Wednesday, 25 June 2025
ค้นหา พบ 49003 ที่เกี่ยวข้อง

อธิบดีกรมการจัดหางาน เผยปลายปี 2563 ตัวเลขจำนวนผู้ว่างงานมีแนวโน้มดีขึ้น ประชาชนยื่นขอใช้สิทธิ์กรณีว่างงานออนไลน์ ผ่านเว็บไซต์ empui.doe.go.th ลดลง ขณะที่ แรงงานในด้านการผลิตต่าง ๆ เป็นที่ต้องการอันดับแรก

นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า ตั้งแต่ประเทศไทยเข้าสู่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เดือนธันวาคมที่ผ่านมาถือว่ามีผู้ที่ขึ้นทะเบียนขอใช้สิทธิ์ และรายงานตัวกรณีว่างงานจำนวนน้อยที่สุด โดยไตรมาสสุดท้ายของปี 2563 เดือนธันวาคม มีผู้ขึ้นทะเบียนว่างงาน 82,238 คน รายงานตัว 539,474 คน ลดลงจากเดือนพฤศจิกายน ที่มีผู้ขึ้นทะเบียนว่างงาน 93,190 คน รายงานตัว 598,076 คน เดือนตุลาคม ขึ้นทะเบียนว่างงาน 116,160 คน รายงานตัว 643,148 คน และเดือนกันยายนขึ้นทะเบียน 121,023 คน รายงานตัว 680,825 คน

“แต่อย่างไรก็ดี กรมการจัดหางานคาดการณ์ว่าอาจจะมีผู้ว่างงานเพิ่มขึ้น เนื่องจากผลกระทบการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ จึงได้รวบรวมตำแหน่งงานว่างจากนายจ้าง/สถานประกอบการที่ยังมีความต้องการจ้างงาน จำนวน 58,151 อัตรา ซึ่งมีตำแหน่งงานรองรับทุกระดับการศึกษา และอัตราค่าจ้างเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด โดยตำแหน่งงานว่างทั่วประเทศ 10 อันดับแรก ที่เป็นที่ต้องการมากที่สุด ได้แก่ 1.แรงงานในด้านการผลิตต่าง ๆ ,แรงงานทั่วไป 2.แรงงานด้านการประกอบอื่นๆ 3.แรงงานด้านการผลิต 4.พนักงานขาย และผู้นำเสนอสินค้าอื่นๆ 5.ตัวแทนนายหน้าขายบริการธุรกิจอื่นๆ 6.พนักงานจัดส่งสินค้าอื่นๆ 7.เจ้าหน้าที่เก็บเงิน ,แคชเชียร์ 8.พนักงานบริการอื่นๆ 9.พนักงานขายสินค้า (ประจำร้าน) , พนักงานขายของหน้าร้าน และ 10.ตัวแทนขายผลิตภัณฑ์

กรมการจัดหางานยังมีช่องทางการให้บริการจัดหางานออนไลน์ ผ่านเว็บไซต์ ไทยมีงานทำ ซึ่งสามารถค้นหาตำแหน่งงาน สถานที่ทำงานในพื้นที่ที่ต้องการ และมีการประมวลความเหมาะสมกับตำแหน่ง หรือเข้าร่วมโครงการส่งเสริมการจ้างงานใหม่ สำหรับผู้จบการศึกษาใหม่โดยภาครัฐและภาคเอกชน (Co-Payment) ที่เพิ่มโอกาสได้งานสำหรับผู้จบการศึกษาใหม่ หรือการจัดงานนัดพบแรงงาน โครงการนัดพบตลาดงานเชิงคุณภาพ และโครงการจัดหางานเชิงรุกเพื่อการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก รวมทั้งการแนะแนวอาชีพ แนวทางการประกอบอาชีพอิสระ และการฝึกอาชีพอิสระ โดยเน้นการให้บริการตรงถึงระดับตำบล ชุมชน และครัวเรือน เพื่อคนไทยทุกกลุ่มมีโอกาสเข้าถึงข้อมูลข่าวสารตลาดแรงงาน และตำแหน่งงานอย่างทั่วถึง” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว

สำหรับผู้ว่างงานที่ประสงค์มีงานทำ สามารถเลือกสมัครงานผ่านช่องทางการให้บริการจัดหางานรูปแบบออนไลน์ด้วยตนเองได้ที่เว็บไซต์ smartjob.doe.go.th หรือไทยมีงานทำ เพื่อหลีกเลี่ยงการเดินทางไปติดต่อที่สำนักงาน ลดการรวมตัวกันของคนจำนวนมาก และป้องกันการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 แต่ในกรณีที่ไม่สามารถใช้บริการแบบออนไลน์ได้ สามารถติดต่อขอรับบริการ ณ ศูนย์บริการจัดหางานเพื่อคนไทย สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 และสำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด ทั้งนี้ขอความร่วมมือให้สวมหน้ากากอนามัย ตลอดระยะเวลาที่ใช้บริการ รวมทั้งปฏิบัติตามมาตรการที่เจ้าหน้าที่แนะนำอย่างเคร่งครัด หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน

ศูนย์บริการโลหิตฯ เข้าขั้นวิกฤติ ขอพลังคนไทยร่วมใจบริจาค

มีข่าวแพร่สะพัดออกไป เรื่องการขาดแคลนโลหิตในผู้ป่วยของโรงพยาบาลทั่วประเทศ โดยปกติก็มีการใช้โลหิตเป็นจำนวนมากอยู่แล้ว แต่พอมีสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 เป็นเหตุให้ผู้คนมาบริจาคโลหิตลดลง จึงส่งผลโดยตรงต่อปริมาณโลหิตที่ต้องใช้กับผู้ป่วยทั้งประเทศ

จากการรายงานของศูนย์บริการโลหิตแห่งประเทศไทย สภากาชาดไทย ค่าเฉลี่ยของผู้บริจาคเลือดในช่วงโควิด-19 ระบาด ลดลงกว่า 50% ส่วนหนึ่งเป็นเพราะรถบริจาคเคลื่อนที่ ต้องงดการออกปฏิบัติหน้าที่ด้วยสถานการณ์โควิด-19 และรวมไปถึงผู้คนก็รู้สึกไม่ปลอดภัยในการเดินทางออกมาบริจาคโลหิตด้วยเช่นกัน

แต่ในเมื่อผู้ป่วยยังมี เลือดยังต้องการใช้ แต่จำนวนคนให้กลับลดลง สถานการณ์นี้จึงถือว่าเป็นวิกฤติครั้งประวัติศาสตร์ของการบริจาคโลหิต แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เราเชื่อในพลังความดีของคนไทย หากใครที่มีความประสงค์อยากบริจาคโลหิต แต่ยังไม่รู้ว่าต้องเตรียมตัวอย่างไร หรือต้องไปที่ไหนได้บ้าง เรามีวิธีง่ายๆ มาบอกกัน สะดวกที่ไหน ไปกันนะ เพื่อคนไทยด้วยกัน!

ประธานรัฐสภา ‘ชวน หลีกภัย’ ลงนามแต่งตั้งคณะกรรมการสมานฉันท์เรียบร้อย เดินหน้าสมานประเทศ แต่ไร้เงาฝ่ายเข้าร่วม

นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ได้เซ็นลงนามในประกาศรัฐสภา เรื่องแต่งตั้งกรรมการสมานฉันท์ ตามที่มีประกาศรัฐสภาเรื่อง การเเต่งตั้งคณะกรรมการสมานฉันท์ ลงวันที่ 8 ธ.ค.2563 กำหนดรูปแบบเเละองค์ประกอบของคณะกรรมการสมานฉันท์ โดยกำหนดให้มีกรรมการ จำนวน 21 คน

และบัดนี้ รัฐบาล ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล ส.ว. ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย ที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏ และที่ประชุมคณะกรรมการอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ได้เสนอชื่อผู้เเทนของตน เป็นคณะกรรมการสมานฉันท์แล้ว อาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 80 วรรคสี่ ประธานรัฐสภา จึงออกประกาศแต่งตั้งบุคคลต่อไปนี้ เป็นกรรมการสมานฉันท์ 1.พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล 2.นายเทอดพงษ์ ไชยนันทน์ 3.นายนิโรธ สุนทรเลขา 4.นายสรอรรถ กลิ่นประทุม 5.นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ 6.นางฉวีรัตน์ เกษตรสุนทร 7.นายสุริชัย หวันแก้ว 8.นายวันชัย วัฒนศัพท์ 9.นายสมศักดิ์ รุ่งเรือง 10.นายนิรุต ถึงนาค 11.นายวิโรจน์ ลิ้มไขแสง

และให้ข้าราชการของสำนักงานเลขาธิการสภาฯ ทำหน้าที่เป็นฝ่ายเลขานุการ ของคณะกรรมการสมานฉันท์ ดังนี้ นายคุณวุฒิ ตันตระกูล เลขานุการ นายณัฐพัฒน์ พัดทอง ผู้ช่วยเลขานุการ นายศตพล วรปัญญาตระกูล ผู้ช่วยเลขานุการ

เป็นรัฐบาลทำได้ทันที!! ‘พิธา ’เปิดข้อเสนอพร้อมใช้สู้โควิด กระทุ้งอีกรอบ เร่งเยียวยาประชาชน-SME ได้แล้ว

หัวหน้าพรรคก้าวไกล ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ เปิดข้อเสนอมาตรการสู้โควิดกระทุ้งรัฐอีกรอบ ย้ำเร่งเยียวยาผลกระทบให้กับประชาชน และธุรกิจ SME ได้แล้ว ระบุเป็นมาตรการบนพื้นฐานทางการคลัง ที่เป็นไปได้ รัฐบาลทำได้ทันที

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวว่า สัปดาห์ก่อน ตนได้อภิปรายออนไลน์ผ่านเพจเฟซบุ๊ก โดยสรุปถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดในภาพรวมและข้อเสนอที่รัฐบาลควรจะทำทันที แต่จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีมาตรการเยียวยาใดๆ ที่เป็นรูปธรรมออกมา ในขณะที่หลายครอบครัวกำลังยากลำบากมาก และทุกๆ วันกำลังรอคอยนโยบายที่จะส่งผลต่อความเป็นอยู่พวกเขา แต่เมื่อรัฐบาลไม่ยอมดำเนินการ ตนจึงขอนำข้อเสนอมาตรการเยียวยาที่พรรคก้าวไกลได้ศึกษาและจัดทำรายละเอียดเพิ่มเติมจากสัปดาห์ที่แล้วมาให้ โดยหวังว่ารัฐบาลจะเข้าใจและเห็นใจความทุกข์ร้อนของพี่น้องประชาชน ซึ่งเหล่านี้ล้วนเป็นมาตรการพร้อมใช้ที่รัฐบาลสามารถนำไปใช้ได้ทันที ดังนี้

1.ทบทวนมาตรการการควบคุมโรคของแต่ละจังหวัด โดยเร่งด่วน ต้องคำนึงถึงสถานการณ์ระดับการติดเชื้อ ศักยภาพในการรองรับผู้ป่วย รวมถึงต้องคำนึงถึงประเภทสถานประกอบการ ที่ถูกสั่งปิดในแต่ละจังหวัด ให้มีมาตรการเยียวยาที่สอดคล้อง และสมเหตุสมผลกับแต่ละสถานที่

2.เร่งช่วยเหลือถ้วนหน้า 3,000 บาท/เดือน (สำหรับอายุ 18 ปี ขึ้นไป ยกเว้นข้าราชการ) เพื่อเป็นโครงข่ายรองรับทางสังคม ให้ประชาชนที่กำลังประสบปัญหา อย่างถ้วนหน้า และพยุงเศรษฐกิจไม่ให้ชะลอตัวไปมากกว่านี้

3. เยียวยาเพิ่มเติม สำหรับกลุ่มที่ได้รับความเดือดร้อนมากเป็นพิเศษจากโควิดและมาตรการของภาครัฐ

3.1 ต้องมีมาตรการช่วยเหลือค่าน้ำ-ค่าไฟ-ค่าเช่าให้ประชาชน ในจังหวัดที่ถูกควบคุมในระดับเข้มงวดสูงสุด

3.2 ชดเชยสถานประกอบการที่ถูกขอความร่วมมือให้หยุดกิจการราว 6,098 แห่ง ใน 28 จังหวัดที่ถูกสั่งปิด เพิ่มจาก 50% เป็น 75% ใช้งบเพิ่ม จาก 2,321 ล้านบาทเพิ่มเป็น 3481.5 ล้านบาท โดยสามารถตั้งต้นงบประมาณไว้ราว 4,000-5,000 ล้านบาท เพราะอาจมีสถานประกอบการที่มาลงทะเบียนเพิ่ม

3.3 ควรมีมาตรการพยุงการจ้างงานสำหรับธุรกิจ ที่รายได้ลดลงในช่วงโควิด โดยมุ่งเน้นจังหวัดที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงัก เช่น 5 จังหวัดแดงเข้มและกรุงเทพฯ เสนอให้ใช้เกณฑ์การพิจารณาให้โดยดูจากรายได้/การนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มที่ลดลง ชดเชยที่ 50-75% โดยมีเพดานไม่เกิน 7,500 บาท/ราย

3.4 ต้องมีมาตรการช่วยเหลือผู้เช่าไม่ให้ถูกให้ออก โดยอาจมีกฎหมายพิเศษห้ามบังคับไล่ผู้เช่าออกในจังหวัดที่ได้รับผลกระทบมาก และให้รัฐบาลไปเยียวยาผู้ให้เช่า เช่น พิจารณาลดภาษีที่ดิน

4. สำหรับภาคธุรกิจ รัฐบาลควรต่อสายป่านของธุรกิจที่อาจขาดสภาพคล่องจากสถานการณ์ที่คลี่คลายช้าลง โดยต้องมีโครงการ Soft-loan และพักชำระหนี้ไปสูงสุด 2 ปี ซึ่งอาจใช้โมเดลแบบการฟื้นฟูช่วงที่เกิดสึนามิ ด้วยการปล่อยสินเชื่อผ่านธนาคารและธนาคารของรัฐ

นายพิธา กล่าวต่อว่า มาตราการเยียวยาทั้งหมดที่กล่าวมานั้นเป็นได้จริงและทำได้อย่างเร่งด่วน โดยจะหางบประมาณได้จากการ

1. โยกงบฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ยังเหลืออยู่ ใช้สำหรับเยียวยา รวมแล้วจะมีงบยังไม่ได้ใช้จากเงินกู้ 1 ล้านล้านเหลืออยู่ราว 467,000 ล้านบาท งบกลางเหลืออยู่ราว 139,000 ล้านบาท

2. เกลี่ยก่อนที่จะกู้ เมื่อมีสถานการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นอีกรอบ ก็ควรรวบรวมทรัพยากรทั้งหมดที่มี รวมถึงการโยกงบปี 64 ในส่วนที่ไม่จำเป็นอีกต่อไป เพื่อนำไปเป็นกระสุนสำหรับการฟื้นฟูในระยะถัดไป ก่อนที่จะคิดกู้เงินเพิ่ม ประสบการณ์จากการโยกงบปี 63 พบว่าหน่วยงานรัฐสามารถหั่นงบตัวเองได้เมื่อยามจำเป็นโดยไม่กระทบเป้าหมายเดิม สำหรับปี 64 ที่งบประมาณเพิ่งเริ่มใช้มาไม่ถึง 3 เดือน จะโยกงบได้ไม่ต่ำกว่า 200,000 ล้านบาท

“มาตรการเหล่านี้คิดมาโดยละเอียดรอบคอบ บนพื้นฐานที่เป็นไปได้ทางการคลังทั้งสิ้น หากท่านเป็นรัฐบาลของประชาชนก็ไม่ควรรั้งรอ ที่จะดำเนินการใดๆ เพราะเวลานี้หลายครอบครัวและหลายกิจการเหมือนมือกำลังเกาะขอบเหว ไม่รู้ว่าจะอดทนได้อีกแค่ไหน ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลของประเทศนี้จะต้องยื่นมือเข้าไปช่วยพวกเขาบ้าง” นายพิธา กล่าว

“อนุทิน ชาญวีรกูล” ฟิต ร่วมประชุมครม.นัดแรกหลังกักตัว 14 วัน ยืนยันไม่มีขัดแย้งในกระทรวงสาธารณสุข ไม่ขัด หากองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น-โรงพยาบาลเอกชน ซื้อวัคซีนฉีดเอง แต่ต้องขึ้นทะเบียนจากอย.ก่อน

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ถึงการดูแลประชาชน ในการระบาดของโควิด-19 รอบใหม่ว่าสธ.ยืนยันความพร้อม ทั้งเรื่องการแพทย์ เวชภัณฑ์ การพยาบาล และการดูแลสถานการณ์เรามีความพร้อม และขอให้ทุกคนช่วยกันสอดส่องดูแล อย่าให้มีการลักลอบเข้าประเทศโดยผิดกฎหมาย

เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึง กรณีที่จะให้มีคนกลับจากบ่อนการพนันต่างประเทศ และนำเชื้อโควิด-19 เข้ามาด้วยนั้นต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง รวมไปถึงโทษนั้น มีความชัดเจนอย่างไร นายอนุทิน กล่าวว่า ต้องไปดูในพ.ร.บ.โรคติดต่อ โดยเฉพาะมาตรา 40,41,42 รวมทั้งดูรัฐธรรมนูญ มาตรา 47 ประกอบด้วย ซึ่งเราต้องทำทุกอย่างตามกฎหมาย แต่เรื่องการที่บอกว่าจะไม่รักษานั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะถึงอย่างไรก็ต้องให้การรักษา แต่ต้องดูข้อกฎหมายว่ากำหนดไว้อย่างไร

เมื่อถามถึงความคืบหน้าเรื่องวัคซีน ว่า ในกรณีที่ องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น (อปท.) ยินดีซื้อมาเพื่อฉีดให้กับประชาชนในจังหวัดของตัวเอง แล้วทางสธ.มีความเห็นอย่างไร นายอนุทิน กล่าวว่า รัฐบาลมีมาตรการที่จะนำวัคซีนมาบริการกับประชาชนโดยทั่วไปอยู่แล้ว ถ้าท้องถิ่นมีงบประมาณและต้องการดูแลประชาชน สิ่งที่ใช้ก็ต้องเป็นวัคซีนที่ขึ้นทะเบียน โดยผ่านการอนุมัติจากสธ. ถือว่าเป็นเรื่องดีหากท้องถิ่นมีความจำนง ที่ช่วยแบ่งเบาภาระของรัฐบาล โดยงบประมาณรัฐบาล ต้องนำรายชื่อมาตรวจคัดกรองกัน เพราะฉีดซ้ำไม่ได้อยู่แล้วเป็นการช่วยกันคนละไม้ละมือ อย่างไรก็ตามเป็นการพูดถึงหลักการทั่วไปก่อนยังไม่ได้ลงรายละเอียด ถือว่าเป็นเรื่องร่วมกันทำงาน เพราะถึงอย่างไรก็เป็นการใช้งบประมาณแผ่นดิน อยู่ที่ว่าจะเอามาจากกระเป๋าใบไหนเท่านั้น ทั้งนี้สธ.พิจารณาแล้วเห็นว่า วัคซีนต่างประเทศทุกยี่ห้อไม่มีปัญหา และสามารถมาขอขึ้นทะเบียนจากทาง สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) สธ.ของไทยได้ และโดยหลักการเราเปิดกว้างเพียงขอให้ปลอดภัย หากบริษัทจะมาขึ้นทะเบียนกับอย.ไว้ก่อน เพื่อให้โรงพยาบาลเอกชนสามารถนำมาฉีดให้กับคนที่มีฐานะหรือฉีดได้

เมื่อถามว่าได้พูดคุยกับนายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) แล้วหรือยังในกรณี แถลงข่าวออกมาโดยเหมือนยังไม่ได้หารือกันภายในก่อน แทนที่จะมาคุยผ่านโซเชียล ทำให้ดูเหมือนมีปัญหาภายในศบค. นายอนุทิน กล่าวว่า ไม่มีปัญหาและนายแพทย์ทวีศิลป์ก็เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของตนโดยตรง เวลาเขาทำหน้าที่ เขาก็แถลงตามตัวอักษรของกฎหมาย แต่เมื่อมีกระแสออกมาอีกทางหนึ่งก็ต้องรีบบอกกันว่า ไม่ควรใช้กฎเกณฑ์แบบนั้น เราต้องเอาความสบายใจของประชาชนเป็นตัวตั้ง ไม่ได้มีปัญหาใดๆ เมื่อวันที่ 11 มกราคม ก็ยังนั่งพูดคุยกัน ต่างคนต่างให้กำลังใจกัน

นายอนุทินกล่าวถึงการกักตัว 14 วันที่ผ่านมาของตนเองด้วยว่า รู้สึกฟิตน้ำหนักลงไป 3 กิโลกรัม อยู่บ้านก็ทำงานได้และทำงานหนักกว่าเสียอีกเพราะไม่ต้องเดินทาง ไม่ต้องรับแขกใช้วิธีการประชุมทางไกล ซึ่งก็ประชุมทั้งวัน และยังกินน้อยลงไปด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top