้ความช่วยเหลือประชาชนเป็นการเร่งด่วน

ทั้งการขนย้าย อพยพ เร่งระบายน้ำ การมอบสิ่งของเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน รวมถึงจัดให้มีการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับทราบสถานการณ์อุทกภัยอย่างต่อเนื่อง ในส่วนของกระทรวงแรงงาน ตนในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้ติดตามสถานการณ์มาอย่างต่อเนื่อง จึงได้กำชับให้หน่วยงานในสังกัดในแต่ละจังหวัดที่ได้รับผลกระทบ เร่งให้การช่วยเหลือดูแลพี่น้องผู้ใช้แรงงาน ลูกจ้าง และประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนเพื่อให้มีสิ่งของอุปโภคบริโภคที่จำเป็นในการดำรงชีพในเบื้องต้น

นายสุชาติ ยังกล่าวต่อว่า กระทรวงแรงงาน ยังได้ให้หน่วยงานในสังกัดเข้าไปตรวจสอบติดตาม กรณีมีผู้เสียชีวิตจากอุทกภัย จะได้ให้การช่วยเหลือสิทธิประโยชน์ทดแทนตามกฎหมายประกันสังคม การเข้าไปฟื้นฟูเยียวยาด้านการประกอบอาชีพและการมีงานทำ รวมถึงบริการซ่อมแซมบ้านเรือน อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน และเครื่องยนต์เล็กทางการเกษตร การฝึกอาชีพ การดูแลสิทธิประโยชน์ให้แก่ผู้ประสบภัย ทั้งในเรื่องสิทธิประกันสังคม สิทธิตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานภายหลังน้ำลด เป็นต้น

ทั้งนี้ ในเบื้องต้นข้าราชการและเจ้าหน้าที่สำนักงานแรงงานจังหวัดยะลา ได้ร่วมสมทบทุน ร่วมด้วยช่วยกันในการจัดทำข้าวเหนียวไก่ทอด เพื่อนำไปแจกจ่ายแก่ผู้ประสบภัยร่วมกับส่วนราชการ สื่อมวลชนและผู้มีจิตศรัทธาภายในจังหวัดยะลาในครั้งนี้ด้วย รวมทั้งได้มอบหมายให้อาสาสมัครแรงงานประจำตำบลเฝ้าระวังและรายงานสถานการณ์ให้ทราบเป็นระยะ ทั้งนี้ หากพี่น้องผู้ใช้แรงงาน นายจ้าง ลูกจ้าง และประชาชนทั่วไปที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว สามารถติดต่อขอรับความช่วยเหลือได้ที่หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานในพื้นที่ หรือติดต่อได้ที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506

สภาคองเกรสสหรัฐ ลงดาบยื่นถอดถอนโดนัลด์ ทรัมป์ ออกจากตำแหน่งประธานาธิบดี แม้ว่าจะมีระยะเวลาในการดำรงตำแหน่งเหลือเพียงแค่สัปดาห์เดียว

หลังจากเกิดเหตุการณ์จราจลครั้งประวัติศาสตร์ของสหรัฐ ที่มีผู้ประท้วงฝ่ายสนับสนุนโดนัลด์ ทรัมป์ บุกยึดสภาคองเกรสเพื่อขัดขวางการลงมติรับรอง โจ ไบเดน เป็นประธานาธิบดีสหรัฐเมื่อวันที่ 6 มกราคม ที่ผ่านมา สร้างความตกตะลึงไปทั่วโลก สภาผู้แทนสหรัฐส่วนใหญ่จึงเห็นว่ามีเหตุสมควรที่จะยื่นถอดถอนประธานาธิบดีทรัมป์ ให้พ้นจากตำแหน่ง ซึ่งจะทำให้ทรัมป์กลายเป็นประธานาธิบดีคนแรกในประวัติศาสตร์ของสหรัฐที่โดนยื่นเรื่องถอดถอนถึง 2 ครั้งขณะที่ดำรงตำแหน่งเพียงแค่สมัยเดียว

และการยื่นมติถอดถอนครั้งนี้มีขั้นตอนรวบรัดตัดความกว่าครั้งที่แล้วมาก เมื่อย้อนมาดูขั้นตอนการยื่นถอดถอนทรัมป์ในครั้งแรก ต้องรวบรวมเอกสาร หลักฐาน และพยานนานถึง 5 เดือนกว่าประธานสภาล่าง แนนซี เปอโรซี จะเห็นสมควรว่ามีมูลแน่นหนาพอที่จะชงเรื่องเข้าสู่สภา

แต่มาครั้งนี้ แนนซี เปอโรซี ประธานสภาคนเดียวกันใช้เวลาพิจารณาเพียงแค่ 1 วันเท่านั้น แถมยังจี้ให้เตรียมเปิดสภาพิจารณาอย่างเร่งด่วนอีกด้วย เพราะอะไรนะหรือ  ? ก็เพราะว่าเห็นความผิดเป็นประจักษ์ แถมมีพยานเพียบ ที่เป็นผู้แทนสหรัฐทั้งสภาบน และ สภาล่าง อยู่เต็มอาคาร The Capital ที่กำลังเริ่มพิจารณารับรองผลเลือกตั้งให้กับโจ ไบเดน ในวันเกิดเหตุนั่นเอง

ก่อนหน้านี้ มี สส. และ วุฒิสมาชิกสหรัฐจำนวนมากทั้ง 2 พรรค ออกมากดดันให้ ไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีใช้มาตรา 25 ยึดอำนาจจากทรัมป์เลยทันที ซึ่งมาตรา 25 ตามรัฐธรรมนูญของสหรัฐจะให้สิทธิ์รองประธานาธิบดีรักษาการตำแหน่งประธานาธิบดีได้ ด้วยเหตุผลว่าประธานาธิบดีไม่อยู่ในสภาพที่จะดำรงตำแหน่งได้ ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุการอสัญกรรม ถูกลอบสังหาร มีปัญหาเรื่องสุขภาพทางร่างกาย หรือ จิตใจ โดนถอดถอน ลาออก หรือ ด้วยความเห็นของรองประธานาธิบดี และเสียงส่วนใหญ่ในสภาเห็นว่า ประธานาธิบดีไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้

ซึ่งถ้ามีการใช้มาตรา 25 ขึ้นมาจริง ๆ ก็ไม่จำเป็นต้องยื่นมติถอดถอนให้เสียเวลา แต่ว่า เสือไม่กินเนื้อเสือฉันใด ไมค์ เพนท์ ก็คงไม่ทำกับทรัมป์ฉันนั้น แต่มาคราวนี้ สภาข้างมากของสหรัฐเป็นของเดโมแครต ที่ส่วนใหญ่มองว่า มาตรา 25 ไม่ต้องแล้วก็ได้ ยื่นถอดถอนไปเลยดีกว่า แม้ว่าเวลาในตำแหน่งของทรัมป์จะเหลือน้อยแค่ไหนก็ตาม ในเมื่อโดนัลด์ ทรัมป์ อยากสร้างตำนาน ก็จะจัดให้

เพราะนอกจากจะทำให้ทรัมป์ กลายเป็นประธานาธิบดีคนแรกที่โดน Double Impeachment โดนคดีถอดถอน 2 เด้งภายในสมัยเดียว และมีโอกาสสูงมากที่จะสำเร็จด้วย และจะทำให้ชื่อของทรัมป์ ถูกจารึกในหน้าประวัติศาสตร์สหรัฐด้วยว่า เป็นประธานาธิบดีคนแรกที่ถูกถอดถอนสำเร็จด้วย

แต่นอกเหนือจากการถูกถอดถอน ที่ดูเหมือนทำเรื่องให้ยุ่งยากโดยไม่จำเป็น เพราะถึงยังไงทรัมป์ก็อยู่ในตำแหน่งได้อีกไม่กี่วัน แต่คดีถอดถอนประธานาธิบดีมีความหมายมากกว่านั้น เพราะหากถอดถอนทรัมป์ได้จริง จะมีผลทำให้ทรัมป์ไม่สามารถลงชิงตำแหน่งการเลือกตั้งครั้งต่อไปในปี 2024 ได้อีก

ก็ต้องมาติดตามกันดูว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้มาเพื่อสร้างปรากฏการณ์หลายอย่างในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองสหรัฐ แม้จะดำรงตำแหน่งเพียงแค่ 4 ปี แต่เป็น 4 ปีที่เต็มไปด้วยความระทึกขวัญทั้งกับคนสหรัฐ และคนทั่วโลก และจะเป็นตำนานให้ชาวโลกได้เม้าท์มอยกันไปอีกนานแสนนาน


แหล่งข่าว
https://edition.cnn.com/2021/01/11/politics/donald-trump-democrats-impeachment-capitol-riot/index.html

https://www.bbc.com/news/world-us-canada-55611630

https://www.bbc.com/news/world-us-canada-55611630

https://www.usnews.com/news/national-news/articles/2017-02-10/10-things-you-didnt-know-about-the-25th-amendment


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top