Sunday, 8 June 2025
SPECIAL

อยุธยา - “บิ๊กโจ๊ก”ร่วมวันเด็กย้อนหลังที่กรุงเก่า พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่ปรึกษา สบ.9 ร่วมมอบจักรยาน ในงานวันเด็กย้อนหลังที่วัดศาลาปูนฯ ให้แนวคิดยึดความสามัคคี กตัญญ รักสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

วันที่ 9 เม.ย. ที่หอประชุมโรงเรียนเทศบาลพระนครศรีอยุธยา วัดศาลาปูนวรวิหาร ต.ท่าวาสุกรี อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา พระครูอนุกูลศาสนกิจ เจ้าคณะอำเภอพระนครศรีอยุธยา เจ้าอาวาสวัดศาลาปูนวรวิหาร เป็นประธานในการจัดกิจกรรมงานวันเด็กย้อนหลัง โดยมี พระครูสมุห์ สุทัสน์ คนุธสาโร และพล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่ปรึกษา สบ.9 มาร่วมงานและมอบจักรยาน 50 คันร่วมกับทางโรงเรียน ให้กับนักเรียน มีนางขวัญชนก คงพิบูลย์ รักษาการผู้อำนวยการ ให้การต้อนรับ

พระครูอนุกูลศาสนกิจกล่าวให้โอวาทกับเด็ก ๆ ทุกคนให้รักพ่อแม่และเป็นคนดีของสังคม ยึดคำสอนของพ่อแม่และคุณครู ที่สำคัญต้องมีคุณธรรม จะได้เติบโตมีอนาคต ภายในงานมีการเลี้ยงอาหารกลางวันให้กับนักเรียนที่มาร่วมงาน ซึ่งอาหารที่นำมาเลี้ยงในวันนี้ มีหลากหลายเช่นสเต๊ก ขนมจีนน้ำยา ขนม อาหารญี่ปุ่น ที่ส่วนใหญ่เป็นลูกศิษย์ของพระครูอนุกูลศาสนกิจ นำมาร่วมโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ถือเป็นการทำบุญ ภายหลังจากการแจกของขวัญให้กับนักเรียนจำนวน 163 คนที่ส่วนใหญ่เป็นจักรยานและของขวัญมากมาย

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ได้ถือโอกาสนี้ให้แง่คิดกับเด็ก ๆ ยึดคำขวัญวันเด็กปีนี้ของนายกรัฐมนตรี “เด็กไทย วิถีใหม่ รวมไทย สร้างชาติ ด้วยภักดีมีคุณธรรม “นั่งคือการป้องกันตนเองจากโควิด การรักษาสุขภาพอนามัย แต่สิ่งที่สำคัญที่นายกรัฐมนตรีนายกรัฐมนตรีได้กล่าวไว้ คือ การรวมไทย สร้างชาติ ด้วยภักดี มีคุณธรรม คือการรักในสถาบันชาติ และพระมหากษัตริย์ ซึ่งถือเป็นสถาบันหลักของไทย และต้องมีความกตัญญู มุ่งมั่นหาความรู้ เพื่อที่วันหนึ่งจะได้เป็นอนาคตของประเทศชาติต่อไป


ภาพ/ข่าว  เดชา  อุ่นขาว  รายงานจากอยุธยา

ปมุทธานี - "บิ๊กแจ๊ส" ห่วงประชาชน ให้ อบจ.ปทุมฯ เปิดบริการตรวจโควิด ฟรี ไม่มีกำหนด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดทั้งวันของวันที่ 9 เมษายน 2564 ที่ศูนย์อำนวยการป้องกันและควบคุมโรค หน้าองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี ตำบลบ้านฉาง อำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี มีประชาชนจำนวนมาก เดินทางเข้าตรวจคัดกรองเจาะเลือดแรปบิทเทส เพื่อแสกนหาเชื้อโควิด-19 หลังจาก กระทรวงสาธารณสุข ประกาศว่าจังหวัดปทุมธานีเป็นพื้นที่โซนสีแดง โดย ร้านอาหาร และสถานบันเทิง ผับ บาร์ จะเปิดขายบริการได้ไม่เกิน 21.00 น.ตามที่มีข่าวเสนอไปแล้วนั้น

ซึ่งศูนย์ตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID -19) ที่หน้าสำนักงานองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี  มีการเปิดให้บริการตรวจคัดกรองฟรี เพื่อหาเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยในวันนี้ พบว่ามีชาวปทุมธานี และประชาชนที่มีสถานที่พักในเขตพื้นที่จังหวัดปทุมธานี เดินทางเข้ามาใช้บริการตรวจเช็คเชื้อโควิด เป็นจำนวนมาก โดยเจ้าหน้าที่ ได้จัดสถานที่โดยมีแพทย์พยาบาลจาก รพ.ปทุมธานี มาทำการเจาะเลือด ซึ่งประชาชนทุกคนที่เดินทางมาจะต้องรับบัตรคิว ที่ทาง อบจ.ฯ มีการรับรองไว้จำนวน 1500 คน ต่อวัน ปรากฎว่าเพียงแค่เวลาผ่านไปไม่ถึง 16.00 น. บัตรคิวก็หมดแล้ว ทำให้ผู้ที่ยังไม่ได้รับการตรวจ ต้องเดินทางกลับและจะมารับบริการในวันรุ่งขึ้น

พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง นายก อบจ.ปทุมธานี กล่าวว่า หลังจากที่มีการประกาศออกมาจาก ส่วนกลางว่าจังหวัดปทุมธานี เป็นจังหวัดพื้นที่สีแดง ที่เสี่ยงกับการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 นั้น ตนรู้สึกมีความเป็นห่วงพี่น้องชาวปทุมธานี และประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ปทุมธานี ทุกคน ทั้งที่ในช่วงก่อนหน้านี้ที่ผ่านมา เราได้ดำเนินการป้องกันและคัดกรองเชิงรุกกันอย่างเต็มที่ แต่เมื่อมีการระบาดในรอบ3 ก็ทำให้ทุกคนมีความหนักใจ เพราะว่ามีการแพร่กระจายของโรคนี้เร็วมาก ดังนั้นสำหรับการให้บริการตรวจเช็คหาเชื้อโควิด-19 นั้น ทาง อบจ.ปทุมธานี ได้เปิดให้บริการในวันเวลาราชการ ตั้งแต่วันจันทร์-ศุกร์ เวลา 09.00 - 15.00 น. โดยขั้นตอนในการมารับบริการนั้น 1.ทุกคนต้องนำบัตรประชาชนมาแสดงเพื่อลงทะเบียน (รับบัตรคิว) 2.เจาะเลือด รอฟังผลภายใน 3 นาที 3.หลังทราบผลว่าเป็นบวกหรือลบ (ถ้าเป็นผลลบ ทาง อบจ.ฯ จะออกใบรับรองให้ แต่ถ้าเป็นผลบวก ผู้เข้ารับการตรวจจะตัองเดินทางไปที่โรงพยาบาล เพื่อทำการรักษา และทาง อบจ.ฯ จะ ให้บริการวันละประมาณ 1500 คนต่อวัน โดยจะเปิดให้บริการไปตลอดจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลายหรือดีขึ้น


ภาพ/ข่าว  สมเกียรติ ทรัพย์เฉลิม รายงาน

พิจิตร - พบผู้ติดเชื้อโควิดเป็นชายอายุ 31 ปี 1 ราย มีประวัติเที่ยวผับย่านทองหล่อ

วันที่ 9 เม.ย. 2564 นายรังสรรค์  ตันเจริญ  ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร และ นายกมล กัญญาประสิทธิ์. นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดพิจิตร ได้ร่วมกันเปิดแถลงข่าวว่าในเขตพื้นที่จังหวัดพิจิตร ซึ่งปลอดจากเชื้อไวรัสโควิด19  มาเป็นเวลาถึง 93 วัน แต่วันนี้ได้พบผู้ป่วยติดเชื้อโควิด 19  เป็นชายอายุ 31 ปี  1 ราย จากการสอบประวัติมีอาชีพเป็นพนักงานขายทำงานอยู่ในกรุงเทพฯ ซึ่งเปิดเผยไทม์ไลน์ 

ว่าเมื่อวันที่ 2 เม.ย 64 ไปหาเพื่อนที่คอนโด จากนั้นไปเที่ยวผับย่านทองหล่อกับเพื่อน  ออกจากผับก็ไปพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งเพียงคนเดียว  

วันที่ 4 เม.ย. 64  เดินทางกลับมาบ้านที่พิจิตรโดยรถยนต์ส่วนตัว  ซึ่งบ้านอยู่ ต.ในเมือง อ.เมืองพิจิตร นอนที่บ้านกับภรรยาและลูกสาว   

วันที่ 5 เม.ย. 64 อยู่บ้านกับภรรยาและลูก   พบกับญาติพี่น้องและลูกจ้างที่ร้านเสริมสวยของแม่ จำนวน 3 คน  จากนั้นเวลา 15.00 น. ลูกสาวไม่สบายจึงขับรถส่วนตัวพาลูกไปหาหมอที่ รพ.ชัยอรุณ     ตนเองจึงนอนพักกับแม่และลูกที่โรงพยาบาล

วันที่ 6 เม.ย. 64    ก็ขับรถไปพบลูกค้าที่อำเภอเขาค้อ และ ที่ภูทับเบิก ร่วมกับเพื่อนพนักงานในเครือบริษัท 9 คน และได้มีการสังสรรค์ร่วมกัน      

วันที่ 7 เม.ย. 64 เวลา 08.00 น. รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวแต่ก็ยังพอขับรถไหว   จึงไปติดต่องานกับลูกค้าซึ่งเป็นไร่กระหล่ำปลีที่ภูทับเบิก  และแวะกินขนมจีนที่อำเภอหล่มสัก 

จนกระทั่งเวลา 15.00 น. ก็ทราบข่าวว่าเพื่อนป่วยและไปตรวจหาเชื้อโควิด 19 ที่ รพ.เวชธานี  กทม.  ตนเองจึงเริ่มกังวลใจเมื่อกลับมาบ้านที่พิจิตรจึงจะไปตรวจที่ รพ.พิจิตร แต่ก็เปลี่ยนใจขอไปที่ รพ.ตะพานหิน   ซึ่งก่อนที่จะไป รพ.ตะพานหิน แวะรับประทานก๋วยจั๋บหน้า รพ.พิจิตร  ก็ได้รับทราบข่าวว่าเพื่อนที่ไปตรวจพบว่าผลเป็นบวก ติดเชื้อโควิด 19  ตนจึงรีบไปขอรับการตรวจที่ รพ.ตะพานหิน  พบบุคลากรทางการแพทย์ 3 คน และรู้ว่าผลตรวจพบเชื้อโควิด 19 เมื่อ เวลา 18.00 น. ของวันที่  8 เม.ย. 64 จึงรีบบอกกับแม่และคนในครอบครัว จำนวน 9 คน ทั้งหมดจึงได้ขอเข้ารับการตรวจหาเชื้อที่ รพ.พิจิตร  ก็ปรากฏว่า ทุกคนปลอดภัย ผลออกมาเป็นลบ นั่นหมายความถึงไม่มีเชื้อโควิด 19 ในร่างกายแต่อย่างใด ส่วนบุคคลอื่น ๆ ตามไทม์ไลน์ที่ปรากฏรวมแล้ว 36 คน ก็ต้องรอลุ้นผลตรวจว่าจะออกมาเป็นเช่นไร

สำหรับกรณีที่เกิดขึ้นดังกล่าว นายรังสรรค์  ตันเจริญ  ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร และ นายกมล กัญญาประสิทธิ์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดพิจิตร กล่าวว่า ขอให้ชาวพิจิตรอย่าได้ตื่นตระหนกตกใจ  ขอให้ใช้ชีวิตและทำมาค้าขายตามปกติ แต่ขอให้การ์ดอย่าตก  สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งที่ต้องพบกับผู้คนแปลกหน้าหรือไปในที่  ที่มีผู้คนเยอะ ๆ รวมถึงขอให้ปฏิบัติตามที่แพทย์และ อสม. แนะนำ ล่าสุดข้อมูลผู้ที่มาจากต่างจังหวัดลงทะเบียนแนแอพพลิเคชั่น “ปกป้องพิจิตร” มาจากพื้นที่ควบคุม  9 จังหวัด 1,553 คน พื้นที่เฝ้าระวังสูง 14 จังหวัด 226 คน พื้นที่เฝ้าระวังจาก 53 จังหวัด 180 คน รวม 1,999 คน  ซึ่งบุคคลทั้งหมดนี้อยู่ในการเฝ้าระวังของ อสม. ด้วยแล้ว


ภาพ/ข่าว  สิทธิพจน์  พิจิตร

 

เพชรบุรี - DSI ลงพื้นที่ แก่งกระจาน บุกอายัดที่ดิน เครือข่ายอดีตผู้บริหารสหกรณ์สโมสรรถไฟ พร้อมพรรคพวกในพื้นที่ เพชรบุรี

จากกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยศูนย์ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินทางอาญา ได้สอบสวนขยายผลบุคคลที่เกี่ยวข้อง ในการพิสูจน์การได้มาของทรัพย์สิน (ที่ดิน) โดยการเชื่อมโยงเส้นทางทางการเงินกับทรัพย์สิน

ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของเครือข่ายอดีตผู้บริหาร สหกรณ์สโมสรรถไฟ ที่ได้นำเงินจากการทุจริตออกจากบัญชีสหกรณ์สโมสรรถไฟ และนำเงินที่ได้จากการทุจริตไปเปลี่ยนสภาพแห่งตัวทรัพย์ เพื่อซุกซ่อน ปกปิดแหล่งที่มาของทรัพย์สินหรือกระทำด้วยประการใดๆ เพื่อปกปิดหรืออำพรางลักษณะที่แท้จริงการได้มา หรือได้มา ครอบครองหรือใช้ทรัพย์สินโดยรู้ในขณะที่ได้มา อันเป็นเหตุในการเข้าทำการตรวจยึด/อายัดทรัพย์สินข้างต้น

ล่าสุดเมื่อวันศุกร์ที่ 9 เมษายน 2564  เวลา 10.30 น. พันตำรวจโท กรวัชร์ ปานประภากร อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ มอบหมายให้ พันตำรวจโท สมบูรณ์ สาระสิทธิ์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ  ในฐานะรองอธิบดีที่กำกับดูแล พันตำรวจโท จักรกฤษณ์ วิเศษเขตการณ์ ผู้อำนวยการกองปฏิบัติการพิเศษ

นายระวี อักษรศิริ ผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินทางอาญา นายธวัชชัย รัตนปรีชาชัย รองผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินทางอาญา และนายพงษ์ธวัช อ่วมสำอางค์ ผู้อำนวยการส่วนคดีการฟอกเงินทางอาญา 3 พร้อมคณะ ตำรวจภูธรจังหวัดเพชรบุรี เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเพชรบุรี สาขาท่ายาง และนายประกอบ เผ่าพงศ์ ผู้ตรวจราชการกรมส่งเสริมสหกรณ์ ได้ลงพื้นที่ร่วมกันอายัดที่ดิน

พร้อมสิ่งปลูกสร้างหลายพื้นที่ ประกอบด้วย (1) ที่ดินเขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร จำนวน 6 แปลง  (2) อาคารชุดฮอลส์มาร์ค แจ้งวัฒนะ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี จำนวน 7 ห้อง (3) ที่ดินโครงการพฤกษ์พิมาน 3 ตำบลนาวุ้ง อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี จำนวน 23 แปลง และ (4) พื้นที่อำเภอแก่นกระจาน จังหวัดเพชรบุรี จำนวน 49 แปลง รวมทรัพย์สินที่ทำการอายัด 85 แปลง มูลค่าประมาณ 85,601,690 บาท โดยในการอายัดครั้งนี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้ตรวจสอบเส้นทางทางการเงินของกลุ่มบุคคล จึงมีเหตุให้เชื่อได้ว่านำเงินที่ได้จากสหกรณ์ฯไปซื้อที่ดิน ตามที่ได้อายัดไว้ข้างต้น

การดำเนินการครั้งนี้ เพื่อเป็นการสนองตอบต่อนโยบายของรัฐบาล และ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ที่มุ่งเน้นให้กรมสอบสวนคดีพิเศษเร่งดำเนินการกับทรัพย์สินของผู้กระทำความผิดอย่างรวดเร็ว ต่อเนื่อง และเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และสามารถนำเงินชดใช้คืนสหกรณ์สโมสรรถไฟ และสมาชิกสหกรณ์ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง เพื่อเยียวยาให้กับผู้เสียหาย ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษจะดำเนินการในทุกมิติ โดยร่วมกับสำนักงาน ปปง. เพื่อทำการการยึด/อายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด

เพื่อขอให้พนักงานอัยการมีคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้นำทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดคืน หรือชดใช้คืนให้แก่ผู้เสียหาย ตลอดจนสมาชิกสหกรณ์จำนวนกว่า 6,000 ราย และสหกรณ์พันธมิตรอีก 15 แห่ง โดยจะดำเนินการเชิงบูรณาการร่วมกับ สำนักงาน ปปง. ควบคู่กันไป เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย และสร้างความเชื่อมั่นต่อประชาชน ส่งผลสัมฤทธิ์ในทางปฏิบัติ ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 อย่างเด็ดขาด ต่อไป

เชียงราย - เปิดโครงการสายตรวจร่มบิน แจ้งเหตุทางอากาศ

เปิดโครงการ “ร่มบินพารามอเตอร์ ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย” สนับสนุนภาระกิจทางอากาศ ทั้ง ชี้ภาพการจราจรในช่วงเทศกาล  จุดเกิดไฟป่า ป้องกัน PM 2.5 ติดตามเป้าหมายคนร้าย ชี้เป้าหมายทางอากาศ

เวลา 16.00 น.วันที่ 9 เม.ย.64 ที่ สภ.บ้านดู่ อ.เมือง จ.เชียงราย พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ สังขพงศ์ อดีต ผบก.กองปราบ/ผอ.กองสลาก เข้าร่วมพิธี เปิดโครงการ “ร่มบินพารามอเตอร์ ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย”  โดยมี พ.ต.อ.สันติ กองสมัคร รอง ผบก.ภ.จว.เชียงราย เป็นประธานในการเปิดโครงการ โดย พ.ต.อ.ภาสกร ณ พิกุล ผกก.สภ.บ้านดู่ พร้อมด้วยข้าราชการตำรวจ สภ.บ้านดู่   ชมรมร่มบิน จังหวัดเชียงราย เจ้าหน้าที่ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เทศบาลตำบลบ้านดู่ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม

โดยโครงการสายตรวจทางอากาศ  “ร่มบินพารามอเตอร์ ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย” โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อสนับสนุนการตรวจสภาพการจราจรในช่วงเทศกาลต่าง ๆ 1. เพื่อลดปัญหาด้านจราจร อุบัติเหตุ 2. เพื่อสนับสนุนารทำงานของสายตรวจภาคพื้นดินในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม 3.เพื่อชี้เป้าจุดที่เกิดไฟป่าและค้นหาตัวผู้กระทำผิด ได้อย่างรวดเร็ว 4. เพื่อสนับสนุนภารกิจที่จำเป็นต้องใช้อากาศยานเบาหรือได้รับการร้องขอจากหน่วยงานข้างเคียง เข้าปฏิบัติหน้าที่ตามที่ร้องขอได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยโครงการดังกล่าวดำเนินการเพื่อประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ

พ.ต.อ.สันติ กองสมัคร  กล่าวว่า  ปัจจุบัน มีปัญหาอาชญากรรม  การจราจร และการลักลอบเผาป่า   ทำให้เกิดหมอกควันฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 เพื่อให้การแก้ไขปัญหาต่างได้อย่างมีประสิทธิภาพประกอบกับช่วง  เทศกาลสงกรานต์ ที่จะมาถึงมีพี่น้องประชาชน ได้เดินทางกลับภูมิลำเนา  เป็นจำนวนมาก อาจมีปริมาณรถที่หนาแน่นและอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้ มีความจำเป็นในการใช้ร่มบิน(พารามอเตอร์)ในการตรวจการ  สังเกตการณ์จากที่สูงมีของสภาพการจราจร  เพื่อลดความหนาแน่นของการใช้เส้นทางหลักและการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม การติดตาม ชี้เป้าหมาย เพื่อง่ายต่อการสกัดจับกุมผู้กระทำความผิดต่างๆและการใช้ในการ     ตรวจการณ์ ป้องกันการลักลอบเผาป่า ที่เป็นสาเหตุหมอกควัน

สำหรับโครงการ “ร่มบินพารามอเตอร์ ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย” มีที่ตั้งและศูนย์ประสานงานชุดเฉพาะกิจสายตรวจทางอากาศ สภ.บ้านดู่ เลขที่ 550 ม.2 ต.บ้านดู่ อ.เมือง จว.เชียงราย สามารถจัดเตรียมเก็บขึ้นรถยนต์เพื่อเตรียมพร้อม บินได้ในเวลาเพียงไม่กี่นาที อัตราความเร็วในการบินจะอยู่ที่ประมาณ 40-55 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขึ้นอยู่กับสมรรถนะของร่มด้วย เชื้อเพลิง 10 ลิตร จะบินได้ประมาณ 3 ชม. ถ้าสภาวะอากาศเอื้ออำนวย การบินแต่ละครั้งจึงไปได้ไกลกว่า 100 กิโลเมตร และพร้อมที่จะสนับสนุนภารกิจต่าง ๆ เมื่อได้รับมอบหมายในทันที


ภาพ/ข่าว  ณัฐวัตร ลาพิงค์  เชียงราย

จันทบุรี - ผู้บัญชาการทหารเรือตรวจเยี่ยมการฝึกการสนธิกำลังดำเนินกลยุทธ์ด้วยกระสุนจริงในการฝึกกองทัพเรือ ประจำปี 2564 ที่สนามบ้านจันทเขลม อ.เขาคิชฌกูฏ

วันนี้ ( 9 เม.ย.64 ) สนามฝึกกองทัพเรือ หมายเลข 16 บ้านจันทเขลม อำเภอเขาคิชฌกูฏ จังหวัดจันทบุรี พลเรือเอก ชาติชาย ศรีวรขาน ผู้บัญชาการทหารเรือ พร้อมคณะนายทหารระดับสูงของกองทัพเรือ ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมการฝึกการสนธิกำลังดำเนินกลยุทธ์ด้วยกระสุนจริง ในการฝึกกองทัพเรือ ประจำปี 2564 โดยมี พลเรือเอก สิทธิพร มาศเกษม รองผู้บัญชาการทหารเรือ ในฐานะ ผู้อำนวยการฝึกกองทัพเรือ ประจำปี 2564 พลเรือโท รณรงค์ สิทธินันท์ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ตลอดจนข้าราชการระดับสูงในพื้นที่ ให้การต้อนรับ ซึ่งการตรวจเยี่ยมการฝึกของผู้บัญชาการทหารเรือ และคณะในวันนี้ นอกจากจะทำให้ผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกองทัพเรือ ได้รับทราบรายละเอียดการปฏิบัติในการฝึก และทราบถึงขีดความสามารถ ตลอดจนความพร้อมในการปฏิบัติการของหน่วยต่าง ๆ ที่เข้ารับการฝึกแล้ว ยังเป็นแนวทางที่เปิดโอกาสให้ผู้ใต้บังคับบัญชาได้ใกล้ชิดผู้บังคับบัญชาชั้นสูง อันจะเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้กับกำลังพลที่เข้ารับการฝึกกองทัพเรือ ได้ตระหนักในหน้าที่หลัก ด้านการเตรียมความพร้อมของกำลังรบทางเรือเพื่อการป้องกันประเทศ

โดยการพัฒนากำลังพลและระบบยุทโธปกรณ์ให้มีความพร้อมในการปฏิบัติการทางทหาร ในฐานะหน่วยงานหลักด้านความมั่นคงทางทะเลของประเทศไทย ในการเตรียมกำลังให้เกิดความพร้อม เพื่อปฏิบัติตามแผนป้องกันประเทศผ่านการฝึก ทั้งนี้ กองทัพเรือได้กำหนดให้หน่วยกำลังรบในทุกระดับ ดำเนินการเตรียมความพร้อมในระดับหน่วยตามความเชี่ยวชาญเฉพาะของกิจที่ได้รับ จนถึงการบูรณาการกำลังขนาดใหญ่เข้าด้วยกัน เพื่อฝึกการปฏิบัติการภายใต้สถานการณ์การฝึกตามแผนป้องกันประเทศในแต่ละด้าน โดยกำหนดแนวคิดหลักอ้างอิงจากสถานการณ์ที่มีโอกาสเกิดขึ้นมากที่สุดไว้ในการฝึกกองทัพเรือประจำปี ซึ่งนอกจากจะเป็นการเตรียมความพร้อมของกำลังรบในการปฏิบัติการแล้ว การฝึกกองทัพเรือยังเป็นการทดสอบแผนการปฏิบัติระบบการควบคุมการบังคับบัญชา ระบบการสื่อสารและระบบการส่งกำลังบำรุงในภาพรวม ตลอดจนเป็นการทดสอบการปฏิบัติการร่วมระหว่างเหล่าทัพอีกด้วยในส่วนของการฝึกภาคสนามและภาคทะเลของการฝึกกองทัพเรือ ประจำปี 2564 กำหนดจัดให้มีขึ้น ระหว่างวันที่ 19 มีนาคม ถึง 9 เมษายน 2564 ในพื้นที่ทะเลอันดามัน และอ่าวไทย

ซึ่งกองทัพเรือ กำหนดให้มีรายการฝึกที่สำคัญคือ การฝึกยิงอาวุธปล่อยนำวิถี พื้น - สู่ - พื้น Harpoon Block 1C การฝึกปฏิบัติการยุทธ์สะเทินน้ำสะเทินบก การฝึกยิงตอร์ปิโดจากเฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำ รวมถึงการฝึกสนธิกำลังดำเนินกลยุทธ์ด้วยกระสุนจริง ในการฝึกเป็นหน่วยกรมผสมของกองพลนาวิกโยธิน บริเวณสนามฝึกกองทัพเรือ หมายเลข 16 บ้านจันทเขลม อำเภอเขาคิชฌกูฏ จังหวัดจันทบุรี การฝึกเป็นหน่วยกรมผสมของกองพลนาวิกโยธิน มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาความรู้ ความสามารถของกำลังพลส่วนต่าง ๆ ทางยุทธวิธีในสงครามตามแบบ และเพื่อเป็นการทดสอบความพร้อมรบของหน่วยระดับกรม กองพัน หน่วยขึ้นตรง กองพลนาวิกโยธิน ให้เกิดความคุ้นเคย รวมทั้งเพิ่มประสบการณ์ในเรื่องการจัดทำแผนการฝึกปัญหาที่บังคับการ การดำเนินกลยุทธ์ด้วยกระสุนจริง และการควบคุมบังคับบัญชา การประสานการยิงสนับสนุนอากาศ - พื้นดิน การติดต่อสื่อสาร การต่อต้านข่าวกรองของข้าศึก และการประสานการปฏิบัติร่วมกันให้มีความเข้าใจในหน้าที่ของกันและกัน โดยมีหัวข้อการฝึกที่สำคัญ คือ การฝึกแลกเปลี่ยน/ปรับมาตรฐาน (ปืนใหญ่) การฝึกแลกเปลี่ยน/ปรับมาตรฐาน (ทหารราบ) การฝึกยิงจรวดนำวิถี TOW การสนับสนุนทางอากาศ การส่งกลับสายแพทย์ และการฝึกดำเนินกลยุทธ์ด้วยกระสุนจริง ซึ่งกำลังที่เข้าร่วมฝึกจัดจาก กองพันทหารราบที่ 1 กองพันทหารราบที่ 6 กองพันรถถัง กองพันรถสะเทินน้ำสะเทินบก และกองพันลาดตระเวน ในสังกัดกองพลนาวิกโยธิน หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ประกอบด้วย กำลังทหารนาวิกโยธิน พร้อมยุทโธปกรณ์ อาทิ ปืนใหญ่ ขนาด 155 มม. ปืนใหญ่ขนาด 105 มม. ปืนต่อสู้อากาศยาน ขนาด 40/60 มม. ยานเกราะล้อยาง แบบ BRT รถสะเทินน้ำสะเทินบก (AAV) และรถฮัมวี่ติดจรวดนำวิถี TOW กำลังจากกองพันรักษาฝั่งที่ 12กรมรักษาฝั่งที่ 1 หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง พร้อมยุทโธปกรณ์ คือ ปืนใหญ่รักษาฝั่ง ขนาด 155 มม. รวมถึงกำลังและยุทโธปกรณ์จากกองการบินทหารเรือ กองเรือยุทธการ และกรมแพทย์ทหารเรือ

นอกจากนั้นยังมีกำลังของกองทัพบกเข้ารวมทำการฝึกในครั้งนี้ ซึ่งจัดจากกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ ประกอบด้วยรถถังและยานเกราะล้อยาง อีกจำนวนหนึ่ง การฝึกภาคสนาม/ภาคทะเล ในการฝึกกองทัพเรือ ได้มีการเชิญกองทัพบกและกองทัพอากาศจัดกำลังเข้าร่วมการฝึกตามรายการต่าง ๆ ซึ่งกองทัพเรือได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องและได้รับการตอบรับที่ดีจากทุกเหล่าทัพในทุกครั้ง ซึ่งจะทำให้ทราบถึงคุณลักษณะและขีดความสามารถของกำลังรบจากเหล่าทัพต่าง ๆ อันจะนำไปสู่การวางแผนการใช้กำลังทางทหารและการปฏิบัติการรบร่วมที่มีประสิทธิภาพเกิดประสิทธิผลในการป้องกันประเทศในอนาคต ตามวิสัยทัศน์กองทัพไทยที่ “เป็นกองทัพชั้นนำในภูมิภาคมีนวัตกรรมทันสมัย ปฏิบัติการร่วมอย่างมีประสิทธิภาพทุกมิติ” และสร้างความสมัครสมานสามัคคี อันจะนำไปสู่ความเข้มแข็งของกองทัพไทยในภาพรวม ตามคำขวัญของกองทัพเรือที่ว่า “พลังสามัคคี พลังราชนาวี”


ภาพ/ข่าว จรัล บรรยงคเสนา  ผู้สื่อข่าว จ.จันทบุรี

นายพรเทพ เขม้นเขตวิทย์ รายงานจากศูนย์ข่าวภาคตะวันออก

สระแก้ว - ผู้ว่าสระแก้ว สั่งคุมเข้มตามแนวชายแดนเพื่อป้องกันโควิด-19 ทะลักเข้าตามแนวชายแดน

เมื่อเวลา 09.00น. ของวันนี้ ภายใต้การอำนวยการของนายเกียรติศักดิ์ จันทรา ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้วมอบหมายให้นายปรัชญา พิมพาแป้น นายอำเภอคลองหาด ดำเนินการคัดกรองผู้ประกอบการค้าขายบริเวณตลาดการค้าชายแดน ณ ตลาดศรีเพ็ญเพื่อฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อโควิค-19 โดยร่วมกับเจ้าหน้าที่จากสาธารณสุขอำเภอ โรงพยาบาลคลองหาดและฝ่ายปกครอง ให้แก่กลุ่มเสี่ยงเป้าหมายตามนโยบายของรัฐบาลที่กำหนด

ต่อมาเวลา 10.00 น.ได้ปฏิบัติงาน ร่วมกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขอำเภอเทศบาลตำบลคลองหาด สมาชิก อส. อำเภอคลองหาด ออกตรวจมาตรการการป้องกันการติดเชื้อโควิค-19 บริเวณตลาดนัดเทศบาลสี่แยกคลองหาดเพื่อแนะนำให้ผู้ที่มาจับจ่ายซื้อของและผู้ค้าขายปฏิบัติตามมาตรการ DHMTT อย่างเคร่งครัดเพื่อมิให้มีการระบาดในพื้นที่

ล่าสุดเวลา 13.00 น.ได้ร่วมตรวจสถานที่ที่โรงพยาบาลคลองหาดเพื่อเตรียมสถานที่ฉีดวัคซีนให้แก่กลุ่มเป้าหมาย พร้อมทั้งประชุมเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองและแพทย์พยาบาลที่เกี่ยวข้องเพื่อวางแนวทางอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้มาฉีดวรรคซินจำนวน 500 คนแรกในระหว่างวันที่ 8 และ9เมษายน 2564และได้มีการประชุมเพื่อกำหนดมาตรการป้องกันและ ค้นหาผู้ติดเชื้อในเชิงรุกเพื่อไม่ให้มีการแพร่ระบาดเพิ่มขึ้น และได้รับการฉีดวัคซีนรวมกับเป้าหมายที่กำหนด

อรัญประเทศ จังหวัดสระแก้วสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกัมพูชากับประชาชนไทยในพื้นที่ชายแดนให้ความรู้สร้างความเข้าใจการปฏิบัติตัวในสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 นายเกียรติศักดิ์  จันทรา ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว ได้สั่งการ นายวินัย โตเจริญ นายอำเภออรัญประเทศ จัดกิจกรรมอบรมความรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติตัวในสถานการณ์โควิด-19 โครงการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับประชาชนในพื้นที่ชายแดน ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวเป็นการให้ความรู้เกี่ยวกับ ขั้นตอนการขออนุญาตทำงานในประเทศไทย/การข้ามแดนและการขออนุญาตอยู่ในประเทศไทย/มาตรการในการควบคุมโรคและการปฏิบัติตัวในการป้องกันโควิด-19/การรักษาความสงบเรียบร้อยตามแนวชายแดน/การประกอบธุรกิจในราชอาณาจักรไทยและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งกิจกรรมนี้มีผู้ประกอบการค้าภาคเอกชนในตลาดโรงเกลือทั้งชาวไทยและชาวกัมพูชาที่ใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่ตลาดโรงเกลือเข้าร่วมกิจกรรม โดยกิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมโยงระดับประชาชนกับประชาชนในพื้นที่ชายแดน พร้อมทั้งกำชับความเป็นมิตรที่ดีระหว่างเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานของหน่วยงานไทยกับเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานประเทศเพื่อนบ้านในระดับท้องถิ่นและสร้างความเข้าใจในสถานการณ์ปัจจุบันที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ระบาด จึงมีความจำเป็นต้องให้ความรู้ในการปฏิบัติตัวของผู้ประกอบการในตลาดโรงเกลือ

จากกรณีพบป่วยโควิด-19 จนเกิดการระบาดระลอกใหม่ บรรยากาศชายแดน อ.อรัญประเทศ ฝั่งตลาดปอยเปต คนเริ่มตื่นตระหนก จนท.ฝั่งไทยยังคุมเข้มป้องกันคนลักลอบเข้าเมือง ที่จุดคัดกรองโควิด-19 ด่าน ตม.อรัญประเทศ จุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว พ.ต.อ.รุ่ง ทองมนต์ ผกก.ตม.จว.สระแก้ว ร่วมกับ ร.ต.ธิติวุฒ ยีนุช ผบ.ร้อย ทพ.1201(ผู้บังคับกองร้อยทหารพรานที่1201) และ พ.ต.อ.ชนณพัฒน์ ศิริเลิศ ผกก.สภ.คลองลึก จ.สระแก้ว ได้สนธิกำลังมาร่วมกันตรวจคัดกรอง 10 คนไทยที่ได้รับอนุญาตจากสถานทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ให้เดินทางกลับประเทศไทย ผ่านจุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ซึ่ง จนท.ได้ตรวจคัดกรองวัดอุณหภูมิร่างกาย ตรวจสอบเอกสารการเดินทาง เอกสารการตรวจโควิด-19 จากกัมพูชา และตรวจเข้มเอกสารอนุญาตเดินทางกลับประเทศ จากสถานทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการลักลอบเดินทางกลับประเทศโดยไม่ได้รับอนุญาต ก่อนจะนำตัวไปรับการกักตัว 14 วัน ที่โรงแรมแห่งหนึ่งใน อ.อรัญประเทศ ซึ่งเป็นสถานที่ที่จังหวัดสระแก้ว เตรียมไว้รองรับการกักตัว

พ.ต.อ.รุ่ง ทองมนต์ ผกก.ตม.จว.สระแก้ว กล่าวว่า ได้กำชับ จนท.ร่วมกันตรวจคัดกรองคนไทยที่เดินทางเข้าประเทศอย่างเข้มงวด เนื่องจากได้รับข้อมูลจากทางการกัมพูชาว่าขณะนี้ในประเทศกัมพูชาเกิดการระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ พบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นจำนวนมาก โดยเฉพาะพบผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่เป็นเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานรัฐ ซึ่งทางรัฐบาลกัมพูชา ได้ประกาศให้หน่วยงานของรัฐปิดทำการ โดยให้ทำงานแบบ Work From Home หรือทำงานที่บ้านแทน ส่วนภาคเอกชนหลายบริษัทต้องปิดกิจการ นอกจากนี้ ทางรัฐบาลกัมพูชายังขอความร่วมมือกับประชาชนกัมพูชาให้ป้องกันตนเองด้วยการสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือด้วยแอลกอฮอล์ และงดออกจากบ้านด้วย ดังนั้นจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ในกัมพูชา เกรงว่าอาจจะมีทั้งชาวไทยและชาวกัมพูชาหนีโควิดจากกัมพูชาลักลอบเข้าประเทศไทย  จนท.จึงจำเป็นต้องเข้มงวดกวดขันเป็นพิเศษในช่วงนี้

ขณะที่ พ.อ.เอกพงษ์ กฤตยาเกียรติชุติ ผู้บังคับชุดควบคุมกรมทหารพรานที่ 12 ได้สั่งการให้ ร.ต.ธิติวุฒ ยีนุช ผบ.ร้อย ทพ.1201 นำกำลังออกลาดตระเวนเข้มตามตะเข็บชายแดนช่องทางธรรมชาติบริเวณท้ายตลาดโรงเกลือ ตลาดการค้าชายแดน อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว เพื่อป้องกันและสกัดกั้นไม่ให้มีการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย อย่างเด็ดขาด เป็นการป้องกันการหนีโควิดจากประเทศกัมพูชาลักลอบเข้ามาในประเทศไทย ทั้งของคนไทยและคนกัมพูชา พร้อมคาดโทษ จนท.ห้ามหละหลวมโดยเด็ดขาด

ส่วนชาวกัมพูชาในฝั่งปอยเปต ที่อยู่ตรงข้ามชายแดน อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว เริ่มตื่นตระหนกกับการระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ในกัมพูชา โดย จนท.ฝ่ายความมั่นคงของกัมพูชาประจำปอยเปต เผยว่า ขณะนี้ วงการบันเทิงของกัมพูชากำลังระส่ำหนัก เนื่องจากมีนักร้องและดาราชั้นนำในบริษัทค่ายเพลงชื่อดัง และเป็นต้นสังกัดของศิลปินชั้นนำของกัมพูชาติดโควิด-19 ระลอกใหม่ หลายคน ทำให้ประชาชนชาวกัมพูชาเริ่มหวาดผวาหนัก เนื่องจากชาวกัมพูชาจำนวนมาก ไปงานคอนเสิร์ตของนักร้องคนดังกล่าว อีกทั้งยังมีชาวกัมพูชาอีกจำนวนมากที่คอยติดตามดาราและศิลปิน ทำให้ชาวกัมพูชาจำนวนมากเป็นกลุ่มเสี่ยงติดโควิดสูง ซึ่งอาจจะลุกลามไปทั่วประเทศได้


ภาพ/ข่าว  นายอำเภอคลองหาด / สมศักดิ์ สารการ / บูรพาทีวีออนไลน์ รายงาน

ชลบุรี - Covid19 พลิกสวนไดโนเสาร์แอดแวนเจอร์ สู่นักธุรกิจ ร้านกาแฟชาวดอยไดโนเสาร์ แห่งแรกในภาคตะวันออก อีกหนึ่งจุดเช็คอินแห่งใหม่ของเมืองพัทยา

วิกฤตโควิด-19 ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง โดยเฉพาะกับผู้ที่ได้รับผลกระทบแบบ 100% อย่างผู้ประกอบธุรกิจแหล่งท่องเที่ยวที่มีกลุ่มลุกค้าชาวต่างชาติเป็นลูกค้าหลัก พอมีมาตรการปิดประเทศ นักท่องเที่ยวไม่สามรถเดินทางมาท่องเที่ยวได้แหล่งท่องเที่ยวเหล่านี้ต้องปิดตัวลงชั่วคราวรอวันนักท่องเที่ยกลับมา อย่างสวนไดโนเสาร์แอดแวนเจอร์ พัทยา ตรงข้ามตลาดน้ำสี่ภาค พัทยา ที่ได้รับผลกะรทบจากวิกฤติในครั้งนี้ แต่หากจะรอค่อยการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติก็คงจะต้องใช้เวลานาน ผู้บริหารสวนไดโนเสาร์แอดแวนเจอร์ จึงพลิกวิกฤตโควิด-19 ให้กลายเป็นโอกาสในการสร้างธุรกิจใหม่ ด้วยการเปิดร้านกาแฟ ชาวดอย ไดโนเสาร์ เพิ่มจุดจุดเช็คอินแห่งใหม่ให้กับเมืองพัทยา

โดยวันนี้ (9 เม.ย.64) เวลา 10.39 น. น.ส.ปทุมมา โฆเกียรติมานนท์ ผู้บริหารร้านกาแฟ ชาวดอย ไดโนเสาร์ ได้เปิดตัวร้านกาแฟอย่างเป็นทางการ โดยมีนายรณกิจ เอกะสิงห์ รองนายกเมืองพัทยา ได้เป็นประธานเปิดร้านกาแฟ ชาวดอย ไดโนเสาร์ ท่ามกลาง ญาติพี่น้อง เพื่อนสนิท และแขกผู้มีเกียรติร่วมแสดงความยินดีอย่างคับคั่ง อาทิ นางอำพร แก้วแสง ประธาน กต.ตร.สภ.พัทยา ,เต๋า อดิศร อรรถกฤษณ์ นักร้องวงดราก้อนไฟว์ ,คณะกรรมการกต.ตร.สภ.พัทยา

น.ส.ปทุมมา โฆเกียรติมานนท์ ผู้บริหารร้านกาแฟ ชาวดอย ไดโนเสาร์ กล่าวว่า สำหรับร้านกาแฟชาวดอยไดโนเสาร์ เกิดจากการปรับตัวจากธุรกิจสวนไดโนเสาร์แอดแวนเจอร์ ที่ได้รับผลกะรทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ไม่มีนักท่องเที่ยวเดินทางท่องเที่ยว จึงได้ปรับพื้นที่ด้านหน้าประมาณ 600 ตารางเมตรเปิดร้านกาแฟ ซื่อว่า “ชาวดอยไดโนเสาร์” มีการนำ ไดโนเสาร์หลากหลายสายพันธุ์มาตั้งให้บริการลูกค้าถ่ายรูป โดยมี ไดโนเสาร์ ไจแกนโนโซรัส ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่า 30 เมตร ยืนคู่กับร้านกาแฟ นอกจากนี้ยังมีไดโนเสาร์พันธุ์ เวโรซีแรปเตอร์ ที่สมารถขยับตัวได้ มาตั้งให้ลุกค้าที่มานั่งทางกาแฟได้ถ่ายรูปเช็คอิน ซึ่งไดโนเสาร์พันธุ์ เวโรซีแรปเตอร์ ของร้านกาแฟชาวดอนไดโดนเสาร์ถือเป็นตัวที่ 2 ของโลกและยังเป็นไฮไลต์ของร้านกาแฟ นอกจากนี้ภายในร้านยังมีการนำไข่ไดโนเสาร์ รวมถึงตุ๊กตาไดโนเสาร์ ไว้ค่อยบริการลูกค้าอีกด้วย

ทั้งนี้กาแฟชาวดอยถือเป็นแบรนด์กาแฟของคนไทย มีรสชาติเข้มข้น เมล็ดกาแฟคุณภาพ แต่ราคาย่อมเยา ส่วนเมนูแนะนำ อาทิ กาแฟซิกเนเจอร์ชาวดอยร้อนและเย็น และเครื่องดื่มสดชื่นเหมาะสำหรับหน้าร้อนที่กำลังจะมาถึง เช่น ชากลิ่นผลไม้ไข่มุก สำหรับโปรโมชั่นช่วงเปิดร้าน ตั้งแต่วันที่ 10 เม.ย. 64 - 10 พ.ค. 64 ทางร้านจะแจกคูปองส่วนลด 5 บาท และ 10 บาท โดย 1 คูปองสามารถใช้เป็นส่วนลดต่อ 1 ยอดบิล โดยเปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 07.30-18.00 นของทุกวัน  สำหรับร้านกาแฟชาวดอยไดโนเสาร์ เหมาะสำหรับครอบครัวและเด็กๆ ทั้งนี้ในอนาคตจะมีพื้นที่ทำกิจกรรมเพิ่มเติม เช่น ระบายสี จำลองขุดฟอสซิลไดโนเสาร์


ภาพ/ข่าว  อนันต์ สุขวัฒนะ / เอกชัย สุขวัฒนะ ผู้สื่อข่าวภูมิภาค พัทยา จ.ชลบุรี

 

เรื่องที่คนเก่งควรรู้ ก่อนตกหลุมพราง ฝึกเข้าใจคน พื้นฐานสำคัญในการนำไปสู่ความมั่นคง ความสำเร็จ และความสุขอย่างแท้จริง

ทุกวันนี้มีแต่คน อยากเป็นคนรวย อยากเป็นคนเก่ง และอยากเป็นคนประสบความสำเร็จ แต่น้อยนักที่จะมีคน อยากเป็นคนที่เข้าใจคน แปลกไหม ทั้งๆ ที่การเข้าใจคน คือพื้นฐานสำคัญในการนำไปสู่ความมั่นคง ความสำเร็จ และความสุขอย่างแท้จริง

ศาสตร์ของการพัฒนาคนมีให้ศึกษาอยู่ทั่วไป แต่ละแนวคิดมีปรัชญาที่น่าสนใจแตกต่างกันไป สำหรับผู้เขียนไปสะดุดหูกับปรัชญา “ขงจื้อ” ซึ่งเน้นในเรื่องการเข้าใจคน โดยใช้คุณธรรมนำชีวิต มาเป็นแก่นการสร้างความเจริญรุ่งเรืองในชีวิตแบบยั่งยืน

ขงจื้อ ได้กล่าวไว้ว่า วิกฤตชีวิตเกิดขั้น 4 ช่วง ถ้าใครรู้เรื่องนี้จะเข้าใจชีวิตและบริหารจัดการความเสี่ยงได้อย่างชาญฉลาด ถ้าพร้อมแล้ว มาดูกันค่ะว่ามีอะไรบ้าง

• ช่วงแรก - ช่วงวัยรุ่น อายุ 13-25 ปี

ถ้าคนฝึกจิตมาดีแล้ว ย่อมไม่หมกมุ่นเรื่องกามารมณ์

ช่วงนี้เป็นช่วงฮอร์โมน กำลังพลุ่งพล่าน เสี่ยงต่อการหลงผิด คิดผิด พูดผิด ทำผิด ถ้ารู้ไม่เท่าทันก็อาจถูกกระแสสังคมชักจูงได้ง่าย เช่น คิดว่าการเสพยาเสพติดเป็นเรื่องเท่ การมีเพศสัมพันธ์กับหลายคนเป็นเรื่องธรรมดา หรือมีความคิดว่าการทำเรื่องผิดศีลธรรมได้เป็นเรื่องธรรมดา ใครๆ ก็ทำกัน ต้องคอยระมัดระวังในการคบเพื่อน และการเสพสื่อต่างๆ ควรคัดกรองให้ดีเสียก่อน

• ช่วงที่สอง - ช่วงวัยทำงาน อายุ 25 - 40 ปี

ถ้าคนฝึกจิตมาดีแล้ว ย่อมหลีกเลี่ยงการทะเลาะกับผู้อื่น

ช่วงนี้เป็นช่วงความคิดกำลังพลุ่งพล่าน มีความมั่นใจในตัวเองสูง ใช้ศักยภาพที่มี มุ่งสู่เป้าหมายในชีวิต มีความทะเยอทะยาน อยากได้อยากมีสูง เสี่ยงต่อการทะเลาะเบาะแว้ง ขัดแย้งกับบุคคลรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน เพื่อนร่วมงาน หรือคนในครอบครัว ทำให้มีความสัมพันธ์ไม่ดีกับผู้อื่น และอาจนำไปสู่ความหลงผิดคิดสบายทางลัด คิดกลโกง การแย่งชิงในรูปแบบต่าง ๆ ทิฐิมานะ กิเลส ตัณหา ความโกรธ เข้ามาในชีวิตได้ง่าย พยายามคิดบวก รักษาศีล ฝึกสมาธิ รักษาใจให้ดีเข้าไว้ อย่าให้ไหลไปกับอารมณ์และความคิดลบ

• ช่วงที่สาม - ช่วงวัยกลางคน อายุ 40 - 55 ปี

คนที่ฝึกจิตมาดีแล้ว ย่อมสามารถสร้างความสำเร็จในอาชีพ เพื่อความมั่นคงในชีวิต

ช่วงนี้เป็นช่วงที่ต้องพัฒนาตัวเอง ทุกมิติ ใช้สติและความรอบคอบ ใช้การบริหารจัดการเชิงระบบ ทบทวนตัวเอง เพื่อการแก้ไขข้อผิดพลาด มุ่งเรื่องการสร้างความมั่นคงแก่ครอบครัว เพื่อให้สังคมยอมรับ เมื่อทำงานหนัก ก็จะเกิดความเครียด จึงเสี่ยงต่อการใช้ชีวิตที่ขาดสมดุล เช่น อาจทำงานจนลืมสุขภาพ ทำงานจนลืมครอบครัว ทำงานจนลืมสังคมเพื่อนฝูง มีปัญหาครอบครัวแตกแยก ช่วงนี้จึงต้องใส่ใจสุขภาพร่างกายเป็นพิเศษ ในขณะเดียวกันก็ต้องบาลานซ์ เรื่องงานกับครอบครัวให้สมดุลควบคู่ไปด้วย

จากสถิติ ช่วงวัยนี้จะมีปัญหาสุขภาพจิต และนำไปสู่การนอกใจ และมีปัญหาหย่าร้างมากที่สุด ผู้หญิงเข้าสู่วัยทอง ส่วนผู้ชายก็เข้าสู่การแปรปรวนทางอารณ์ ทั้งคู่จึงตกอยู่ในสภาวะ “วิกฤตวัยกลางคน” ถ้ารู้ไม่เท่าทัน ก็หาทางออกแบบผิดๆ ส่งผลให้เกิดปัญหาครอบครัวในรูปแบบต่าง ๆ

• ช่วงที่สี่ - ช่วงสูงวัย อายุ 55 ปีขึ้นไป

คนที่ฝึกจิตมาดี ย่อมเป็นที่เคารพนับถือ สามารถรักษาทรัพย์ที่หามาได้ และส่งต่อให้แก่ลูกหลาน

ช่วงนี้เป็นช่วงที่ควรทำตัวให้เป็นแบบอย่างที่ดี ปล่อย ๆ วาง ๆ ใช้ชีวิตให้มีความสุขโดยไม่เบียดเบียนใคร ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน วางตัวควรค่าต่อการเคารพนับถือ และเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการถ่ายทอดประสบการณ์ชีวิตแก่ลูกหลาน ช่วยเหลือ ให้แง่คิดมุมมองที่ดี

“ขงจื้อ” ได้กล่าวไว้ว่า ไม่ต้องกังวลว่าใครจะไม่เคารพนับถือเรา แต่ให้หันมาดูในสิ่งที่เรากำลังทำ ว่าควรค่าต่อการเคารพนับถือหรือไม่ ช่วงนี้ก็พยายามทำใจ ลดละเลิก ปล่อยวาง ใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย คบเพื่อนให้น้อยลง เลือกทำในสิ่งที่มีความสุข ที่สำคัญความสุขของเราต้องไม่ทำให้ใครเดือดร้อน

จะเห็นได้ว่าการฝึกจิตให้นิ่ง มีสติ จะช่วยให้เราสามารถ ใช้ความรู้คู่คุณธรรม นำชีวิตสู่ความเจริญอย่างยั่งยืนได้

แต่ให้เข้าใจตรงกันนะคะว่า ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร การศึกษาระดับไหน ยากดีมีจนเพียงใด ฝึกจิตมาดีแค่ไหน ก็มีสิทธิทำผิดพลาดกันทุกคน “เมื่อทำผิดพลาดก็ให้แก้ไขอย่าแก้ตัว” และ เมื่อมีการทำผิดครั้งต่อไป อนุญาตให้ผิดเรื่องใหม่ได้ แต่ห้ามทำผิดซ้ำเรื่องเดิม จะถือว่าเราไม่พัฒนา

ข่าวดีก็คือ ทุกคนสามารถสร้างความสุขและความสำเร็จในชีวิตได้เท่าเทียมกัน ด้วยการฝึกจิต

3 วิธีง่ายต่อการฝึกจิต

1.) ตั้งเป้าหมายชีวิต ในการรักษาศีล 5 อย่างตั้งใจ

2.) เป็นคนดี คิดดี พูดดี ทำดี ทำ 3 สิ่งนี้ด้วยหัวใจ

3.) ฝึกนั่งสมาธิ ให้จิตตื่นรู้ ทุกวัน

เห็นไหมคะ การใช้ชีวิตให้ดีไม่ใช่เรื่องยาก แต่คนส่วนมากไม่ค่อยทำ จงเริ่มต้นจากการเข้าใจคนค่ะ

.

เขียนโดย อ.นิธิมา กุญชร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาบุคลากร โปรเฟสชั่นนอล เทรนเนอร์

#Talktonitima


อ้างอิงข้อมูล: http://www.ci.au.edu/th/index.php/about/2015-08-24-11-58-20

ส่อง 5 เทศกาล ‘สายสาด’ สุดมันส์ ที่ ‘ชุ่มฉ่ำ - สะใจ’ ไม่แพ้สงกรานต์ไทย

เมื่อถึงเดือนเมษายนของทุกปี ช่วงเวลาหยุดยาวในเทศกาลสุดหรรษาอย่างสงกรานต์ ก็หวนย้อนมาเยือนให้คนไทยได้อิ่มเอมกันเสมอ ๆ

เพราะเป็นช่วงวันหยุดยาว ๆ ที่หลายคนจะถือเอาช่วงวันหยุดนี้กลับภูมิลำเนา เยี่ยมญาติมิตร และท่องเที่ยวพักผ่อนให้เต็มเหนี่ยใ

ขณะเดียวกัน คนไทยส่วนใหญ่ต่างก็ตั้งตารอ ‘สาดน้ำเล่นสงกรานต์’ กันเต็มที่ แต่ปีนี้บอกก่อนว่า ‘อดชัวร์’ อะเนาะ!! ก็อย่างว่าดัน ‘การ์ดตก’ กันถ้วนหน้า จะทำไงได้ล่ะฮิ!!

พูดให้อยากทำไม? ในเมื่อสรุปแล้ว ปีนี้เรา ๆ ท่าน ๆ คงต้องนอนเบื่ออยู่บ้านกันไปยาว ๆ (^-^)

แต่เอาน่า!! กิจกรรมชุ่มฉ่ำ ๆ ยังมีวนมาให้สัมผัสได้ทุกปีนั่นแหละ ก็ลุ้น ๆ กันไปเหมือนรอถูกหวยละกัน ว่าปีหน้าสถานการณ์โรคระบาดจะจืดจางลง ให้เทศกาลแห่งสายน้ำกลับมาสู่ชีวิตพวกเราเช่นเคย

ว่าแล้ว พอพูดถึงการสาดน้ำ คุณ ๆ ท่าน ๆ ทราบกันหรือไม่ว่า...ไม่ได้มีแค่ในประเทศไทยเท่านั้นที่มีเทศกาลสาดน้ำ และไม่ได้มีแต่ ‘น้ำ’ เท่านั้นที่ใช้สาดเล่นกันได้

Weekly ช่วงเทศกาลกร่อยๆ แบบนี้ เลยขอพาคุณไปรู้จักเหล่า ‘เทศกาลสายสาด’ จากต่างแดน ที่น่าสนุกจนใคร ๆ ก็ต้องอยากไปลองเล่นดูสักครั้ง (ถึงแม้จะไม่ใช่เร็ววันนี้ก็ตาม) มาแก้วันเหงา เศร้า เบื่อ และเก็บกักตัวกันไปพลาง ๆ

เอาล่ะ!! มีเทศกาลสายสาดอะไรกันบ้าง เชิญชม!!

1. เทศกาลโฮลี (Holi Festival) ประเทศอินเดีย

>> จัดทั่วประเทศอินเดีย และชุมชนชาวอินเดียขนาดใหญ่ทั่วโลก

>> จัดขึ้นในช่วงแรม 1 ค่ำ เดือน 4 ของทุกปี เป็นเวลา2 วัน (เดือนมีนาคม)

‘สาดสี’ กับเทศกาลโฮลี อีกเทศกาลสายสาดที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ด้วยความโดดเด่นอันเป็นเอกลักษณ์ของการละเล่นที่เต็มไปด้วยสีสันสดใจ ที่ผู้คนมากมายต่างพร้อมกายพร้อมใจละเลงฝุ่นสีไปทั่วทั้งถนน อันเป็นการเฉลิมฉลองให้กับการสิ้นสุดของฤดูหนาวอันเยือกเย็นไร้ชีวิตชีวา โดยฝุ่นสีที่ใช้สาดใส่กันนั้นก็ทำมาจากธรรมชาติ อาทิเช่น ดอกทองกวาว (สีส้ม) หัวบีทรูท (สีม่วง) ขมิ้น (สีเหลือง) และสีอื่น ๆ ที่จะทำให้ทุกตารางนิ้วบนตัวคุณไม่หลงเหลือสีผิวหรือสีเสื้อผ้าเดิมอยู่เลย

ประวัติความเป็นมาของเทศกาลโฮลีนั้นไม่แน่ชัดว่าเริ่มครั้งแรกเมื่อใด แต่มีการกล่าวถึงเทศกาลนี้มีตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 4 และสันนิษฐานกันว่า เทศกาลโฮลีนี้ถือเป็นต้นกำเนิดของเทศกาลสำคัญที่พื้นที่ฝั่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้รับอิทธิพลมา และปรับเปลี่ยนจากการสาดสีเป็นสาดน้ำ ซึ่งก็คือเทศกาลสงกรานต์นี่เอง ดังนั้นใครไปเล่นสาดสีที่อินเดียนี่ถือได้ว่าไปเล่นเทศกาลสาดจากดินแดนต้นตำหรับกันเลยทีเดียว

2. เทศกาลไวน์ฮาโร (Haro Wine Festival) ประเทศสเปน

>> จัดที่เมืองฮาโร แคว้นลาริโอฆา ประเทศสเปน

>> จัดขึ้นในวันที่ 29 มิถุนายนของทุกปี

‘สาดไวน์’ ไปกับเทศกาลสาดไวน์ในเมืองเล็กๆ ทางตอนเหนือของประเทศสเปนที่มีชื่อว่า ฮาโร (Haro) ในแค้วนลาริโอฆา (La Rioja) ที่จะเปลี่ยนถนนทั้งเส้นและผู้คนทั้งหมดให้อาบไปด้วยไวน์สีแดงฉานรสชาติซาบซ่า ด้วยเครื่องมือที่สารพัดจะพกมาทั้งเททั้งฉีดและสเปรย์จนกลายเป็นละอองหมอกสีแดงดูน่าตื่นตาตื่นใจ หรือจะมาเป็นรถดับเพลิงฉีดไวน์เลยก็มี ถ้าคุณคิดว่าน้ำเปล่าแช่น้ำแข็งของสงกรานต์บ้านเรายังไม่สาแก่ใจพอ ก็ต้องที่นี่แหละสุดจริง

สำหรับเทศกาลไวน์ฮาโรนั้น จัดขึ้นมาอย่างยาวนานตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 13 เพื่อเฉลิมฉลองการเข้าสู่ฤดูร้อนของชาวท้องถิ่น ซึ่งแรกๆ ก็เน้นจัดเทศกาลเพื่อดื่มกันอยู่ก่อนจะเปลี่ยนเป็นการสาดใส่กันแทน โดยเทศกาลนี้มีชื่อเรียกในภาษาสเปนว่า La Batalla Del Vino De Haro หรือสงครามไวน์ฮาโร แต่ไม่ต้องกลัวว่านี่คือการสาดของราคาแพงใส่กันให้เสียดายไวน์ เพราะแคว้นนี้ถือเป็นแหล่งผลิตไวน์ที่สำคัญที่สุดของสเปน และครัวเรือนกว่า 40% ของที่นี่เขาก็มีโรงบ่มไวน์เป็นของตนเอง ของสาดจึงมีเพียบ

3. เทศกาลโคลนโพเรียง (Boryeong Mud Festival) ประเทศเกาหลีใต้

>> จัดที่หาดแดชอน เมืองโพเรียง ประเทศเกาหลีใต้

>> วันที่จัดงาน: ช่วงสุดสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนกรกฎาคม

‘สาดโคลน’ ที่ไม่ใช่แค่การสาดเสียเทเสีย เทศกาลสาดโคลนนี้ จัดขึ้นบริเวณชายหาดแดชอน (Daecheon Beach) เมืองโพเรียง (Boryeong) ประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งเทศกาลนี้จัดขึ้นเป็นเวลานานถึง 2 สัปดาห์ในช่วงฤดูร้อน โดยคุณจะได้สนุกไปกับการชโลมตัวในบ่อโคลน ลานมวยปล้ำ เล่นชักเย่อ กิจกรรมสาดโคลนใส่กัน พร้อมเครื่องเล่นที่สนุกสนานประหนึ่งว่านี่คือสวนน้ำกลางแจ้งอย่างไรอย่างนั้น นอกจากนี้ยังมีสปาโคลน และกิจกรรมเบา ๆ สำหรับผู้สูงอายุอีกด้วย

เทศกาลโคลนโพเรียงจัดขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1998 และกลายเป็นเทศกาลที่มีชื่อเสียงเนื่องจากคุณภาพของโคลน ซึ่งเต็มไปด้วยสารอาหารที่มีคุณค่าต่อผิว จนสามารถนำไปผลิตเป็นเครื่องสำอางและวางจำหน่ายได้ นักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศจึงนิยมมาสนุกสนานกับเทศกาลนี้ทุกปี จนมีผู้เข้าร่วมงานมากกว่า 2 ล้านคน! แถมยังอยู่ไม่ไกลจากกรุงโซลเท่าไหร่นัก ใครมีโอกาสไปเที่ยวเกาหลีช่วงหน้าร้อน อย่าลืมแวะไปสาดโคลนกันนะ

4. เทศกาลปามะเขือเทศ (La Tomatina) ประเทศสเปน

>> จัดที่เมืองบูญอล แคว้นบาเลนเซีย ประเทศสเปน

>> จัดช่วงวันพุธสุดท้ายของเดือนสิงหาคม

‘สาดมะเขือเทศ’ เทศกาลสาดสุดเดือดที่มีชื่อเสียงที่สุดงานหนึ่งของสเปน เพราะเทศกาลปามะเขือเทศสุดเละเทะนี้เป็นอีกงานสายสาดสุดเกินบรรยายของเมืองบูญอล (Bunol) ในแคว้นบาเลนเซีย (Valencia) ประเทศสเปน ซึ่งจะว่าตรงๆ นี่ไม่ใช่แค่เทศกาล แต่เหมือนสงครามย่อมๆ กันเลย เพราะในแต่ละปีจะมีการสูญเสียมะเขือเทศจากการปาใส่กันมากกว่า 145 ตัน ผ่านการละเลงให้เละไปทั่วทั้งถนนที่ใช้จัดกิจกรรมสุดมันส์ ใครที่เบื่อสาดน้ำก็ลองเดินทางมาปามะเขือเทศใส่กันแทนได้ คุณก็จะได้ลิ้มรสอารมณ์ความเปียกแบบเหนอะๆ ไปอีกแบบ

ส่วนความเป็นมาของเทศกาลนี้ ก็ออกจะแหวกแนวไปสักหน่อย เพราะเพิ่งเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1945 นี่เอง โดยปีก่อนหน้านั้นเกิดเหตุละเทาะวิวาทขึ้น และมีการใช้มะเขือเทศในแผงตลาดมาปาใส่กัน ทำให้ปีต่อมาคนเลยติดใจ จึงจัดมะเขือเทศมาปากันต่อจนถึงปัจจุบัน แต่ไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะเสียของ เพราะมะเขือเทศที่นำมาใช้ละเลงในเทศกาลนั้น เป็นพันธุ์ที่มีรสชาติไม่อร่อยและมีราคาถูก โดยมีการคลึงมะเขือเทศให้ช้ำก่อนนำมาให้ผู้คนได้สนุกกันโดยไม่เป็นอันตราย

5. เทศกาลปาองุ่น (Grape Throwing Festival) ประเทศสเปน

>> จัดที่เมืองมาจอร์กา หมู่เกาะแบลิแอริก ประเทศสเปน

>> จัดทุกวันหยุดสุดสัปดาห์สุดท้ายของเดือนกันยายน

‘สาดองุ่น’ อีกหนึ่งเทศกาลสายสาดของสเปนในเมืองมาจอร์กา (Mallorca) ที่ตั้งอยู่บนหมู่เกาะแบลิแอริก (Balearic Islands) บนทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ฝั่งตะวันออกของประเทศสเปน ซึ่งชาวท้องถิ่นถือว่านี่คือสุดยอดของ ‘ความบันเทิง’ ประจำปี โดยคุณต้องทำการทั้งละเลง ทั้งปาผลองุ่นดำใส่กันอย่างสนุกสนาน ซึ่งอาจจะรู้สึกแปลกสักหน่อยเพราะสาดอย่างอื่นเขามาเป็นน้ำหรือเป็นผง แต่งานนี้สาดกันมาเป็นพวงเลยทีเดียว

ที่มาที่ไปของเทศกาลปาองุ่นนั้น ก็ไม่ได้ซับซ้อนมากมาย เนื่องจากช่วงนี้เป็นช่วงที่ผลผลิตองุ่นในหมู่เกาะแบลิแอริกกำลังได้ที่ และย่านนี้ ก็เป็นแหล่งเพาะปลูกองุ่นที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของสเปน การฉลองช่วงเก็บองุ่นด้วยการละเลงองุ่นจึงเริ่มขึ้น ณ จุดนี้ แถมงานนี้ผู้เข้าร่วมงานส่วนใหญ่จะเลือกนุ่งสั้นทูพีช หรือเหล่ายอดชาย ก็ถอดเสื้อละเลงใส่กัน ซึ่งนอกจากจะไม่เลอะเทอะเสื้อผ้ามากชิ้นแล้ว ยังได้บำรุงผิวทางอ้อม เพราะองุ่นมีวิตามินหลายชนิด (อ่ะนะ) ด้วย!!


ที่มา:

https://www.thansettakij.com/content/ThanDigital/471063

https://travel.thaiza.com/foreign/370778/

https://travel.trueid.net/detail/XkK0JqjpZmX

https://www.wecrafttravel.com/2019/04/29/la-tomatina-เทศกาลปามะเขือเทศ/

https://www.facebook.com/perspectivetelevision/photos/เทศกาลปาองุ่น-(throwing-/435092583495811/

https://www.skyscanner.co.th/news/songkran-alternative

มอเตอร์เวย์หมายเลข 6 ทางหลวงพิเศษเชื่อมใจ เชื่อมเมืองไทยให้ยั่งยืน

ทำไม ? ถึงต้องจั่วหัวมาขนาดนั้น หากเราย้อนมองอดีตก่อนจะมาถึงการสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 6 สายบางปะอิน - สระบุรี - นครราชสีมานั้น ต้องเริ่มด้วยต้นสายคือ ทางหลวงหมายเลข 2 ถนนมิตรภาพ ความยาว 509 กิโลเมตร ถนนหลักที่ใช้สัญจรเชื่อมภาคกลางกับอีสาน เริ่มสร้างในปี พ.ศ. 2498 สมัยจอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี จากสระบุรีจนถึงนครราชสีมา ระยะทางประมาณ 148 กิโลเมตร เป็นทางหลวงสายแรกของประเทศไทยที่มีผิวจราจรลาดยางแบบแอสฟัลต์ - คอนกรีตก่อนจะสร้างต่อสายเส้นทางไปจนสุดถึงหนองคายในสมัยรัฐบาล จอมพลถนอม กิตติขจร อันเป็นการส่งต่อทุกความเจริญไปสู่ภาคอีสานทั้งตอนบนและตอนล่าง เปิดทางให้เกิดความเจริญทางเศรษฐกิจ เชื่อมชุมชน เชื่อมไร่นา เชื่อมตลาด

จากเพียงถนน 2 ช่องจราจรก็มากลายเป็นถนน 4 ช่องจราจรในรัฐบาล พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ และพัฒนาจนบางช่วงใหญ่ขนาด 10 ช่องจราจร แต่วันนี้มิตรภาพ ก็เริ่มจะไม่เพียงพอต่อการสัญจรเสียแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเทศกาลสำคัญอย่างปีใหม่หรือวันหยุดยาวในช่วงสงกรานต์ที่เราคนไทยจะได้สัมผัสมิตรภาพอันยาวนานไม่ต่ำกว่า 10 ชั่วโมงทุกครั้งทั้งขาไปและขากลับ จึงเกิดเป็นคำถามว่าทำอย่างไรถึงจะแบ่งเบาและแก้ไขให้แบ่งปันมิตรภาพให้ออกไปได้มากกว่านี้ ? ปลายเหตุของเรื่องนี้ ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 6 คือคำตอบ

ทางหลวงพิเศษหมายเลข 6 หรือ มอเตอร์เวย์สายอีสาน เป็นทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองขนาด 4 - 6 ช่องจราจร เชื่อมต่อจากกรุงเทพมหานครไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย เริ่มต้นจากอำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ไปสิ้นสุดที่จังหวัดหนองคาย โดยเริ่มก่อสร้างช่วงบางปะอิน - นครราชสีมาระยะทาง 196 กิโลเมตรเป็นช่วงแรก คาดว่าช่วงนี้จะแล้วเสร็จและเปิดใช้งานได้ในปี 2566 โดยในกรอบการสร้างนั้นยังรวมไปถึงการศึกษาเพื่อต่อยอดเส้นทางออกไปอีก 2 ระยะคือจาก นครราชสีมา - ขอนแก่นระยะทาง 196 กิโลเมตร และจากขอนแก่น - หนองคายระยะทาง 160 กิโลเมตร อันจะเป็นเส้นทางคู่ขนานเพื่อแบ่งเบาการจราจรบนถนนมิตรภาพให้คล่องตัวขึ้น

ทางหลวงหมายเลข 6 นี้แรกเริ่มนั้นได้รับความเห็นชอบและอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีมาตั้งแต่ปี 2540 โดยเป็นการก่อสร้างเส้นทาง 3 สายต่อเนื่องกัน แต่หลังจากปี 2540 เจอกวิกฤตการณ์ต้มยำกุ้งก็เลยไม่มีอะไรเดินหน้าแม้จะผ่านวิฤตแล้วก็ยังไม่ได้ดำเนินการใด ๆ จนมาถึงยุคของพลเอกประยุทธ์ จันทรโอชา ในปี 2558 ครม.ได้อนุมัติโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหรือมอเตอร์เวย์ 3 สายใหม่ เพื่อแก้ปัญหาจราจรติดขัดโดยเฉพาะช่วงเทศกาลหยุดยาว ประกอบด้วย 1. สายบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา ระยะทางประมาณ 196 กม. 2. สายบางใหญ่บ้านโป่ง-กาญจนบุรี ระยะทาง 96 กม. และ 3. สายพัทยา - มาบตาพุด ระยะทาง 32 กม.จำเพาะลงมาที่เส้น บางปะอิน - สระบุรี - นครราชสีมา ปกติหากต้องใช้เส้นทางสายมิตรภาพ ระหว่างเวลาเสาร์ - อาทิตย์ และเทศกาลวันหยุดยาวอย่างสงกรานต์ ปริมาณรถบนถนนจะมีมากกว่า 13 ล้านคัน ทำให้มิตรภาพในช่วงเวลาดังกล่าว เวลาเหมือนหยุดนิ่ง ยาวนาน ต้องมานั่งนับเวลาว่าเราจะขับรถถึงบ้านโดยใช้เวลากี่ชั่วโมง ตัวอย่างที่เห็นชัดก็คือบริเวณตำบลทับกวาง อำเภอแก่งคอย ซึ่งเป็นทางขึ้นเขา และมีจุดพักรถตลอดเส้นทาง เกิดสภาพคอขวด การจราจรแออัด รถติดยาวต่อเนื่องกว่า 30 กิโลเมตร ใช้เวลาแค่ช่วงนี้ก็กินเวลาไป 4 - 5 ชั่วโมงแล้ว เมื่อเป็นอย่างนี้ มอเตอร์เวย์หมายเลข 6 คือตัวแปรสำคัญที่จะทำให้ฝันของคนอยากกลับบ้านเป็นจริง

สงกรานต์ปี 2564 นี้เองที่รัฐบาลจะเปิดเส้นทางมอเตอร์เวย์หมายเลข 6 ให้เราได้สัมผัสเส้นทาง ขาไปตั้งแต่วันที่ 9 - 13 เมษายน และขากลับ 14 - 19 เมษายน จากช่วงหลักกิโลเมตรที่ 65 บ้านหนองไผ่ล้อม ตำบลหนองสาหร่าย อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ไปจนถึงจุดลงถนนมอเตอร์เวย์ที่บริเวณด่านเก็บเงินค่าผ่านทาง อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา แม้จะเปิดให้วิ่งเป็นระยะทางสั้น ๆ แค่ 35 กิโลเมตร อย่างน้อยที่สุดก็ทำให้ประชาชนได้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นของคุณภาพชีวิตการเดินทาง แม้ว่าในปีนี้จะช่วยให้ประหยัดเวลาและลดความแออัดที่เกิดขึ้นไปได้เล็กน้อย แต่ก็ทำให้เราได้เห็นภาพของอนาคตมากขึ้น อนาคตที่เส้นทางนี้จะเป็นหนทางหลักในการพัฒนาเศรษฐกิจประเทศไทยในยุค 5G ของชาวอีสานและภูมิภาคใกล้เคียง ทั้งยังเห็นโอกาสของการสร้างสำนึกรักบ้านเกิด การกลับสู่ชุมชนของคนอีสาน จากความเจริญทางเศรษฐกิจเมื่อพ้นวิกฤต จะเชื่อมโยงทุกรอยยิ้มให้มีมากกว่ามิตรภาพในวันวาน


ขอบคุณภาพจาก : โครงการ มอเตอร์เวย์

เชื่อหรือไม่ ศิลปะบำบัด...แก้ปวดนิ้วจากการเล่นมือถือ

มือเป็นอวัยวะสำคัญของร่างกายและใช้ทำกิจวัตรประจำวัน เช่น จากการเล่นโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานานการล้างหน้า การแปรงฟัน หรือกิจกรรมอื่น ๆ ที่ทำเป็นประจำทุกวัน เป็นต้น ทุกคนใช้มือเพื่อทำกิจกรรมต่าง ๆ ไปจนถึงการประกอบอาชีพ ดังนั้นมือจึงควรได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดี เมื่อมือบาดเจ็บจากอุบัติเหตุหรือการใช้งาน อาจส่งผลให้มือชาหรืออ่อนแรง เช่น อาการชาจากการกดทับของเส้นประสาทบริเวณข้อมือ (Carpal Tunnel Syndrome) ส่งผลให้ความสามารถในการใช้งานของมือลดลง เช่น การหยิบจับสิ่งของ การฝึกทักษะของมือจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยฟื้นฟูให้มือกลับมาทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ดีเช่นเดิม

กิจกรรมฝึกทักษะมือ
โดยปกติแล้วนักกิจกรรมบำบัดมีบทบาทในการตรวจประเมิน ส่งเสริม ป้องกัน ฟื้นฟูความสามารถมือ เมื่อพบปัญหาที่เกี่ยวข้องกับมือ เช่น ชา กล้ามเนื้ออ่อนแรง ข้อติด มีปัญหาการใช้งานของมือหรือการหยิบจับวัตถุ นักกิจกรรมบำบัดใช้กิจกรรมที่ผ่านการคิดวิเคราะห์มาเป็นสื่อในการบำบัดรักษาหรือฟื้นฟูให้เหมาะสมกับปัญหา โดยเริ่มปรับกิจกรรมจากง่ายไปยาก เพื่อพัฒนาความสามารถอย่างค่อยเป็นค่อยไปดังนี้

1.) การบริหารมือและนิ้วมือ
กำมือ-แบมือ-กางนิ้วมือ-หุบนิ้วมือ-นิ้วตูมเข้าหากัน-พับนิ้วมือ-จีบนิ้วมือ

2.) การออกกำลังกายเพื่อเพิ่มกำลังมือและนิ้วมือ
ออกแรงบีบวัตถุต่าง ๆ เช่น ลูกบอล ดินน้ำมัน แป้งโดว์ ตัวหนีบผ้า

3.) การฝึกหยิบจับวัตถุรูปแบบต่างๆ จากวัตถุขนาดใหญ่ไปจนถึงวัตถุขนาดเล็ก

นอกจากนี้สามารถผสมผสานกิจกรรมต่างๆ เช่น ศิลปะ ดนตรี กีฬา การทำอาหาร มาร่วมในการฝึกทักษะมือ โดยใช้อุปกรณ์ที่หาได้ง่าย ทั้งนี้ยังช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายและเป็นการกระตุ้นให้รู้สึกอยากทำกิจกรรมมากขึ้น 

ศิลปะบำบัดกับการบริหารมือ

1.) กิจกรรมปั้นดินน้ำมัน หรือแป้งโดว์

เริ่มจากออกแรงนวดดินน้ำมันเพื่อเพิ่มกำลังกล้ามเนื้อมือ

ใช้นิ้วมือกดดินน้ำมันให้แบน

ใช้ปลายนิ้วบีบดินน้ำมันให้แบน

ปั้นดินน้ำมันเป็นรูปร่างหรือรูปทรงต่าง ๆ ตามจินตนาการ

2.) กิจกรรมตัวหนีบผ้า

จับตัวหนีบผ้าด้วยปลายนิ้วโป้งและนิ้วชี้

    

ฝึกจับตัวหนีบผ้าด้วยปลายนิ้วโป้งและด้านข้างของนิ้วชี้

หนีบตัวหนีบผ้าเป็นรูปร่างหรือรูปทรงต่าง ๆ ตามจินตนาการ

3.) กิจกรรมตัวปั๊ม

เลือกตัวปั๊มที่ชอบและออกแรงกดตัวปั๊มลงบนแป้นหมึก

ออกแรงกดตัวปั๊มลงบนกระดาษ
ปั๊มเป็นรูปภาพหรือรูปทรงต่าง ๆ ตามจินตนาการ

4.) กิจกรรมเสียบหมุดให้เป็นรูปภาพ

ใช้นิ้วชี้และนิ้วโป้งหยิบหมุด

อาจใช้นิ้วกลางและนิ้วโป้งหรือนิ้วอื่น ๆ หยิบหมุด

เสียบหมุดเป็นรูปภาพหรือรูปทรงต่าง ๆ ตามจินตนาการ
 

5.) กิจกรรมระบายสี

เลือกรูปภาพและสีที่ชอบ ระบายสีให้สวยงามตามต้องการ 
 


ข้อมูลอ้างอิง 
นายแพทย์พงษ์ศักดิ์ วัฒนา. (2531). ปัญหาของมือที่พบบ่อย. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว
https://www.siphhospital.com/th/news/article/share/998/Hand-Exercises

'รากษสเทวี' นางสงกรานต์ 64 ผู้นำพา ‘มหันตภัย’ มาสู่กลางเมือง

นางสงกรานต์ปี 64 ทรงนาม ‘รากษสเทวี’

แม้ประเพณีสงกรานต์จะอยู่คู่กับประเทศไทยมาช้านาน แต่ช่วง 2 ปี มานี้ หลายกิจกรรมเด่น ๆ ก็ถูกระงับ โดยเฉพาะการเล่นสาดน้ำที่เป็นกิจกรรมหลัก เหตุเพราะสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ยังคุกรุ่น

ถึงกระนั้นกิจกรรมเข้าวัดทำบุญ สรงน้ำพระ สืบสานประเพณีอันดีงาม ก็ยังสามารถดำเนินได้ แบบมีระยะห่างทางสังคม (Social Distancing)

นอกเหนือจากกิจกรรมของประเพณีดังกล่าว ช่วงเทศกาลสงกรานต์จะมีการพูดถึงอีกเรื่องสำคัญ นั่นก็คือ ความเชื่อเกี่ยวกับนางสงกรานต์ทั้ง 7 ซึ่งหลายคนอาจจะคงเคยได้ยินเรื่องราวกันมาบ้าง

สำหรับนางสงกรานต์ทั้ง 7 เป็นเรื่องเล่าขานตำนานเกี่ยวกับ ‘ธิดา’ ของ ‘ท้าวกบิลพรหม’ หรือ ‘ท้าวมหาสงกรานต์’ ซึ่งเป็นนางฟ้าสถิตย์อยู่บนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา หรือสวรรค์ชั้นที่ 1 จากทั้งหมด 6 ชั้น

โดยธิดาทั้ง 7 จะมีหน้าที่ในการรับ ‘เศียร’ ของท้าวกบิลพรหม ไม่ให้ตกลงบนพื้นโลก หรือพื้นน้ำ หรือบนอากาศ หลังจากที่ ‘ท้าวกบิลพรหม’ รู้ตัวว่าจะต้องตาย โดยการตัดเศียรของตนเพื่อบูชาธรรมบาลกุมาร และท่านก็ได้ตรัสเรียกธิดาทั้ง 7 องค์ อันเป็นบาทบาจาริกาพระอินทร์มาประชุมพร้อมกัน แล้วบอกว่า “พ่อจะตัดเศียรตัวเองเพื่อบูชาธรรมบาลกุมาร แต่เศียรของพ่อนี้หากตั้งไว้บนแผ่นดิน ไฟก็จะไหม้โลก หากโยนขึ้นไปบนอากาศ ฝนก็จะแล้ง หากนำไปทิ้งในมหาสมุทร น้ำก็จะแห้ง”

ดังนั้นในทุก ๆ 1 ปี ธิดาของท้าวกบิลพรหมทั้ง 7 จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาทำหน้าที่อัญเชิญพระเศียรท้าวกบิลพรหมแห่ไปรอบเขาพระสุเมรุ แล้วประดิษฐานตามเดิมตามวันมหาสงกรานต์มิได้ขาด

และนั่นก็ทำให้มีการกำหนดเกณฑ์ว่า ‘วันสงกรานต์’ คือวันที่ 13 เมษายน ของทุกปี และหากตรงกับวันใด ก็ให้นางสงกรานต์ประจำวันนั้น เป็นผู้แห่ ซึ่งนางสงกรานต์นั้นมีทั้งหมด 7 องค์ เรียกตามชื่อวันในสัปดาห์ ได้แก่...

- วันอาทิตย์ นางสงกรานต์นาม ‘ทุงษะเทวี’ ทรงพาหุรัดทัดดอกทับทิม อาภรณ์แก้วปัทมราช ภักษาหารอุทุมพร (ผลมะเดื่อ) พระหัตถ์ขวาทรงจักร พระหัตถ์ซ้ายทรงสังข์ เสด็จมาบนหลังครุฑ แต่ทางล้านนาจะมีความเชื่อว่าวันอาทิตย์ ชื่อ นางแพงศรี

- วันจันทร์ นางสงกรานต์นาม ‘โคราคะเทวี’ ทรงพาหุรัดทัดดอกปีบ อาภรณ์แก้วมุกดา ภักษาหารเตลัง (น้ำมัน) พระหัตถ์ขวาทรงขรรค์ พระหัตถ์ซ้ายทรงไม้เท้า เสด็จมาบนหลังพยัคฆ์ (เสือ) แต่ทางล้านนาจะมีความเชื่อว่าวันจันทร์ ชื่อ นางมโนรา

- วันอังคาร นางสงกรานต์นาม ‘รากษสเทวี’ ทรงพาหุรัดทัดดอกบัวหลวง อาภรณ์แก้วโมรา ภักษาหารโลหิต พระหัตถ์ขวาทรงตรีศูล พระหัตถ์ซ้ายทรงธนู เสด็จมาบนหลังวราหะ (หมู) แต่ทางล้านนาจะมีความเชื่อว่าวันอังคาร ชื่อ นางรากษสเทวี

- วันพุธ นางสงกรานต์นาม ‘มณฑาเทวี’ ทรงพาหุรัดทัดดอกจำปา อาภรณ์แก้วไพฑูรย์ ภักษาหารนมเนย พระหัตถ์ขวาทรงเข็ม พระหัตถ์ซ้ายทรงไม้เท้า เสด็จมาบนหลังคัทรภะ (ลา) แต่ทางล้านนาจะมีความเชื่อว่าวันพุธ ชื่อ นางมันทะ

- วันพฤหัสบดี นางสงกรานต์นาม ‘กิริณีเทวี’ ทรงพาหุรัดทัดดอกมณฑา อาภรณ์แก้วมรกต ภักษาหารถั่วงา พระหัตถ์ขวาทรงขอช้าง พระหัตถ์ซ้ายทรงปืน เสด็จมาบนหลังคชสาร (ช้าง) แต่ทางล้านนาจะมีความเชื่อว่าวันพฤหัส ชื่อ นางัญญาเทพ

- วันศุกร์ นางสงกรานต์นาม ‘กิมิทาเทวี’ ทรงพาหุรัดทัดดอกจงกลนี อาภรณ์แก้วบุษราคัม ภักษาหารกล้วยน้ำ พระหัตถ์ขวาทรงขรรค์ พระหัตถ์ซ้ายทรงพิณ เสด็จมาบนหลังมหิงสา (ควาย) แต่ทางล้านนาจะมีความเชื่อว่าวันศุกร์ ชื่อ นางริญโท

- วันเสาร์ นางสงกรานต์นาม ‘มโหธรเทวี’ ทรงพาหุรัดทัดดอกสามหาว อาภรณ์แก้วนิลรัตน์ ภักษาหารเนื้อทรายพระหัตถ์ขวาทรงจักร พระหัตถ์ซ้ายทรงตรีศูล เสด็จมาบนหลังมยุรา (นกยูง) แต่ทางล้านนาจะมีความเชื่อว่าวันเสาร์ ชื่อ นางสามาเทวี

วันมหาสงกรานต์ ในปี 2564 ตรงกับวันอังคาร ดังนั้นจึงตรงกับนางสงกรานต์ที่มีชื่อว่า “รากษสเทวี” ตามตำนานเล่าว่านางเป็นธิดาองค์ที่ 3 ของท้าวกบิลพรหม โดยมีลักษณะต่าง ๆ ตามคติความเชื่อคือ ทรงพาหุรัดทัดดอกบัวหลวง อาภรณ์แก้วโมรา ภักษาหารโลหิต พระหัตถ์ขวาทรงตรีศูล พระหัตถ์ซ้ายทรงธนู เสด็จไสยาสน์หลับเนตรมาเหนือหลังวราหะ (หมู) เป็นพาหนะ

สำหรับ ‘คำนาย’ เกี่ยวกับนางสงกรานต์ ทั้งภักษาหาร และดวงเมือง ประจำวันวันที่ 16 เมษายน 2564 ตั้งแต่ช่วงเวลา 07 นาฬิกา 37 นาที 12 วินาที ซึ่งนับเป็นจุลศักราชใหม่ที่ 1383 จะมีวันอาทิตย์เป็นธงชัย วันจันทร์เป็นอธิบดี วันเสาร์เป็นอุบาทว์ วันพุธเป็นโลกาวินาศ

ขณะที่ ‘รากษสเทวี’ เป็นนางสงกรานต์ประจำวันอังคาร มีคำนำนายของปีนี้ว่า จะเกิดอันตรายกลางเมือง จะเกิดเพลิงภัยและโจรผู้ร้าย ผู้คนจะเจ็บไข้นักแลฯ ภายใต้เกณฑ์ต่าง ๆ ดังนี้...

- เกณฑ์พิรุณศาสตร์ ปีนี้ เสาร์ เป็นอธิบดีฝน บันดาลให้ฝนตก 400 ห่า: ตกในเขาจักรวาล 160 ห่า ตกในป่าหิมพานต์ 120 ห่า ตกในมหาสมุทร 80 ห่า ตกในโลกมนุษย์ 40 ห่า

- เกณฑ์ธาราธิคุณ ปีนี้ตกราศีกรกฏ ชื่ออาโป (ธาตุน้ำ): ทำนายว่า น้ำมาก น้ำท่วม

- เกณฑ์นาคราชให้น้ำ ปีนี้นาคราชให้น้ำ 6 ตัว: ทำนายว่า ฝนดีตลอดปี

- เกณฑ์ธัญญาหาร ชื่อปาปะ: ข้าวกล้าในไร่นา จะได้ 1 ส่วน เสีย 10 ส่วน คนทั้งหลายจะตกทุกข์ได้ยากลำบากแค้น เพราะกันดารอาหารบ้าง จะฉิบหายเป็นอันมากแลฯ

นี่ก็ถือเป็นอีกเรื่องเล่าตำนานสำคัญของคนไทยต่อวันสงกรานต์ ที่คนรุ่นใหม่อาจจะมิได้คุ้นนัก แต่เชื่อเถิดว่าผู้คนในอดีตต่างยังคงความเชื่อ เพื่อนำคำพยากรณ์ที่เคียงคู่มากับนางสงกรานต์ในปีนั้นๆ มาปรับคิดรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ พอสมควร


ที่มา:

http://www.horonumber.com/news-3714

https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A3%

http://www.prapayneethai.com/%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7%

‘สงกรานต์นิวนอร์มอล’ บอกลาเมืองแห่งซอมบี้ ต้อนรับประเพณีดั้งเดิมกลับมา

ปีที่แล้ว ไม่มี ‘เทศกาลสงกรานต์’ เพราะโควิด – 19 รุกรานหนักหน่วง รัฐบาลจึงสั่ง Skip สงกรานต์กันไปยาว ๆ สายสาดน้ำ สายปาร์ตี้ ถึงกับเฉา เหมือนชีวิตขาดความเร้าใจไป มาปีนี้หมายมั่นปั้นมือ ขอกลับมา ‘สาดดด!’ กันสักหน่อย ปรากฎว่า เหมือนฉายหนังซ้ำ สถานการณ์กลับมาระบาดหนักอีกระลอก!

เล่นเอาเซ็งเศร้าเหงาเจ็บกันไป จะโทษใครไม่ได้ ต้องโทษเรากันเอง อดถือขันสาดน้ำ ต้องมาตั้งการ์ดกันต่อ แถมเจ้าโควิด – 19 ระลอกนี้ เป็นสายพันธุ์อังกฤษ ติดเร็วทันใจซะด้วย ถถถถถถ! นังโคขวิด เอ้ย! โควิด แกมาปั่นป่วนเป็นปี ๆ ยังไม่ยอมไปไหนเสียที แถมยังมีหน้ามาแยกแยะเป็นสายพันธุ์นู่นนี่เสียอีก โอ้ย...เบื่อๆ ๆ ๆ  (อยากสาดน้ำ)

สรุปง่าย ๆ สงกรานต์ปี 2564 นี้ จะมีหน้าตาคล้าย ๆ เมื่อปี 2563 กล่าวคือ อยู่บ้านกันเฉย ๆ ไงจะยังไงล่ะ! แถมทางรัฐบาลก็มอบวันหยุดยาวววววว มาให้อี๊ก! งานนี้ทำอะไรดี กิจกรรมไม่มี เวลาเหลือ ๆ ถถถถถถ!

ได้เวลาหยุดพร่ำบ่นล่ะ เอาเป็นว่า ในวิกฤติ ย่อมมีโอกาสเสมอ และในการระบาดของโควิด – 19 ก็มีข้อดีอยู่เช่นกัน อย่างที่เราทราบกันดี ช่วงเวลาการระบาดของเจ้าไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่นี้ ผู้คนบนโลก หยุดการ ‘ผลาญ’ ทรัพยากรลงไปอย่างมากมาย ในมุมกลับกัน ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ก็กลับมามีความอุดมสมบูรณ์ขึ้นอีกครั้ง

ลองจินตนาการดู จากโลกกลมๆ ที่หมุนเร็วจี๋ กลายเป็นโลกหมุนช้าลง แน่นอนว่า พออะไร ๆ มันลดความเร็ว มันก็ทำให้พวกเราเห็นอะไรได้ ‘ชัดเจน’ ขึ้น ว่าไหมล่ะ?

ยกตัวอย่าง สงกรานต์บ้านเรา พอโควิด – 19 มาเมื่อปีก่อน จากประโยคคลาสิก ‘7 วันอันตราย’ ที่มักได้ยินเป็นประจำในช่วงเทศกาล อ้าว! มันลดความอันตรายลงไปอย่างไม่น่าเชื่อ 

เครดิตที่มาภาพ: Tero Radio

รายงานข้อมูลอุบัติเหตุทางถนนของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2563 ระหว่างวันที่ 10 - 16 เม.ย.2563 พบว่า มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น 1,307 ครั้ง มีผู้บาดเจ็บ 1,260 ราย และเสียชีวิต 167 ราย โดยเมื่อเทียบกับสงกรานต์ปี 2562 ซึ่งเกิดอุบัติเหตุ 3,338 ครั้ง ลดลงไป 2,031 ครั้ง (ร้อยละ 60.84) บาดเจ็บ 3,442 ราย ลดลง 2,182 คน (ร้อยละ 63.39) และเสียชีวิต 386 ราย ลดลงจากปีที่แล้ว 219 ราย (ร้อยละ 56.74)

หากจะบอกว่า นี่เป็นผลพวงจากโควิด – 19 ระบาด ก็คงไม่ผิดไปนัก ยิ่งหากลงลึกเข้าไปในรายละเอียดของการสูญเสียจากเทศกาลสงกรานต์ สาเหตุหลักที่มีเปอร์เซนต์สูงสุดคือ เมาสุราขาดสติ 

เครดิตที่มาภาพ: Thairath.co.th

สงกรานต์ = เมาสุรา สมการนี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบได้ แต่กลายเป็น ‘ค่านิยม’ ของเทศกาลนี้ไปเสียแล้ว ย้อนกลับไปจุดตั้งต้นของประเพณีนี้กันหน่อย วันสงกรานต์ คือวาระของการเริ่มต้นปีใหม่ สมัยก่อนถูกยกให้เป็นวันปีใหม่ไทย เนื่องจากตามความเชื่อทางโหราศาสตร์ เป็นช่วงเวลาของการเคลื่อนย้ายของพระอาทิตย์ จากราศีมีนเข้าสู่ราศีเมษ (ซึ่งราศีเมษเป็นราศีประจำเมือง) คนไทยโบราณจึงถือเอาช่วงเวลานี้ เป็นการเริ่มต้นปี 

จากประเพณีดั้งเดิม คือการอวยพรโดยใช้ ‘น้ำ’ รดเพื่อความชุ่มชื่นให้กับชีวิต รวมทั้งรดน้ำเพื่อขอพรจากผู้หลักผู้ใหญ่ และรวมไปถึงการสรงน้ำพระ เพื่อความเป็นสิริมงคล เหล่านี้คือออริจินัลประเพณี แต่ผ่านมาถึงจุดนี้ สงกรานต์คือการย้อมสีผม คือการรวมพลชาวแว๊น คือการปะแป้งสาว ๆ คือการปาร์ตี้หัวราน้ำ เรามาไกลจนมีคนเคยนิยามเทศกาลมหาสงกรานต์ของไทยว่า เป็น ‘เมืองแห่งซอมบี้’ ที่ไม่รู้ว่ามีอะไรต่อมิอะไรมารวมตัวกัน แต่ที่รู้แน่ ๆ เรามาไกลจากวันแรกของประเพณีอย่างมาก 

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่า ‘ความรื่นเริง’ เป็นเรื่องไม่ดี แต่อะไรที่ ‘เกินพอดี’ มันจะตามมาด้วยปัญหามากมาย...

อย่างที่เล่าไปตอนต้น โควิด – 19 เข้ามาทำให้โลกที่เคยหมุนเร็ว ๆ ช้าลง ฉันใดฉันนั้น โควิด – 19 ก็เข้ามาทำให้ ‘สงกรานต์ซอมบี้’ หยุดลงเช่นกัน และในเมื่อหยุดแล้ว เราลองมาตรึกตรองกันดูหน่อยไหม ว่าอะไรที่เกินพอดีมานั้น มันส่งผลเสียอย่างไรบ้าง ประการสำคัญกว่านั้น เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างกลับมาดำเนินได้ต่อไป เราจะ ‘เลือกสงกรานต์’ แบบไหนในอนาคต

มีคนเรียกวิถีหลังโควิด – 19 ว่า นิวนอร์มอล (new normal) แน่นอนว่า เทศกาลสงกรานต์ไทย ๆ ก็เข้าสู่วิถีใหม่เช่นกัน จากนี้ไป เราต้องรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ ให้ยืนห่างกัน 1 เมตร ไม่รวมตัวกันหนาแน่น ไม่อยู่ในที่แออัด และต้องไม่ลืมใส่หน้ากากอนามัย จะว่าไป อาจจะไม่ได้เรียกว่าเป็น ‘สงกรานต์นิวนอร์มอล’ หรอก เราแค่กลับไปหา ‘ความพอเหมาะพอดี’ เหมือนที่เคยเป็นมามากกว่า

ถึงตรงนี้ ขอย้อนกลับไปที่ความวุ่นวายใจของใครหลายคนที่ว่า ‘สงกรานต์ทำอะไรดี กิจกรรมไม่มี เวลาเหลือ ๆ’ 

ลองเปลี่ยนมุมที่มองเสียใหม่ ที่ผ่านมา เราอาจทำอะไรต่อมิอะไรเยอะเกินไปแล้วก็ได้ ดังนั้น แค่ทำตัวเองให้ปลอดภัย ก็ดีถมไปแล้วสำหรับสงกรานต์ประจำปี 2564 นี้... 
 

คำสารภาพของ วาเอล โกนิม (Wael Ghonim) ผู้นำอาหรับสปริง ในโลกโซเชียลของอียิปต์

ในปี ค.ศ. 2011 วิศวกรคอมพิวเตอร์หนุ่มวัย 28 ปี (ในขณะนั้น) วาเอล โกนิม ยังทำงานเป็นหัวหน้าฝ่ายการตลาดตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือให้กับบริษัท Google แม้ว่าเขาจะเป็นชายหนุ่มที่อายุยังน้อยในความคิดของใคร ๆ แต่สิ่งที่เขาได้ทำนั้นกลับสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ได้อย่างเหลือเชื่อ เป็นผู้อยู่เบื้องหลังพลังแห่งโซเชียลมีเดียที่โค่นอำนาจเผด็จการในอียิปต์และโลกอาหรับ เมื่อเขาได้ใช้อินเทอร์เน็ตเป็นเครื่องมือในการปลุกกระแสปฏิวัติในอียิปต์ให้เกิดขึ้น จนกลายเป็นอาหรับสปริงในอียิปต์บ้านเกิดของเขา ด้วยการตั้งเพจ Facebook ง่าย ๆ โพสต์ข้อความเรียกร้องให้ประชาชนชาวอียิปต์ออกไปชุมนุมกันกว่า 1 ล้านคน ในวันที่ 25 มกราคม ค.ศ. 2011 จนสามารถขับไล่ประธานาธิบดีมูบารัคที่อยู่ในตำแหน่งนานกว่า 30 ปี ได้สำเร็จ

ต่อมาเขาได้เปิดเผยว่า เมื่อการปฏิวัติเกิดขึ้นบนท้องถนน มันกลับเปลี่ยนความหวังเป็นความยุ่งเหยิง จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นความน่ารังเกียจเดียรฉันท์อันแสนจะเจ็บปวด และการใช้โซเชียลมีเดียที่ตามมาทำให้โลกอินเตอร์เน็ตซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นแหล่งสำหรับ การรวบรวมข้อมูล การมีส่วนร่วม และการแบ่งปัน กลับกลายเป็นสมรภูมิที่มีการแบ่งขั้วแบ่งข้างอย่างรุนแรงที่สุดเท่าที่เคยมีมา และหลังจากนั้นแล้วในที่สุดเขาได้ออกมาพูด และสารภาพถึงความผิดหวังต่อสิ่งที่เขาได้ทำลงไป จากคลิป “วาเอล โกนิม กับความจริงที่เขาตระหนักรู้หลังจากที่ช่วงเวลาแห่งความสำเร็จนั้นผ่านไป” ดังนี้

25 มกราคม ค.ศ. 2011 ชาวอียิปต์ก็ออกมาเดินจนเต็มถนนในกรุงไคโร และเมืองอื่น ๆ เรียกร้องให้มีการปฏิรูป ทำลายกำแพงแห่งความกลัว และประกาศศักราชใหม่ และแล้วที่สุดมันก็ได้ผล

ผมเคยพูดว่า “ถ้าเราต้องการปลดปล่อยสังคม สิ่งที่เราจำเป็นต้องมีก็แค่อินเตอร์เน็ต” แต่ผมคิดผิด ผมเคยพูดประโยคนี้เมื่อ ปี ค.ศ. 2011 ตอนที่ผมสร้างเพจบน Facebook โดยไม่เปิดเผยตัวตน แล้วมันก็ช่วยจุดชนวนการปฏิวัติในอียิปต์ เหตุการณ์อาหรับสปริงไม่เพียงเผยให้เห็นถึงความสามารถสูงสุดของสื่อสังคมออนไลน์ แต่ยังแสดงให้เห็นถึงจุดที่แย่ที่สุดของมันด้วย เครื่องมือเดียวกันที่ช่วยให้เราสามารถรวบรวมกำลังเพื่อล้มล้างเหล่าผู้นำเผด็จการ แต่สุดท้ายก็ทำให้เราต้องแตกแยกกัน ผมขอแชร์ประสบการณ์ส่วนตัวที่ผมใช้สื่อสังคมออนไลน์ในการเคลื่อนไหวทางการเมือง และพูดเกี่ยวกับความยากลำบาก และความท้าทายต่าง ๆ ที่ผมเจอมาเองกับตัว และเราสามารถทำอะไรกับมันได้บ้าง 

วาเอล โกนิม ได้สร้างเพจบน Facebook และตั้งชื่อเพจว่า “เราทุกคนคือ คาเลด ซาอิส” (We are all Khaled Said) เพียงแค่ 3 วัน มีคนเข้ามาติดตามเพจนี้เกิน 100,000 คน

ในช่วงต้นปี 2000 บรรดาเว็บของชาวอาหรับกำลังปั่นป่วนเว็บ มีความรู้สึกกระหายความรู้และโอกาส และอยากติดต่อกับผู้คนทั่วโลก เราหนีความจริงเกี่ยวกับการเมืองอันหน้าผิดหวัง และไปใช้ชีวิตอยู่บนโลกเสมือนจริงซึ่งแตกต่าง ผมก็เหมือนชาวอาหรับเหล่านั้นที่ไม่เคยสนใจการเมืองจนกระทั่งปี ค.ศ. 2009 เมื่อผมได้ล็อกอินเข้าใช้สื่อสังคมออนไลน์ ผมเริ่มเห็นชาวอียิปต์มากขึ้นและมากขึ้นเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในประเทศ มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว ในเดือนมิถุนายน ปี ค.ศ. 2010 อินเตอร์เน็ตเปลี่ยนของชีวิตผมไปตลอดกาล ขณะที่กำลังเล่น Facebook ผมก็เห็นรูปถ่ายถ่ายอันน่าสยดสยอง ศพที่ผ่านทารุณกรรมของชายหนุ่มอียิปต์คนหนึ่ง เขาชื่อ “คาเลด ซาอิส” (Khaled Said) ชายหนุ่มวัย 29 ปี ชาวเมืองอเล็กซานเดรียซึ่งถูกตำรวจสังหาร ผมรู้สึกว่าเหมือนเห็นตัวเองในรูปเหล่านั้น ผมคิดว่า “เราก็อาจเป็นเหมือนคาเลดได้” คืนนั้นผมนอนไม่หลับ และตัดสินใจทำบางอย่าง ผมสร้างเพจบน Facebook และตั้งชื่อเพจว่า “เราทุกคนคือ คาเลด ซาอิส” (We are all Khaled Said) เพียงแค่ 3 วัน มีคนเข้ามาติดตามเพจนี้เกิน 100,000 คน ซึ่งเป็นเหล่ามิตรสหายชาวอียิปต์ที่มีความเห็นร่วมกันเช่นเดียวกับผมในประเด็นนี้ เราต้องหยุดการกระทำอะไรก็ตามที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ 

มกราคม ค.ศ. 2011 Zine El Abidine Ben Ali อดีตประธานาธิบดีของตูนีเซียต้องหนีออกจากประเทศตัวเอง หลังจากพ่ายแพ้ต่อกลุ่มผู้ชุมนุต่อต้านรัฐบาล

ผมรับเอา อับเดล ราห์มัน แมนเซอร์ (Abdel Rahman Mansour) มาช่วยดูแลเพจนี้ ผมทำงานร่วมกับเขาตลอดเวลา เราร่วมกันสร้างสรรค์กลุ่มคน เพื่อเสาะหาแนวคิดจากผู้คน เรายอมให้พวกเขาเข้ามามีส่วนร่วม เราได้รวมตัวกันเรียกร้องให้มีการทำอะไรสักอย่าง และแชร์ข่าวที่รัฐบาลไม่ต้องการให้ชาวอียิปต์รับรู้ จนกลายเป็นเพจที่คนติดตามมากที่สุดในโลกอาหรับ มีจำนวนลูกเพจมากกว่าองค์กรสื่อที่เคยจัดตั้งมาก่อนหน้านี้ และยังมากกว่าเพจคนดัง ๆ แถวหน้าเสียอีก ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2011 เมื่อ Zine El Abidine Ben Ali อดีตประธานาธิบดีของตูนีเซียต้องหนีออกจากประเทศตัวเอง หลังจากพ่ายแพ้ต่อกลุ่มผู้ชุมนุต่อต้านรัฐบาล ผมได้เห็นประกายแสงแห่งความหวัง ชาวอียิปต์ในสื่อสังคมออนไลน์กำลังสงสัยว่า “ถ้าตูนีเซีย ทำได้ ทำไมเราจะทำไม่ได้?” ผมจึงโพสต์งานกิจกรรมการเคลื่อนไหวลงใน  Facebook โดยตั้งชื่อว่า “การปฏิวัติต่อต้าน การคอรัปชั่น ความไม่เป็นธรรม และอำนาจเผด็จการ” ผมตั้งคำถามกับผู้ใช้งานในเพจจำนวน 300,000 คน ณ ตอนนั้นว่า วันนี้คือ วันที่ 14 มกราคม และวันที่ 25 มกราคมเป็นวันตำรวจแห่งชาติ เป็นวันหยุดประจำชาติ ถ้าพวกเรา 100,000 คนออกไปเดินบนท้องถนนทั่วกรุงไคโร คงไม่มีใครเข้ามาหยุดเราได้ ผมอยากรู้ว่า พวกเราจะทำได้มั้ย เพียงแค่ไม่กี่วัน มีการส่งคำเชิญนี้ไปยังผู้คนกว่า 1 ล้านคน และมีผู้คนกว่า 100,000 คน ตอบยืนยันการเข้าร่วมกิจกรรม โดยสื่อสังคมออนไลน์มีความสำคัญต่อการรณรงค์ครั้งนี้เป็นอย่างมาก มันช่วยปลุกระดมการเคลื่อนไหวของผู้คนตามจุดต่าง ๆ ทำให้ผู้คนตระหนักว่า พวกเขาไม่ได้อยู่เพียงลำพัง ทำให้เห็นว่า เรามีโอกาสหยุดรัฐบาลได้ แม้ว่าเวลานั้นพวกเขายังไม่เข้าใจนักว่า มันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร และวันที่ 25 มกราคม ค.ศ. 2011 ชาวอียิปต์ก็ออกมาเดินจนเต็มถนนในกรุงไคโร และเมืองอื่น ๆ เรียกร้องให้มีการปฏิรูป ทำลายกำแพงแห่งความกลัว และประกาศศักราชใหม่ และแล้วที่สุดมันก็ได้ผล

ประธานาธิบดี Hosni Mubarak ถูกกดดันให้ลงจากตำแหน่ง

ไม่กี่ชั่วโมงก่อนรัฐบาลจะทำการตัดสัญญาณ โทรศัพท์ และอินเตอร์เน็ต ประมาณเที่ยงคืน ขณะที่ผมกำลังเดินบนถนนที่มืดมิดในกรุงไคโร ผมพึ่งจะทวิตไปว่า “ขอพระเจ้าคุ้มครองอียิปต์ รัฐบาลคงเตรียมการสังหารหมู่ในวันพรุ่งนี้แน่ ๆ” ผมก็ถูกตีเข้าที่หัวอย่างแรง ผมสูญเสียการทรงตัวและล้มลง ทำให้รู้ว่า มีชายติดอาวุธ 4 คนล้อมผมอยู่ คนหนึ่งปิดปากผม ส่วนคนอื่น ๆ จับผมไว้ ผมรู้ตัวว่า กำลังโดนอุ้มโดยเจ้าหน้าที่ความมั่นคงของรัฐบาล ผมรู้ตัวอีกทีก็อยู่ในคุกแล้ว ถูกสวมกุญแจมือ ปิดตา ผมรู้สึกกลัวมาก ครอบครัวผมก็เช่นกัน พวกเขาพยายามตามหาผม ทั้งโรงพยาบาล สถานีตำรวจ หรือแม้แต่ในห้องดับจิต เพื่อนร่วมงานผมส่วนหนึ่งที่รู้ว่า ผมเป็นแอดมินของเพจนั้น ได้บอกกับสื่อเกี่ยวกับความเกี่ยวข้องของผมกับเพจนั้น และผมน่าจะถูกอุ้มโดยเจ้าหน้าที่ความมั่นคงของรัฐบาล เพื่อนร่วมงานของผมที่บริษัท Google เริ่มการรณรงค์เพื่อหาตัวผม และเพื่อน ๆ ซึ่งชุมนุมที่จัตุรัสก็เรียกร้องให้ปล่อยตัวผม หลังจาก 11 วันที่ต้องอยู่กับความมืดมิด ผมถูกปล่อยเป็นอิสระ และ 3 วันให้หลังประธานาธิบดี Hosni Mubarak ถูกกดดันจนต้องลงจากตำแหน่ง มันเป็นช่วงเวลาที่ให้แรงบันดาลใจ และทำให้ผมมีพลังมากที่สุดในชีวิต มันเป็นเวลาของความหวังอันยิ่งใหญ่ ชาวอียิปต์ใช้เวลาอันสงบสุขบนสังคมในอุดมคติเป็นเวลา 18 วันในระหว่างการปฏิวัติ พวกเขามีความเชื่อร่วมกันว่า พวกเราจะสามารถอยู่ร่วมกันได้ แม้ว่าพวกเราจะแตกต่างกัน อียิปต์หลังจากยุค Mubarak จะเป็นของทุก ๆ คน

13 กรกฎาคม ค.ศ. 2013 ทหารก็เข้ายึดอำนาจจากประธานาธิบดีคนแรกที่มาจากการเลือกตั้งโดยระบอบประชาธิปไตย หลังจากสามวันที่มีการชุมนุมประท้วงอันดุเดือด และเรียกร้องให้เขาลงจากตำแหน่ง

แต่โชคร้าย เหตุการณ์หลังการปฏิวัติเหมือนกับการถูกตุ้ยท้อง ความสงบได้หายไป เราไม่สามารถทำประชามติกันได้ และความขัดข้องทางการเมืองนำไปสู่การแบ่งขั้วอำนาจ สื่อสังคมออนไลน์ก็แค่ทำให้สถานการณ์ขยายเป็นวงกว้างมากขึ้น โดยใช้เป็นที่เผยแพร่ ข้อมูลเท็จ ข่าวลือ การรับข้อมูลด้านเดียว และการใช้คำในการสร้างความเกลียดชัง สภาพแวดล้อมตอนนั้นเป็นพิษอย่างรุนแรง โลกออนไลน์ของผมกลายเป็นสนามรบ เต็มไปด้วย พวกเกรียน คำโกหก และการใช้คำในการสร้างความเกลียดชัง ผมเริ่มกังวลในความปลอดภัยของครอบครัวของผม แต่ที่แน่ ๆ มันไม่ได้เป็นเรื่องของผมคนเดียว การแบ่งขั้วอำนาจเดินไปจนถึงขีดสุดระหว่างสองขั้วอำนาจหลัก คือ ผู้สนับสนุนทหาร กับกลุ่มมุสลิม คนที่อยู่ตรงกลางเช่นผม เริ่มรู้สึกไร้ที่พึ่ง ทั้งสองกลุ่มต้องการให้เราเลือกข้าง ไม่อยู่ฝั่งเดียวกับพวกเขาก็ต้องอยู่ฝั่งตรงข้าม และวันที่ 13 กรกฎาคม ค.ศ. 2013 ทหารก็เข้ายึดอำนาจจากประธานาธิบดีคนแรกที่มาจากการเลือกตั้งโดยระบอบประชาธิปไตย หลังจากสามวันที่มีการชุมนุมประท้วงอันดุเดือด และเรียกร้องให้เขาลงจากตำแหน่ง 

วันนั้นผมต้องตัดสินใจเรื่องที่ยากอย่างหนึ่ง ผมตัดสินใจที่จะเงียบ เงียบสนิท มันเป็นช่วงเวลาแห่งความพ่ายแพ้ ผมอยู่เงียบ ๆ เป็นเวลานานกว่า 2 ปี และผมได้ใช้เวลานั้นครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด พยายามทำความเข้าใจว่า มันเกิดขึ้นได้ยังไง มันทำให้ผมได้เข้าใจว่า ขณะที่มันเป็นเรื่องจริงที่หลัก ๆ แล้วการขับเคลื่อนจนเกิดการแบ่งขั้วอำนาจนั้น มาจากพฤติกรรมของมนุษย์ สื่อสังคมออนไลน์นั้นทำให้พฤติกรรมดังกล่าวกลายเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น และขยายผลกระทบเป็นวงกว้าง สมมติว่า คุณอยากพูดบางอย่างซึ่งไม่ได้มาจากข้อเท็จจริง การรับคำท้าหรือเมินเฉยต่อคนบางคนที่คุณไม่ชอบ เหล่านี้คือ แรงกระตุ้นโดยธรรมชาติของมนุษย์ แต่เพราะด้วยเทคโนโลยี การสนองตอบต่อแรงกระตุ้นนี้ก็แค่ใช้เพียงคลิกเดียวเท่านั้น 

ผมมองว่า มีความท้าทายที่เข้าขั้นวิกฤตอยู่ 5 เรื่อง ในการเผชิญต่อสื่อสังคมออนไลน์เช่นทุกวันนี้ 

เรื่องแรก พวกเราไม่รู้ว่า จะจัดการพวกข่าวลือยังไง ข่าวลือที่ออกมาสนองตอบต่ออคติของผู้เสพ กลายเป็นข่าวที่คนเชื่อและแพร่กระจายไปยังผู้คนนับล้าน 

เรื่องที่สอง เราสร้างการรับข่าวสารข้างเดียวของเราเอง เรามักเลือกที่จะสื่อสารเฉพาะกับกลุ่มคนที่เห็นด้วยกับเรา และต้องขอบคุณสื่อสังคมออนไลน์ เพราะ เราสามารถ ปิดการแจ้งเตือน ยกเลิกการติดตาม และปิดกั้นใครก็ได้ 

เรื่องที่สาม การสนทนาออนไลน์ลุกลามรวดเร็วจนกลายเป็นกลุ่มผู้ประท้วงที่เกี้ยวกราด เราทุกคนน่าจะรู้อยู่แก่ใจว่า มันเหมือนราวกับ พวกเราลืมไปแล้วว่า คนที่อยู่เบื้องหลังจอนั้น ก็คือคนจริง ๆ นั่นแหละ ไม่ใช่แค่รูปตัวแทน 

เรื่องที่สี่ มันยากมากมากที่จะเปลี่ยนความคิดเห็นของพวกเรา เพราะว่า ความรวดเร็วและกระชับของสื่อสังคมออนไลน์ เราถูกบังคับให้พุ่งประเด็นไปที่ข้อสรุป และเขียนความเห็นสั้น ๆ ไม่เกิน 140 ตัวอักษร เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ซับซ้อนบนโลก และเมื่อเราเขียนมันแล้ว มันจะปรากฏอยู่บนอินเตอร์เน็ตตลอดกาล และเรามีแรงน้อยมากในการเปลี่ยนแปลงมุมมองเหล่านี้ แม้ว่าจะมีการค้นพบหลักฐานใหม่ ๆ ก็ตาม 

เรื่องที่ห้า และในมุมมองของผมนี่คือ เรื่องที่วิกฤตที่สุด ทุกวันนี้ประสบการณ์ในการใช้สังคมออนไลน์ถูกออกแบบด้วยแนวทางที่เน้นการแพร่กระจายข่าวสารมากกว่าการมีส่วนร่วมกับผู้ชม ชอบการโพสต์มากกว่าการถกประเด็น ชอบความเห็นอันตื้นเขินมากกว่าการสนทนาที่ลึกซึ้ง เหมือนกับเรายอมรับว่า เราอยู่ตรงนี้เพื่อพูดจาใส่กัน แทนที่จะพูดคุยร่วมกัน ผมได้เห็นเป็นพยานแล้วว่า เรื่องท้าทายนี้ส่งผลอย่างไรต่อสังคมอียิปต์ที่แตกแยกไปเรียบร้อยแล้ว แต่นี่ไม่ใช่เรื่องของอียิปต์เพียงประเทศเดียว การแบ่งขั้วอำนาจ แบ่งข้าง แบ่งฝ่าย กำลังเกิดขึ้นในทั่วทุกมุมโลก 

ในปี ค.ศ. 2011 นิตยสารไทม์ได้ใส่ วาเอล โกนิม ไว้ในรายชื่อ 100 บุคคลที่มีอิทธิพลมากที่สุดประจำปี ค.ศ. 2011

เราต้องทำงานอย่างหนักเพื่อหาวิธีว่า จะนำเทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างไร มากกว่าที่จะให้เทคโนโลยีกลายเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา ทุกวันนี้มีการโต้กันมากมายว่า จะทำอย่างไรจึงจะสามารถต่อสู้กับการคุกคามทางออนไลน์ และต่อกรกับพวกเกรียนได้ นี่เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ไม่มีใครไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ แต่เราจำเป็นต้องคิดด้วยว่า จะออกแบบประสบการณ์ในการใช้สื่อสังคมออนไลน์อย่างไร จึงจะส่งเสริมความเป็นพลเมืองดี และให้รางวัลแก่ความมีวิจารณญาณ ผมทราบความจริงอย่างหนึ่งว่า ถ้าหากผมเขียนโพสต์ที่กระทบความรู้สึกมากขึ้น เขียนในมุมมองด้านเดียวมากขึ้น และในบางครั้งโกรธและก้าวร้าวมากขึ้น ผมต้องได้คนมาเห็นโพสต์นั้นเป็นแน่ ผมจะได้รับความสนใจมากขึ้น แต่จะเป็นอย่างไรถ้าเราเน้นคุณภาพมากขึ้น อะไรสำคัญกว่า : จำนวนคนอ่านโพสต์ที่คุณเขียน หรือ ใครคือคนที่ได้รับผลกระทบหลังจากอ่านที่คุณเขียน ทำไมเราไม่ทำเพียงแค่กระตุ้นให้ผู้คนเข้าร่วมในบทสนทนามากขึ้น แทนที่จะเอาแต่เผยแพร่ความคิดเห็นอยู่ตลอด หรือให้รางวัลกับคนที่อ่าน และตอบกลับในมุมมองที่พวกเขาก็ไม่เห็นด้วย และทำให้มันเป็นที่ยอมรับของสังคมด้วยว่า เราเปลี่ยนความคิดเขา หรืออาจแม้แต่จะให้รางวัล ถ้าเรามีเงื่อนไขที่วัดได้ว่า มีคนจำนวนกี่คนที่เปลี่ยนความคิด และกลายเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์การใช้สื่อสังคมออนไลน์ของเรา ถ้าผมสามารถติดตามว่า มีจำนวนคนกี่คนที่กำลังจะเปลี่ยนความคิด ผมอาจจะเขียนโพสต์บนสื่อโซเชียลอย่างมีวิจารณญาณมากขึ้น ผมจะพยายามทำอย่างนั้นแทนที่จะดึงดูดกลุ่มคนที่เห็นด้วยกับผมอยู่แล้ว “กดไลค์” จะกลายเป็นด้วยว่า ผมไปสนองอคติของเขา

เราจำเป็นต้องคิดกลไกการร่วมสร้างกลุ่มคนที่มีประสิทธิภาพด้วยเช่นกัน เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงของข้อมูลที่แพร่กระจายเป็นวงกว้างในโลกออนไลน์ และให้รางวัลแก่ผู้คนเหล่านั้นที่เข้ามามีส่วนร่วม สิ่งสำคัญคือ เราต้องคิดเรื่องระบบนิเวศน์ของสื่อสังคมออนไลน์ในปัจจุบันใหม่ และออกแบบประสบการณ์การใช้งานใหม่ด้วย  เพื่อให้รางวัลแก่ความมีวิจารณญาณ ความเป็นพลเมืองดี และความเข้าใจร่วมกัน ในฐานะที่ผมเชื่อในอินเตอร์เน็ต ผมรวบรวมทีมจากกลุ่มเพื่อนไม่กี่คน เพื่อพยายามหาคำตอบและสำรวจความเป็นไปได้ ผลิตภัณฑ์แรกของเราคือ แพลตฟอร์มของสื่อแบบใหม่เพื่อการสนทนา เรากำลังให้บริการการสนทนาที่ส่งเสริมความเข้าใจร่วมกัน และหวังว่า จะช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแนวคิด เราไม่อวดอ้างว่า เราได้พบคำตอบ แต่เราได้เริ่มทดลองกับการสนทนาที่แตกต่างกันเกี่ยวกับปัญหาการแตกแยกที่รุนแรงต่าง ๆ เช่น การโต้วาทีในเรื่อง ชาติพันธุ์ การควบคุมอาวุธปืน ผู้ลี้ภัย ความสัมพันธ์ระหว่างมุสลิมและการก่อการร้าย เหล่านี้คือ บทสนทนาที่สำคัญ ทุกวันนี้อย่างน้อยหนึ่งในสามของคนบนโลกสามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้ แต่ส่วนหนึ่งของอินเตอร์เน็ตกำลังถูกจองจำโดยด้านที่มืดบอดของคุณธรรมด้วยพฤติกรรมของมนุษย์เรา เมื่อก่อนผมเคยพูดว่า “ถ้าคุณต้องการปลดปล่อยสังคม สิ่งที่คุณจำเป็นต้องมีก็แค่อินเตอร์เน็ต” แต่วันนี้ผมเชื่อว่า “ถ้าเราต้องการปลดปล่อยสังคม เราต้องเริ่มจากการปลดปล่อยอินเตอร์เน็ตก่อน” ขอบคุณมากครับ

ตอนนี้เราทำอะไรได้บ้างเกี่ยวกับพฤติกรรมออนไลน์ เราจะใช้อินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียเพื่อสร้างความสุภาพ และการโต้แย้งอย่างมีเหตุผลได้อย่างไร URL คลิปที่วาเอล โกนิมพูดเรื่องนี้ (พร้อม Sub Title ไทย) ได้ที่ http://https://youtu.be/HiwJ0hNl1Fw

Revolution 2.0: The Power of the People Is Greater Than the People in Power: A Memoir แต่งโดย วาเอล โกนิม

วาเอล โกนิม ยังถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า ไม่สามารถอธิบายข้อสงสัยเกี่ยวกับที่มาของ Facebook "We are all Khalid Said" ซึ่งเชื่อกันว่า มีผู้ริเริ่มสร้างเพจนี้มากกว่าหนึ่งคน ยิ่งไปกว่านั้นมีผู้คนมากกว่า 360,000 คนเข้าร่วม Facebook ส่วนตัวของเขา และอีกกว่า 3,000,000 คนเข้าร่วมเพจ Facebook "We are all Khaled Said" ซึ่งดำเนินการโดยเขา และผู้ดูแลระบบอีกคนคือ อับเดล ราห์มัน แมนเซอร์ (Abdel Rahman Mansour) และ Facebook "We are Khaled Said" มีส่วนอย่างสำคัญในการจุดประกายการปฏิวัติอียิปต์ ในปี ค.ศ. 2011 นิตยสารไทม์ได้ใส่ วาเอล โกนิม ไว้ในรายชื่อ 100 บุคคลที่มีอิทธิพลมากที่สุดประจำปี ค.ศ. 2011 และ World Economic Forum ได้เลือกให้ วาเอล โกนิม เป็นหนึ่งใน Young Global Leaders ในปี ค.ศ. 2012 ด้วย

ด้วย “คำสารภาพของ วาเอล โกนิม” สังคมไทยจะต้องไม่ยอมให้อินเตอร์เน็ตกลายเป็นเครื่องมือสร้างความเกลียดชังและโกรธแค้น แต่ต้องใช้เพื่อการสร้างสรรค์ ประเทืองปัญญา และจรรโลงสังคม ด้วยการแยกแยะ ผิด ชอบ ชั่ว ดี ในการแปลง “ข้อมูล” ให้เป็น “ข่าวสาร” พิจารณาใคร่ครวญให้ “ข่าวสาร” กลายเป็น “ความรู้” ใช้สติและศีลธรรมกำกับ “ความรู้” ให้เกิด “ปัญญา” เพื่อทำให้ สังคมไทย ประเทศชาติบ้านเมือง และโลก ได้มีความสงบสุข สวยสดและงดงาม เจริญรุ่งเรือง ด้วยความดีตลอดไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top