Tuesday, 3 June 2025
WORLD

‘IMF’ ชี้!! ‘เศรษฐกิจจีน’ ปี 66 โตทะลุเป้า หลังปรับเปลี่ยนจากส่งออกเป็นรูปแบบบริโภค

(18 ม.ค. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า คริสตาลินา จอร์จีวา กรรมการผู้จัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ระบุว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนในปี 2023 ถือเป็นข่าวดีสำหรับจีนและทั่วโลก

จอร์จีวาได้มีการเปิดเผยกับสำนักข่าวนอกรอบการประชุมสภาเศรษฐกิจโลก (WEF) ครั้งที่ 54 ในเมืองดาวอสว่า เศรษฐกิจของจีนบรรลุเป้าหมายระดับชาติซึ่งตั้งไว้ที่ราวร้อยละ 5 และเติบโตสูงกว่านั้น สิ่งนี้เป็นข่าวดีทั้งสำหรับจีน เอเชีย และทั่วโลก เนื่องจากจีนครองส่วนแบ่งการเติบโตหนึ่งในสามของการเติบโตทั่วโลก

เมื่อวันพุธ (17 ม.ค.) สำนักงานสถิติแห่งชาติจีนรายงานว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของจีนในปี 2023 สูงถึง 126.06 ล้านล้านหยวน (ราว 638 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.2 เมื่อเทียบปีต่อปี

จอร์จีวาชี้ว่ารัฐบาลจีนกำลังมุ่งมั่นเดินหน้าสู่การเติบโตที่มีคุณภาพสูง และเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเติบโตจากที่เน้นการส่งออกเป็นหลัก ไปเป็นรูปแบบที่การบริโภคมีบทบาทสำคัญมากขึ้น

จอร์จีวากล่าวว่าเราเป็นพันธมิตรที่ดีมากกับจีน จีนมีศักยภาพอย่างมากในการดึงเอาผลิตภาพออกมามากขึ้น และสร้างแรงงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมเสริมว่าการปฏิรูป การเปิดกว้าง และการบูรณาการในเศรษฐกิจโลกถือเป็นหนทางที่ถูกต้องในการเดินหน้าต่อของจีน

อนึ่ง เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2023 กองทุนฯ ได้ปรับขึ้นการคาดการณ์เศรษฐกิจจีนในปี 2023 จากร้อยละ 5 เป็นร้อยละ 5.4 และในปี 2024 จากร้อยละ 4.2 เป็นร้อยละ 4.6 เมื่อเทียบกับรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่กองทุนฯ เผยแพร่เมื่อเดือนตุลาคม

‘Uniqlo’ เอาจริง!! ยื่นฟ้อง ‘Shein’ ปมก๊อปกระเป๋ารุ่นฮิต เรียกร้องให้หยุดขาย พร้อมชดเชยค่าเสียหายที่เกิดขึ้น

(18 ม.ค.67) สำนักข่าวต่างประเทศ บีบีซี รายงานว่า Uniqlo แบรนด์เสื้อผ้าดังในเครือบริษัท ฟาสต์ รีเทลลิง ของญี่ปุ่น ยื่นฟ้อง Shein แบรนด์ฟาสต์แฟชันยักษ์ใหญ่จีน ปมก๊อปกระเป๋าสะพายข้างของ Uniqlo ที่เป็นไวรัลในโลกโซเชียลจนได้ฉายาว่ากระเป๋า Mary Poppins ขาย

ตามรายงานเบื้องต้น เผยว่า Uniqlo ได้มีการยื่นคำร้องต่อศาลแขวงโตเกียว เพื่อฟ้อง Shein Japan และบริษัทในเครืออีก 2 แห่ง หลังกระเป๋าบางรุ่นของ Shein มีความคล้ายคลึงกับกระเป๋าสะพายข้างของ Uniqlo ซึ่งมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในแบรนด์สินค้าได้

นอกจากนี้ ทางยูนิโคล่ยังเรียกร้องให้ Shein หยุดขายกระเป๋ารุ่นดังกล่าว พร้อมทั้งยังเรียกค่าชดเชยสำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้น ส่วนทาง Shein ยังไม่ได้ตอบสนองหรือให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้

อย่างไรก็ตาม กระเป๋าสะพายข้างรุ่นนี้ของ Uniqlo ได้รับความนิยมอย่างมากบนโลกออนไลน์ โดยกระเป๋ารุ่นนี้สามารถจุของได้หลายชิ้น เปรียบได้กับกระเป๋าวิเศษของ แมรี ป๊อปปินส์ ตัวละครเอกในภาพยนตร์แนวแฟนตาซีชื่อดังเมื่อปี 1964

โดยคลิปวิดีโอแสดงให้เห็นการใช้งานกระเป๋ารุ่นนี้ยังเรียกยอดกดไลก์ได้หลายล้านครั้งในปีที่แล้ว สำหรับราคาของกระเป๋าสะพายรุ่นนี้ที่ทำจากไนลอน มีราคาขายในอังกฤษที่ใบละ 14.90 ปอนด์หรือราว 674 บาท และถือว่าเป็นสินค้าขายดีที่สุดของ Uniqlo ณ ขณะนี้

ทั้งนี้ ตามข้อมูลบนเว็บไซต์ Shein เป็นแบรนด์ฟาสต์แฟชันของจีนก่อตั้ง เมื่อปี 2551 มียอดขายสินค้าพุ่งสูงขึ้นอย่างมากในช่วงเกิดการแพร่ระบาดใหญ่ของโรคโควิด-19 ผลจากการล็อกดาวน์ที่ทำให้คนหันมาจับจ่ายซื้อของทางออนไลน์อย่างก้าวกระโดด และกลยุทธ์ทางการตลาดของ Shein ที่มุ่งเน้นไปที่แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย

อีกทั้ง ปัจจุบัน Shein มีพนักงานอยู่ทั่วโลกรวมกันประมาณ 10,000 คน และจำหน่ายสินค้าในมากกว่า 150 ประเทศ โดยมีฐานดำเนินงานอยู่ในสิงคโปร์และมีรายงานข่าวว่า Shein กำลังพิจารณาที่จะเข้าสู่ตลาดหุ้นนิวยอร์กอีกด้วย

ขณะที่ ทางบริษัท ฟาสต์ รีเทลลิง ผู้ค้าปลีกเสื้อผ้ารายใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น ได้เปิดร้าน Uniqlo สาขาแรกในปี 2527 ปัจจุบันมีร้านสาขาราว 2,500 แห่งทั่วโลก โดยสาขาส่วนใหญ่อยู่ในประเทศจีน

‘จีน’ กังวล!! เหตุอัตราการเสียชีวิตพุ่ง-การเกิดต่ำ หวั่นสะเทือนการเติบโตของเศรษฐกิจในอนาคต

(18 ม.ค.67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่าสำนักงานสถิติแห่งชาติของจีนเปิดเผยรายงานว่า จำนวนประชากรในจีนลดลง 2.08 ล้านคน หรือ 0.15% เป็น 1,409 ล้านคน ในปี 2566 โดยลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับปี 2565 ที่มีประชากรลดลง 850,000 คน และเป็นการลดลงครั้งแรกนับจากปี 2504 ช่วงภาวะอดอยากครั้งใหญ่ในยุคเหมาเจ๋อตง

ขณะที่ในปี 2566 มีจำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 6.6% เป็น 11.1 ล้านคน โดยอัตราการเสียชีวิตอยู่ในระดับสูงสุดนับจากปี 2517 ช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรม และจำนวนเด็กเกิดใหม่ในปี 2566 ลดลง 5.7% เป็น 9.02 ล้านคน และอัตราการเกิดทำสถิติต่ำที่สุดคือ 6.39 คนต่อประชากร 1,000 คน  ลดลงจาก 6.77 คนในปี 2565 และเป็นอัตราการเกิดต่ำที่สุดนับตั้งแต่สถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี 2492 นอกจากนี้จำนวนประชากรวัยแรงงานที่อายุ 16-59 ปี ลดลง 10.75 ล้านคนจากปี 2565 และจำนวนผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป เพิ่มขึ้น 16.93 ล้านคนในปี 2565

ซึ่งข้อมูลประชากรที่สำนักงานสถิติแห่งชาติของจีนเปิดเผยนั้นสร้างความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนจะชะลอลง เนื่องจากมีจำนวนแรงงานและผู้บริโภคลดลง ขณะที่ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นสำหรับการดูแลผู้สูงอายุ และสวัสดิการหลังเกษียณจะสร้างภาระหนักยิ่งขึ้นแก่ทางการท้องถิ่นที่มีภาระหนี้สิน

ขณะเดียวกันสำนักงานสถิติแห่งชาติ รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจว่า มูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) เติบโต 5.2% ในปี 2566 ซึ่งฟื้นตัวมากขึ้นกว่าปี 2565 ที่ GDP เติบโต 3% แต่ยังคงเป็นตัวเลขการเติบโตต่ำที่สุดนับจากปี 2533 ยกเว้นช่วงการระบาดของโควิด-19 และในปี 2567 จะยังคงเป็นปีที่ท้าทายสำหรับเศรษฐกิจจีนเนื่องจากการชะลอตัวอย่างต่อเนื่องของอสังหาริมทรัพย์และความมั่นใจของผู้บริโภคที่ลดน้อยลง

Startup จีนเจ๋ง พัฒนาแบตเตอรีนิวเคลียร์เล็กเท่าเหรียญ จุดเด่นอยู่ได้ 50 ปี ไม่ต้องชาร์จ ไม่ต้องซ่อม

Betavolt บริษัท Startup ด้านนวัตกรรมพลังงานของปักกิ่งเปิดตัวแบตเตอรีพลังงานนิวเคลียร์รุ่นล่าสุด ที่มีขนาดเล็กเท่าเหรียญบาท แต่สามารถให้พลังงานได้ยาวนานถึง 50 ปี โดยไม่จำเป็นต้องชาร์จ

สร้างความฮือฮาในวงการนวัตกรรมพลังงานอย่างมาก เมื่อ Startup จีน สามารถพัฒนา BV-100 แบตเตอรี่นิวเคลียร์ตัวแรกของบริษัทออกมาได้สำเร็จ และยังสามารถเคลมว่าเป็นแบตเตอรีนิวเคลียร์ตัวแรกของโลก ที่พัฒนาให้ประชาชนทั่วไปได้ใช้จริง

โดยทาง Betavolt ได้ใช้ Nickel-63 ไอโซโทปรังสีนิวเคลียร์ชนิดหนึ่งบรรจุเข้าไปในอนุภาคขนาดเล็กที่มีขนาดเพียง 15×15×15 มิลลิเมตร ทำให้ได้แบตเตอรีที่มีขนาดเล็กมากพอๆ กับเหรียญบาท ที่สามารถให้กำลังไฟฟ้า 100 ไมโครวัตต์ และแรงดันไฟฟ้า 3 โวลต์ ได้ในเวลา 50 ปี

แต่ต้องยอมรับว่า แบตเตอรีรุ่นแรกของบริษัทให้กำลังไฟค่อนข้างต่ำ จึงไม่แรงพอที่จะชาร์จอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อย่างสมาร์ตโฟนได้ ทางบริษัทจึงแนะนำให้ใช้ BV100 แบบอนุกรม หรือ ควบคู่ไปกับอุปกรณ์จ่ายไฟอื่นๆ ไปก่อน

ทั้งนี้ Betavolt มีเป้าหมายในการพัฒนาแบตเตอรีรุ่นต่อๆ ไปให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น จนสามารถใช้เป็นพลังงานหลักให้กับอุปกรณ์ดิจิทัลทั่วไป อย่าง สมาร์ตโฟน หรือ โดรน ได้ ขณะเดียวกันยังสามารถนำไปปรับใช้กับเครื่องมือเทคโนโลยีอื่นๆ ได้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น อากาศยาน, เครื่องมือแพทย์, อุปกรณ์ AI, เครื่องตรวจจับสัญญาณ หรือแม้แต่หุ่นยนต์ขนาดเล็ก ให้ได้ในอนาคตอันใกล้ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานทั่วโลก ที่จะสามารถใช้อุปกรณ์ดิจิทัลของตนได้อย่างต่อเนื่องหลายสิบปี โดยไม่จำเป็นต้องชาร์จไฟอีกต่อไป 

(ทางบริษัทยังรับรองความปลอดภัยของตัวแบตเตอรีนิวเคลียร์ ที่จะไม่ติดไฟ หรือระเบิดออกเมื่อถูกกระทบกระเทือน และยังสามารถใช้งานได้ดีภายใต้อุณหภูมิ -60 จนถึงระดับ 120 องศาเซลเซียส)

สำหรับการคิดค้นเทคโนโลยีพลังงานนิวเคลียร์  นักวิทยาศาสตร์ชาวโซเวียต และ ชาวอเมริกัน เคยนำมาใช้แล้วตั้งแต่ยุคสำรวจอวกาศ ที่มักใช้ในยานสำรวจใต้ทะเล หรือสถานีอวกาศ แต่ทั้งนี้ ตัวแบตเตอรี่มีขนาดใหญ่เทอะทะ และราคาสูงมาก จึงจำกัดการใช้งานแต่เพียงโครงการของรัฐบาลเท่านั้น

ซึ่งรัฐบาลจีนต้องการท้าทายขีดจำกัดดังกล่าว ด้วยการบรรจุแผนการพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานนิวเคลียร์เชิงพาณิชย์ไว้ในแผนยุทธศาสตร์ชาติ 5 ปี ฉบับที่ 14 (2021-2025) จนสามารถเปิดตัวแบตเตอรีนิวเคลียร์จิ๋วรุ่นแรกออกมาได้ก่อนชาติตะวันตกอย่าง สหรัฐอเมริกา และ ยุโรป

และยังแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการแข่งขันด้านนวัตกรรมของจีน ที่พร้อมก้าวขึ้นมายืนในตำแหน่งแถวหน้าของโลกได้อย่างไม่น้อยหน้าใครอีกด้วย

เรื่อง: ยีนส์ อรุณรัตน์

‘สื่อเยอรมัน’ เผยแผนลับ!! 5 ขั้นตอนของ ‘ปูติน’ เตรียมโจมตี 'ยูเครน' ก่อนนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 3

(18 ม.ค.67) หนังสือพิมพ์ BILD ของเยอรมันตีพิมพ์ข่าวใหญ่ ระบุชัดว่า 'วลาดิมีร์ ปูติน' ผู้นำรัสเซีย มีแผนที่จะยกระดับสงครามยูเครน ไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 3 ภายในปี 2025 โดยอ้างอิงจากเอกสารลับสุดยอดของกระทรวงกลาโหมเยอรมันเป็นประกัน!!

สื่อเยอรมัน เปิดเผยว่า กระทรวงกลาโหมและกองกำลังในยุโรปเริ่มเตรียมความพร้อมรอรับการโจมตีของรัสเซียแล้ว โดยมีการประเมินสถานการณ์ว่า ปูตินมีแผนที่จะทำสงครามแบบผสม ‘Hybrid War’ โจมตีชาติพันธมิตร NATO ในหลายรูปแบบ ทั้งการโจมตีทางไซเบอร์, ใช้กำลังทหารรุกราน รวมถึงการโจมตีด้วยข้อมูลข่าวสาร ที่จะก่อให้เกิดความรุนแรงขึ้น

เอกสารลับ (ที่ตอนนี้ไม่ลับแล้ว) ของกลาโหมเยอรมันระบุว่าชื่อ ‘Alliance Defense 2024’ ได้คาดการณ์แผนการยกระดับสงครามยูเครน สู่สงครามโลกครั้งที่ 3 พอสรุปคร่าวๆ ไว้ 5 ขั้น

โดยขั้นแรกนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2023 นี้ ที่ปูตินจะประกาศระดมพลเพิ่มอีก 2 แสนนาย โดยอ้างว่าเตรียมไว้สำหรับเปิดฉากสงครามในยูเครนอีกครั้งในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ที่ยังดูเป็นสงครามภายในระหว่างรัสเซีย-ยูเครนปกติ

แต่สื่อเยอรมันชี้ว่า แผนการขั้นสอง จะยกระดับขึ้นในช่วงกรกฎาคมปีนี้ ด้วยการใช้ยุทธวิธีโจมตีทางไซเบอร์ในกลุ่มประเทศบอลติค อันได้แก่ประเทศ เอสโตเนีย ลัทเวีย และ ลิทัวเนีย

ขั้นที่สามจะตามมาในเดือนกันยายน ที่มีการตั้งชื่อแล้วว่า แผน ‘Zapad 2024’ ที่จะมีการซ้อมรบใหญ่ตามแนวชายแดนรัสเซียตะวันตกและเบลารุส เพื่อกลบเกลื่อนการเคลื่อนพลใหญ่ และขีปนาวุธพิสัยกลางไปประจำในแคว้นคาลินินกราด เพื่อประชิดชายแดนโปแลนด์และลิทัวเนีย 

และนำไปสู่แผนการขั้นที่ 4 ในเดือนธันวาคม ช่วงที่มีการเลือกตั้งผู้นำสหรัฐ ที่รัสเซียวางแผนที่จะโจมตีด้วยข้อมูลข่าวสาร และปั่นกระแสให้เกิดจลาจลบริเวณเขตแนวชายแดนระหว่างโปแลนด์ และ ลิทัวเนีย ที่เรียกว่า ‘Suwalki Gap’ หลังวางกองกำลังของตนไว้ในคาลินินกราดแล้ว

แผนขั้นที่ 5 จะเริ่มในเดือนมกราคม 2025 เมื่อพันธมิตร NATO จะพุ่งเป้ามาที่รัสเซียว่าเป็นต้นเหตุที่ก่อให้เกิดความไม่สงบในประเทศแถบบอลติก ที่ปูตินจะใช้เป็นข้ออ้างในการระดมพลใหญ่อีกครั้งทั้งในรัสเซียและเบลารุส ซึ่งกองกำลัง NATO คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องประกาศรวมพลเช่นกัน ซึ่งจุดแตกหักที่อาจกลายเป็นสงครามโลกครั้งที่ 3 ได้ ในเอกสารของกลาโหมเยอรมันระบุว่า ตั้งแต่มีนาคม 2025 เป็นต้นไป

เป้าหมายที่ฝ่ายกลาโหมเยอรมัน จัดทำเอกสารประเมินสถานการณ์สงครามของรัสเซียฉบับนี้ ก็เพื่อกระตุ้นเตือนให้พันธมิตรในยุโรปตระหนักว่า รัสเซียเป็นภัยคุกคามที่อันตรายมากกว่าที่คิด จำเป็นต้องเร่งเตรียมความพร้อมในกองทัพของแต่ละประเทศในการป้องกันดินแดนของตน และทางเยอรมันได้เริ่มแล้วนั่นเอง

จากหัวข้อข่าวที่ BILD ได้ออกมาเผยแพร่ ก็ได้สร้างความฮือฮาและแตกตื่นพอสมควรว่า รัสเซียคิดจะเปิดศึกในยุโรปแน่หรือ? และเอกสารที่สื่อเยอรมันหยิบมาอ้างถึงนั้นเป็นเอกสารจริงหรือไม่?

และเมื่อมีการสอบถามไปยังกลาโหมเยอรมัน โฆษกประจำกระทรวงก็ออกมาปฏิเสธที่จะออกความเห็นถึงเนื้อหาที่มีอยู่ในเอกสารลับ ‘Alliance Defence 2025’ แต่กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า โดยปกติแล้ว ฝ่ายกองทัพมีการประเมินสถานการณ์เป็นประจำอยู่แล้ว ซึ่งมันก็เป็นส่วนหนึ่งในงานของทหาร ไม่ต่างจากการฝึกซ้อมประจำวันนั่นแหละ"

ด้าน วลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ที่ถูกโยงให้เป็นตัวเอก และตัวร้ายในรายงานเอกสารลับของเยอรมัน ก็ออกมาปฏิเสธว่า นี่มันนิยายอะไรกัน รัสเซียไม่ต้องการขยายขอบเขตสงครามออกไปไกลเกินยูเครนแล้ว จะยุให้เราไปรบกับใครอีก?

แม้สื่อตะวันตกจะสนใจเรื่องเอกสารลับของเยอรมันกันค่อนข้างเยอะ แต่ก็ต้องพึงระลึกเสมอว่า ‘ฟังหู ไว้หู’ เพราะลำพังกองกำลังพลที่จะระดมเพิ่มแค่ 2 แสน กับขยายกองกำลังไปประจำที่คาลินินกราด กับขีปนาวุธพิสัยกลางอีกนิดหน่อย คิดจะเปิดฉากรบยุโรปทั้งทวีปได้เชียวหรือ?

แต่ทั้งนี้ แอดฯ ก็เคยเชื่อว่ารัสเซียไม่น่าจะบุกยูเครน และทำสงครามเต็มรูปแบบมาก่อน แต่สุดท้ายปูติน ก็บุกจริงๆ ดังนั้น คงยังฟันธงไม่ได้ว่า รายงานประเมินสถานการณ์ ‘Alliance Defence 2025’ ถูกเขียนขึ้นเพราะ ‘เชื่อในสิ่งที่เห็น’ หรือ ‘เห็นในสิ่งที่เชื่อ’

'นักวิจัยจีน' พบไวรัสโคโรนาตัวใหม่ 'GX-P2V'  ชี้!! เชื้อรุนแรง อัตราการตาย 100% หลังทดลองกับหนู

(18 ม.ค.67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่าทีมนักวิจัยชาวจีน จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีชีวภาพชั้นนำในกรุงปักกิ่ง ได้ค้นพบไวรัสที่มีความสามารถในการกลายพันธุ์สูง มีชื่อรหัสว่า GX-P2V (จีเอ็กซ์ พี 2 วี) ซึ่งเป็นไวรัสคล้ายกับโคโรนาไวรัส ซึ่งได้ทดลองกับ 'หนู' จากการทดลองพบว่าไวรัสมีความรุนแรง รวดเร็วและน่าตกใจมาก สามารถทำให้สัตว์ทดลองตายภายใน 8 วัน มีอัตราการตาย 100 % และพบว่าเชื้อไวรัสนั้นสามารถทำลายสมองโดยตรง 

ทีมนักวิจัยยังค้นพบอีกว่า มีปริมาณเชื้อจำนวนมากในสมองและดวงตาของหนูที่ถูกทดลอง แม้ว่าเชื้อ GX-P2V จะมีลักษณะทางพันธุกรรมที่ใกล้เคียงกับเชื้อโคโรนาไวรัส แต่ก็มีความแตกต่างในด้านการแบ่งตัวและการแพร่กระจายในร่างกายการทดลองนี้มีความสำคัญเนื่องจากหนูมีการผลิตโปรตีนที่คล้ายมนุษย์ ทำให้ผลที่ได้จากการทดลองในหนูอาจสะท้อนถึงผลที่อาจเกิดขึ้นกับมนุษย์ได้ อย่างไรก็ตามรายงานการทดลองนี้ยังไม่ได้เปิดเผยแก่สาธารณะ

ไวรัส GX-P2V ถูกค้นพบครั้งแรกในปี 2017 จากตัวนิ่มในมาเลเซีย เป็นที่ทราบกันดีว่าตัวนิ่มนั้นเป็นแหล่งรวมของเชื้อไวรัสโคโรนาหลายชนิด ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นตัวกลางที่แพร่เชื้อไวรัสไปสู่ค้างคาวและต่อยอดไปถึงมนุษย์

ทีมนักวิจัยจีนได้ทำการเพาะเชื้อ GX-P2V และเก็บรักษาเป็นอย่างดีไว้ในห้องแล็บที่กรุงปักกิ่ง พบว่า เชื้อนี้มีการกลายพันธุ์เกิดขึ้นก่อนที่จะถูกนำมาทดลองในหนูแต่ไม่มีการระบุชัดเจนว่าการทดลองเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ 

ศาสตราจารย์ ฟรองซัวส์ บัลลูซ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ จากมหาวิทยาลัยคอลเลจ แสดงความคิดเห็นผ่านทาง X (ทวิตเตอร์) ว่าเขาเห็นถึงความไม่เป็นประโยชน์ต่อการทดลองครั้งนี้และแสดงความคิดเห็นในเชิงกังวลว่าการทดลองนี้จะนำไปสู่ความผิดพลาดที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ โดยการทดลองนี้ “เป็นการศึกษาที่แย่มาก ไร้จุดหมายทางวิทยาศาสตร์โดยสิ้นเชิง”

ซัมซุงเปิดตัว Galaxy S24 มี AI ล่ามแปลภาษาให้แบบสดๆ หวังทวงคืนเจ้าตลาดคืนจาก Apple เบื้องต้นคลุม 13 ภาษา

(18 ม.ค. 67) จากเพจ 'เดือดทะลักจุดแตก' ได้เผยเนื้อหาถึง เทคโนโลยี AI กับ ซัมซุง ที่เปิดตัว Galaxy S24 โทรคุยกับคนต่างชาติ แล้วล่ามแปลภาษาให้แบบสด ๆ ได้ ระบุว่า...

อัศจรรย์ แล้วมันก็เป็นไปได้จริง สิ่งที่เราชาวโลกจินตนาการจากในการ์ตูนหรือหนังไซไฟ

น้องหนูนักเรียนไม่ต้องนั่งท่องศัพท์ภาษาอังกฤษยากบรรลัย cat dog mountain sea bikini ...

ชีวิตจะไปยากเย็นอะไรอีก ในเมื่อโทรศัพท์มือถือสามารถแปลให้เองด้วยอิทธิเดชแห่ง AI

เพียงปลายสายพูดฟุดฟิดฟอไฟภาษาฝรั่ง เมื่อสัญญาณพุ่งมาสู่เครื่องมือถือของคุณ มันก็พลันกลายเป็นภาษาไทยแสนไพเราะเสนาะหู

คุณจะคุยกับจีน ญี่ปุ่น ก็เช่นกัน อิคึ อิคึ

ในลิสต์ตอนนี้ มี 13 ภาษา ซึ่งยังไม่ได้ไล่รายละเอียดว่ามีอะไรบ้าง แต่แน่นอน หลัก ๆ ของโลกอย่างอังกฤษ, จีน, ญี่ปุ่น, เกาหลี, สเปน ต้องมี-ส่วนมีไทยหรือเปล่า เดี๋ยวลุ้นกัน

(เชื่อว่ายังไง เริ่มต้น 13 ไปก่อน อีกสักพักขยายถ้วนทั่ว)

มีฟีเจอร์ ฟังก์ชั่นอีกสารพัดแสนอัศจรรย์นะครับ ผมคงไม่ต้องมานั่งแจกแจงรายละเอียด สักพักซัมซุงย่อมเอาข้อมูลนี้ไปถวายถึงหน้าคุณเองอยู่แล้ว

แหม ทันใจนะครับ มันต้องยังงี้สิ เมื่อวานข่าวเปรี้ยงปร้าง ซัมซุงตกบัลลังก์จากเจ้าตลาดมือถือสมาร์ตโฟน หลุดอันดับ 1 เป็นครั้งแรกในรอบ 13 ปี โดนแอปเปิ้ลแซง

ก็นั่นล่ะครับ ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อกำชัยคืนมา ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ก็ต้องล่อด้วย AI

เปิดตัวเลขโครงการ ‘ทำงานเพื่อบรรเทาทุกข์’ ของจีน  สร้างงาน 2.5 ล้านอัตราให้ ‘ผู้มีรายได้น้อย’ ในปี 2023

(17 ม.ค.67) สำนักข่าวซินหัว เผย ข้อมูลทางการที่เผยแพร่เมื่อวันอังคาร (16 ม.ค.) ระบุว่า โครงการทำงานเพื่อบรรเทาทุกข์ของจีนได้สร้างงานมากกว่า 2.53 ล้านอัตราแก่ประชากรผู้มีรายได้น้อย ส่งผลให้รายได้ต่อหัวเพิ่มกว่า 14,000 หยวน (ราว 70,600 บาท)

คณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติจีน ระบุว่าช่วงปีที่ผ่านมาคณะกรรมการฯ ได้ร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐอื่น ๆ ดำเนินงานส่งเสริมโครงการทำงานเพื่อบรรเทาทุกข์อย่างต่อเนื่อง โดยเพิ่มการสนับสนุนการลงทุนเพื่อวัตถุประสงค์พิเศษจากรัฐบาลกลาง และให้คำแนะนำแก่ภูมิภาคท้องถิ่นเพื่อผลักดันแนวทางดำเนินโครงการทำงานเพื่อบรรเทาทุกข์ในโครงการวิศวกรรมสำคัญ รวมถึงโครงการโครงสร้างพื้นฐานด้านการเกษตรและชนบทในหลายท้องถิ่น

รายงานระบุว่าความพยายามดำเนินงานเหล่านี้ได้สร้างช่องทางการจ้างงานสำหรับประชากรชนบทที่มีรายได้น้อย รวมถึงผู้ประสบปัญหาการหางานในเขตเมืองและชนบท

ในขั้นถัดไป คณะกรรมการฯ จะยังคงทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและรัฐบาลท้องถิ่นเพื่อขยายขอบเขตของโครงการทำงานเพื่อบรรเทาทุกข์ รวมถึงเพิ่มขนาดการจัดสรรเงินอุดหนุนแรงงาน ใช้ประโยชน์จากบทบาทสำคัญของนโยบายการทำงานเพื่อบรรเทาทุกข์ในการรักษาเสถียรภาพการจ้างงาน ปกป้องการดำรงชีวิตของผู้คน และส่งเสริมการพัฒนา

อนึ่ง โครงการทำงานเพื่อบรรเทาทุกข์ หมายถึงนโยบายสนับสนุนซึ่งรัฐบาลลงทุนก่อสร้างโครงการโครงสร้างพื้นฐาน และมอบค่าตอบแทนให้กับผู้ทำงานในโครงการเหล่านั้น ซึ่งทดแทนการบรรเทาทุกข์โดยตรง

บิ๊กไอที 'เกาหลีใต้' ร่วมลงขัน!! 16 ล้านล้านบาท ผุดศูนย์ผลิตชิปใหญ่สุดในโลก ปี 2047 เพื่ออนาคตคนรุ่นต่อไป

เมื่อไม่นานมานี้ รัฐบาลประเทศเกาหลีใต้ได้เผยแผนการสร้าง 'Semiconductor Mega Cluster' หรือที่เรียกว่า ศูนย์เซมิคอนดักเตอร์ขนาดใหญ่ ณ ทางตอนใต้ของกรุงโซลภายในปี 2047 โดยกลุ่มบริษัทชั้นนำอย่าง Samsung Electronics และ SK hynix ได้เตรียมลงทุนจำนวน 622 ล้านล้านวอน หรือนับเป็นเงินไทยก็ประมาณ 16 ล้านล้านบาท

โดยในแผนดังกล่าวเพื่อสร้างโรงงานผลิตชิปแห่งใหม่จำนวน 13 แห่ง และศูนย์วิจัยจำนวน 3 แห่ง (จากเดิมมีอยู่ 21 แห่ง) กินพื้นที่ตั้งแต่เมือง Pyeongtaek ไปจนถึงเมือง Yongin ซึ่งคาดว่าจะมีพื้นที่ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ที่มีกำลังการผลิตแผ่นเวเฟอร์สำหรับทำชิปได้ราว 7.7 ล้านแผ่น / เดือน ภายในปี 2030

รัฐมนตรีอุตสาหกรรม Ahn Duk-geun ได้กล่าวว่า หากการสร้างศูนย์ผลิตชิปเสร็จเร็วก่อนเวลา เราก็จะได้รับความสามารถในการแข่งขันทางภาคส่วนชิปในระดับแถวหน้าของโลก อีกทั้งยังเป็นการสร้างอาชีพที่มีคุณภาพให้แก่คนรุ่นต่อไปด้วย

ตามข้อมูล บริษัท Samsung Electronics ได้วางแผนลงทุน 500 ล้านล้านวอน สำหรับโครงการนี้ โดยจะรวมไปถึงงบประมาณ 360 ล้านล้านวอน สำหรับการสร้างโรงงาน 6 แห่งใหม่ใน Yongin ที่อยู่ห่างจากทางใต้ของโซลประมาณ 33 กิโลเมตร และได้ลงทุน 120 ล้านล้านวอนเพื่อสร้างโรงงาน 3 แห่งในเมือง Pyeongtaek และลงทุนอีก 30 ล้านล้านวอนในการสร้างศูนย์วิจัยอีก 3 แห่งใน Giheung ในขณะที่ SK hynix จะจัดสรรเงินจำนวน 122 ล้านล้านสอน เพื่อสร้างโรงงานใหม่ 4 แห่ง ในเมือง Yongin

และจากการลงทุนของภาคเอกชนนั้น ทางภาครัฐก็ได้วางแผนที่จะมีกำลังการผลิตที่ซับซ้อนในระดับโลก โดยมุ่งเน้นไปที่ผลิตภัณฑ์ที่ทันมีความสมัย ที่จะรวมไปถึงชิปที่มีสถาปัตยกรรม 2 นาโนเมตรและหน่วยความจำแบนด์วิธสูงๆ นอกจากนี้รัฐมนตรียังเสริมว่า ในโครงการนี้จะสามารถสร้างตำแหน่งงานได้มากถึง 3.46 ล้านตำแหน่ง

ทางรัฐบาลเกาหลีใต้ได้ยกระดับและสนับสนุนอุตสาหกรรมชิปในประเทศมาโดยตลอด โดยการสนับสนุนภาคชิปในประเทศนับเป็น 16% ของการส่งออกทั้งหมด ซึ่งก็ได้ตั้งเป้าหมายในอนาคตไว้ว่าจะสามารถผลิตชิปได้มากขึ้นเป็น 10% ภายในปี 2030 (จากปัจจุบันมีสัดส่วนอยู่ที่ 3%) ตลอดจนสนับสนุนนโยบายอื่นเพื่อปกป้องธุรกิจนี้ที่เป็นธุรกิจแกนหลักของเศรษฐกิจประเทศ

'นักลงทุนโลก' ฟันธง!! หมดยุค 'คริปโต' ต่อจากนี้ คือ โอกาสยุคทองของ AI

ตามสัจธรรมของโลก ทุกสรรพสิ่งล้วนมีช่วงเวลาของการตั้งอยู่ ดับไป วนไปเป็นวัฏจักร 

แต่ในยุคเทคโนโลยีสมัยใหม่ ดูเหมือนว่าวัฏจักรที่ว่านี้ จะหมุนไวเป็นพิเศษ 

สังเกตได้จากทิศทางของงานประชุมสภาเศรษฐกิจโลก หรือ World Economic Forum งานประชุมชั้นนำที่คัดสรรเฉพาะผู้แทนจากรัฐบาลทั่วโลกมากกว่า 100 ประเทศ, องค์กรระหว่างประเทศที่สำคัญ, นักธุรกิจแถวหน้าของโลก และผู้ที่มีอิทธิพลในสังคมจากสาขาต่าง ๆ มาถกประเด็นกันถึงทิศทางเศรษฐกิจโลก ซึ่งเมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว หัวข้อเรื่องธุรกิจเงินคริปโตเคอร์เรนซี เป็นประเด็นหลักที่ถูกหยิบขึ้นมาพูดถึงอย่างมาก จนเรียกได้ว่า ช่วงเวลานั้น นักลงทุนส่วนใหญ่ หายใจเข้า-ออก เป็นภาษาคริปโตกันเลยทีเดียว

แต่ทว่าล่าสุดปีนี้ (2024) หัวข้อเรื่องเกี่ยวกับ AI กลายเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงในงาน World Economic Forum ไปเสียแล้ว เบียดธุรกิจคริปโตตกเวทีไปไกลไม่เห็นฝุ่น บริษัทชั้นนำของโลกต่างเร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ปัญญาประดิษฐ์ของตนออกสู่ตลาดกันอย่างคึกคัก และเชื่อมั่นว่ายุคทองของ AI มาถึงแล้ว พร้อมประกาศชัดว่า ต่อจากนี้ The future is AI.

การพลิกกระแสไปสู่วัฒนธรรม AI เกิดขึ้นเร็วมาก เริ่มจากการเปิดตัวของ ChatGPT โปรแกรมแชต บอท AI ที่พัฒนาโดยบริษัท OpenAI ที่ออกมาเมื่อปลายปี 2022 ที่ผ่านมา และกลายเป็นกระแสหลักที่นักลงทุนทั่วโลกต่างพูดถึง 

และแน่นอนว่าไม่มีใครอยากถูกทิ้งไว้ข้างหลัง บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของโลกต่างถูกกดดันให้แข่งขันเพื่อก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำด้าน AI อาทิ Intel บริษัทเซมิคอนดัคเตอร์ยักษ์ใหญ่ของสหรัฐ หรือ Salesforce บริษัทผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ ทุ่มเม็ดเงินลงทุนในงานพัฒนา AI ของตน 

PitchBook บริษัทวิจัยด้านการลงทุน พบว่าบริษัทสตาร์ตอัปด้าน AI และการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) ได้รับแหล่งเงินลงทุนมากขึ้น และมากกว่าธุรกิจด้านเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่เคยเป็นดาวรุ่งเช่นกัน อย่าง ธุรกิจคริปโต และยังสามารถทำรายได้กว่า 600 ล้านดอลลาร์ในระยะเวลาแค่ไตรมาสเดียว 

นอกจากกระแสตลาดผู้พัฒนา AI จะคึกคักแล้ว บริษัทชั้นนำในหลายประเทศก็ตอบรับกระแส AI และพร้อมจะนำมาปรับใช้องค์กรแล้ว จากการสำรวจประจำปีของบริษัท PwC พบว่าเกือบครึ่ง (42%) ของบริษัทในอังกฤษได้เริ่มนำเทคโนโลยี AI มาใช้แล้ว ในขณะที่ 32% ของบริษัทกว่า 4,702 แห่งจาก 105 ประเทศทั่วโลกต่างก็เริ่มปรับปรุงเทคโนโลยีของตนด้วย AI แล้วเช่นกัน 

ด้าน คริสทาลินา จอร์จิวา ผู้อำนวยการ IMF แสดงความเห็นว่า การเติบโตของ AI อาจส่งผลกระทบกับตำแหน่งงานของมนุษย์ถึง 40% ที่อาจทำให้ปัญหาความไม่เท่าเทียมกันในสังคมแย่ลง โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว มีแนวโน้มที่จะบูรณาการองค์กรของตนด้วย AI เร็วกว่าที่อื่น ๆ ทำให้โอกาสที่แรงงานมนุษยจะถูกแทนที่ด้วย AI อาจมีสัดส่วนสูงถึง 60% เลยทีเดียว  

เช่นเดียวกับ Goldman Sachs ที่ได้ประเมินไว้เมื่อปี 2023 ว่า AI สามารถใช้แทนที่แรงงานมนุษย์ได้ถึง 300 ล้านตำแหน่ง แต่ในอีกแง่หนึ่ง AI ก็สามารถสร้างงาน สร้างอาชีพใหม่ ๆ ให้กับมนุษย์ที่ตามกระแสของความเปลี่ยนแปลงทัน แล้วสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี AI เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของตนได้ 

ดังนั้นการเกิดขึ้นในยุคของ AI จึงเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ที่ผู้มีอำนาจในการกำหนดนโยบายต้องตระหนักรู้ถึงผลกระทบในหลายมิติต่อผู้คนในสังคมของตน และต้องเร่งพัฒนาความรู้ให้เท่าทันกับโลกเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลง ให้เป็นมนุษย์ผู้ควบคุมปัญญาประดิษฐ์ ไม่ใช่มนุษย์ที่ถูกแทนที่ด้วย AI ในอนาคตอันใกล้

เรื่อง: ยีนส์ อรุณรัตน์

‘คอมพิวเตอร์ควอนตัม’ รุ่นที่ 3 ของ 'จีน' กระแสดี!! หลังยอดคำนวณพบปิดจ๊อบทั่วโลกกว่า 3 หมื่นงาน

(16 ม.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ออริจิน อู้คง (Origin Wukong) คอมพิวเตอร์ควอนตัมตัวนำยิ่งยวดที่จีนพัฒนาขึ้นอย่างอิสระ รุ่นที่ 3 ดำเนินงานคำนวณเชิงควอนตัมสำหรับผู้ใช้ทั่วโลกเสร็จสิ้นแล้ว 33,871 งาน นับตั้งแต่เริ่มดำเนินการเมื่อวันที่ 6 ม.ค.

ศูนย์วิจัยวิศวกรรมการคำนวณเชิงควอนตัมประจำมณฑลอันฮุย ระบุว่าเมื่อนับถึง 10.00 น. ของวันจันทร์ (15 ม.ค.) มีการเข้าถึงคอมพิวเตอร์ออริจิน อู้คง ระยะไกลจากกว่า 60 ประเทศทั่วโลกกว่า 350,000 ครั้ง โดยมีการเข้าถึงระยะไกลของผู้ใช้ต่างประเทศจากสหรัฐฯ มากเป็นอันดับหนึ่ง

อนึ่ง ออริจิน อู้คง ได้เริ่มเปิดดำเนินการที่บริษัท ออริจิน ควอนตัม คอมพิวติง เทคโนโลยี (เหอเฝย) จำกัด (Hefei Origin Quantum Computing Technology) ในมณฑลอันฮุยทางตะวันออกของจีน

คอมพิวเตอร์ควอนตัมดังกล่าวขับเคลื่อนโดยอู้คง ซึ่งเป็นชิปควอนตัมตัวนำยิ่งยวดของจีน ขนาด 72 คิวบิต (qubit) โดยเป็นคอมพิวเตอร์ควอนตัมตัวนำยิ่งยวดแบบสามารถกำหนดชุดคำสั่งล่วงหน้าและส่งมอบผลลัพธ์ได้รุ่นใหม่ล่าสุดและทันสมัยที่สุดของประเทศ

ชื่อของคอมพิวเตอร์เทคโนโลยีขั้นสูงนี้มีแรงบันดาลใจมาจากซุนอู้คง (Sun Wukong) ตัวละครในตำนานของจีนที่สามารถแปลงกายได้ถึง 72 ร่าง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของศักยภาพอันทรงพลังและรอบด้านของอุปกรณ์ดังกล่าว

‘สหรัฐฯ’ ยั่วยุ ‘จีน’ ประเด็นไต้หวันล้ำเส้นแดง หวังหยุดการเติบใหญ่ของจีน

(16 ม.ค.67) รองศาสตราจารย์ ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจจีน จากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เผยไทม์ไลน์ท่าทีของสองมหาอำนาจ ‘สหรัฐฯ’ และ ‘จีน’ ภายหลังการเลือกตั้ง ปธน.ไต้หวันเสร็จสิ้น ผ่านเฟซบุ๊ก ‘Aksornsri Phanishsarn’ ระบุเนื้อหา ดังนี้...

การยั่วยุจีน 🇨🇳 ในประเด็น #ไต้หวัน ตั้งใจ #ล้ำเส้นแดง ของจีน จนเกิดสงคราม คือ แผนสหรัฐฯ ที่คิดว่า เป็นหนทางเดียวที่จะใช้หยุดการเติบใหญ่ของจีน #อ่านเกมเมกา 🇺🇸 #ยั่วมังกรให้พ่นไฟ 🇨🇳
(https://www.facebook.com/1037140385/posts/10228816992263094/?)

หลังเลือกตั้งไต้หวันแค่วันเดียว!! สหรัฐฯ ส่งผู้แทนไปไต้หวัน ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าจะทำให้จีนไม่พอใจ 🇺🇸 #อ่านเกมเมกา

คณะผู้แทนอย่างไม่เป็นทางการของสหรัฐฯ เดินทางเข้าพบทั้งสองผู้นำของไต้หวันหลังเสร็จสิ้นการเลือกตั้งครั้งสำคัญเมื่อ 13 ม.ค. 2567 ที่ผ่านมา ท่ามกลางความไม่พอใจของรัฐบาลจีนแผ่นดินใหญ่

คณะผู้แทนอย่างไม่เป็นทางการของสหรัฐฯ ได้แก่ สตีเฟน แฮดลีย์ อดีตที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ และ เจมส์ สไตน์เบิร์ก อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้เดินทางถึงไต้หวันเมื่อวันที่ 14 ม.ค. หลังจากไล่ชิงเต๋อชนะเลือกตั้งแค่ 1 วัน และ เตรียมนั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีคนที่ 8 ของไต้หวันนับตั้งแต่มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 1947 (https://www.facebook.com/photo.php?fbid=711912137734799&set=a.586524703606877&type=3)

ทางการจีนประณามสหรัฐฯ รวมถึงรัฐบาลนานาชาติที่แสดงความยินดีต่อไล่ชิงเต๋อและพรรค DPP ที่ชนะการเลือกตั้งไต้หวัน และเรียกร้องให้ทุกประเทศสนับสนุนหลักการจีนเดียว และเน้นย้ำว่า “ไม่ว่าผล #การเลือกตั้งท้องถิ่นในไต้หวัน จะเป็นอย่างไร ข้อเท็จจริงที่ว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีนจะไม่เปลี่ยนแปลง” (อ้างอิง: https://www.aljazeera.com/news/2024/1/15/taiwans-tsai-and-lai-welcome-us-support-as-beijing-fumes-over-election
https://www.reuters.com/world/asia-pacific/former-us-officials-visit-taiwan-post-election-talks-2024-01-14/
)

Oxfam เผย 5 อภิมหาเศรษฐีโลก รวยขึ้น 2 เท่า สวนทางประชากรอีก 5 พันล้านคน กลับจนลง

Oxfam องค์กรการกุศลเพื่อสังคมได้เปิดเผยข้อมูลความเหลื่อมล้ำล่าสุดในที่ประชุม World Economic Forum ประจำปี 2024 ที่เมืองดาวอส ประเทศสวิสเซอร์แลนด์เมื่อวันจันทร์ (15 มกราคม 2024) พบว่า มีอภิมหาเศรษฐีโลกระดับโลก 5 คน ที่มีทรัพย์สินเพิ่มจากเดิมถึง 2 เท่า ในรอบเพียง 4 ปี ขณะที่ชาวโลกจนกระจายนับพันล้านคน

โดยอภิมหาเศรษฐี ที่รวยแล้ว รวยอยู่ และยังคงรวยต่อ ในรายงานของ Oxfam ได้แก่...

- เบอร์นาร์ด อาร์โนลต์ เจ้าของแบรนด์ดัง LVMH หรือ หลุยส์ วิตตอง มีทรัพย์สิน 1.91 แสนล้านเหรียญ เพิ่มขึ้นจากปี 2020 111%

- เจฟฟ์ เบโซส์ แห่ง Amazon มีทรัพย์สิน 1.67 แสนล้านเหรียญ รวยขึ้นกว่าเดิม 24% 

- วอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนรายใหญ่ มีทรัพน์สิน 1.19 แสนล้านเหรียญ เพิ่มขึ้น 48%

- ลาร์รี เอลลิสัน ผู้ก่อตั้ง Oracle มีทรัพย์สิน 1.45 แสนล้านเหรียญ เพิ่มขึ้น 107%

- อีลอน มัสก์ CEO ของ Tesla มีทรัพย์สิน 2.24 แสนล้านเหรียญ เพิ่มจากที่เขาเคยมีในปี 2020 ถึง 737%

โดยเมื่อเทียบกับปี 2020 อภิมหาเศรษฐีทั้ง 5 คนนี้มีทรัพย์สินงอกเงยขึ้นในช่วงเวลาเพียง 4 ปีรวมกันถึง 8.69 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 30 ล้านล้านบาท) ติดเป็นอัตราความร่ำรวยเพิ่มขึ้น 14 ล้านเหรียญต่อชั่วโมง

แต่ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ กลับมีผู้คนกว่า 5 พันล้านคน หรือคิดเป็น 60% ของประชากรโลก ที่อยู่ในกลุ่มฐานะยากจนอยู่แล้ว กลับยิ่งจนลงไปเรื่อยๆ แสดงให้เห็นถึงช่องว่างระหว่างคนรวย และคนจนในโลก นับวันจะยิ่งขยายกว้างขึ้น

Oxfam ชี้ว่า หากอัตราความมั่งคั่ง และความยากจนยังคงดำเนินไปในลักษณะนี้ โลกเราจะมีคนที่รวยถึงระดับล้านล้านเหรียญเป็นคนแรกในอีกไม่เกิน 10 ปีข้างหน้า แต่ทว่าปัญหาความยากจนจะฝังรากลึก จนอาจต้องใช้เวลานานถึง 229 ปี ถึงสามารถกำจัดความยากจนให้หมดไปได้

อบิตาภ บีฮาร์ ผู้อำนวยการองค์กร Oxfam International กล่าวในแถลงการณ์ที่ดาวอสว่า นี่คือจุดเริ่มต้นของทศวรรษแห่งความแบ่งแยก ที่ผู้คนนับพันล้านต้องแบกรับผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากภัยโรคระบาด อัตราเงินเฟ้อ และสงคราม ในขณะที่ความมั่งคั่งไปตกอยู่กับกลุ่มมหาเศรษฐีเพียงไม่กี่คน และความไม่เท่าเทียมกันนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

โดยกลุ่มชนชั้นนำจะทำทุกทางเพื่อรักษา และครอบครองความมั่งคั่งเหล่านั้นให้เพิ่มพูนมากขึ้น โดยให้ประชาชนรากหญ้าเป็นผู้จ่าย และแบกรับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่พวกเขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

รายงานของ Oxfam ยังชี้ว่า ต้นตอของปัญหาเหล่านี้เกิดจากอำนาจผูกขาดขององค์กรยักษ์ใหญ่ที่ก่อให้เกิดความไม่เท่าเทียมกัน อาทิ ปัญหาการกดขี่แรงงาน การหลบเลี่ยงภาษี การแปรรูปรัฐ และทำให้เกิดความเสียหายของสภาพภูมิอากาศ 

องค์กรผูกขาดเหล่านี้เองที่ส่งความมั่งคั่งอันไม่มีที่สิ้นสุดให้กับเจ้าขององค์กรที่ร่ำรวยล้นฟ้า แต่ลดทอนอำนาจของแรงงาน บ่อนทำลายระบอบประชาธิปไตยและสิทธิของประชาชนทั่วไป

Oxfam มีเป้าหมายในการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำของประชากรโลก และได้นำเสนอข้อมูลรายงานปัญหาช่องว่างทางสังคมให้เห็นเป็นประจักษ์เป็นประจำทุกปี 

ซึ่งประเด็นที่ Oxfam ต้องการผลักดันคือการจำกัดเงินค่าตอบแทนผู้บริหารระดับสูง, การสลายการผูกขาดขององค์กรยักษ์ใหญ่ และเสนอให้เก็บภาษีความมั่งคั่งในกลุ่มมหาเศรษฐี องค์กรใหญ่มากขึ้นเพื่อสร้างรายได้ 1.8 ล้านเหรียญต่อปี

Oxfam เชื่อว่าอำนาจสาธารณะสามารถควบคุมอำนาจขององค์กรยักษ์ใหญ่ได้ แต่ทั้งนี้รัฐบาลจำเป็นต้องเข้าแทรกแซงเพื่อสลายการผูกขาด เพิ่มอำนาจให้กับคนงาน เก็บภาษีจากกำไรมหาศาลขององค์กรเหล่านี้ นำมาสนับสนุนสวัสดิการแรงงาน และบริการสาธารณะยุคใหม่เพื่อความเท่าเทียมทางสังคมมากขึ้น

แต่ก็ต้องยอมรับว่าเป็นงานยากสำหรับ Oxfam ในการแก้ปัญหาความไม่เท่าเทียม ตราบใดที่โลกขับเคลื่อนด้วยระบบทุนนิยม ที่เอื้อประโยชน์ให้นายทุนมีอิทธิพลต่อการกำหนดนโยบายของรัฐบาลได้ ช่องว่างทางโอกาสสำหรับชาวรากหญ้าก็ยิ่งห่างไกลมากขึ้นเท่านั้น 

‘Microsoft’ ขึ้นแท่นบริษัทที่มีมูลค่าสูงสุดในโลก แซงหน้า!! ‘Apple’ หลังได้รับแรงหนุนจากเอไอ

(15 ม.ค. 67) เพจเฟซบุ๊ก Business Tomorrow โพสต์ข้อความระบุว่า…

‘Microsoft’ แซงหน้า ‘Apple’ สู่บริษัทที่มีมูลค่าบริษัทมากที่สุดในโลกถือเป็นครั้งที่ 3 ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา

ไมโครซอฟท์ (Microsoft) ขึ้นเป็นบริษัทที่มีมูลค่ากิจการบริษัทตามราคาหุ้น (Market Cap.) สูงที่สุดในโลก แซงแอปเปิล (Apple) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังปิดการซื้อขายในตลาดหุ้นคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา จากที่แซงได้ชั่วคราวเมื่อวันก่อน

ซึ่งมูลค่ากิจการของไมโครซอฟท์อยู่ที่ 2.89 ล้านล้านดอลลาร์ ขณะที่แอปเปิลอยู่ที่ 2.87 ล้านล้านดอลลาร์ ตัวเลขนี้แอปเปิลจึงมีโอกาสกลับมาแซงได้เช่นกัน ที่ผ่านมาไมโครซอฟท์มีมูลค่ากิจการสูงกว่าแอปเปิลช่วงระยะเวลาหนึ่ง ทั้งในปี 2018 และปี 2021

โดยปัจจัยบวกที่ทำให้มูลค่ากิจการไมโครซอฟท์เพิ่มสูงขึ้นคือ AI โดยเฉพาะจากการลงทุนใน OpenAI และการประกาศผลักดันฟีเจอร์ด้าน AI ต่าง ๆ ออกมาโดยตลอด ทำให้ไมโครซอฟท์ได้รับความเชื่อมั่นสูงว่าจะได้โอกาสจากการเติบโตของ AI ที่เป็นธีมสำคัญทางเทคโนโลยีในปีนี้ ขณะที่แอปเปิลนั้นมีข่าวที่ส่งผลกระทบหลายอย่าง ตั้งแต่ Apple Watch อาจถูกสั่งห้ามขายในอเมริกา, บทวิเคราะห์ของธนาคาร Barclays ที่ปรับลดมูลค่าของแอปเปิลลง, ข่าวอุปกรณ์ถูกสั่งแบนจากหน่วยงานของรัฐบาลจีน และอื่น ๆ

‘Louis Vuitton’ เปิดดีไซน์โรงแรมหรูใจกลางปารีส  ด้านชาวเน็ตไทยแห่แซว "เอ๊ะ!! ดีไซน์มันคุ้นๆ นะ"

(15 ม.ค.67) TravelNews รายงาน เมื่อไม่นานมานี้ ไมเคิล เบิร์ก ซีอีโอแบรนด์ดังระดับโลกอย่าง Louis Vuitton ได้เปิดเผยกับ WomansWearDaily ว่า ตึกสำนักงานใหญ่ของแบรนด์ที่เขต 8 บนถนน Champs Elysees ในกรุงปารีสอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงในไม่ช้า โดยจะขยายแบรนด์สู่ธุรกิจโรงแรมหรูเป็นแห่งแรก ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองปารีส และคาดว่าจะสร้างพร้อมเสร็จและเปิดให้บริการในปี ค.ศ. 2026 ที่จะถึงนี้

โรงแรม Louis Vuitton จะถูกรีโนเวทอาคารสไตล์อาร์ตนูโวอันเก่าแก่ที่สร้างขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ.1896 เคยเป็นที่ตั้งของโรงแรม Elysée Palace และเคยเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของธนาคาร HSBC Bank สามารถมองเห็นสถานที่สำคัญต่าง ๆ เช่น หอไอเฟล และประตูชัยฝรั่งเศส (Arc de Triomphe) ที่สวยงามของกรุงปารีสได้อย่างชัดเจน 

และหลังจากนั้นบัญชี X ของ Louis Vuitton ได้ออกมาเปิดเผยดีไซน์โรงแรมหรู Louis Vuitton แห่งแรกของโลก ซึ่งมองแว้ปแรกทำเอาชาวไทยต้องรีบกลับมาดูซ้ำเลยทีเดียว จนชาวเน็ตไทยหลายคนถึงกับต้องออกมาแซวว่าดีไซน์นี้มันคุ้นๆ นะ 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top