Wednesday, 4 June 2025
WORLD

‘BYD’ เฮ!! กำไรสุทธิปี 2023 สูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังเพิ่งแซง ‘เทสลา’ ครองยอดขายอีวีเบอร์ 1 ของโลก

(30 ม.ค.67) BYD ยักษ์ใหญ่รถไฟฟ้าสัญชาติจีน ผู้นำโลกในภาคอุตสาหกรรมนี้ เปิดเผยว่าทางบริษัทมีกำไรสุทธิพุ่งขึ้นในปี 2023 และคาดหมายว่าตัวเลขในขั้นท้ายที่สุดจะสร้างสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์รอบใหม่ จากรายงานผลประกอบการเบื้องต้นที่เผยแพร่ออกมาในวันจันทร์ (29 ม.ค.)

โดยบริษัท BYD คาดการณ์ว่ากำไรสุทธิสำหรับปีที่แล้ว จนถึงฤดูใบไม้ร่วง อยู่ระหว่าง 29,000 ล้านหยวนถึง 31,000 ล้านหยวน (4,100 ล้านถึง 4,4000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) เพิ่มขึ้นราวๆ 74.5% ถึง 86.5% เมื่อเทียบกับหนึ่งปีก่อนหน้านั้น

คาดหมายว่า BYD จะเผยแพร่ตัวเลขขั้นท้ายสุดในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า

บริษัทที่มีสำนักงานใหญ่ในเมืองเซินเจิ้น เพิ่งแซงหน้า เทสลา ของอีลอน มัสก์ ในช่วงไตรมาส 4 ของปี 2023 ผงาดขึ้นมาเป็นบริษัทที่มียอดขายรถไฟฟ้าสูงสุดในโลก

อย่างไรก็ตาม แม้สูญเสียบัลลังก์ยอดขายสูงสุดรายไตรมาส แต่ เทสลา ยังคงครองอันดับ 1 ในแง่ของรายปี โดยได้ส่งมอบรถอีวีแก่ลูกค้ามากกว่า 1.8 ล้านคัน ตั้งแต่ช่วงต้นปีจนถึงเดือนธันวาคม เพิ่มขึ้น 38%

กระนั้นแม้ตัวเลขดังกล่าวจะอยู่เหนือกว่ายอดขายระดับไม่ถึง 1.6 ล้านคันของ BYD แต่สำหรับ BYD นั้น พบว่ามียอดขายเพิ่มขึ้นถึง 73% เมื่อเทียบเป็นรายปี

BYD วางจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าของพวกเขาในเกือบ 60 ประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุโรป เมื่อปีที่แล้ว พวกเขากลายเป็นบริษัทแรกที่ก้าวผ่านหลักหมายเชิงสัญลักษณ์ในการผลิตรถยนต์ไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้าล้วนทะลุ 5 ล้านคัน

นอกจากนี้แล้ว BYD ยังเป็นผู้จัดหาแบตเตอรีป้อนแก่บรรดาผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของโลก ในนั้นรวมถึงเทสลา, บีเอ็มดับเบิลยู, เมอร์เซเดสและออดี

Texas เหลืออด!! 'ไบเดน' ปล่อยชายแดนทางใต้เป็นจุดเสี่ยงผู้อพยพเถื่อน ชนวนขัดแย้งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จนอาจถึงขั้นแยกตัวจากสหรัฐฯ


ความขัดแย้งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนระหว่างมลรัฐ Texas และรัฐบาลกลางบริเวณชายแดนทางใต้ของมลรัฐ Texas ยังคงดำเนินต่อไป


CBS News Texas ได้พูดคุยกับ Haim Vasquez ทนายความด้านการย้ายถิ่นฐานของ North Texas เพื่อแจกแจงเรื่องราวทั้งหมดและสิ่งที่อาจเกิดขึ้นต่อไป “เราไม่เคยเห็นจุดที่เรามีในตอนนี้” Haim Vasquez ทนายความด้านคนเข้าเมืองกล่าว “อย่าไปถึงจุดนั้นที่เรามีกองกำลังพิทักษ์ชาติของมลรัฐ Texas เจ้าหน้าที่จากสำนักงานความปลอดภัยสาธารณะของมลรัฐ Texas (The Texas Department of Public Safety : DPS) โดยพื้นฐานแล้วปิดกั้นทางเข้าและรับอำนาจหรือควบคุมชายแดน”


เมื่อวันจันทร์ (22 ม.ค.) ศาลฎีกาสหรัฐฯ กล่าวว่า รัฐบาลกลางมีอำนาจในการถอดลวดหนามที่มลรัฐ Texas ติดตั้งไว้ที่ชายแดนทางใต้ กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ กล่าวว่า มลรัฐ Texas มีเวลาจนถึงวันศุกร์ในการให้หน่วยงานรัฐบาลกลางเข้าถึง Eagle Pass แต่ผู้ว่าการ Abbott กำลังเพิ่มความมั่นใจเป็นสองเท่าโดยกล่าวว่าเขาจะเพิ่มการลาดตระเวนตามชายแดน เพิ่มเครื่องกีดขวางและลวดหนามให้มากขึ้น “เราอยู่ในประเด็นที่วิกฤตมากในขณะนี้ เพราะเรากำลังทดสอบแก่นแท้ของความเป็นสาธารณรัฐของสหรัฐอเมริกา และศาลฎีกามีอำนาจหรือไม่ ไม่ว่ามลรัฐต่าง ๆ จะต้องปฏิบัติตามหรือหาทางตีความหรือไม่ก็ตาม ในแบบที่พวกเขาต้องการ” Vasquez กล่าว

แนวกีดขวางป้องกันผู้อพยพผิดกฎหมายในแม่น้ำของมลรัฐ Texas

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา Ken Paxton อัยการสูงสุดของมลรัฐ Texas ปฏิเสธคำขอของรัฐบาลกลางในการเข้าถึงชายแดน และเรียกร้องหลักฐานที่ระบุว่ารัฐบาลกลางมีอำนาจเปลี่ยนสวนสาธารณะของมลรัฐ Texas ให้เป็นช่องทางเข้าได้ Vasquez บอกว่าจะต้องรอดูว่าใครจะเริ่มลงมือเพื่อดำเนินการต่อไป “หากรัฐบาลกลางถอยห่างจากเรื่องนี้ พวกเขาจะสูญเสียอำนาจที่พวกเขามีตามคำสั่งของศาลฎีกาแห่งสหรัฐฯอย่างสิ้นเชิง” Vasquez กล่าว

ผู้ว่าการมลรัฐต่าง ๆ ที่เป็นสมาชิกพรรค Republican 25 คนสนับสนุนจุดยืนของผู้ว่าการ Abbott พวกเขากล่าวว่า มลรัฐ Texas มีสิทธิตามรัฐธรรมนูญในการป้องกันตัวเอง ผู้ว่าการ Abbott กล่าวว่าเขาเชื่อว่ามลรัฐเหล่านั้นยินดีส่งทหารของกองกำลังพิทักษ์ชาติไปยังชายแดนหากจำเป็น “ผมคิดว่าตอนนี้เราได้ก้าวข้ามเส้นในความพยายามในการแก้ไขปัญหาแล้ว และตอนนี้พวกเขากำลังทำให้มันกลายเป็นประเด็นทางการเมือง” Vasquez กล่าว

แถลงการณ์ของ Gregg Abbott ผู้ว่าการมลรัฐ Texas เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2024

รัฐบาลกลางได้ทำลายข้อตกลงระหว่างสหรัฐอเมริกาและมลรัฐต่าง ๆ ฝ่ายบริหารของสหรัฐอเมริกามีหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญในการบังคับใช้กฎหมายของรัฐบาลกลางที่คุ้มครองรัฐต่าง ๆ รวมถึงกฎหมายคนเข้าเมืองที่มีอยู่ในหนังสือในขณะนี้ ประธานาธิบดี Biden ได้ปฏิเสธที่จะบังคับใช้กฎหมายเหล่านั้นและยังฝ่าฝืนกฎหมายเหล่านั้นอีกด้วย ผลก็คือเขาได้ทำลายข้อตกลงการเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย

แม้ว่าจะมีการแจ้งเป็นชุดจดหมาย - ฉบับหนึ่งซึ่งข้าพเจ้าได้ส่งไปถึงมือเขาเอง - แต่ประธานาธิบดี Biden กลับเพิกเฉยต่อข้อเรียกร้องของมลรัฐ Texas ที่ให้เขาปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ 

- ประธานาธิบดี Biden ละเมิดคำสาบานของเขาที่จะปฏิบัติตามกฎหมายคนเข้าเมืองที่สภาคองเกรสตราขึ้นอย่างซื่อตรง แทนที่จะดำเนินคดีกับผู้อพยพฐานก่ออาชญากรรมต่อรัฐบาลกลางในการเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย ประธานาธิบดี Biden ได้ส่งทนายความของเขาไปที่ศาลรัฐบาลกลางเพื่อฟ้องร้องมลรัฐ Texas ในการดำเนินการเพื่อรักษาความมั่นคงบริเวณชายแดน 
- ประธานาธิบดี Biden ออกคำสั่งให้หน่วยงานของเขาเพิกเฉยต่อกฎเกณฑ์ของรัฐบาลกลางที่บังคับใช้ในการควบคุมตัวผู้อพยพผิดกฎหมาย ผลที่ตามมาคือการอนุญาตให้มีทัณฑ์บนจำนวนมากในสหรัฐอเมริกาอย่างผิดกฎหมาย 
- ประธานาธิบดี Biden ต้องใช้เงินภาษีเพื่อเปิดโครงสร้างพื้นฐานด้านความมั่นคงชายแดนของมลรัฐ Texas เพื่อล่อลวงผู้อพยพผิดกฎหมายออกจากจุดเข้าเมืองตามกฎหมาย 28 จุดตามแนวชายแดนทางใต้ของรัฐนี้ ซึ่งเป็นสะพานที่ยังไม่มีใครเคยจมน้ำ และต้องเสี่ยงลงไปในแม่น้ำริโอแกรนด์ที่อันตราย 

ภายใต้นโยบายชายแดนที่ผิดกฎหมายของประธานาธิบดี Biden ผู้อพยพผิดกฎหมายมากกว่า 6 ล้านคนได้ข้ามชายแดนทางใต้ของเราในเวลาเพียง 3 ปี ซึ่งมากกว่าจำนวนประชากรของมลรัฐต่าง ๆ 33 รัฐในประเทศนี้ การปฏิเสธในการปกป้องประเทศอย่างผิดกฎหมายได้ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนต่อผู้คนทั่วทั้งสหรัฐอเมริกา 

James Madison, Alexander Hamilton และบรรดาคนอื่น ๆ ผู้ที่เขียนรัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ เล็งเห็นล่วงหน้าว่ามลรัฐต่าง ๆ ไม่ควรตกอยู่ภายใต้อำนาจของประธานาธิบดีที่ไม่เคารพกฎหมาย ซึ่งไม่ได้ทำอะไรเพื่อหยุดยั้งภัยคุกคามจากภายนอก เช่น แก๊งค้ายาที่ลักลอบขนผู้อพยพผิดกฎหมายหลายล้านคนข้ามพรมแดน นั่นคือเหตุผลที่ผู้วางกรอบรวมทั้งมาตรา IV § 4 ซึ่งสัญญาว่ารัฐบาลกลาง “จะปกป้อง (มลรัฐ) แต่ละแห่งจากการรุกราน” และมาตรา I § 10 ข้อ 3 ซึ่งยอมรับ “ผลประโยชน์อธิปไตยของรัฐในการปกป้อง พรมแดนของพวกเขา” Arizona กับสหรัฐอเมริกา 567 U.S. 387, 419 (2012) ((Scalia, J., ผู้คัดค้าน) 

ความล้มเหลวของฝ่ายบริหารของ Biden ในการปฏิบัติหน้าที่ที่กำหนดโดยมาตรา IV § 4 ได้ก่อให้เกิดมาตรา I § 10 ข้อ 3 ซึ่งขอสงวนสิทธิ์ในการป้องกันตัวเองสำหรับรัฐนี้ ด้วยเหตุผลเหล่านี้ ข้าพเจ้าจึงได้ออกประกาศภายใต้มาตรา 1 § 10 ข้อ 3 เพื่อเรียกร้องอำนาจตามรัฐธรรมนูญของมลรัฐ Texas ในการปกป้องและคุ้มครองตัวเอง อำนาจนั้นเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศและแทนที่กฎเกณฑ์ของรัฐบาลกลางใด ๆ ที่ตรงกันข้าม กองกำลังรักษาดินแดนแห่งชาติของมลรัฐ Texas สำนักงานความปลอดภัยสาธารณะของมลรัฐ Texas และเจ้าหน้าที่ของมลรัฐ Texas อื่น ๆ กำลังดำเนินการตามอำนาจดังกล่าว เช่นเดียวกับกฎหมายของรัฐ เพื่อรักษาความปลอดภัยบริเวณชายแดนของมลรัฐ Texas

Gregg Abbott ผู้ว่าการมลรัฐ Texas

‘จีน’ เฮ!! โคลน ‘วัวทิเบต’ ใกล้สูญพันธุ์สำเร็จ ถือเป็นการโคลนสำเร็จครั้งแรกของโลก

(29 ม.ค. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า คณะนักวิทยาศาสตร์ของจีน ประกาศความสำเร็จในการโคลนวัวจางมู่และวัวอาเพ่ยเจี่ยจา ซึ่งเป็นวัวสองสายพันธุ์ใกล้สูญพันธุ์ในเขตปกครองตนเองทิเบต (ซีจ้าง) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน

ทั้งนี้ รายงานระบุว่า มีลูกวัวเพศผู้ของสองสายพันธุ์ข้างต้นเกิดใหม่สายพันธุ์ละ 4 ตัว ในอำเภออวิ๋นหยาง เทศบาลนครฉงชิ่งทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน เมื่อไม่นานนี้ ซึ่งนับเป็นการโคลนวัวจากทิเบตสำเร็จครั้งแรกของโลก

2 สาวนักเคลื่อนไหว บุกสาดซุปใส่ 'ภาพวาดโมนาลิซ่า' สร้างกระแสเรียกร้องสิทธิเรื่องอาหารให้โลกเหลียว

ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ เกิดกระแสใหม่ในกลุ่มนักเคลื่อนไหวเพื่อสิ่งแวดล้อม ด้วยการบุกโจมตี สาดสี สาดโคลนใส่ภาพวาด งานศิลปะชื่อดังระดับโลก เพื่อดึงความสนใจจากสังคม และพื้นที่บนหน้าสื่อในการส่งผ่านข้อเรียกร้องที่พวกเขาต้องการจะสื่อ สู่สังคมทั่วโลกให้ดังที่สุด

แม้ว่า การกระทำของพวกเขาจะถูกมองว่าเป็นการแสดง 'ความหิวแสง' และไม่เป็นที่ยอมรับจากสังคมโดยส่วนใหญ่ก็ตาม 

และล่าสุด ภาพวาดที่เรียกได้ว่า โด่งดังที่สุดในโลก อย่าง โมนาลิซ่า ของจิตรกรเอก เลโอนาร์โด ดา วินชี ก็ไม่รอด โดน 2 นักเคลื่อนไหวสาวจากกลุ่ม Riposte Alimentaire (การตอบโต้ด้วยอาหาร) บุกเข้าไปในพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ เพื่อสาดซุปฟักทองใส่ภาพวาดชื่อดัง จนเลอะเทอะไปทั้งกำแพง เมื่อวันอาทิตย์ (28 มกราคม 67) ที่ผ่านมา

แต่ทั้งนี้ ภาพวาดโมนาลิซ่า ที่มีความงามเป็นอมตะ ตั้งแต่ยุคศตววรษที่ 16  รวมถึงภาพวาดระดับมาสเตอร์พีซอื่นๆ ภายในพิพิธภัณฑ์ มีการป้องกันอย่างดีในกรอบกระจกนิรภัย จึงไม่ได้รับความเสียหายแต่อย่างใด

ด้าน 2 สาว หลังก่อเหตุสาดซุปใส่ภาพวาดชื่อดังแล้ว ก็ออกยืนประกาศผลงานของตนรอสื่อมวลชนมาทำข่าว พร้อมกล่าวว่า "คิดว่าอะไรสำคัญกว่ากัน ระหว่างงานศิลปะ กับ สิทธิในการเข้าถึงอาหารที่ยั่งยืน และ ปลอดภัย" 

"ระบบการเกษตรของประเทศเรามันห่วย เกษตรกรจำนวนมากกำลังจะตาย คาสวน คาไร่ของพวกเขา"

และในขณะเดียวกัน ทางกลุ่ม Riposte Alimentaire ก็ได้โพสต์ข้อความผ่าน X ยอมรับว่าการโจมตีภาพวาดโมนาลิซ่าครั้งนี้เป็นฝีมือของทางกลุ่ม เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลฝรั่งเศส บรรจุสวัสดิการด้านอาหารเข้าไปในระบบประกันสังคม เพราะการเข้าถึงอาหารเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน โดยเรียกร้องให้รัฐบาลแจกคูปองมูลค่า 150 ยูโรให้ประชาชนทุกเดือนเพื่อนำไปซื้ออาหาร

Riposte Alimentaire เป็นหนึ่งในเครือข่าย A22 Network อันประกอบด้วยกลุ่มนักเคลื่อนไหวหลายกลุ่ม รวมถึงกลุ่ม Just Stop Oil ที่เคยบุกโจมตีภาพ 'ดอกทานตะวัน' ของ 'วินเซนต์ แวนโก๊ะ' ในหอศิลป์แห่งชาติ ที่กรุงลอนดอน เมื่อปี 2022 มาแล้ว 

สำหรับ เหตุการณ์นี้ ไม่ใช่ครั้งแรก เพราะเหตุผลที่ต้องนำภาพวาดโมนาลิซา ไปใส่กรอบกระจกนิรภัยตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษที่ 1950 ก็เพราะเคยมีผู้เข้าชม เทกรด ใส่ จนภาพวาดได้รับความเสียหายมาแล้ว

ต่อมาในปี 2019 ทางพิพิธภัณฑ์ ก็ได้มีการติดตั้งกระจกกันกระสุนเข้าไปเพิ่ม เพื่อป้องกันภาพวาดอีกชั้นหนึ่ง และในปี 2022 โดยชายวัย 36 คนหนึ่ง ที่เข้าชมพิพิธภัณฑ์ด้วยเก้าอี้รถเข็น และได้ปาเค้กใส่รูปโมนาลิซ่า พร้อมตะโกนว่า "คิดถึงโลกซะบ้าง ผู้คนมากมายกำลังทำลายมันอยู่" ก่อนที่เขาจะถูกส่งตัวเข้าศูนย์บำบัดทางจิตในเวลาต่อมา

ทั้งนี้ ตามระเบียบขั้นตอนต่อไป ทางพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ก็จะทำรายงานร้องเรียนเพื่อดำเนินคดีกับผู้ก่อเหตุต่อไป ไม่ว่าเจตนาของกลุ่มนักเคลื่อนไหวจะเพื่อต้องการหาพื้นที่สื่อเพื่อเรียกร้องประเด็นเพื่อสังคมใดๆ ก็ตาม 

ด้าน ราชิดา ดาติ รัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมของฝรั่งเศส ได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่าน X ว่า "ภาพวาดก็เหมือนมรดกของชาติ ที่ควรถนอมรักษาให้รุ่นลูกหลานในอนาคตของพวกเราได้ชมด้วย" 

อยากจะบอกว่า แสงอยู่กับเราไม่นาน และหากต้องการให้เกิดกระแสเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมได้จริงและยาวนาน ควรหาวิธีที่สร้างสรรค์และทำซ้ำๆ อาจจะนานหน่อยกว่าคนจะตระหนัก แต่คงดีกว่ามาทำอะไรที่เป็นการ 'หิวแสง' แบบนี้

‘หวังอี้’ เข้าเฝ้าฯ ‘กรมสมเด็จพระเทพฯ’ ระหว่างเยือนไทย ย้ำชัด!! พระองค์ทรงเป็นสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพไทย-จีน

(29 ม.ค. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (28 ม.ค.) หวังอี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีน และกรรมการกรมการเมืองแห่งคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน เข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ณ กรุงเทพมหานคร

หวัง กล่าวว่า เขาได้พบปะกับปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย เมื่อวันอาทิตย์ (28 ม.ค.) เพื่อการประชุมหารือประจำปี ซึ่งทั้งสองฝ่ายบรรลุฉันทามติสำคัญว่าด้วยการสร้างประชาคมจีน-ไทยที่มีอนาคตร่วมกันให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

หวังกล่าวว่าทั้งสองฝ่ายลงนามข้อตกลงการยกเว้นการตรวจลงตราหรือวีซ่าซึ่งกันและกัน ซึ่งจะเกื้อหนุนการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชน พร้อมเสริมว่าจีนและไทยมีความใกล้ชิดสนิทสนมดังครอบครัวเดียวกัน และการแลกเปลี่ยนที่เพิ่มขึ้นจะช่วยให้ทั้งสองประเทศผูกพันแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ หวังแสดงความหวังว่าราชวงศ์ไทย ซึ่งให้ความสำคัญยิ่งยวดกับสัมพันธไมตรีระหว่างจีนและไทยเสมอมา จะยังคงมีส่วนส่งเสริมการพัฒนามิตรภาพจีน-ไทยภายใต้สถานการณ์ใหม่

หวัง กล่าวว่า กรมสมเด็จพระเทพฯ ทรงเป็นสหายที่ดีและเพื่อนเก่าของประชาชนชาวจีน โดยพระองค์ทรงเคยได้รับเหรียญมิตรภาพและเสด็จฯ เยือนจีนมากกว่า 50 ครั้ง ซึ่งส่งเสริมความเข้าใจซึ่งกันและกันระหว่างประชาชนสองประเทศ และพระองค์ทรงเป็นสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพจีน-ไทย

หวังกล่าวว่าทั้งสองประเทศจะเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 50 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตในปีหน้า โดยจีนพร้อมรักษาการแลกเปลี่ยนระดับสูงกับฝ่ายไทย ดำเนินการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชนอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้น และยกระดับความเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์รอบด้านระหว่างสองประเทศสู่ระดับใหม่

ด้านกรมสมเด็จพระเทพฯ ตรัสว่าพระองค์ทำนุบำรุงสัมพันธไมตรีกับจีน และมักให้นักเรียนนักศึกษาของพระองค์ได้ชมเหรียญมิตรภาพดังกล่าว โดยพระองค์หวังว่าการแลกเปลี่ยนและความร่วมมือระหว่างสองประเทศจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้นในด้านการศึกษา การแพทย์แผนโบราณ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และการบินและอวกาศ

กรมสมเด็จพระเทพฯ ตรัสว่าพระองค์คาดหวังจะได้เยี่ยมเยือนสถานที่ต่างๆ ในจีนเพิ่มเติมในอนาคต

'ซินเนอร์' นักหวดชาวอิตาลี โค่น 'เมดเวเดฟ' รอบชิงดำ 3-2 เซต  ผงาดคว้าแชมป์ 'ออสเตรเลียน โอเพน' แกรนด์สแลมหนแรกในชีวิต

(29 ม.ค.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ‘จานนิก ซินเนอร์’ นักเทนนิสมือ 4 ของโลก พลิกชนะ ‘ดานีล เมดเวเดฟ’ จาก รัสเซีย 3-2 เซต 3-6, 3-6, 6-4, 6-4, 6-3 ในศึกออสเตรเลียน โอเพน 2024 รอบชิงชนะเลิศ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 28 ม.ค. ที่ผ่านมา

เมดเวเดฟ รองแชมป์ 2 สมัย เบรกเสิร์ฟเซตละ 2 ครั้ง ตลอด 2 เซตแรก นับจากนั้น ซินเนอร์ ดีกรีรองแชมป์ เอทีพี ไฟนอลส์ 2023 ยกระดับเกมเสิร์ฟ อัด 11 จาก 14 เอซ เฉพาะ 3 เซตสุดท้าย  และโจมตีด้วยโฟร์แฮนด์วินเนอร์ลูกถนัด เบรกคืนเกม 10 ของเซต 3 กับ เซต 4 เสมอกัน 2-2 เซต

เมดเวเดฟ วัย 27 ปี เริ่มออกอาการอ่อนล้าจากการดวลถึง 5 เซต 2 แมตช์ล่าสุด พบ ฮูเบิร์ต ฮูร์คัชซ์ จาก โปแลนด์ และ อเล็กซานเดอร์ ซเวเรฟ จาก เยอรมนี จึงตกที่นั่งลำบาก ตามหลัง 0-40 เกมที่ 6 ของเซตตัดสิน สมนาคุณ 3 เบรกพอยน์ตแก่ ซินเนอร์ วัย 22 ปี

ซินเนอร์ มือ 4 รายการ ใช้โอกาสครั้งที่ 2 เปลี่ยนเบรกพอยน์ตสำเร็จ ขึ้นนำ 4-2 เกม แล้วรักษาเสิร์ฟเพื่อปิดแมตช์ด้วยลูกโฟร์แฮนด์วินเนอร์ กลายเป็นแชมป์ชาวอิตาเลียนคนแรก เฉพาะรายการนี้ และแชมป์ แกรนด์ สแลม ประเภทชายเดี่ยว คนที่ 3 ของอิตาลี ถัดจาก นิโกลา ปิเอทรานเจลี แชมป์ เฟรนช์ โอเพน 1959, 1960 กับ อาเดรียโน ปานัตตา แชมป์ เฟรนช์ โอเพน 1976

‘จีน’ เปิดกำไร ‘ภาคอุตสาหกรรม’ เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.8 สะท้อน!! ภาคการผลิต-เศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง

เมื่อวันที่ 27 ม.ค. 67 สำนักข่าวซินหัว, ปักกิ่ง รายงานข่าว สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน รายงานว่าบริษัทอุตสาหกรรมรายใหญ่ภายในประเทศ ซึ่งมีรายได้ทางธุรกิจหลักรายปีอย่างน้อย 20 ล้านหยวน (ราว 100 ล้านบาท) ทำกำไรรวมในเดือนธันวาคม 2023 เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.8 เมื่อเทียบปีต่อปี ซึ่งเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5

รายงานระบุว่า กำไรรวมของบริษัทอุตสาหกรรมรายใหญ่ในจีนของทั้งปี 2023 อยู่ที่ 7.69 ล้านล้านหยวน (ราว 39 ล้านล้านบาท) ซึ่งลดลงร้อยละ 2.3 เมื่อเทียบปีต่อปี และลดลงน้อยลง 2.1 จุดจากช่วง 11 เดือนแรก (มกราคม-พฤศจิกายน) ของปีเดียวกัน

ภาคการผลิตและจ่ายพลังงาน ความร้อน ก๊าซ และน้ำ กลายเป็นกลุ่มผู้ทำกำไรชั้นนำในปีที่ผ่านมา โดยมีกำไรรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 54.7 เมื่อเทียบปีต่อปี ซึ่งการเพิ่มขึ้นดังกล่าวมีส่วนส่งเสริมการเติบโตโดยรวมของกำไรทางอุตสาหกรรมในประเทศ 3.1 จุด

ขณะกำไรของภาคการผลิตอุปกรณ์ในจีน ช่วงปี 2023 เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.1 ซึ่งสูงกว่าอัตราการเติบโตของปีก่อนหน้า 2.4 จุด ส่วนอุตสาหกรรม 27 ประเภทจากทั้งหมด 41 ประเภท มีกำไรเติบโตในปีที่ผ่านมา

‘สาวพลัสไซส์’ ซื้อตั๋วเครื่องบิน 2 ที่ เจอแม่ลูกอ่อนขอนั่ง แต่ไม่ยกให้ กลับโดนด่าไม่มีน้ำใจ ด้านชาวเน็ตเสียงแตก ความจริงใครกันแน่ที่ใจร้าย?!

เมื่อวันที่ 27 ม.ค. 67 เรียกว่ากลายเป็นประเด็นที่ชาวเน็ตต่างถกเถียงกัน เมื่อล่าสุดวันที่ 23 มกราคม 2567 เว็บไซต์นิวยอร์กโพสต์ ได้เผยเรื่องของ ‘แจลินน์ ชานีย์’ อินฟลูเอนเซอร์วัย 34 ปี จากเมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา ที่ออกมาแชร์ประสบการณ์การนั่งเครื่องบินเมื่อไม่นานมานี้ โดยเธอได้จองตั๋วเที่ยวบินในประเทศจำนวน 2 ที่นั่ง สำหรับตนเอง เนื่องจากเธอเป็นสาวพลัสไซส์ หากจองที่นั่งเดียวจะลำบากทั้งตัวเธอเองและผู้โดยสารรอบข้าง เธอจึงจัดการปัญหาด้วยการจองที่นั่งเพิ่ม เพื่อให้ทุกคนได้สบายใจมากขึ้น

โดยที่ผ่านมาการเดินทางของชานีย์ก็ราบรื่นไม่เคยมีปัญหา จนกระทั่งครั้งล่าสุดนี้ มีผู้โดยสารหญิงรายหนึ่งซึ่งมาพร้อมลูกชายวัย 1 ขวบครึ่ง มาบอกให้ชานีย์นั่งเพียงเบาะเดียว เพื่อให้ลูกชายของเธอได้นั่งอีกเบาะหนึ่ง ซึ่งชานีย์ได้ย้ำว่า “เธอบอกให้ฉันทำ ไม่ได้ขอร้อง ฉันจึงบอกเธอว่าไม่ เพราะฉันจ่ายค่าที่นั่งนี้เพื่อที่จะได้พื้นที่เพิ่ม”

ซึ่งหลังจากที่คุณแม่รายนี้โดนปฏิเสธ ก็ไม่พอใจโวยวายเป็นเรื่องใหญ่ จนแอร์โฮสเตสคนหนึ่งเข้ามา แต่แอร์โฮสเตสรายนี้ก็ดูเหมือนว่าจะเข้าข้างผู้โดยสารที่เป็นแม่ ขอให้ชานีย์พยายามนั่งเบียดนิดหน่อย เพื่อที่เด็กจะได้นั่งได้ด้วย แต่ชานีย์ก็ยังยืนยันว่าไม่ เพราะเธอต้องการจะใช้สิทธิ์ในที่นั่งที่เธอจ่ายเงินเอง

อย่างไรก็ตาม ทางแอร์โฮสเตสจึงขอให้ทางผู้โดยสารที่เป็นแม่ อุ้มลูกน้อยนั่งตักของเธอต่อไป ซึ่งผู้เป็นแม่จึงต้องจำใจทำเช่นนั้น แต่ตลอดเที่ยวบิน ชานีย์จะถูกมองค้อนและบ่นว่าด้วยคำพูดไม่ดีสารพัด อีกทั้งเด็กคนดังกล่าวก็ไม่อยู่นิ่งด้วย ทำให้เธอรู้สึกแย่มาก จึงตั้งคำถามทางโซเชียลว่า “ฉันผิดเหรอ? ถ้าคุณอ้วนมากจนต้องทำสิ่งนี้ แสดงว่าคุณเห็นแก่ตัวอย่างนั้นเหรอ?”

หลังจากเรื่องดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป ได้มีชาวเน็ตจำนวนมากเข้าไปแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก โดยส่วนหนึ่งกล่าวตำหนิพฤติกรรมของแม่เด็ก รวมไปถึงพนักงานบนเครื่องบิน อาทิ

- “คุณจ่ายเงินซื้อที่นั่งพิเศษ คุณก็มีสิทธิ์โดยชอบ ส่วนแม่ของเด็กไม่วางแผนล่วงหน้าเอง ซื้อเพียงที่นั่งเดียว แล้วอาศัยผลประโยชน์ของเด็กไปรุกรานสิทธิ์ของคนอื่น เมื่อไม่ได้ดั่งใจก็ยังไปต่อว่าคนอื่น แบบนี้ใครใจร้ายกว่ากัน ส่วนพนักงานบนเครื่องบินก็ดูเหมือนว่าจะมีปัญหา ทำไมถึงบอกให้ผู้โดยสารที่ซื้อตั๋วมา 2 ที่ ไปนั่งเบียดตัวเองในที่เดียว”

แต่อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าใจสาวพลัสไซซ์ เข้าไปแสดงความเห็นตำหนิชานีย์ด้วยเช่นกัน เช่น

- “ถ้าคุณอ้วนมากจนต้องนั่งหลายที่นั่งบนเครื่อง ก็เรียกว่าเห็นแก่ตัวเกินไป”
- “เด็กจะใช้พื้นที่สักเท่าไรกัน จริงอยู่ที่แม่ควรซื้อที่นั่งให้ลูก แต่คุณจะไม่จำเป็นต้องใจแคบขนาดนั้น เห็นแก่ตัวมากเกินไปจนทำให้ทั้งสองฝ่ายไม่สบายใจ”
- “สายการบินขายตั๋วเกินจำนวนที่นั่งบนเครื่องบินอยู่ตลอด คุณเอาอะไรมาตัดสินว่า 2 ที่นั่งนั้นเป็นของคุณคนเดียว” เป็นต้น

‘RAC’ เตือน!! ‘รถอีวี’ อาจเสี่ยงใช้งานไม่ได้ ท่ามกลางอากาศหนาวจัด เหตุสภาวะเย็นยะเยือกกัดกร่อนประสิทธิภาพรถ-ทำสถานีชาร์จไฟขัดข้อง

(28 ม.ค. 67) สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า รถยนต์ไฟฟ้าเสี่ยงใช้งานไม่ได้ในช่วงฤดูหนาว เนื่องจากอุณหภูมิที่หนาวเหน็บส่งผลกระทบต่อสถานะของแบตเตอรี อ้างถึงคำเตือนจาก ‘RAC’ บริษัทผู้ให้บริการช่วยเหลือฉุกเฉินด้านยานยนต์แห่งสหราชอาณาจักร

ระยะทางการขับขี่ของรถอีวี ที่อาจลดลงราวๆ 20% ในสภาพอากาศหนาวเย็น กำลังก่อความกังวลใหญ่หลวงแก่เจ้าของรถไฟฟ้า เนื่องจากมันอาจทำให้ผู้ขับขี่ต้องแวะชาร์จไฟบ่อยครั้งขึ้น และก่อความเสี่ยงใช้งานไม่ได้ เนื่องจากไม่มีไฟฟ้าเพียงพอสำหรับการเดินทาง

RAC เปิดเผยว่าพวกเขาจำเป็นต้องปรับตัวเข้ากับปัญหาที่พบเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และเวลานี้ จึงตัดสินใจติดตั้งอุปกรณ์ชาร์จไฟพิเศษบนรถตู้ของทางบริษัท

จากข้อมูลของ RAC พบว่าในทุกสายเรียกเข้าที่โทรศัพท์แจ้งให้ไปดูรถยนต์ไฟฟ้า มีอยู่ราวๆ 6% เป็นเพราะรถยนต์เหล่านั้นพลังงานหมด

คริส มิลล์วอร์ด ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาเทคนิคของ RAC ถึงขั้นอ้างว่าปัญหาขัดข้องที่เกิดขึ้นกับรถยนต์อีวี ทำให้ช่างของพวกเขาเจองานยากลำบากกว่าเดิม

เขาให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวไอทีวีนิวส์ว่า “มันมีความต่างกัน เพราะถ้ารถอีวีแบตหมด ทุกๆอย่างจะหยุดทำงานและล้อจะถูกล็อก ดังนั้นมันจึงเป็นงานยากกว่าเดิมที่จะเคลื่อนย้ายออกจากถนน”

เมื่อช่วงกลางเดือนที่ผ่านมา สถานีชาร์จไฟสำหรับรถไฟฟ้าทั้งหลายทั่วเมืองชิคาโก ได้รับการเรียกขานจากพวกชาวบ้านว่าเป็น ‘สุสานของเทสลา’ เนื่องจากสภาพอากาศอันหนาวเหน็บกัดกร่อนประสิทธิภาพการทำงานของรถอีวี ขณะที่สถานีชาร์จไฟทั้งหลายเกิดเหตุขัดข้อง ไม่สามารถจ่ายไฟป้อนแก่รถอีวีได้

สภาพอากาศเย็นสามารถส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญกับรถยนต์ไฟฟ้า ลดระยะทางการวิ่งได้ลงอย่างมากในหลายรุ่น เช่นเดียวกับปัญหาขัดข้องอื่นๆ ทั้งนี้จากการตรวจสอบรถยนต์ไฟฟ้ายอดนิยม 18 รุ่น จาก Recurrent บริษัทวิเคราะห์รถยนต์อีวี พบว่าสภาพอากาศหนาวสุดขั้วทำให้ระยะการขับขี่ลดลงโดยเฉลี่ยถึง 70% โดยที่โมเดล S ของเทสลา เป็นหนึ่งในรุ่นที่ทำผลงานได้แย่ที่สุด

เมื่อปีที่แล้ว ทั้งเซ็นตริกา และรอยัลเมล รายงานพบ ยานยนต์ไฟฟ้าพลังงานแบตเตอรีของพวกเขา มีระยะการวิ่งลดลง 40% ท่ามกลางอุณหภูมิที่ลดต่ำลง ส่วนผลการศึกษาหนึ่งของทางนิตยสาร WhatCar? พบว่ารถยนต์ที่ได้รับผลกระทบน้อยที่สุดคือ นิสสัน อริยะ แต่กระนั้นรถยนต์รุ่นนี้ก็มีศักยภาพลดน้อยกว่าเดิมถึง 16%

รถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นรุ่นนี้ มีระยะทางการขับเพียงเหลือเพียง 296 ไมล์ (ราว 476 กิโลเมตร) ในสภาพอากาศเย็น จากระดับ 322 ไมล์ (ราว 581 กิโลเมตร) ในสภาพอากาศปกติ ส่วนเทสลา โมเดล วาย ตามมาเป็นอันดับ 2 แต่ศักยภาพในการขับขี่ ลดลง 17.8% จากระดับที่แล่นได้อย่างเป็นทางการ 331 ไมล์ (500 กิโลเมตร)

‘เอ็ดมุนด์ คิง’ ประธานสมาคมยานยนต์แห่งสหราชอาณาจักร ยอมรับระยะการวิ่งของรถยนต์ไฟฟ้าจะได้รับผลกระทบ และประเด็นความน่าเชื่อถือเกิดขึ้นกับรถเกือบทุกคันในสภาพอากาศหนาวเหน็บ อย่างไรก็ตามเขามองว่าประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นในอเมริกานั้น เป็นการพูดเกินจริงเลยเถิดจนเกินไป

“ข้อเท็จจริงคือ รถยนต์ทุกคันเย็นขึ้นและรถไฟฟ้าได้รับผลกระทบจากภาวะที่เย็นขึ้น ในแง่ของระยะการวิ่ง มันเป็นบางอย่างที่เกิดขึ้นตอนสภาพอากาศเย็นจัด คาดหมายว่าระยะการวิ่งจะลดลงราว 10% ถึง 20%” เขากล่าว

“ดังนั้น ในแง่ของความเป็นจริง ถ้าหากรถของคุณมีระยะการวิ่งสูงสุด 200 ไมล์ (ราว 320 กิโลเมตร) มันอาจลดลงเหลือ160 ไมล์ (ราว 257 กิโลเมตร) ทั้งหมดทั้งมวลเกี่ยวกับแบตเตอรีลิเทียมไอออนและปฏิกิริยาทางเคมี ปฏิกิริยาทางเคมีจะช้าลงเมื่ออยู่ในสภาพอากาศหนาวสุดขั้วและร้อนสุดขั้วจริงๆ อย่างไรก็ตามพวกผู้ขับขี่ส่วนใหญ่รู้ดีอยู่แล้วว่าพวกเขาต้องแลกกับอะไรในฤดูหนาวเช่นนี้ ระยะในการเดินทางทำได้ไม่ไกลนัก”

‘สเปน’ เผชิญ ‘ฤดูหนาวอบอุ่น’ ผลพวงจากอากาศแปรปรวน หลังอุณหภูมิพุ่งสูง 30 องศาฯ แดดแรงระอุเหมือนหน้าร้อน!!

เมื่อวันที่ 26 ม.ค. 67 สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานถึงสถานการณ์สภาพอากาศแปรปรวนใน ประเทศสเปน หลังอุณหภูมิในช่วงฤดูหนาว อบอุ่นขึ้น จนหลายพื้นที่ระอุเกือบ 30 องศาเซลเซียส และสถานีอุตุนิยมวิทยาราว 400 แห่ง หรือเกือบครึ่งของทั้งประเทศวัดอุณหภูมิได้เกิน 20 องศาเซลเซียส

โฆษกสำนักงานอุตุนิยมวิทยาแห่งชาติระบุว่าอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นถือเป็นความผิดปกติเพราะเป็นอุณหภูมิช่วงเริ่มต้นฤดูร้อนในเดือน มิ.ย. พร้อมเปิดเผยว่า อุณหภูมิสูงสุด เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 25 ม.ค.ที่ผ่านมา วัดได้ 29.5 องศาเซลเซียสในแคว้นบาเลนเซีย ทางตะวันออก

ขณะที่แคว้นมูร์เซีย ทางตะวันออกเฉียงใต้ วัดได้ 28.5 องศาเซลเซียส และใกล้ๆ เมืองมาลากาในแคว้นอันดาลูซิอา ทางตอนใต้ วัดได้ 27.8 องศาเซลเซียส

นอกจากนี้ตอนกลางคืนก็อุ่นกว่าปกติ รวมถึงพื้นที่สกีรีสอร์ทใกล้กรุงมาดริดซึ่งอยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 1,900 เมตร และปกติจะมีหิมะปกคลุมในช่วงเวลานี้ของปี แต่เมื่อค่ำวันพุธที่ 24 ม.ค. กลับวัดอุณหภูมิได้ 10 องศาเซลเซียส

อากาศร้อนในช่วงฤดูหนาวมีสาเหตุมาจาก แอนติไซโคลน เหนือทะเลเมดิเตอร์เรเนียน นายเดวิด คอเรลล์ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยบาเลนเซีย กล่าวว่า “ยังไม่มีการศึกษาที่ประเมินแนวโน้มระยะยาวของเหตุการณ์ประเภทนี้ แต่เป็นที่แน่ชัดว่าเรากำลังเผชิญกับสถานการณ์ผิดปกติประเภทนี้บ่อยขึ้นเรื่อยๆ”

ก่อนหน้านี้ สเปนเพิ่งเผชิญหน้ากับอุณหภูมิในเดือน ธ.ค. ที่สูงเป็นประวัติการณ์ถึง 29.9 องศาเซลเซียสในเมืองมาลากา ความร้อนดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางภัยแล้งที่ยืดเยื้อและส่งผลกระทบต่อพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ โดยเฉพาะแคว้นคาตาโลเนีย ทางตะวันออกเฉียงเหนือ และแคว้นอันดาลูเซีย ทางตะวันตกเฉียงใต้

ในเมืองบาร์เซโลนา เมืองหลวงของคาตาโลเนีย มีระดับน้ำในอ่างเก็บน้ำลดลงเมื่อกลางเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา และเหลือประมาณร้อยละ 17 ของความจุ หากลดลงต่ำกว่าร้อยละ 16 ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น แคว้นคาตาโลเนียจะเข้าสู่ภาวะฉุกเฉิน

‘นครซีอัน’ จัดบริการ ‘รถไฟฟรี’ ขบวนพิเศษ พา ‘แรงงานต่างถิ่น’ กลับบ้านฉลองตรุษจีน

เมื่อวันที่ 26 ม.ค. 67 สำนักข่าวซินหัว, ซีอัน เหล่า ‘แรงงานต่างถิ่น’ ในมณฑลส่านซีทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ออกเดินทางด้วยรถไฟฟรีขบวนพิเศษ จำนวน 3 เส้นทาง ได้แก่ ซีอัน-เฉิงตู, ซีอัน-เจิ้งโจว และ ซีอัน-หลานโจว เพื่อกลับภูมิลำเนาในวันแรกของมหกรรมการเดินทาง ในช่วงเทศกาลตรุษจีนประจำปี 2024

การบริการรถไฟฟรีสำหรับผู้ที่กลับภูมิลำเนาช่วงเทศกาลตรุษจีนนี้ เป็นมาตรการพิเศษจากบริษัท การรถไฟแห่งประเทศจีน จำกัด สาขาซีอัน และสหภาพการค้าแห่งซีอัน ซึ่งริเริ่มมาตั้งแต่ปี 2019 และเป็นประโยชน์กับแรงงานต่างถิ่นในส่านซีมากกว่า 4,000 คนแล้ว

อนึ่ง มหกรรมการเดินทางเทศกาลตรุษจีน ปี 2024 ระยะ 40 วัน ตรงกับวันที่ 26 ม.ค.-5 มี.ค. นี้

‘ฮ่องกง’ เดินหน้าส่งเสริม ‘เศรษฐกิจงานอีเวนต์ขนาดใหญ่’ หวังดึงดูดใจผู้มาเยือน พร้อมเปลี่ยนชื่อเสียงสู่ความเจริญ

(26 ม.ค. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ‘จอห์น ลี’ ผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกงทางตอนใต้ของจีน แสดงความหวังจะส่งเสริม ‘เศรษฐกิจงานอีเวนต์ขนาดใหญ่’ (mega-event economy) เพื่อดึงดูดผู้คนมาเยือนฮ่องกงเพิ่มขึ้น และแปรเปลี่ยนชื่อเสียงเป็นความเจริญรุ่งเรือง

โดย จอห์น ลี กล่าวระหว่างการถาม-ตอบ ณ การประชุมสภานิติบัญญัติ (LegCo) ของฮ่องกงว่าตั้งแต่มีการกลับมาเดินทางตามปกติอย่างเต็มรูปแบบเมื่อต้นปีก่อน ฮ่องกงได้เป็นเจ้าภาพจัดงานอีเวนต์ขนาดใหญ่หลายงาน ครอบคลุมการประชุมระหว่างประเทศ นิทรรศการศิลปะ การแข่งขันกีฬา และกิจกรรมเพื่อความบันเทิง

ซึ่งการจัดงานอีเวนต์เหล่านี้เพิ่มความน่าดึงดูดใจและโอกาสทางธุรกิจของฮ่องกง ส่งเสริมผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจในภาคธุรกิจการท่องเที่ยว การโรงแรม อาหาร และการค้าปลีก โดยผู้มาเยือนทุก 1.5 ล้านคน มีส่วนส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจท้องถิ่นราว 0.1 จุด

รัฐบาลฮ่องกงตั้งเป้าหมายขยาย ‘ส่วนแบ่ง’ เพื่อรับรองว่าทุกคนจะได้รับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจในมิติต่างๆ ดีขึ้น โดยมีการวางแผนฟื้นฟูเขตวานจื่อ (Wan Chai) บูรณะอาคารบางส่วนของรัฐบาลเป็นสถานที่จัดนิทรรศการ ขยายศูนย์ประชุมและนิทรรศการเอเชียเวิลด์-เอ็กซ์โป ซึ่งทั้งหมดจะเพิ่มความจุสถานที่ของฮ่องกงราวร้อยละ 40

'สื่อญี่ปุ่น' เผย 'รถเทสลา' เริ่มถูกแบนในหลายสถานที่ของ 'จีน' หวั่น!! ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือจารกรรมข้อมูลในถิ่นมังกร

(26 ม.ค. 67) สื่อเผยป้าย 'รถเทสลาห้ามเข้า' ในหลายสถานที่ของจีน กลายเป็นเหตุชวนกุมขมับสำหรับผู้ขับขี่ รถยนต์ไฟฟ้า ยอดฮิตสัญชาติอเมริกัน ที่มีฐานผลิตใหญ่ในเซี่ยงไฮ้ เพราะดูจะมีสถานที่ห้ามรถ 'เทสลา' เข้า จำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ โดย อ้างเหตุผลด้านความปลอดภัยทางข้อมูล

สำนักข่าว นิกเกอิ เอเชีย รายงานโดยอ้างอิงแหล่งข่าวว่า ผู้ขับขี่ รถยนต์ไฟฟ้า ของ 'เทสลา' (Tesla) ใน ประเทศจีน กำลังเผชิญกับข้อจำกัดในการเดินทางเข้าสถานที่บางแห่งที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลจีน เช่น ศูนย์ประชุม, ศูนย์นิทรรศการ, สถานที่ราชการบางแห่ง ฯลฯ เนื่องด้วยเกิดความกังวลด้าน ความปลอดภัยของข้อมูล ท่ามกลางความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดอย่างต่อเนื่องระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน

แหล่งข่าวกล่าวกับสำนักข่าวนิกเกอิ เอเชียว่า สถานที่ต่างๆ ในจีนได้เริ่มห้ามรถของเทสลาเข้าพื้นที่มากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากเริ่มต้นสั่งห้ามมาตั้งแต่ปีที่แล้ว (2566) ซึ่งสถานที่เหล่านี้รวมถึง สถานที่ราชการ หน่วยงานท้องถิ่น ผู้ให้บริการทางหลวง และแม้แต่ศูนย์วัฒนธรรมและศูนย์จัดนิทรรศการ โดยก่อนหน้านี้ ข้อห้ามดังกล่าวจำกัดเพียงแค่ฐานทัพหรือสถานที่ทางการทหารเป็นหลัก

หนึ่งในตัวอย่างของข้อจำกัดดังกล่าวเกิดขึ้นที่ศูนย์ประชุมแกรนด์ ฮอลล์ (Grand Halls) บริเวณใจกลางย่านนอร์ทบันด์ของนครเซี่ยงไฮ้ ซึ่งเป็นศูนย์ประชุมที่ดำเนินการโดยองค์กรที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีน ที่นี่ถูกใช้เป็นสถานที่จัดกิจกรรมทางวัฒนธรรม นิทรรศการระดับนานาชาติ และงานเลี้ยงต่างๆ

ผู้อาศัยในพื้นที่กล่าวว่า รถของเทสลาถูกห้ามไม่ให้เข้าไปในพื้นที่ของศูนย์ประชุมแกรนด์ ฮอลล์ แม้ว่ารถยนต์คันดังกล่าวเพียงแค่ขับผ่านก็ตาม

"หากคุณจะเข้าร่วมการประชุมที่นั่น ผู้จัดการประชุมจะแจ้งให้คุณทราบล่วงหน้า โดยแจ้งไม่ให้คุณขับรถเทสลา หรือเช่ารถเทสลาเข้าไป เนื่องจากคุณจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าสถานที่" ผู้อาศัยในพื้นที่รายหนึ่งกล่าว

ก่อนหน้านี้ เมืองบางแห่งในจีน ซึ่งมักเป็นเจ้าภาพการแข่งขันกีฬารายการสำคัญๆ ได้เพิ่มมาตรการจำกัดต่อรถเทสลา เช่น กรณีหนึ่งที่เมืองเฉิงตู ซึ่งเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี รวมถึงการผลิตยุทโธปกรณ์ทางทหาร โดยผู้อาศัยในพื้นที่กล่าวว่ารถของเทสลาถูกห้ามไม่ให้ใช้ถนนบางเส้นระหว่างการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยโลกเมื่อฤดูร้อนปีที่แล้ว

รายงานระบุว่า จีนคือตลาดสำคัญของเทสลา แต่เทสลากำลังเผชิญการแข่งขันที่ดุเดือดมากขึ้นเรื่อย ๆ จากบรรดาแบรนด์คู่แข่งสัญชาติจีนเอง โดยล่าสุด บีวายดี (BYD) ซึ่งเป็นแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีน เพิ่งสร้างสถิติใหม่ ทำยอดขายทั่วโลกแซงหน้าเทสลาได้ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2566

ชื่นชม!! ‘ทีมแพทย์จีน’ มุ่งมั่นเดินหน้า ‘ผ่าตัดสมอง’ สำเร็จ แม้ต้องเผชิญเหตุ ‘แผ่นดินไหว’ ในซินเจียงอุยกูร์ก็ตาม

(25 ม.ค. 67) ย้อนชมการปฏิบัติงานอย่างมืออาชีพของทีมแพทย์และพยาบาลประจำโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในเมืองอาลาเอ่อร์ เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ซึ่งยังคงปฏิบัติการ ‘ผ่าตัด’ ต่อไปอย่างระมัดระวังแม้เผชิญเหตุแผ่นดินไหว

ซึ่งคลิปวิดีโอเผยภาพทีมแพทย์และพยาบาล นำโดยศัลยแพทย์อันซูฟาง กำลังทำการผ่าตัดเปิดกะโหลกศีรษะผู้ป่วยวิกฤตรายหนึ่ง ก่อนที่ไม่กี่วินาทีถัดมา จะเกิดการสั่นไหวจนพวกเขาทั้งหมดรับรู้ได้และนิ่งค้างอยู่ชั่วอึดใจ

แม้อุปกรณ์การแพทย์ในห้องผ่าตัดจะสั่นไหวตามแรงแผ่นดินไหว อันซูฟางและทีมงานยังคงสงบและมีสมาธิอย่างมืออาชีพ จนกระทั่งทำการผ่าตัดที่มีความเสี่ยงสูงนี้เสร็จสิ้น และผู้ป่วยอยู่ในภาวะปลอดภัย

อันซูฟางเล่าว่าผู้ป่วยรายนี้ต้องรับการผ่าตัดเปิดกะโหลกฉุกเฉิน หลังจากประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์จนเกิดภาวะสมองเลื่อน ส่วนเหตุแผ่นดินไหวทำให้เตียงสั่น แต่เขายังคงผ่าตัดต่อจนสำเร็จลุล่วงด้วยดี

ทั้งนี้ อำเภออูสือ แคว้นอาเค่อซูของซินเจียง เผชิญเหตุแผ่นดินไหวรุนแรง ขนาด 7.1 ตามมาตราแมกนิจูด ตอนราว 02.09 น. ของวันอังคาร (23 มกราคม ) ตามเวลาปักกิ่ง โดยจุดศูนย์กลางการสั่นไหวอยู่ลึกใต้ดินราว 22 กิโลเมตร และห่างจากเมืองอาลาเอ่อร์ราว 240 กิโลเมตร

‘อย.เกาหลีใต้’ เตือน!! ไม่ควรกิน ‘ไม้จิ้มฟันผลิตจากพืช’ ทุกชนิด ชี้!! อาจแพ้-ท้องเสียได้ หลังเด็ก-เยาวชนทำตามคอนเทนต์ในโซเชียล

องค์การอาหารและยาแห่งเกาหลีใต้ได้ออกเอกสารเตือนเรื่อง ‘การบริโภคไม้จิ้มฟัน’ ที่กำลังเป็นกระแสในโซเชียลแดนโสมขาว

โดยเฉพาะไม้จิ้มฟันสีเขียว ที่ทำจากแป้งข้าวโพด นิยมนำมาดัดแปลงทำอาหารบ่อยที่สุด จนหน่วยงานด้านอาหารและยาต้องออกโรงเตือนว่า ไม่ควรรับประทานไม้จิ้มฟัน เพราะถึงแม้ตัวไม้จิ้มฟันจะทำจากแป้ง แต่ก็ไม่ได้ผลิตมาเพื่อใช้บริโภคโดยตรง จุดประสงค์เพื่อเป็นของใช้ภายนอก และใช้ครั้งเดียวทิ้ง เช่นเดียวกับ แก้วน้ำ หรือ หลอดกาแฟ ที่ทำจากกระดาษ ดังนั้น จึงมีความเสี่ยงเรื่องสุขอนามัย หากบริโภคไม้จิ้มฟันเข้าไปในร่างกาย 

ด้านกระทรวงสาธารณสุขก็ได้ออกมาเตือนเหล่าบรรดายูทูบเบอร์ ที่เผยแพร่คลิปวิดิโอ แสดงวิธีการดัดแปลงไม้จิ้มฟันแป้งข้าวโพดมาทำอาหารเป็นจำนวนมาก หลังจากที่มีอินฟลูเอนเซอร์สาวชาวเกาหลี ในชื่อบัญชี @hiharu_22 เผยแพร่คลิปนำไม้จิ้มฟันไปทอดจนฟูกรอบ และนำมาราดด้วยชีส และกลายเป็นกระแสไวรัลในทันที เมื่อคลิปมียอดวิวสูงถึง 4.4 ล้านวิว จึงมียูทูบเบอร์คนอื่น ๆ ทำตามด้วยการนำไม้จิ้มฟันมาต้มกินแทนบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป นำไปผัดเป็นเส้นก๋วยเตี๋ยว และอื่น ๆ อีกมากมาย

ปัญหาที่ตามมาคือ มีเด็กนักเรียน และวัยรุ่นเกาหลีจำนวนมาก แห่กินไม้จิ้มฟันตามคลิปที่แชร์ตาม ๆ กันมา ซึ่งเป็นอิทธิพลจากกระแสวัฒนธรรมการโชว์กินอาหารออกสื่อในโซเชียล ที่เรียกกว่า ‘ม็อกบัง’ (먹방) หนึ่งในคอนเทนต์ที่นิยมมาก ๆ ในเกาหลีใต้ จนผู้ปกครองเริ่มเป็นห่วงว่าการกินไม้จิ้มฟันจำนวนมาก ๆ อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ 

เช่นเดียวกับองค์การอาหารและยาของเกาหลี ที่ต้องรีบออกมาเตือนว่า ไม่ควรบริโภคไม้จิ้มฟันแป้งข้าวโพดโดยเด็ดขาด เนื่องจากไม้จิ้มฟันประเภทนี้ มักทำจากแป้งข้าวโพด หรือ แป้งมันฝรั่ง ผสมกับ สารซอร์บิทอล สารส้ม และสีสังเคราะห์ ที่เป็นสารเคมี ถึงแม้จะไม่ใช่สารที่เป็นอันตราย หากบริโภคเข้าไปเพียงเล็กน้อย แต่ถ้าบริโภคเป็นปริมาณมาก ๆ อาจทำให้เกิดอาการแพ้ ท้องร่วง อาเจียน หรือเกิดการอักเสบของอวัยภายในร่างกายได้

ดังนั้น ชาวโซเชียลก็ต้อง ‘พักก่อน’ ไม้จิ้มฟัน มีไว้จิ้มฟันพอ ถ้าหิวจริง ๆ ก็หาอย่างอื่นกินดีกว่า 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top