Wednesday, 25 June 2025
ค้นหา พบ 49003 ที่เกี่ยวข้อง

รมว.สาธารณสุข "อนุทิน ชาญวีรกูล" เตรียมผ่อนคลาย ให้พื้นที่ที่ไม่พบผู้ติดเชื่อโควิด-19 ในช่วงเวลากักกันโรค 7-14 วัน ทำกิจกรรมได้ พร้อมโยนบอร์ดโรคติดต่อพิจารณา ปมเลิกรักษาฟรีให้กับผู้ติดเชื้อที่มาจากเล่นการพนันและลักลอบข้ามแดน

เฟซบุ๊ก "อนุทิน ชาญวีรกูล" ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ปรากฏเนื้อหาเพื่อชี้แจงกรณีที่นายอนุทิน จะหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำพระราชบัญญัติควบคุมโรคติดต่อมาตรา 41, 42 มาบังคับใช้กับผู้นำเข้ามาซึ่งโรคระบาด ซึ่งได้มอบหมายให้คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ไปหามาตรการบังคับใช้ พร้อมกันนั้น นายอนุทิน ยังเปิดเผยถึงภาพรวมของสถานการณ์ การระบาดของโรคโควิด-19 ว่ามีแนวโน้มดีขึ้น ระบุว่า

"วันนี้ พ้นกำหนดการกักตัว

เข้าประชุมคณะกรรมการศูนย์ปฏิบัติการสถานการณ์ฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข ที่กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่ 7.30 น.

กระทรวงสาธารณสุข ประชุม 7.30 น. ทุกวัน ไม่มีวันหยุด ไม่มีเทศกาล มีแต่งาน การวางแผน และการทำงานมาต่อเนื่องเกือบ 1เดือน นับตั้งแต่มีการระบาดระลอกใหม่ กลางธันวาคม ปีที่แล้ว มีเป้าหมายเพื่อควบคุมโรคให้เร็วที่สุด และ ป้องกันการสูญเสียให้เกิดขึ้นน้อยที่สุด

ที่ประชุมได้นำเสนอข้อมูลการควบคุมโรค ที่มีแนวโน้มได้ผลดีในหลายพื้นที่ และเริ่มมีการพูดคุยกันถึงการผ่อนปรนการทำกิจกรรมต่างๆ ในจังหวัด หรือ พื้นที่ที่ไม่มีผู้ติดเชื้อ และ พื้นที่ที่ไม่มีผู้ติดเชื้อ มาอย่างน้อย 7 - 14 วัน ติดต่อกัน

น่าจะเป็นกำลังใจ และเป็นความหวังให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ต่างๆ การทำกิจกรรม การประกอบอาชีพ การค้าขาย ก็น่าจะกลับมาได้ อาจจะไม่เหมือนเดิม แต่ ก็น่าจะดีกว่าถูกจำกัดหลายๆ เรื่องเช่นในขณะนี้

สำหรับประเด็นภาระค่าใช้จ่ายการรักษาผู้ป่วย ที่เข้ามาโดยผิดกฎหมาย ซึ่งกฎหมายโรคติดต่อ มาตรา 41 และ 42 กำหนดไว้ และ ผมได้นำเสนอให้ช่วยกันคิด ปรากฎว่าได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากนั้น

ในการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ วันนี้ ผมได้มอบให้คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ตั้งคณะอนุกรรมการฯ ซึ่งมีปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธาน พิจารณาแล้ว เพราะเป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ตามที่กฎหมายกำหนดไว้

ขอย้ำอีกครั้งว่า ประเด็นที่ผมชวนให้คิด ไม่ไช่ การปฏิเสธการรักษา

ผู้ป่วยทุกคนในประเทศไทย ต้องได้รับการรักษาตามมาตรฐานสาธารณสุข

ไม่ใช่การทำงาน แบบ“วัวหายแล้วล้อมคอก” หรือ แก้ปัญหาที่ปลายเหตุ

แต่เป็นการเสนอให้ภาคประชาชนช่วยกันคิด เพื่อป้องกัน การระบาดระลอกสาม โดยมีสาเหตุ “ซ้ำรอยเดิม” เจ็บแล้วไม่รู้จักจำ คือ ปล่อยให้มีการลักลอบนำเชื้อเข้ามาจากต่างประเทศ อีก

คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ซึ่งมีผู้ทรงคุณวุฒิทางการแพทย์ การสาธารณสุข และผู้แทนทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะพิจารณากัน ผลเป็นอย่างไร รัฐมนตรีมีหน้าที่ประกาศตามที่คณะกรรมการฯ กำหนด

ขอบคุณทุกท่านที่ช่วยกันนำเสนอความเห็น ทั้งเห็นด้วย และ ไม่เห็นด้วย ทุกความเห็นน่าจะเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาของคณะกรรมการโรคติดต่อแแห่งชาติ ต่อไป ครับ"


ที่มา https://www.facebook.com/2091153520919518/posts/4032127600155424/


ขณะที่นายแพทย์รุ่งเรือง กิจผาติ ที่ปรึกษากระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ ระดับ 11 หัวหน้าสำนักวิชาการสาธารณสุข และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข โพสต์เฟซบุ็กส่วนตัว ชี้แจงประเด็นเรื่องการนำกฎหมายจัดการขบวนการลอบเข้าเมือง ระบุว่า

“หมอขอกำลังใจและความเชื่อมั่นจากพี่น้องประชาชน ในกรณีการดูแลผู้ป่วย เราเป็นหมอ ไม่ว่าคนทำผิด หรือประชาชน เราดูแลทุกคนครับ แต่เรื่อง “ค่ารักษา” เป็นอีกเรื่อง นะครับ

เราดูแลรักษาอย่างดีที่สุด ได้มาตรฐานอยู่แล้วครับ ไม่เคยนำ “เงิน” มาเป็นตัวตั้ง

สำหรับผู้กระทำผิด เรื่องการคิดค่าใช้จ่ายภายหลัง เป็นไปตามหลักกฏหมายและความถูกต้อง ครับ

พรบ.โรคติดต่อ 2558 มาตรา 41 และ 42

- ปัญหาที่พูดถึงคือ แรงงานต่างด้าวลักลอบเข้าเมืองและผู้นำเข้ามา ครับ

- คนต่างด้าว มาแบบแรงงานเถื่อน 1 ล้านกว่าคน รัฐบาลดูแลไหวหรือครับ เป็นเงินภาษีราษฎร ขณะนี้ ไม่ใช่สถานการณ์ปกติ มีการประกาศเป็นโรคติดต่ออันตราย

- เรื่องนี้ไม่ได้ทำตอนนี้ครับ กระทรวงสาธารณสุขเสนอให้พิจารณา เพิ่อป้องกัน ระลอกสาม ที่ซ้ำรอยเดิม คือ นำเชื้อเข้ามาจากต่างประเทศ โดยคนทำผิดกฎหมาย ครับ

- หมอยกตัวอย่าง กลุ่มคนพวกค้าแรงงานเถื่อน เอาโรฮิงยาเข้ามาถึงดอนเมือง ใครต้องรับผิดชอบครับ ค่าตรวจ ค่ารักษา ถ้าป่วย คนที่ทำผิดกฎหมาย ต้องรับผิดชอบ เราต้องบังคับใช้กฎหมายเพื่อป้องกัน

- ตามที่ พรบ.โรคติดต่อ 2558 ระบุ นายจ้าง นายหน้า คนขับรถ(เจ้าของพาหนะ) คนให้ที่พัก ต้องรับผิดชอบครับ

- คนไทยที่ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย ก็ต้องรับผิดชอบ และมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง

- กรณีที่กระทรวงสาธารณสุข ต้องนำกฎหมายมาใช้ในการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรค ผมให้ข้อมูล งบประมาณค่าตรวจโควิด ~ 3 ครั้ง (คนละ 3500 บาท) ค่ารักษา เฉลี่ยคนละ 200,000 บาท

ใครทำผิดกฎหมาย ต้องผิดชอบครับ

เช่น กรณีแรงงานเถื่อน คนนำเข้ามา คนเป็นนายจ้าง ต้องรับผิดชอบตามกฎหมาย และคนไทยที่ลักลอบเข้าออกประเทศผิดกฎหมาย

กฎหมาย บัญญัติไว้ หากผู้บริหารและบุคลากรกระทรวงสาธารณสุขไม่ทำ มีความผิดครับ ละเว้นปฏิบัติหน้าที่ ครับ

กระทรวงสาธารณสุขทราบปัญหา และดูแลคนในมุมมืด ค้นหาเชิงรุก ทำงานด้วยเมตตา จรรยาบรรณแพทย์ตามหลักมนุษยธรรม ครับ"


ที่มา: https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=3942287385805182&id=100000718790571

กระทรวงการคลัง ได้ข้อสรุปเปิดลงทะเบียน “คนละครึ่ง” รอบเก็บตกแล้ว คาดดำเนินการได้ปลายเดือนมกราคม พร้อมเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพิจารณาวันนี้

นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังได้สรุปการเปิดลงทะเบียนโครงการคนละครึ่ง รอบเก็บตกแล้ว ซึ่งคาดว่าจะเป็นช่วงปลายเดือนม.ค.นี้ โดยจะเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเห็นชอบในหลักการก่อน ซึ่งในวันนี้ ( 12 ม.ค.) โดยนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จะเป็นผู้ชี้แจงรายละเอียดทั้งหมดอีกครั้ง ว่ากระบวนการและขั้นตอนทั้งหมดเป็นอย่างไรบ้าง

โดยเบื้องต้น พบว่า ยังมีสิทธิคงเหลือให้เปิดลงทะเบียนอีกกว่า 1 ล้านสิทธิ ซึ่งมาจากโครงการคนละครึ่งเฟสแรก ที่มีสิทธิคงเหลือ 5 แสนสิทธิ และจากเฟส 2 ที่มีผู้ไม่ผ่านเกณฑ์อีก 5 แสนสิทธิ อย่างไรก็ดี ยังต้องรอพิจารณาข้อมูลผู้ที่เข้าร่วมโครงการเฟส 2 แต่ไม่มีการใช้จ่ายภายใน 14 วันด้วย หลังจากนั้นจะนำตัวเลขทั้งหมดมาสรุปอีกครั้ง

ส่วนกระแสข่าวเดินหน้าโครงการคนละครึ่ง เฟส 3 ที่จะขยายการเพิ่มวงเงินให้กับผู้ใช้สิทธิเดิม (เฟส 1- เฟส 2) จำนวน 15 ล้านคน อีกคนละ 1,500 บาท และขยายระยะเวลาโครงการที่จะสิ้นสุดในเดือน มี.ค.64 ไปจนถึงเดือน มิ.ย.64 นั้น ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ยังไม่มีการพิจารณาในเรื่องดังกล่าว

ส่วนข้อเสนอภาคเอกชนที่ให้กระทรวงการคลังแจกเงิน 4 พันบาทนั้น ไม่ทราบว่าเอกชนเสนอมาบนพื้นฐานอะไร แต่ไม่ใช่ข้อมูลจากกระทรวงการคลัง แต่ในส่วนของรัฐบาลได้เตรียมการไว้แล้ว แต่จะยังไม่เสนอให้ ครม. พิจารณาในวันนี้ (12 ม.ค.) โดยขอไปศึกษาให้ดีก่อน

ด้านน.ส.กุลยา ตันติเตมิท รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวว่า สศค. ขอให้ผู้ได้รับสิทธิโครงการคนละครึ่งทั้งเฟสแรก และเฟส 2 รีบเปิดใช้สิทธิภายในวันที่ 14 ม.ค.64 โดยเบื้องต้น มีข้อมูลการใช้จ่ายล่าสุด 13.4 ล้านคน ยังเหลืออีก 1.6 ล้านคนที่ยังไม่มีการเคลื่อนไหว ซึ่งหากกลุ่มนี้ไม่มีการใช้จ่ายภายใน 14 วันนับจากวันที่ได้รับ SMS ก็จะนำสิทธิมาเปิดลงทะเบียนในรอบเก็บตกอีกครั้ง

สำหรับตัวเลข 1.6 ล้านคน แบ่งเป็น ผู้รับสิทธิโครงการคนละครึ่ง เฟสแรก ที่คงเหลือสิทธิอยู่ 4.5 แสนคน ก็จะนำไปเสนอ ครม.ให้เห็นชอบ เพื่อมาเปิดลงทะเบียนอีกครั้ง และผู้ลงทะเบียนเฟส 2 อีกจำนวน 5 ล้านคน ซึ่งมีผู้ใช้สิทธิไปแล้ว 3.8 ล้านคน ยังเหลืออีก 1.2 ล้านคน ดังนั้น สศค.ขอความร่วมมือให้เร่งใช้จ่ายให้ทันภายใต้เงื่อนไขโครงการ

กรมทรัพย์สินทางปัญญา ลงนามบันทึกข้อตกลง (เอ็มโอยู) ว่าด้วยความร่วมมือในการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา บนอินเทอร์เน็ต กับผู้ประกอบการ 3 แพลตฟอร์มชั้นนำ ได้แก่ ลาซาด้า, ช้อปปี้ และเจดี เซ็นทรัล

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมทรัพย์สินทางปัญญา ได้ลงนามบันทึกข้อตกลง (เอ็มโอยู) ว่าด้วยความร่วมมือในการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาบนอินเทอร์เน็ต กับผู้ประกอบการ 3 แพลตฟอร์มชั้นนำ ได้แก่ ลาซาด้า, ช้อปปี้ และเจดี เซ็นทรัล และเจ้าของสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา 20 หน่วยงาน เพื่อป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาบนอินเทอร์เน็ตเป็นครั้งแรก และยังช่วยปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาของทุกคนรวมทั้งของคนไทย รวมทั้งสร้างแรงจูงใจให้ต่างประเทศมาลงทุน และเพื่อเพิ่มอันดับขีดความสามารถแข่งขันของประเทศในอนาคต

สำหรับสาระสำคัญของเอ็มโอยู ฉบับนี้คือ การระงับการจำหน่ายสินค้าละเมิดบนแพลตฟอร์มออนไลน์ และการเสริมสร้างองค์ความรู้ในเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาให้แก่ผู้ค้าออนไลน์ เพื่อป้องปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาบนอินเทอร์เน็ต ที่ส่งผลกระทบ ต่อระบบเศรษฐกิจ การค้าการลงทุน และความไว้วางใจของผู้บริโภคต่อการซื้อขายสินค้าออนไลน์ ซึ่งจะมีส่วนช่วยสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยี ในการเพิ่มมูลค่าสินค้า และบริการของไทยได้

ทั้งนี้ในปี 2563 กรมทรัพย์สินทางปัญญา ได้มีการดำเนินคดีกับผู้ละเมิดผ่านออนไลน์ มากถึง 231 คดี ยึดของกลางที่เป็นสินค้าละเมิด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการละเมิดเครื่องหมายการค้าแบรนด์ดังจากต่างประเทศ 44,953 ชิ้น ส่วนยอดรวมตั้งแต่ปี 2561-63 ศาลสั่งให้ปิดกั้นเว็บไซต์ละเมิด ตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ ซึ่งศาลได้มีคำสั่งปิดไปแล้วกว่า 1,500 รายการ

12 มกราคม พ.ศ. 2535 วันคล้ายวันเกิด ‘ชาริล ชัปปุยส์’ นักฟุตบอลคนดัง อายุครบ 29 ปี

ฟุตบอลไทยวันนี้ มาไกล และก้าวกระโดดไปไกลอย่างมาก ปัจจุบันลีกไทยถือเป็นหนึ่งในลีกที่ได้รับความนิยมอันดับต้นๆ ของอาเซียน รวมไปถึงนักฟุตบอลไทยก็ได้รับความสนใจไม่น้อยไปกว่ากัน

และหนึ่งในนักฟุตบอลที่เป็นที่สนใจ ทั้งจากแฟนบอล หรือจากสื่อต่างๆ คงต้องยกให้กับ ชาริล ชัปปุยส์ นักฟุตบอลลูกครึ่งไทย-สวิสฯ ที่ผ่านการเล่นให้กับหลายสโมสรในประเทศไทย และรวมถึงในนามทีมชาติไทย

ชาริล ชัปปุยส์ เกิดและเติบโตที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยมีคุณพ่อเป็นชาวสวิสฯ ส่วนคุณแม่เป็นคนไทย เขาเริ่มเล่นฟุตบอลตั้งแต่อายุ 7 ขวบ และกลายเป็นนักเตะเยาวชนในทีมสโมสรของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ในเวลาต่อมา กระทั่งเคยได้ก้าวไปเป็นหนึ่งในนักเตะทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์ ชุดอายุไม่เกิน 17 ปี และเคยคว้าแชม์ฟุตบอลโลกรุ่นอายุไม่เกิน 17 ปี ร่วมกับสวิตเซอร์แลนด์มาแล้วเมื่อปี พ.ศ. 2552

ชาริลกลับมาสู่เมืองไทยและลงเล่นในไทยลีกครั้งแรกร่วมกับทีมบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ในปี พ.ศ. 2556 ก่อนจะย้ายมาสู่ทีมสุพรรณบุรี เอฟซี, เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด และปัจจุบันค้าแข้งอยู่กับสโมสรการท่าเรือ เอฟซี

ชาริลยังเคยเป็นหนึ่งในขุนพลทีมชาติไทยชุดคว้าแชมป์เอเอฟซี ซูซูกิ คัพ ในปี ค.ศ. 2014 ซึ่งเรื่องราวเกียรติประวัติในสนามของเขานั้นมีมากมาย แต่เมื่อเทียบกับเรื่องราวนอกสนามแล้ว ก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ด้วยความที่เป็นลูกครึ่งหน้าตาดี ชาริลจึงกลายเป็นนักกีฬาเนื้อหอม เขามักไปสวมบทบาทเป็นนายแบบอยู่เป็นประจำ

วันนี้เป็นวันเกิดของเขา ในวัย 29 ปี เราก็ขออวยพรให้ชาริลมีสุขภาพแข็งแรง และมีเส้นทางลูกหนังที่สดใส ส่วนแฟนคลับที่ชื่นชอบจะร่วมอวยพรวันเกิด ก็สามารถเข้าไปในไอจี @7charyl กันได้เลย

ทีมเศรษฐกิจทันสมัย พรรคประชาธิปัตย์ แนะรัฐ 6 ทางเยียวยาเศรษฐกิจ คลำเป้าชัด โฟกัส 'เพิ่มรายได้' พร้อม 'ลดรายจ่าย' แบบเร่งด่วน

ทีมเศรษฐกิจทันสมัย พรรคประชาธิปัตย์ นำโดยนายปริญญ์ พานิชภักดิ์ รองหัวหน้าพรรคและหัวหน้าทีมเศรษฐกิจทันสมัย และนางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้ร่วมกันแถลงข้อเสนอแนะมาตรการเยียวยาทางเศรษฐกิจ จากผลกระทบการระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่ โดยนายปริญญ์ กล่าวว่า ทีมเศรษฐกิจทันสมัย ปชป. ขอชื่นชมและเป็นกำลังใจให้กับบุคลากรทางการแพทย์ และผู้ขับเคลื่อนนโยบายทุกท่านที่ทำงานหนักอย่างเต็มที่ แต่เมื่อมีวิกฤตทางสาธารณสุขที่ทำให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจร่วมด้วย จึงมีข้อเสนอต่อภาครัฐอย่างสร้างสรรค์ในการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการช่วยเหลือประชาชน ทั้งการเพิ่มรายได้และลดรายจ่ายให้ประชาชน ภายใต้ 6 แนวทาง ดังนี้

• ออกมาตรการเยียวยาทันท่วงที การระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ผ่านพ้นไปเกือบ 2 สัปดาห์แล้ว แต่ยังไม่มีมาตรการเยียวยาทางเศรษฐกิจที่ชัดเจนออกมา ผลกระทบคือทำให้มีคนตกงานทันที โดยเฉพาะกับกลุ่มอาชีพอิสระที่ประกอบธุรกิจกลางคืน เช่น ศิลปิน นักดนตรี ผู้ประกอบการ ธุรกิจกลางคืนซึ่งให้ความร่วมมือกับภาครัฐในการปิดสถานบริการและปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุขเป็นอย่างดี แต่กลับได้รับผลกระทบมากที่สุด และยังไม่เคยได้รับการเยียวยาจึงขอให้ภาครัฐเร่งออกมาตรการเยียวยาทางเศรษฐกิจทันที โดยมุ่งเน้นไปที่กลุ่มอาชีพที่ได้รับผลกระทบสูงสุด ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและ 5 จังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุด (สมุทรสาคร ระยอง ชลบุรี จันทบุรี ตราด) โดยให้เงินเยียวยาขั้นต่ำคนละ 5,000 – 6,000 บาท/เดือน เป็นเวลาอย่างน้อย 3 เดือน

• เร่งการเบิกจ่ายงบประมาณให้มีประสิทธิภาพ ลดคอขวด ทำให้ล่าช้า ทั้งโครงการที่ได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลแล้วแต่ยังไม่มีการเบิกจ่าย ซึ่งเป็นหน้าที่ของกระทรวงการคลังและสภาพัฒน์ ที่ต้องไปเร่งติดตามว่าทำไมถึงยังไม่มีการนำเงินออกไปขับเคลื่อนโครงการเหล่านี้ให้เป็นรูปธรรม รวมถึงกลุ่มโครงการของหลายกระทรวงที่กำลังรออนุมัติด้วย เช่น โครงการของกระทรวงพาณิชย์ที่ช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจและช่วยเยียวยาหลังเกิดวิกฤตโควิด-19 ซึ่งถือเป็นโครงการที่ไม่ซ้ำซ้อนกับงบประมาณปกติ

• สนับสนุนการสร้างงานในเชิงรุก สถานการณ์ของโควิด-19 ทำให้คนตกงานมากขึ้นเรื่อย ๆ ภาครัฐต้องทำงานในเชิงรุกและโฟกัสการเยียวยาให้ถูกกลุ่ม เลือกจ่ายในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจริง ๆ หรืออาจเข้ามาช่วยจ่ายเงินเดือนบางส่วนเหมือนกับในหลายประเทศ เพื่อช่วยเยียวยา โดยเฉพาะบริษัทขนาดเล็ก ผู้ประกอบการ SMEs นอกจากมาตรการช่วยเหลือระยะสั้นแล้วยังต้องช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับคนไทยในระยะกลางถึงยาวด้วย โดยให้ประชาชนมีโอกาสเรียนรู้ออนไลน์ เสริมทักษะ เพิ่มสมรรถนะองค์ความรู้ดิจิทัล ในวิกฤตมีโอกาสเสมอ เพราะจะเป็นโอกาสให้ภาครัฐสร้างแรงงานฝีมือให้กับประเทศได้มากขึ้น เพราะทุกวันนี้คนตกงานไม่ใช่เพราะว่าไม่มีตำแหน่งงานให้ทำ แต่เป็นเพราะไม่สามารถหาบุคลากรที่มีทักษะ หรือสมรรถนะที่ตรงกับความต้องการได้รวมถึงการออกนโยบายเพื่อจูงใจคนที่อยู่บ้าน หรือกำลัง Work from home อยู่ให้สามารถเรียนรู้จากบ้านได้ โดยมีเครดิตพิเศษ เช่นให้เงินแถมโบนัส เพื่อจูงใจให้ประชาชนสามารถเรียนจบคอร์สยาก ๆ ได้ เช่น โคดดิ้ง (Coding) การขายของออนไลน์ (E-commerce) การตลาดยุคดิจิทัล (Digital marketing) หรือทักษะอื่น ๆ ด้านดิจิทัล เป็นต้น

• ลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน ในส่วนของรัฐวิสาหกิจต้องมาช่วยกันมากกว่านี้ อาจต้องไม่ทำกำไรในตอนนี้ ควรพิจารณาดูว่าทำอย่างไรให้ค่าน้ำ-ไฟถูกลงกว่านี้ได้เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อน

• การเข้าถึงแหล่งเงินทุน SMEs มีปัญหามากในเรื่องของสภาพคล่อง จากปัญหาหนี้สินที่พอกพูนมากขึ้น ควรช่วยกันคิดว่าทำอย่างไรให้บริษัทขนาดกลางและขนาดย่อมเข้าถึงเงินกู้ที่ถูกและเป็นธรรม ยกตัวอย่างเช่นโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) กว่า 4 แสนล้านบาทยังไม่ได้ถูกนำไปใช้อย่างเต็มที่ และมีเพียงบริษัทใหญ่ ๆ เท่านั้นที่เข้าถึงได้ อยากให้กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพในการต่อรองกับสมาคมธนาคารไทยและธนาคารพาณิชย์ในการพักเงินต้นและดอกเบี้ยอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้อย่างน้อย 6-12 เดือนข้างหน้า ผู้ประกอบการรายเล็ก ๆ สามารถกลับมาทำธุรกิจได้ และกลับไปใช้จ่ายหนี้คืนได้เช่นเดิม

• ยืดระยะเวลาจ่ายภาษีอากร เช่นเดียวกับในปี 2563 ที่มีการยืดเวลาในการจัดเก็บภาษีนิติบุคคลและบุคคลธรรมดาจากเดิมช่วงเมษายนไปเป็นช่วงกลางปี รอบนี้ก็เช่นเดียวกัน เพื่อช่วยพยุงความลำบากประชาชน ให้สามารถเดินต่อไปได้ในระยะสั้น 3 - 6 เดือนข้างหน้านี้ นอกจากนั้นควรมีการเก็บภาษี VAT 7% จากแพลตฟอร์มการค้าออนไลน์ยักษ์ใหญ่ต่างชาติ ที่จะมีผลบังคับใช้ก่อนสิ้นปี 2564 นี้ และการเก็บภาษีจากยอดขายของแพลตฟอร์มเหล่านี้ในอนาคตจะทำให้ประเทศมีรายได้จากการเก็บภาษีมากขึ้น

ด้านนางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากวิกฤตทางด้านสาธารณสุขและเศรษฐกิจแล้ว การสื่อสารในภาวะวิกฤตก็มีความสำคัญเช่นเดียวกัน ต้องถูกต้อง แม่นยำ รวดเร็ว และชัดเจน ซึ่งที่ผ่านมาทาง ศบค. ทำหน้าที่ได้ดี แต่ยังมีประเด็นที่เป็นปัญหา คือ การให้ข้อมูลข่าวสารในบางครั้งที่ไม่ได้เป็นไปในทิศทางเดียวกันระหว่างหน่วยงาน ทำให้ประชาชนเกิดความสับสน เนื่องจากการระบาดระลอกนี้มีการแพร่กระจายเกือบค่อนประเทศ มีชุดข้อมูลที่มาก เข้าใจถึงความยากลำบากในการรวบรวมข้อมูลของผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบ จึงอยากวิงวอนภาครัฐและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจากทุกภาคส่วนให้มีการพูดคุยกันมากขึ้น เพื่อบูรณาการข้อมูลข่าวสารก่อนที่จะเผยแพร่ออกไป ช่วยลดความสับสนและสื่อสารให้กับสังคมไปในทิศทางเดียวกัน อย่างไรก็ตามขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่กำลังทำหน้าที่ อยากให้ทุกคนร่วมมือร่วมใจกันเหมือนครั้งก่อน เพื่อให้เราก้าวผ่านวิกฤตนี้ไปได้ด้วยกัน

ทั้งนี้ ในตอนท้ายนางดรุณวรรณ ยังได้พูดถึงโครงการ “เรียนจบพบงาน” ของทีมเศรษฐกิจทันสมัย ซึ่งเป็นโครงการนำร่องที่ไม่ได้งบประมาณจากรัฐบาล ที่ช่วยพัฒนาคนรุ่นใหม่ให้มีความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยีทันสมัยหรือดิจิทัลเหมาะสมกับงานยุค 4.0 สำหรับโครงการเรียนจบพบงานในช่วงสถานการณ์โควิด จะปรับรูปแบบมาทำกิจกรรมผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้นทั้งทางด้านการสัมมนา การให้ความรู้ ผ่านแฟนเพจที่เป็นข่องทางในการหางาน รวมถึงการฝึกงานผ่านออนไลน์เพื่อช่วยอัพสกิลและรีสกิล ช่วยประชาชนสามารถสร้างรายได้ สร้างอาชีพ และอยู่รอดได้ในช่วงโควิด-19 และในระยะยาว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top