Saturday, 7 June 2025
WORLD

2 เหตุผลที่ลูกค้าเริ่มส่งคืน Apple Vision Pro เพื่อรับเงินคืนเต็มจำนวน ใช้แล้วเหมือนคนเมารถ-ครีเอเตอร์ทำคอนเทนต์รีวิวจบแล้วจาก

เมื่อวานนี้ (15 ก.พ.67) รายงานจากหลายแหล่งบนโซเชียลมีเดียกำลังพูดถึงการส่งคืนอุปกรณ์ Apple Vision Pro เพื่อขอรับเงินคืนเต็มจำนวนกำลังเพิ่มขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน สาเหตุนั้นเป็นเพราะอะไร?

Apple Vision Pro อุปกรณ์เพื่อการเข้าสู่โลก Mixed-reality หรือ Spatial computer ตามที่ Apple ชอบเรียก หลังจากเปิดจำหน่ายและส่งมอบสินค้าออกไปให้ผู้ที่สั่งจองในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ก็ได้สร้างกระแสในโซเชี่ยลกันอย่างคึกคัก มีการโพสต์ข้อมูลและการรีวิวจากผู้ใช้ รวมถึงการโชว์ประสิทธิภาพการทำงานที่ตื่นตาตื่นใจออกมามากมายสำหรับผู้ที่ได้สินค้ากันไปการส่งมอบล็อตแรก 

แล้วทำไมถึงมีคนส่งคืนอุปกรณ์เพื่อขอรับเงินคืนกันแล้ว?

ประการแรก คาดว่ามาจากกลุ่มคนที่วางแผนไว้ตั้งแต่ตอนสั่งซื้อ Vision Pro พวกเขาตั้งใจที่จะส่งคืนอุปกรณ์ภายในกรอบเวลาการรับประกันความพึงพอใจของ Apple ซึ่งเป็นมาตรฐานในต่างประเทศที่กำหนดเอาไว้เป็นเวลา 2 สัปดาห์ เพื่อขอรับเงินคืนเต็มจำนวน โดยส่วนใหญ่พวกเขามักจะเป็นเหล่าบรรดาครีเอเตอร์ ผู้ที่รับสินค้ามาเพื่อจัดทำคอนเทนต์ เมื่อถ่ายวิดีโอหรือโพสต์บนโซเชียลมีเดียสำเร็จแล้ว การเก็บสินค้าไว้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรอีกต่อไป เพราะฉะนั้นก่อนวันศุกร์ซึ่งเป็นเส้นตายที่จะถึงนี้ พวกเขาที่ได้สินค้ามาเป็นล็อตแรกจะต้องรีบทำเรื่องขอส่งคืนเพื่อจะได้ประหยัดเงินเป็นจำนวน 3,499 ดอลลาร์ไปในกระบวนการนี้นั้นเอง

แต่ก็มีอีกกลุ่มหนึ่งที่ดูเป็นเรื่องน่ากังวลมากกว่าสำหรับ Apple นั้นคือ กลุ่มลูกค้าจริงที่พวกเขาได้ตัดสินใจแล้วว่า อุปกรณ์สวมใส่ตัวนี้ไม่เหมาะสำหรับพวกเขาในการใช้งาน

เมื่อดูตามความคิดเห็นบนโซเชียลมีเดียจะพบว่า เหตุผลของคนจำนวนมากที่ขอส่งคืนอุปกรณ์ Vision Pro มาจากอาการที่เกิดขึ้นเป็นประจำอยู่แล้วในอุปกรณ์สวมใส่บนใบหน้า มันคืออาการ Motion Sickness นั้นเอง พวกเขามีอาการปวดหัวคล้ายกับคนเมารถในขณะใช้งาน มันเกิดขึ้นประจำกับอุปกรณ์ประเภทนี้แม้ทาง Apple จะพยายามเพิ่มความคมชัดและปรับให้ระบบโฟกัสสามารถทำงานร่วมกับสายตามนุษย์ได้อย่างดีที่สุดแล้วก็ตาม อาการเหล่านี้ก็ยังคงไม่หายไป บางคนสามารถทนใช้งานได้นานโดยที่ไม่รู้สึกอะไร แต่กับบางคนพวกเขาใช้งานได้เพียงในเวลาไม่นานเท่านั้นก็จะเกิดอาการเวียนหัวหรือปวดหัวแบบคนเมารถในทันที

แม้ว่ารายงานข่าวจะพูดถึงการส่งคืนอุปกรณ์ Vision Pro จะดูเป็นเรื่องน่าตื่นตระหนกสำหรับอุปกรณ์ราคาหลักแสนบาท แต่ก็ยากที่จะบอกว่าปัญหาใหญ่สำหรับ Apple เพราะเราก็ไม่เห็นตัวเลขที่แท้จริงของการส่งมอบสินค้าคืน แต่สิ่งหนึ่งที่เชื่อได้คือเหตุผลที่ผู้คนบอกแก่ Apple ในการส่งคืนสินค้า จะเป็นการกระตุ้นให้วิศวกรและนักออกแบบนำไปพัฒนาเพื่อเริ่มสร้างอุปกรณ์รุ่นถัดไป
เพราะแม้ทีมพัฒนาของ Apple เอง ที่ทำงานอยู่กับ Vision Pro พวกเขาก็ยังเชื่อว่าอาจจะต้องใช้เวลามากถึง 4 เจนเนอเรชั่นกว่าอุปกรณ์จะเป็นรูปเป็นร่างตามอุดมคติที่ตั้งใจของเขานั่นเอง

‘ปธน.เม็กซิโก’ กุมขมับ!! การลักลอบขน ‘อาวุธสหรัฐฯ’ เกิดขึ้นถี่ ชี้!! 70% มาจาก ‘เท็กซัส’ ร้อง รบ.สหรัฐฯ แล้ว แต่ยังไม่เห็นผล

(15 ก.พ.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า อันเดรส มานูเอล โลเปซ โอบราดอร์ ประธานาธิบดีเม็กซิโก กล่าวระหว่างการแถลงข่าวว่าอาวุธจากสหรัฐฯ ที่ถูกลักลอบขนส่งเข้าเม็กซิโกครึ่งหนึ่งนั้นมาจากรัฐเท็กซัส

โลเปซ โอบราดอร์ ได้ตั้งคำถามว่าเหตุใดเกร็ก แอบบอตต์ ผู้ว่าการรัฐเท็กซัสของสหรัฐฯ จึงยินยอมให้สถานการณ์ดังกล่าวดำเนินต่อไป ขณะที่แอบบอตต์เป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนหลักในการกระชับการควบคุมชายแดนให้เข้มงวดยิ่งขึ้น พร้อมตั้งคำถามว่าผู้ว่าการรัฐเท็กซัสจะตอบสนองต่อประเด็นนี้อย่างไร

โลเปซ โอบราดอร์ ระบุว่านับตั้งแต่ตัวเขาเริ่มเข้ามารับตำแหน่งบริหารประเทศเมื่อเดือนธันวาคม 2018 ได้มีการยึดอาวุธเกือบ 50,000 ชิ้น โดยร้อยละ 70 มาจากสหรัฐฯ ซึ่งครึ่งหนึ่งมาจากเท็กซัส

เม็กซิโกเรียกร้องสหรัฐฯ หลายต่อหลายครั้งให้ดำเนินการมากขึ้นเพื่อควบคุมการลักลอบนำเข้าอาวุธปืนสู่เม็กซิโก ซึ่งกระตุ้นให้เกิดความรุนแรง โดยเฉพาะระหว่างองค์กรอาชญากรรมที่เป็นคู่อริกัน

ทั้งนี้ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลเม็กซิโกได้เรียกร้องให้สหรัฐฯ และแคนาดาช่วยต่อต้านการลักลอบขนส่งอาวุธ ‘พลังงานสูง’

‘Huawei’ โชว์เหนือ ผุดแท่นชาร์จ EV 1 วินาทีต่อ 1 กิโลเมตร ใช้เวลาพอๆ กับเติมน้ำมัน-เร็วกว่าแท่นชาร์จ Tesla ถึง 2 เท่า

(15 ก.พ. 67) รายงานข่าวระบุว่า Huawei Technologies ได้เปิดตัวสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าความเร็วสูง ซึ่งเป็นผลงานของ Huawei Digital Power มีความสามารถในการอัดประจุไฟฟ้าได้มากถึง 600 kW และโฆษณาว่า “ทุกการชาร์จ 1 วินาที จะได้ระยะเพิ่มขึ้น 1 กม.” นั่นหมายความว่า ชาร์จเพียง10 นาทีจะวิ่งได้ระยะทางไกล 600 กม. ซึ่งใช้ระยะเวลาใกล้เคียงกับการเติมน้ำมันเชื้อเพลิงและเร็วกว่าสถานี Supercharger ของ Tesla ถึง 2 เท่า

ทั้งนี้ Huawei วางแผนขยายสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าความเร็วสูงดังกล่าวด้วยจำนวนกว่า 1 แสนแห่งในประเทศจีนภายในปีนี้ โดยผ่านการร่วมมือกับเจ้าของพื้นที่ต่าง ๆ เช่น ศูนย์การค้า รวมถึงบริเวณใกล้เคียงมอเตอร์เวย์ เพื่อให้ผู้บริโภคที่ใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าใช้งานได้สะดวกยิ่งขึ้น ซึ่งสถานีชาร์จความเร็วสูงของ Huawei นั้นสามารถชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าได้ทุกรุ่นทุกแบรนด์

ปัจจุบัน ประเทศจีนมีสถานีชาร์จราว 2.7 ล้านแห่ง ตามข้อมูลของพันธมิตรส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐานการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าของจีน และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นราว 40% ภายในปีนี้ แต่มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่เป็นหัวชาร์จเร็ว

‘จนท.สหรัฐฯ’ ยัน!! มีผู้เสียชีวิตจาก ‘ฝีดาษอะแลสกา’ คาด!! ได้รับเชื้อจาก ‘แมวข่วน’ และอาจเป็นพาหะนำโรค

(14 ก.พ.67) เจ้าหน้าที่สาธารณสุขอะแลสกา ของสหรัฐฯ รายงานว่าพบผู้ป่วยฝีดาษอะแลสกาเสียชีวิต โดยเจ้าหน้าที่ยืนยันว่าผู้เสียชีวิตรายนี้ (ไม่มีการเปิดเผยอายุที่แน่ชัด) ซึ่งมาจากคาบสมุทรคีนาย ทางตอนใต้ของรัฐอะแลสกา ได้รับการรักษาอาการป่วยในโรงพยาบาล หลังจากติดเชื้อฝีดาษอะแลสกา และเขาได้เสียชีวิตช่วงปลายเดือนมกราคม ที่ผ่านมา ขณะที่มีรายงานว่าชายสูงอายุผู้นี้มีประวัติระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องอีกด้วย

เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ระบุว่า ผู้เสียชีวิตอาศัยอยู่ตามลำพังในพื้นที่ป่าและรายงานว่าไม่มีการเดินทางและไม่มีการสัมผัสใกล้ชิดกับใคร แต่มีรายงานว่า เขาเคยดูแลแมวจรจัดที่บ้านของเขา โดยแมวทดสอบไวรัสเป็นลบ แต่ก่อนหน้านี้แมวข่วนผู้เสียชีวิตบ่อยครั้ง แถลงการณ์ระบุ ทำให้มีความเป็นไปได้ที่แมวอาจจะมีไวรัสติดอยู่ที่เล็บเมื่อมันข่วนผู้เสียชีวิต โดยพบว่า พบรอยขีดข่วนที่เห็นได้ชัดเจนใกล้บริเวณรักแร้ซึ่งเป็นจุดแรกที่ผู้เสียชีวิตแสดงอาการป่วยด้วย

เจ้าหน้าที่สาธารณสุข กล่าวว่า ยังไม่มีรายงานกรณีการแพร่เชื้อฝีดาษอะแลสกาจากคนสู่คน แต่แนะนำให้ผู้ที่มีอาการทางผิวหนังซึ่งอาจเกิดจากฝีดาษอะแลสกาใช้ผ้าพันแผลปิดบริเวณที่ได้รับผลกระทบ ทางแพทย์ก็ยังได้แนะนำอีกว่า ประชาชนทุกคนควรล้างมือให้สะอาด หลีกเลี่ยงการใช้เสื้อผ้าที่อาจสัมผัสกับผื่นแผล

‘จีน’ เตรียมดึง ‘ครูเกษียณ’ กลับมาทำงาน หวังช่วยพัฒนาการศึกษาโรงเรียนเอกชน

(14 ก.พ.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า หนังสือเวียนจากกระทรวงศึกษาธิการของจีนเผยว่าจีนกำลังพยายามปรับปรุงคุณภาพการศึกษาในโรงเรียนเอกชน ด้วยการส่งเสริมให้ครูเกษียณอายุที่มีประสบการณ์เข้ามาสนับสนุนการทำงาน

หนังสือเวียนระบุว่าจะมีการเปิดตัวโครงการรณรงค์พิเศษเพื่อส่งเสริมให้ครูเกษียณอายุมีส่วนร่วมสนับสนุนการสอนและการวิจัยในโรงเรียนเอกชน ซึ่งคาดว่าหลังจากเปิดตัวโครงการดังกล่าวจะมีการคัดเลือกครูเกษียณอายุราว 20,000 คนทุกๆ ปี

โดยครูเกษียณอายุได้รับการส่งเสริมให้ช่วยทำงานในโรงเรียนเอกชนในภูมิภาคทางตะวันตกของจีนและภูมิภาคของกลุ่มชาติพันธุ์ส่วนน้อย โดยระหว่างนี้คาดการณ์ว่าบรรดาโรงเรียนเอกชนจะพัฒนาระบบพี่เลี้ยงสำหรับครูเกษียณอายุ เพื่อเป็นการแบ่งปันความรู้และประสบการณ์กับเพื่อนร่วมอาชีพรุ่นใหม่

‘จีน’ เฮ!! อุตสาหกรรม ‘โลจิสติกส์’ ปี 2023 โตต่อเนื่อง สร้างรายได้ให้ประเทศรวม 66 ล้านล้านบาท

เมื่อวานนี้ (12 ก.พ. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สหพันธ์โลจิสติกส์และการจัดซื้อแห่งประเทศจีน รายงานว่าภาคโลจิสติกส์ของจีนมีรายได้เติบโตอย่างต่อเนื่องในปี 2023

ทั้งนี้ รายงานระบุว่า อุตสาหกรรมโลจิสติกส์ของจีนทำรายได้ในปี 2023 รวม 13.2 ล้านล้านหยวน (ราว 66 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.9 เมื่อเทียบปีต่อปี

ขณะเดียวกันภาคโลจิสติกส์ของจีนมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2023 โดยอัตราส่วนต้นทุนโลจิสติกส์ทางสังคมต่อผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) อยู่ที่ร้อยละ 14.4 ลดลงจากปีก่อนหน้า 0.3 จุด

ส่วนการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางโลจิสติกส์ของจีนก้าวหน้ามั่นคงในปี 2023 โดยการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรเกี่ยวกับโลจิสติกส์ตลอดปี เช่น การขนส่ง คลังสินค้า และการบริการทางไปรษณีย์ เพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 10 เมื่อเทียบปีต่อปี

‘ยูเครน’ โวย!! Starlink ให้กองทัพรัสเซียใช้ได้ไง ด้าน ‘อีลอน มัสก์’ แจง!! “มันเป็นแค่ข่าวปลอม”

สำนักหน่วยข่าวกรองของยูเครน ได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่าน Telegram ว่า ตอนนี้กองทัพรัสเซียกำลังใช้บริการอินเทอร์เน็ตดาวเทียม Starlink ของ อีลอน มัสก์ ในเขตพื้นที่ยึดครองของรัสเซียในยูเครน พร้อมแนบหลักฐานเป็นคลิปสนทนาสั้น ๆ ที่ระบุว่าเป็นทหารรัสเซียที่คุยกันว่า ‘พวกเขากำลังใช้อินเทอร์เน็ตของ Starlink อยู่’ 

ด้าน อังเดรย์ ยูซอฟ ตัวแทนจากหน่วยข่าวกรองของยูเครนออกมากล่าวว่า ทางยูเครนมีหลักฐานการแอบใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม Starlink ของกองทัพรัสเซียเป็นจำนวนมาก เชื่อว่าเรื่องนี้จะนำไปสู่ปัญหาในเชิงระบบในไม่ช้า อีกทั้งยังเปิดเผยด้วยว่า กองกำลังฝ่ายรัสเซีย และพื้นที่ที่พบการใช้งาน ก็คือ กองพลจู่โจมทางอากาศที่ 83 ที่ปักหลักโจมตีในเมือง Klishchiivka และ Andriivka ในเขตแคว้นโดเนตสค์ ซึ่งตอนนี้อยู่ในพื้นที่ยึดครองของรัสเซีย

Starlink เป็นบริษัทผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมของอีลอน มัสก์ ปัจจุบันมีดาวเทียมส่งสัญญาณมากถึง 5,289 ดวง ครอบคลุมการใช้งานถึง 70 ประเทศในทุกทวีปทั่วโลก โดยอีลอน มัสก์ ได้เปิดให้ยูเครนใช้บริการ Starlink เป็นกรณีพิเศษ ตั้งแต่ช่วงเริ่มสงครามรัสเซีย-ยูเครน เพื่อสนับสนุนการตอบโต้ของกองทัพยูเครน 

แต่ทว่า ต่อมาความสัมพันธ์ของอีลอน มัสก์ และ รัฐบาลยูเครนเริ่มเย็นชาต่อกัน ตั้งแต่ที่อีลอน มัสก์ สั่งให้ระงับสัญญาณในบริเวณพื้นที่ชายฝั่งทางคาบสมุทรไครเมีย ทำให้กองทัพยูเครนต้องพับแผนการโจมตีไครเมียด้วยโดรนพิฆาตไป โดยอีลอน อ้างว่า การโจมตีของฝ่ายยูเครนในพื้นที่ไครเมียอาจทำให้สงครามเข้าสู่จุดที่เลวร้ายมากกว่าเดิม จนถึงขั้นสงครามนิวเคลียร์ได้ 

จนกระทั่งวันนี้ที่หน่วยข่าวกรองยูเครนออกมาแถลงว่า พบหลักฐานว่ากองทัพรัสเซียสามารถเข้าถึงบริการ Starlink ของอีลอน มัสก์ ได้แล้ว พร้อมข่าวลือแพร่สะพัดว่า รัสเซียซื้ออุปกรณ์สัญญาณถูกลิขสิทธิ์ของ Starlink ผ่านทางรัฐบาลดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

เป็นเหตุให้อีลอน มัสก์ ต้องออกมาโพสต์ผ่าน X ว่า “มีการปล่อยข่าวปลอมมากมายว่า SpaceX กำลังจะเปิดสัญญาณ Starlink ให้รัสเซีย ซึ่งมันเป็นแค่ข่าวปลอม สิ่งที่พวกคุณควรรู้ไว้คือ เราไม่เคยขาย Starlink ให้รัสเซีย ไม่ว่าจะทางตรง หรือ ทางอ้อม ใด ๆ ทั้งสิ้น”

เช่นเดียวกับทางรัสเซีย ดมิตริ เพสคอฟ โฆษกประจำทำเนียบเครมลิน ก็ได้ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาของยูเครนที่ว่า กองทัพรัสเซียแอบมาขโมยเสาสัญญาณ Starlink ไปใช้ หรือได้ใช้อินเทอร์เน็ต Starlink ในเขตยึดครองโดเนตสค์

แต่ก็มีความเป็นไปได้เหมือนกันที่ฝ่ายกองทัพรัสเซียจะเข้าถึงสัญญาณอินเทอร์เน็ตของ Starlink ได้ เนื่องจากอินเทอร์เน็ตดาวเทียม ส่งสัญญาณตามขอบเขตทางภูมิศาสตร์ ทหารรัสเซียก็มีโอกาสเข้าถึง Starlink ในพื้นที่ของยูเครน และอาจทำการปลอมแปลงข้อมูลเขตภูมิศาสตร์ให้แสดงว่ากำลังใช้งานอยู่ในพื้นที่ที่ถูกบล็อก หรืออยู่นอกเขตบริการ Starlink ก็ทำได้เช่นกัน

ในยุค Internet of Things ทุกอย่างเสกสรรได้ด้วยอินเทอร์เน็ต ไม่เว้นแต่ความได้เปรียบในการทำศึกสงครามที่ไม่ได้วัดด้วยปริมาณกำลังพลเสมอไป ดังนั้นการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่เสมอกันของฝั่งศัตรู ไม่ว่าจะซื้อใช้เอง ขอยืมใช้ หรือแอบใช้ ก็สร้างความระแวงได้เหมือนกัน

‘ร้านกาแฟในจีน’ เปิดตัวเมนูแปลก ‘ลาเต้ใส่พริก’ รสชาติ ‘เข้ม-หวาน-เผ็ด’ ยอดขาย 300 แก้ว/วัน

ร้านกาแฟแห่งหนึ่งในมณฑลเจียงซีของจีนเปิดตัวเมนู ‘กาแฟใส่พริก’ ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างรสชาติกาแฟนมกับความเผ็ดนิด ๆ ของพริกแห้งและพริกป่น ปรากฏว่าได้รับความนิยมจากลูกค้าจนขายดีเป็นเทน้ำเทท่า

ร้านกาแฟ Jingshi Coffee ในเมืองก้านโจว (Ganzhou) เริ่มมีชื่อเสียงจากเมนู ‘hot ice latte’ ที่เปิดตัวเมื่อเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา โดยได้แรงบันดาลใจมาจากอาหารพื้นถิ่นของมณฑลเจียงซีที่มีรสเผ็ดร้อน และปรากฏว่าเครื่องดื่มเมนูนี้กลายเป็นที่นิยมจนสามารถขายได้มากกว่า 300 แก้วต่อวัน

จากคลิปวิดีโอที่มีคนแชร์ลงใน Douyin จะเห็นว่าพนักงานร้านเทกาแฟนมใส่แก้วพลาสติก ก่อนจะผสมพริกแห้งและโรยหน้าด้วยผงพริกป่น ซึ่งลูกค้าที่ใจกล้าสั่งเมนูนี้บอกตรงกันว่า มันมีรสชาติเผ็ดกว่ากาแฟลาเต้ทั่วไปเล็กน้อย แต่ก็นับว่า ‘ไม่เลว’

“ผมว่ามันก็ไม่ได้เผ็ดมากนะครับ ออกจะอร่อยดีด้วยซ้ำ” พนักงานร้าน Jingshi Coffee คนหนึ่งให้สัมภาษณ์

“รสชาติกาแฟแก้วนี้ไม่ได้แปลกประหลาดอย่างที่คนทั่วไปกลัว” เขายืนยัน

ลูกค้ารายหนึ่งรีวิวตรงกันว่า กาแฟลาเต้ใส่พริกของร้าน Jingshi Coffee “ไม่เลวเลย รสชาติออกหวานนิด ๆ มีเผ็ดปะแล่ม ๆ”

มณฑลเจียงซีได้ชื่อว่าเป็นภูมิภาคที่นิยมอาหารรสเผ็ดที่สุดแห่งหนึ่งในจีน ดังนั้นก็ไม่น่าแปลกใจว่ากาแฟลาเต้ใส่พริกจะได้กระแสตอบรับที่ดี แต่ยังมีคนท้องถิ่นบางรายที่ไม่กล้าลองเมนูนี้ เพราะกลัวว่าจะทำให้ปวดท้อง

“มันก็สร้างสรรค์ดีอยู่หรอกนะ แต่ผมไม่เอาดีกว่า กลัวปวดท้องน่ะ” ชาวบ้านคนหนึ่งให้สัมภาษณ์

สำหรับเมนู ‘hot ice latte’ นี้มีสนนราคาเพียงแก้วละ 20 หยวน และคาดว่าจะกลายเป็นเมนูเด่นประจำร้านที่เปิดขายอย่างถาวร

‘เกษตรกรโปแลนด์’ รวมตัวเททิ้ง ‘ธัญพืชจากยูเครน’ ประท้วงนโยบายเกษตรของ EU-ต่อต้านสินค้ายูเครน

นับตั้งแต่เกิดสงครามในยูเครน โปแลนด์นับเป็นพันธมิตรที่สำคัญที่สุดชาติหนึ่งของยูเครน ทว่าตั้งแต่กลางปีที่แล้วความขัดแย้งได้เกิดขึ้นบ่อยครั้งในความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศเพื่อนบ้าน ตอนนี้ยูเครนมีความโกรธแค้นอย่างมาก เกี่ยวกับการประท้วงของเกษตรกรชาวโปแลนด์ที่พากันเททิ้งธัญพืชของยูเครนจากรถบรรทุกลงบนพื้นบริเวณจุดผ่านแดน 

อันเดร ซาดอฟวี นายกเทศมนตรีเมืองลาวีฟ ทางตะวันตกของยูเครน โพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์ม Telegram เมื่อวันจันทร์ว่า นี่เป็นเรื่องเลวร้ายและน่าละอาย “ชาวยูเครนต้องรดน้ำไร่นาที่เมล็ดพืชเหล่านี้เติบโตมาพร้อมกับเลือดของพวกเขา การเก็บเกี่ยวข้าวสาลีในท้องทุ่งที่เกิดสงครามก็เหมือนกับคนเก็บกวาดกับระเบิด” ซาดอฟวียังเรียกเกษตรชาวโปแลนด์ว่าเป็น “พวกยั่วยุที่เข้าข้างฝ่ายรัสเซีย”

เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา คลิปวิดีโอจากสมาคมเกษตรกรโปแลนด์ได้แสดงให้เห็นภาพผู้ประท้วงเปิดประตูท้ายรถบรรทุกของยูเครน 3 คันเพื่อเททิ้งสินค้าธัญพืชลงไปกองบนพื้น เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในดินแดนโปแลนด์ที่บริเวณจุดผ่านแดนโดโรฮุสค์ 

วาสซิล สวาริตช์ เอกอัครราชทูตยูเครนประจำกรุงวอร์ซอ เรียกร้องให้ทางการโปแลนด์เข้าแทรกแซงเพื่อหยุดการกระทำที่ยั่วยุดังกล่าว ตำรวจโปแลนด์ในเมืองเชล์มสั่งให้มีการสอบสวนเรื่องดังกล่าวแล้ว

ตั้งแต่วันศุกร์ที่ผ่านมา เกษตรกรชาวโปแลนด์ได้ออกมาประท้วงทั่วประเทศ ต่อต้านนโยบายการเกษตรของสหภาพยุโรป แต่ก็ต่อต้านการนำเข้าสินค้าเกษตรราคาถูกจากยูเครนด้วย และมีการปิดการจราจรที่จุดผ่านแดน 3 แห่งอีกครั้งเมื่อวันจันทร์ 

อันเดร เดมเชงโก โฆษกหน่วยรักษาชายแดนยูเครนกล่าว ผู้ประท้วงชาวโปแลนด์ปล่อยให้รถบรรทุกผ่านแดนได้เพียง 1-3 คันต่อชั่วโมงเท่านั้น และอนุญาตให้ผ่านเฉพาะรถยนต์ส่วนบุคคล รถประจำทาง รถบรรทุกขนาดเล็ก รวมถึงรถบรรทุกสิ่งของด้านมนุษยธรรม

ทางฝั่งของโปแลนด์มีรถบรรทุกประมาณ 1,200 คันจอดรถเข้าคิวเพื่อข้ามชายแดนไปยังฝั่งยูเครน ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาการประท้วงของเกษตรกรและบริษัทขนส่งของโปแลนด์ทำให้การทำงานที่จุดผ่านแดนยากขึ้น

‘สถานทูตอิหร่านประจำประเทศไทย’ จัดงาน ‘วันชาติอิหร่าน’ เฉลิมฉลองชัยชนะ 45 ปีการปฏิวัติอิสลามของอิหร่าน

เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ฯพณฯ Seyed Reza Nobakhti เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน ประจำประเทศไทยได้จัดงานวันชาติสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน วันฉลองชัยชนะ 45 ปีการปฏิวัติอิสลามของอิหร่าน และฉลอง 400 ปี ความสัมพันธ์สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านและราชอาณาจักรไทย ณ โรงแรมแชงกรี-ลา กรุงเทพฯ

รัฐพิธีเริ่มต้นด้วยเพลงชาติของสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน และเพลงสรรเสริญพระบารมี คำปราศรัยเนื่องในโอกาสวันชาติสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน วันฉลองชัยชนะ 45 ปีการปฏิวัติอิสลามของอิหร่าน และฉลอง 400 ปี ความสัมพันธ์สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านและราชอาณาจักรไทย โดย ฯพณฯ Seyed Reza Nobakhti และนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภาไทยและประธานสภาผู้แทนราษฎร

ฯพณฯ Seyed Reza Nobakhti ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ภาพรวมความสัมพันธ์ระหว่างไทยและอิหร่านว่า “ทั้ง 2 ประเทศมีความสัมพันธ์ที่ราบรื่นและแน่นแฟ้นมากว่า 400 ปี โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามีความร่วมมือหลายด้านร่วมกันทั้ง ด้านแรงงาน อุตสาหกรรม เกษตรกรรม การค้า เศรษฐกิจ และ ความร่วมมือด้านวัฒนธรรม และสืบเนื่องจากเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา นายอาลี บาเกรี คานี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงต่างประเทศของอิหร่านเดินทางเยือนประเทศไทย ก็ได้มีการหารือร่วมกับตัวแทนจากฝั่งไทยและเป็นที่คาดหวังว่าในอนาคตไทยและอิหร่านจะมีความร่วมมือในอีกหลากหลายมิติมากขึ้นกว่าเดิมด้วย”

ในโอกาสนี้ ฯพณฯ Seyed Reza Nobakhti ได้กรุณาให้เกียรติเชิญ ผู้บริหาร บรรณาธิการ และ ดร.ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล นักเขียน สำนักข่าว THE STATES TIMES ด้วย 

โดย ดร.ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล ได้เป็นผู้แทนของสำนักข่าว THE STATES TIMES เข้าร่วมรัฐพิธีครั้งนี้ ในวาระนี้สำนักข่าว THE STATES TIMES ขอแสดงความยินดีและขอส่งความปรารถนาดีไปยังประชาชนแห่งสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านขอองค์อัลเลาะห์ (ซบ.) ได้ทรงบันดาลความสันติสุขและความเจริญก้าวหน้าแก่สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน ขอให้ความสัมพันธ์สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านและราชอาณาจักรไทยยั่งยืนตลอดไป

‘เกาหลี’ ปลื้ม!! ยอดส่งออก ‘โซจู’ ทะลัก 100 ล้านดอลลาร์ฯ ‘ญี่ปุ่น’ ขึ้นแท่นนำเข้าอันดับ 1 หลังรับอานิสงส์วงการ K-Pop

เมื่อวานนี้ (12 ก.พ. 67) กรมศุลกากรเกาหลีใต้ เปิดเผยเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า เกาหลีใต้ได้ส่งออก ‘โซจู’ ทะลุหลัก 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี โดยยอดการส่งออกโซจูไปต่างประเทศสูงแตะ 101.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2566 เพิ่มขึ้น 8.7% จากปี 2565 ซึ่งเกาหลีใต้เคยส่งออกโซจูทะลุ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2556

สำนักข่าวยอนฮับรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวในวงการว่า ที่ผ่านมานั้น โซจูที่ขายในต่างประเทศส่วนใหญ่บริโภคโดยชาวเกาหลีใต้ แต่ปัจจุบันได้รับความนิยมมากขึ้นในกลุ่มผู้บริโภคในประเทศที่ขาย ตามกระแสวัฒนธรรมเคป็อป (K-Pop)

เมื่อช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ยอดการส่งออกโซจูลดลงจาก 97.6 ล้านดอลลาร์ เหลือ 89.7 ล้านดอลลาร์ ในปี 2562 และลดลงแตะ 82.4 ล้านดอลลาร์ ในปี 2564

อย่างไรก็ดี ยอดการส่งออกโซจูไปต่างประเทศกลับมาแตะที่ระดับ 93.3 ล้านดอลลาร์ ในปี 2565 และมีแนวโน้มสูงขึ้นนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ทั้งนี้ เมื่อพิจารณารายประเทศ ‘ญี่ปุ่น’ เป็นผู้นำเข้าโซจูเกาหลีใต้รายใหญ่ที่สุด โดยมีมูลค่ามากกว่า 30 ล้านดอลลาร์ ตามมาด้วย ‘สหรัฐ’ ที่ 23.6 ล้านดอลลาร์

อย่างไรก็ดี ‘นี่ไม่ใช่ครั้งแรก’ ที่เกาหลีสามารถสร้างสถิติใหม่ด้านการค้าที่มาจาก K-Pop

>> ปี 66 ทำสถิติส่งออก 'กิมจิ' ไป 93 ประเทศ

ไม่ใช่ทุกประเทศที่จะคุ้นลิ้นถูกปากรสชาติอาหารแบบเอเชีย และไม่ใช่ทุกประเทศที่มีวัฒนธรรมการกินผักดอง แต่ถึงอย่างนั้น เกาหลีใต้ก็สามารถทำสถิติส่งออก ‘กิมจิ’ ทะลุหลัก 90 ประเทศ ได้เป็นครั้งแรกในปีที่แล้ว  

ข้อมูลจากกรมศุลกากรเกาหลีใต้ระบุว่า มีการส่งออกกิมจิ ไปยัง 93 ประเทศ/เขตเศรษฐกิจทั่วโลก ระหว่างเดือนม.ค.-ต.ค. 2566 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดที่เคยทำได้จากเดิม 61 ประเทศ เมื่อ 10 ปีก่อน

‘ญี่ปุ่น’ คือ ตลาดนำเข้ากิมจิเบอร์ 1 ด้วยมูลค่า 52.84 ล้านดอลลาร์ ตามมาด้วย สหรัฐ เนเธอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร และฮ่องกง โดยที่ 5 ใน 10 ของประเทศที่นำเข้ากิมจิมากที่สุดล้วนเป็นประเทศตะวันตก

>> ส่งออก 'รามยอน' ทะลุ 1 ล้านล้านวอนครั้งแรก

ซอฟต์พาวเวอร์เกาหลีใต้ยังสามารถทำให้บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของตัวเองในชื่อ ‘รามยอน’ โดดเด่นขึ้นมาได้ จนสามารถส่งออกรามยอนได้ทะลุหลัก 1 ล้านล้านวอน (ราว 2.7 หมื่นล้านบาท) ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ เมื่อปีที่แล้ว 

ตัวเลขการส่งออกรามยอน 10 เดือนแรกของปี 2566 อยู่ที่ 1.097 ล้านล้านวอน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 24.7% และถือเป็นความสำเร็จครั้งใหญ่ของเกาหลีใต้นับตั้งแต่มีการทำบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในเวอร์ชั่นของตนเองขึ้นเป็นครั้งแรกในปี 1963 

สำหรับประเทศที่นำเข้ารามยอนมากที่สุดนำโดย ‘จีน’ มีมูลค่าอยู่ที่ 174.45 ล้านดอลลาร์ โดยจีนยังถือเป็นประเทศที่มีการบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมากที่สุดในโลก ตามมาด้วย สหรัฐ ญี่ปุ่น เนเธอร์แลนด์ และมาเลเซีย

‘ปู่ไบเดน’ ตัดสินใจเปิดบัญชี ‘TikTok’ เดินหน้าหาเสียง เจาะกลุ่มวัยรุ่น

(12 ก.พ.67) ผู้นำโลกต่างร่วมวง ‘ติ๊กต็อก’ แพลตฟอร์มมาแรงในหมู่วัยรุ่น และล่าสุดคือ ประธานาธิบดี ไบเดน

โดยเมื่อวันอาทิตย์ (11 ก.พ.67) ตามเวลาท้องถิ่น ประธานาธิบดี วัย 81 ปี จากพรรคเดโมแครต โพสต์คลิปประเดิมบนบัญชี @bidenhq พูดคุยสบายๆ ในหลายๆ เรื่อง ตั้งแต่การเมืองไปจนถึงเกมนัดชิง NFL

ความเคลื่อนไหวของไบเดนสวนทางกับท่าทีของทางการ ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐไม่ว่าจากพรรครีพับลิกันหรือเดโมแครตล้วนวิพากษ์วิจารณ์ เพราะเป็นของบริษัทจีน ‘ไบต์แดนซ์’ ซึ่งนักการเมืองสหรัฐกล่าวหาว่า ถูกรัฐบาลปักกิ่งใช้เป็นเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อ แต่ ‘ไบต์แดนซ์’ ปฏิเสธมาโดยตลอด

หลายรัฐในสหรัฐรวมถึงรัฐบาลกลางห้ามใช้แอปติ๊กต็อกบนเครื่องมือของราชการ แต่แม้รัฐบาลกลางไม่ไว้ใจก็ไม่ได้ห้ามหรือควบคุมการใช้แอปเพิ่มมากไปกว่านี้

อย่างไรก็ตาม เมื่อการเลือกตั้งสหรัฐใกล้เข้ามา ติ๊กต็อกยิ่งเป็นช่องทางให้เข้าถึงวัยรุ่น ไบเดนจึงตัดสินใจใช้แพลตฟอร์มนี้ โดยคลิปเมื่อวันอาทิตย์จบลงที่ประธานาธิบดีตอบคำถามว่า เขาชอบใครระหว่างตนเองกับโดนัลด์ ทรัมป์ ตัวเก็งจากพรรครีพับลิกัน

“ล้อเล่นหรือเปล่า ชอบไบเดนซิ” เจ้าตัวตอบพลางหัวเราะ

4 ข้อเตือนใจนักเดินทางด้วยเครื่องบิน ก่อนตกเป็นเหยื่อสลัดอากาศกลางเวหา

ทางการสิงคโปร์ออกโรงเตือนนักเดินทาง ที่โดยสารเครื่องบินเป็นประจำว่า โจรในคราบนักท่องเที่ยวในสมัยนี้มีเยอะกว่าที่คุณคิด หลังเกิดเหตุผู้โดยสารชายชาวจีนคนหนึ่ง แอบฉกสิ่งของของผู้โดยสารบนเครื่องคนอื่นถึง 3 คน บนเที่ยวบินของสายการบิน Scoot เมื่อช่วงเดือนธันวาคมที่ผ่านมา และได้ทรัพย์สินติดมือมูลค่าสูงถึง $31,000  (ประมาณ 8.27 แสนบาท) 

นาย จาง ซิวเฉียง สัญชาติจีน วัย 52 ปี ถูกจับกุมด้วยข้อหาลักทรัพย์ เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2566 เมื่อเขาได้ขึ้นเครื่องบินของสายการบิน Scoot เที่ยวบิน TR305 จาก นครโฮจิมินห์ มุ่งหน้าไปยังท่าอากาศยานชางฮีในสิงคโปร์ โดยเขาได้แอบขโมยเงินสด และ ทรัพย์สินของผู้โดยสารบนเครื่องถึง 3 รายขณะเดินทาง

คดีการลักทรัพย์บนเครื่องบิน เข้าข่ายการกระทำความผิดตามข้อกฎหมายที่มีระบุอยู่ในอนุสัญญาโตเกียว ที่ว่าด้วยเรื่องการปราบปรามการกระทําความผิดทางอาญาทุกประเภทที่เกิดขึ้นบนอากาศยานขณะกำลังบิน อย่างเช่น กรณีของ นาย จาง ซิวเฉียง ที่อาจต้องโทษจำคุกสูงสุดได้ถึง 3 ปี หรือทั้งจำ ทั้งปรับ 

เราอาจได้ยินข่าวคดีลักทรัพย์บนเครื่องบินไม่บ่อยเท่ากับคดีเหล่านี้ที่เกิดขึ้นทุกวันตามท้องถนน แต่ทางการสิงคโปร์ในวันนี้ ได้ออกมาเตือนนักเดินทางว่า กลุ่มโจรกลางเวหา ที่แฝงตัวมาในคราบนักท่องเที่ยว อาจมีจำนวนมากกว่าที่เราคิด และทำเป็นขบวนการ โดยพิจารณาจากคดีความเรื่องการลักทรัพย์บนเที่ยวบินที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด หลายเท่าตัวภายในเวลาไม่กี่ปี

South China Morning Post สื่อฮ่องกงรายงานว่าในช่วงเพียง 9 เดือนแรกของปี 2023 คดีลักทรัพย์บนเครื่องมากถึง 13 คดี เมื่อเทียบกับปี 2022 และ 2021 ที่ผ่านมา มีเพียง 1-2 คดีเท่านั้น

หลายคนเข้าใจว่า การเลือกเดินทางด้วยสายการบินราคาประหยัดมีความเสี่ยงที่จะเจอโจรเวหามากกว่าสายการบินแบบฟูลเซอร์วิส ซึ่งก็ไม่จริงเสมอไป เพราะบ่อยครั้งที่พบคดีลักขโมยในเที่ยวบินระดับพรีเมี่ยมเช่นกัน อย่างกรณีของคดีทีเกิดขึ้นบนเครื่องบินของ American Airlines ระหว่างเดินทางจากกรุงบูเอโนส ไอเรส ไปยัง ไมอามี เมื่อราว ๆ เดือนกรกฎาคม 2022 ที่จับกุมหัวขโมยที่แอบมาฉกเงินจากกระเป๋าสัมภาระผู้โดยสารบนเครื่อง 2 รายไปได้กว่า 10,000 ดอลลาร์ 

แถมหลายครั้งยังพบโจรในคราบผู้โดยสารทำงานเป็นทีม และเลือกไฟลท์เดินทางระยะไกล ที่สามารถลักทรัพย์สินในช่วงที่ผู้โดยสารหลับ ดังนั้น ยิ่งเป็นเที่ยวบินแบบฟูลเซอร์วิส ที่บินนานข้ามวัน กลับยิ่งไม่ปลอดภัย เพราะผู้โดยสารสายการบินชั้นดีมักมีฐานะ พกทรัพย์สิน เงินสดติดตัวระหว่างไปเที่ยวแดนไกลมากกว่า ผู้โดยสารเที่ยวบินแบบประหยัดที่เดินทางระยะใกล้นั่นเอง 

ตำรวจสิงคโปร์จึงได้ออกมาแนะนำวิธีการป้องกันทรัพย์สินของตนระหว่างเดินทางบนเครื่องบิน เพื่อไม่ให้นักท่องเที่ยวอย่างเรากลายเป็นผู้ประสบภัย เพราะถูกฉกทรัพย์สินมีค่าระหว่างเดินทาง

1. เงินสด กระเป๋าเงิน และ เครื่องประดับ ทรัพย์สินมีค่าต้องเก็บไว้กับตัวเท่านั้น อย่าใส่ลงในกระเป๋าเดินทางที่เก็บไว้บนช่องใส่สัมภาระเหนือศีรษะ เพราะเราไม่สามารถจับตาดูกระเป๋าเดินทางของเราได้ตลอดเวลา แต่หากไม่สะดวกถือกระเป๋าเงินติดตัวตลอดเวลา ให้แยกใส่กระเป๋าใบเล็กแล้ววางไว้ใต้ที่นั่งด้านหน้าของเรา เพราะอยู่ในตำแหน่งที่เรามองเห็น และยากที่คนแปลกหน้าจะแอบมาหยิบฉวยไปได้

2. หากจำเป็นต้องวางกระเป๋าเดินทางติดตัวไว้ในช่องสัมภาระเหนือศีรษะ ควรเลือกใส่ช่องฝั่งตรงข้ามที่นั่งของเรา เพราะเราสามารถมองเห็นได้ แทนที่จะใส่ตรงช่องเหนือศีรษะของเราพอดี และควรใส่ของมีค่าไว้ด้านในสุดของกระเป๋า พร้อมล็อกกระเป๋าให้เรียบร้อย และควรวางกระเป๋าด้วยการหันซิป เข้าด้านใน เป็นการเพิ่มความยากให้โจรในการแอบมาเปิดกระเป๋าคุ้ยข้าวของในกระเป๋าของเรา

3. ลองพิจารณาแพ็กเกจประกันการเดินทางขอคุณว่าครอบคลุมถึงกรณีการโจรกรรมทรัพย์สินระหว่างเดินทาง ที่อาจมีชดเชยให้บ้างตั้งแต่ 300 - 500 เหรียญ สำหรับใช้ในกรณีฉุกเฉิน แต่มักไม่คุ้มค่ากับของที่สูญหายไป ดังนั้นจึงไม่ควรพกเงินสดเดินทางเป็นจำนวนมาก ๆ แล้วเปลี่ยนมาใช้เป็นบัตรกดเงินสดระหว่างประเทศแทน ที่เราสามารถนำไปจับจ่าย ซื้อของ หรือกดเงินสดได้เมื่อเราเดินทางไปถึงที่หมายจะปลอดภัยกว่า 

4. สุดท้าย พยายามสังเกตพฤติกรรมของผู้โดยสารแปลกหน้า ที่มาเปิดค้นสัมภาระต่าง ๆ ในยามวิกาล หรือมีพฤติกรรมน่าสงสัย ควรรีบแจ้งพนักงานต้อนรับบนเครื่องในทันที

หลังจากที่ยุคความวิตก หวาดกลัวภัยโรคระบาด Covid-19 ผ่านพ้นไป การเดินทางท่องเที่ยวก็กลับมาคึกคัก เช่นเดียวกับโจรที่แฝงมาในเที่ยวบินเช่นกัน ดังนั้น 4 ข้อแนะนำของตำรวจสิงคโปร์ ที่ตกผลึกจากคดีลักทรัพย์กลางอากาศมาแล้วหลายครั้ง น่าจะเป็นประโยชน์กับนักเดินทางในยามขึ้นเครื่องไม่มากก็น้อย 

‘ปักกิ่ง’ เตรียมเป็นเจ้าภาพ ‘แข่งว่ายน้ำชิงแชมป์โลก’ ปี 72 ส่วนกำหนดการที่แน่ชัด จะประกาศให้ทราบภายหลัง

(12 ก.พ. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เวิลด์ อควาติกส์ (World Aquatics) องค์กรกีฬาทางน้ำระดับโลก ยืนยันว่ากรุงปักกิ่ง เมืองหลวงของจีน จะเป็นเมืองเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาทางน้ำชิงแชมป์โลกในปี 2029

ด้าน ฮุสเซน อัล มุซัลลัม ประธานองค์กรฯ ระบุว่าปักกิ่งจัดกิจกรรมการแข่งขันทางน้ำที่สำคัญมาแล้วหลายครั้ง และมีการจัดเตรียมที่ดีเยี่ยมซึ่งทำให้นักกีฬาของเราแสดงศักยภาพได้อย่างเต็มความสามารถ ซึ่งเรารู้สึกขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง

ส่วนการแข่งขันเวิลด์ อควาติกส์ มาสเตอร์ส แชมเปียนชิป (World Aquatics Masters Championships) ประจำปี 2029 จะจัดขึ้นที่ปักกิ่งเช่นกัน โดยกำหนดการที่แน่ชัดของการแข่งขันทั้งสองรายการจะมีประกาศให้ทราบภายหลัง

อนึ่ง ปักกิ่ง เป็นที่รู้จักในฐานะแหล่งจัดการแข่งขันกีฬาทางน้ำ โดยมีประวัติเป็นเจ้าภาพจัดกิจกรรมทางน้ำที่มีชื่อเสียงหลายรายการ

โจวจี้หง ประธานสมาคมกีฬาว่ายน้ำแห่งชาติจีน เปิดเผยว่าจีนมีความหลงใหลในกีฬาทางน้ำอย่างลึกซึ้ง และมีประวัติศาสตร์ที่น่าภาคภูมิใจในการต้อนรับนักกีฬาทางน้ำฝีมือยอดเยี่ยม

หลังเสร็จสิ้นการแข่งขันกีฬาทางน้ำชิงแชมป์โลก ที่กำลังดำเนินอยู่ในกรุงโดฮาของกาตาร์ สิงคโปร์และบูดาเปสต์จะรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันดังกล่าวต่อในปี 2025 และ 2027 ตามลำดับ

นักศึกษาชาวอินเดียรายล่าสุด ถูกรุมยำในชิคาโก แถมก่อนหน้าก็มีหลายคนถูกทำร้ายจนตายมาแล้ว

(12 ก.พ. 67) คลิปวิดีโอนักศึกษาชาวอินเดียรายหนึ่งถูกไล่ล่า และรุมทำร้ายในชิคาโก โหมกระพือความเดือดดาลบนสื่อสังคมออนไลน์ในอินเดีย ในเหตุการณ์ความรุนแรงและประทุษร้ายหนล่าสุด อีกทั้งในบางครั้งก็มีกรณีเช่นนี้และทำคนอินเดียถึงกับเสียชีวิต บนแผ่นดินอเมริกามาแล้วด้วย 

สำหรับเหตุการณ์ล่าสุด มีชาย 3 คน กำลังไล่ล่านักศึกษารายหนึ่ง ซึ่งทราบต่อมาว่าชื่อ ‘ไซเอด มาซาฮีร์ อาลี’ จากรัฐเตลังคานา ถูกจับภาพได้โดยกล้องวงจรปิดเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ โดยในคลิปหนึ่งพบเห็น ‘อาลี’ มีเลือดเปื้อนใบหน้าและเสื้อผ้า ในขณะที่เขาตะโกนร้องขอความช่วยเหลือว่าตนเองถูกทำร้าย

นักศึกษารายนี้บอกว่ามีบุคคล 4 รายที่รุมทำร้ายเขา และขโมยโทรศัพท์มือถือ ในเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นในขณะที่เขากำลังเดินกลับไปยังอพาร์ตเมนต์

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นบนถนนแคมป์เบลล์ ในเขตนอร์ทไซด์ ของชิคาโก ซึ่งถูกขนานนามว่าเป็น ‘เมืองหลวงแห่งการฆาตกรรม’ ของสหรัฐฯ เนื่องจากเมืองแห่งนี้มีการระบุเหตุฆาตกรรมถึง 617 คดีในปี 2023 ซึ่งอ้างอิงข้อมูลจากกรมตำรวจท้องถิ่น ทำให้เมืองแห่งนี้มีอัตราการของการเกิดคดีฆาตกรรมสูงสุดในสหรัฐฯ 

ทันทีที่คนอินเดียรู้ข่าว ก็เกิดเสียงโวยวายปะทุขึ้นในโลกออนไลน์อย่างมากมายต่อเหตุโจมตีครั้งนี้ ภายหลังจากที่ภรรยาของเหยื่อได้เขียนจดหมายถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของอินเดีย เพื่อขอให้ช่วยเข้าแทรกแซงคดี โดยเธออ้างว่าสามีของเธอยังไม่หายช็อกเลยนับตั้งแต่ถูกเล่นงาน 

นอกจากนี้ เธอยังร้องขอให้รัฐบาลอินเดีย เตรียมการสำหรับการเดินทาง เพื่อที่สามี เธอและลูกๆ ทั้ง 3 คน จะได้กลับมาอยู่พร้อมหน้ากัน 

เกี่ยวกับเรื่องนี้ สถานกงสุลอินเดียในชิคาโก เปิดเผยว่า พวกเขาอยู่ระหว่างติดต่อประสานงานกับพวกเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นที่ทำการสืบสวนคดีนี้

สำหรับการโจมตีครั้งนี้ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ความรุนแรงเลวร้ายที่สุดที่เกิดขึ้นกับชาวอินเดียบนแผ่นดินสหรัฐฯ ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ในระหว่างที่มีนักศึกษาชาวอินเดียราว 300,000 คน เดินทางมาเรียนต่อในระดับสูงในประเทศแห่งนี้

โดยก่อนหน้านี้ เมื่อวันจันทร์ที่ 5 ก.พ.67 ‘ซาเมียร์ คามัต’ ชาวอินเดีย ว่าที่ปริญญาแพทยศาสตร์รายหนึ่งของมหาวิทยาลัยเพอร์ดู ในอินดีแอนา ก็ถูกพบเสียชีวิตในเขตอนุรักษ์ธรรมชาติ ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัย

หนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้านั้น ‘นีล อาชาระยา’ นักศึกษาเชื้อสายอินเดียรายหนึ่งในมหาวิทยาลัยเดียวกัน ถูกพบเสียชีวิตใกล้กับลานบินของมหาวิทยาลัย โดยศพของเธอถูกพบหลังจากแม่ของเธอเข้าแจ้งความบุคคลสูญหาย

ส่วนอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเดือนมกราคม ‘วิเวค ไซไน’ นักศึกษาอินเดีย วัย 25 ปี ถูกโจมตีจนตายในลิโธเนีย รัฐจอร์เจีย ด้วยฝีมือคนไร้บ้านที่ติดยาเสพติด โดยกราฟิกวิดีโอของเหตุฆาตกรรมเผยให้เห็นว่าผู้ต้องสงสัยใช้ค้อนทุบตีเล่นงาน ไซไน เกือบ 50 ครั้ง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top