คำสารภาพของ วาเอล โกนิม (Wael Ghonim) ผู้นำอาหรับสปริง ในโลกโซเชียลของอียิปต์

ในปี ค.ศ. 2011 วิศวกรคอมพิวเตอร์หนุ่มวัย 28 ปี (ในขณะนั้น) วาเอล โกนิม ยังทำงานเป็นหัวหน้าฝ่ายการตลาดตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือให้กับบริษัท Google แม้ว่าเขาจะเป็นชายหนุ่มที่อายุยังน้อยในความคิดของใคร ๆ แต่สิ่งที่เขาได้ทำนั้นกลับสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ได้อย่างเหลือเชื่อ เป็นผู้อยู่เบื้องหลังพลังแห่งโซเชียลมีเดียที่โค่นอำนาจเผด็จการในอียิปต์และโลกอาหรับ เมื่อเขาได้ใช้อินเทอร์เน็ตเป็นเครื่องมือในการปลุกกระแสปฏิวัติในอียิปต์ให้เกิดขึ้น จนกลายเป็นอาหรับสปริงในอียิปต์บ้านเกิดของเขา ด้วยการตั้งเพจ Facebook ง่าย ๆ โพสต์ข้อความเรียกร้องให้ประชาชนชาวอียิปต์ออกไปชุมนุมกันกว่า 1 ล้านคน ในวันที่ 25 มกราคม ค.ศ. 2011 จนสามารถขับไล่ประธานาธิบดีมูบารัคที่อยู่ในตำแหน่งนานกว่า 30 ปี ได้สำเร็จ

ต่อมาเขาได้เปิดเผยว่า เมื่อการปฏิวัติเกิดขึ้นบนท้องถนน มันกลับเปลี่ยนความหวังเป็นความยุ่งเหยิง จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นความน่ารังเกียจเดียรฉันท์อันแสนจะเจ็บปวด และการใช้โซเชียลมีเดียที่ตามมาทำให้โลกอินเตอร์เน็ตซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นแหล่งสำหรับ การรวบรวมข้อมูล การมีส่วนร่วม และการแบ่งปัน กลับกลายเป็นสมรภูมิที่มีการแบ่งขั้วแบ่งข้างอย่างรุนแรงที่สุดเท่าที่เคยมีมา และหลังจากนั้นแล้วในที่สุดเขาได้ออกมาพูด และสารภาพถึงความผิดหวังต่อสิ่งที่เขาได้ทำลงไป จากคลิป “วาเอล โกนิม กับความจริงที่เขาตระหนักรู้หลังจากที่ช่วงเวลาแห่งความสำเร็จนั้นผ่านไป” ดังนี้

25 มกราคม ค.ศ. 2011 ชาวอียิปต์ก็ออกมาเดินจนเต็มถนนในกรุงไคโร และเมืองอื่น ๆ เรียกร้องให้มีการปฏิรูป ทำลายกำแพงแห่งความกลัว และประกาศศักราชใหม่ และแล้วที่สุดมันก็ได้ผล

ผมเคยพูดว่า “ถ้าเราต้องการปลดปล่อยสังคม สิ่งที่เราจำเป็นต้องมีก็แค่อินเตอร์เน็ต” แต่ผมคิดผิด ผมเคยพูดประโยคนี้เมื่อ ปี ค.ศ. 2011 ตอนที่ผมสร้างเพจบน Facebook โดยไม่เปิดเผยตัวตน แล้วมันก็ช่วยจุดชนวนการปฏิวัติในอียิปต์ เหตุการณ์อาหรับสปริงไม่เพียงเผยให้เห็นถึงความสามารถสูงสุดของสื่อสังคมออนไลน์ แต่ยังแสดงให้เห็นถึงจุดที่แย่ที่สุดของมันด้วย เครื่องมือเดียวกันที่ช่วยให้เราสามารถรวบรวมกำลังเพื่อล้มล้างเหล่าผู้นำเผด็จการ แต่สุดท้ายก็ทำให้เราต้องแตกแยกกัน ผมขอแชร์ประสบการณ์ส่วนตัวที่ผมใช้สื่อสังคมออนไลน์ในการเคลื่อนไหวทางการเมือง และพูดเกี่ยวกับความยากลำบาก และความท้าทายต่าง ๆ ที่ผมเจอมาเองกับตัว และเราสามารถทำอะไรกับมันได้บ้าง 

วาเอล โกนิม ได้สร้างเพจบน Facebook และตั้งชื่อเพจว่า “เราทุกคนคือ คาเลด ซาอิส” (We are all Khaled Said) เพียงแค่ 3 วัน มีคนเข้ามาติดตามเพจนี้เกิน 100,000 คน

ในช่วงต้นปี 2000 บรรดาเว็บของชาวอาหรับกำลังปั่นป่วนเว็บ มีความรู้สึกกระหายความรู้และโอกาส และอยากติดต่อกับผู้คนทั่วโลก เราหนีความจริงเกี่ยวกับการเมืองอันหน้าผิดหวัง และไปใช้ชีวิตอยู่บนโลกเสมือนจริงซึ่งแตกต่าง ผมก็เหมือนชาวอาหรับเหล่านั้นที่ไม่เคยสนใจการเมืองจนกระทั่งปี ค.ศ. 2009 เมื่อผมได้ล็อกอินเข้าใช้สื่อสังคมออนไลน์ ผมเริ่มเห็นชาวอียิปต์มากขึ้นและมากขึ้นเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในประเทศ มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว ในเดือนมิถุนายน ปี ค.ศ. 2010 อินเตอร์เน็ตเปลี่ยนของชีวิตผมไปตลอดกาล ขณะที่กำลังเล่น Facebook ผมก็เห็นรูปถ่ายถ่ายอันน่าสยดสยอง ศพที่ผ่านทารุณกรรมของชายหนุ่มอียิปต์คนหนึ่ง เขาชื่อ “คาเลด ซาอิส” (Khaled Said) ชายหนุ่มวัย 29 ปี ชาวเมืองอเล็กซานเดรียซึ่งถูกตำรวจสังหาร ผมรู้สึกว่าเหมือนเห็นตัวเองในรูปเหล่านั้น ผมคิดว่า “เราก็อาจเป็นเหมือนคาเลดได้” คืนนั้นผมนอนไม่หลับ และตัดสินใจทำบางอย่าง ผมสร้างเพจบน Facebook และตั้งชื่อเพจว่า “เราทุกคนคือ คาเลด ซาอิส” (We are all Khaled Said) เพียงแค่ 3 วัน มีคนเข้ามาติดตามเพจนี้เกิน 100,000 คน ซึ่งเป็นเหล่ามิตรสหายชาวอียิปต์ที่มีความเห็นร่วมกันเช่นเดียวกับผมในประเด็นนี้ เราต้องหยุดการกระทำอะไรก็ตามที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ 

มกราคม ค.ศ. 2011 Zine El Abidine Ben Ali อดีตประธานาธิบดีของตูนีเซียต้องหนีออกจากประเทศตัวเอง หลังจากพ่ายแพ้ต่อกลุ่มผู้ชุมนุต่อต้านรัฐบาล

ผมรับเอา อับเดล ราห์มัน แมนเซอร์ (Abdel Rahman Mansour) มาช่วยดูแลเพจนี้ ผมทำงานร่วมกับเขาตลอดเวลา เราร่วมกันสร้างสรรค์กลุ่มคน เพื่อเสาะหาแนวคิดจากผู้คน เรายอมให้พวกเขาเข้ามามีส่วนร่วม เราได้รวมตัวกันเรียกร้องให้มีการทำอะไรสักอย่าง และแชร์ข่าวที่รัฐบาลไม่ต้องการให้ชาวอียิปต์รับรู้ จนกลายเป็นเพจที่คนติดตามมากที่สุดในโลกอาหรับ มีจำนวนลูกเพจมากกว่าองค์กรสื่อที่เคยจัดตั้งมาก่อนหน้านี้ และยังมากกว่าเพจคนดัง ๆ แถวหน้าเสียอีก ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2011 เมื่อ Zine El Abidine Ben Ali อดีตประธานาธิบดีของตูนีเซียต้องหนีออกจากประเทศตัวเอง หลังจากพ่ายแพ้ต่อกลุ่มผู้ชุมนุต่อต้านรัฐบาล ผมได้เห็นประกายแสงแห่งความหวัง ชาวอียิปต์ในสื่อสังคมออนไลน์กำลังสงสัยว่า “ถ้าตูนีเซีย ทำได้ ทำไมเราจะทำไม่ได้?” ผมจึงโพสต์งานกิจกรรมการเคลื่อนไหวลงใน  Facebook โดยตั้งชื่อว่า “การปฏิวัติต่อต้าน การคอรัปชั่น ความไม่เป็นธรรม และอำนาจเผด็จการ” ผมตั้งคำถามกับผู้ใช้งานในเพจจำนวน 300,000 คน ณ ตอนนั้นว่า วันนี้คือ วันที่ 14 มกราคม และวันที่ 25 มกราคมเป็นวันตำรวจแห่งชาติ เป็นวันหยุดประจำชาติ ถ้าพวกเรา 100,000 คนออกไปเดินบนท้องถนนทั่วกรุงไคโร คงไม่มีใครเข้ามาหยุดเราได้ ผมอยากรู้ว่า พวกเราจะทำได้มั้ย เพียงแค่ไม่กี่วัน มีการส่งคำเชิญนี้ไปยังผู้คนกว่า 1 ล้านคน และมีผู้คนกว่า 100,000 คน ตอบยืนยันการเข้าร่วมกิจกรรม โดยสื่อสังคมออนไลน์มีความสำคัญต่อการรณรงค์ครั้งนี้เป็นอย่างมาก มันช่วยปลุกระดมการเคลื่อนไหวของผู้คนตามจุดต่าง ๆ ทำให้ผู้คนตระหนักว่า พวกเขาไม่ได้อยู่เพียงลำพัง ทำให้เห็นว่า เรามีโอกาสหยุดรัฐบาลได้ แม้ว่าเวลานั้นพวกเขายังไม่เข้าใจนักว่า มันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร และวันที่ 25 มกราคม ค.ศ. 2011 ชาวอียิปต์ก็ออกมาเดินจนเต็มถนนในกรุงไคโร และเมืองอื่น ๆ เรียกร้องให้มีการปฏิรูป ทำลายกำแพงแห่งความกลัว และประกาศศักราชใหม่ และแล้วที่สุดมันก็ได้ผล

ประธานาธิบดี Hosni Mubarak ถูกกดดันให้ลงจากตำแหน่ง

ไม่กี่ชั่วโมงก่อนรัฐบาลจะทำการตัดสัญญาณ โทรศัพท์ และอินเตอร์เน็ต ประมาณเที่ยงคืน ขณะที่ผมกำลังเดินบนถนนที่มืดมิดในกรุงไคโร ผมพึ่งจะทวิตไปว่า “ขอพระเจ้าคุ้มครองอียิปต์ รัฐบาลคงเตรียมการสังหารหมู่ในวันพรุ่งนี้แน่ ๆ” ผมก็ถูกตีเข้าที่หัวอย่างแรง ผมสูญเสียการทรงตัวและล้มลง ทำให้รู้ว่า มีชายติดอาวุธ 4 คนล้อมผมอยู่ คนหนึ่งปิดปากผม ส่วนคนอื่น ๆ จับผมไว้ ผมรู้ตัวว่า กำลังโดนอุ้มโดยเจ้าหน้าที่ความมั่นคงของรัฐบาล ผมรู้ตัวอีกทีก็อยู่ในคุกแล้ว ถูกสวมกุญแจมือ ปิดตา ผมรู้สึกกลัวมาก ครอบครัวผมก็เช่นกัน พวกเขาพยายามตามหาผม ทั้งโรงพยาบาล สถานีตำรวจ หรือแม้แต่ในห้องดับจิต เพื่อนร่วมงานผมส่วนหนึ่งที่รู้ว่า ผมเป็นแอดมินของเพจนั้น ได้บอกกับสื่อเกี่ยวกับความเกี่ยวข้องของผมกับเพจนั้น และผมน่าจะถูกอุ้มโดยเจ้าหน้าที่ความมั่นคงของรัฐบาล เพื่อนร่วมงานของผมที่บริษัท Google เริ่มการรณรงค์เพื่อหาตัวผม และเพื่อน ๆ ซึ่งชุมนุมที่จัตุรัสก็เรียกร้องให้ปล่อยตัวผม หลังจาก 11 วันที่ต้องอยู่กับความมืดมิด ผมถูกปล่อยเป็นอิสระ และ 3 วันให้หลังประธานาธิบดี Hosni Mubarak ถูกกดดันจนต้องลงจากตำแหน่ง มันเป็นช่วงเวลาที่ให้แรงบันดาลใจ และทำให้ผมมีพลังมากที่สุดในชีวิต มันเป็นเวลาของความหวังอันยิ่งใหญ่ ชาวอียิปต์ใช้เวลาอันสงบสุขบนสังคมในอุดมคติเป็นเวลา 18 วันในระหว่างการปฏิวัติ พวกเขามีความเชื่อร่วมกันว่า พวกเราจะสามารถอยู่ร่วมกันได้ แม้ว่าพวกเราจะแตกต่างกัน อียิปต์หลังจากยุค Mubarak จะเป็นของทุก ๆ คน

13 กรกฎาคม ค.ศ. 2013 ทหารก็เข้ายึดอำนาจจากประธานาธิบดีคนแรกที่มาจากการเลือกตั้งโดยระบอบประชาธิปไตย หลังจากสามวันที่มีการชุมนุมประท้วงอันดุเดือด และเรียกร้องให้เขาลงจากตำแหน่ง

แต่โชคร้าย เหตุการณ์หลังการปฏิวัติเหมือนกับการถูกตุ้ยท้อง ความสงบได้หายไป เราไม่สามารถทำประชามติกันได้ และความขัดข้องทางการเมืองนำไปสู่การแบ่งขั้วอำนาจ สื่อสังคมออนไลน์ก็แค่ทำให้สถานการณ์ขยายเป็นวงกว้างมากขึ้น โดยใช้เป็นที่เผยแพร่ ข้อมูลเท็จ ข่าวลือ การรับข้อมูลด้านเดียว และการใช้คำในการสร้างความเกลียดชัง สภาพแวดล้อมตอนนั้นเป็นพิษอย่างรุนแรง โลกออนไลน์ของผมกลายเป็นสนามรบ เต็มไปด้วย พวกเกรียน คำโกหก และการใช้คำในการสร้างความเกลียดชัง ผมเริ่มกังวลในความปลอดภัยของครอบครัวของผม แต่ที่แน่ ๆ มันไม่ได้เป็นเรื่องของผมคนเดียว การแบ่งขั้วอำนาจเดินไปจนถึงขีดสุดระหว่างสองขั้วอำนาจหลัก คือ ผู้สนับสนุนทหาร กับกลุ่มมุสลิม คนที่อยู่ตรงกลางเช่นผม เริ่มรู้สึกไร้ที่พึ่ง ทั้งสองกลุ่มต้องการให้เราเลือกข้าง ไม่อยู่ฝั่งเดียวกับพวกเขาก็ต้องอยู่ฝั่งตรงข้าม และวันที่ 13 กรกฎาคม ค.ศ. 2013 ทหารก็เข้ายึดอำนาจจากประธานาธิบดีคนแรกที่มาจากการเลือกตั้งโดยระบอบประชาธิปไตย หลังจากสามวันที่มีการชุมนุมประท้วงอันดุเดือด และเรียกร้องให้เขาลงจากตำแหน่ง 

วันนั้นผมต้องตัดสินใจเรื่องที่ยากอย่างหนึ่ง ผมตัดสินใจที่จะเงียบ เงียบสนิท มันเป็นช่วงเวลาแห่งความพ่ายแพ้ ผมอยู่เงียบ ๆ เป็นเวลานานกว่า 2 ปี และผมได้ใช้เวลานั้นครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด พยายามทำความเข้าใจว่า มันเกิดขึ้นได้ยังไง มันทำให้ผมได้เข้าใจว่า ขณะที่มันเป็นเรื่องจริงที่หลัก ๆ แล้วการขับเคลื่อนจนเกิดการแบ่งขั้วอำนาจนั้น มาจากพฤติกรรมของมนุษย์ สื่อสังคมออนไลน์นั้นทำให้พฤติกรรมดังกล่าวกลายเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น และขยายผลกระทบเป็นวงกว้าง สมมติว่า คุณอยากพูดบางอย่างซึ่งไม่ได้มาจากข้อเท็จจริง การรับคำท้าหรือเมินเฉยต่อคนบางคนที่คุณไม่ชอบ เหล่านี้คือ แรงกระตุ้นโดยธรรมชาติของมนุษย์ แต่เพราะด้วยเทคโนโลยี การสนองตอบต่อแรงกระตุ้นนี้ก็แค่ใช้เพียงคลิกเดียวเท่านั้น 

ผมมองว่า มีความท้าทายที่เข้าขั้นวิกฤตอยู่ 5 เรื่อง ในการเผชิญต่อสื่อสังคมออนไลน์เช่นทุกวันนี้ 

เรื่องแรก พวกเราไม่รู้ว่า จะจัดการพวกข่าวลือยังไง ข่าวลือที่ออกมาสนองตอบต่ออคติของผู้เสพ กลายเป็นข่าวที่คนเชื่อและแพร่กระจายไปยังผู้คนนับล้าน 

เรื่องที่สอง เราสร้างการรับข่าวสารข้างเดียวของเราเอง เรามักเลือกที่จะสื่อสารเฉพาะกับกลุ่มคนที่เห็นด้วยกับเรา และต้องขอบคุณสื่อสังคมออนไลน์ เพราะ เราสามารถ ปิดการแจ้งเตือน ยกเลิกการติดตาม และปิดกั้นใครก็ได้ 

เรื่องที่สาม การสนทนาออนไลน์ลุกลามรวดเร็วจนกลายเป็นกลุ่มผู้ประท้วงที่เกี้ยวกราด เราทุกคนน่าจะรู้อยู่แก่ใจว่า มันเหมือนราวกับ พวกเราลืมไปแล้วว่า คนที่อยู่เบื้องหลังจอนั้น ก็คือคนจริง ๆ นั่นแหละ ไม่ใช่แค่รูปตัวแทน 

เรื่องที่สี่ มันยากมากมากที่จะเปลี่ยนความคิดเห็นของพวกเรา เพราะว่า ความรวดเร็วและกระชับของสื่อสังคมออนไลน์ เราถูกบังคับให้พุ่งประเด็นไปที่ข้อสรุป และเขียนความเห็นสั้น ๆ ไม่เกิน 140 ตัวอักษร เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ซับซ้อนบนโลก และเมื่อเราเขียนมันแล้ว มันจะปรากฏอยู่บนอินเตอร์เน็ตตลอดกาล และเรามีแรงน้อยมากในการเปลี่ยนแปลงมุมมองเหล่านี้ แม้ว่าจะมีการค้นพบหลักฐานใหม่ ๆ ก็ตาม 

เรื่องที่ห้า และในมุมมองของผมนี่คือ เรื่องที่วิกฤตที่สุด ทุกวันนี้ประสบการณ์ในการใช้สังคมออนไลน์ถูกออกแบบด้วยแนวทางที่เน้นการแพร่กระจายข่าวสารมากกว่าการมีส่วนร่วมกับผู้ชม ชอบการโพสต์มากกว่าการถกประเด็น ชอบความเห็นอันตื้นเขินมากกว่าการสนทนาที่ลึกซึ้ง เหมือนกับเรายอมรับว่า เราอยู่ตรงนี้เพื่อพูดจาใส่กัน แทนที่จะพูดคุยร่วมกัน ผมได้เห็นเป็นพยานแล้วว่า เรื่องท้าทายนี้ส่งผลอย่างไรต่อสังคมอียิปต์ที่แตกแยกไปเรียบร้อยแล้ว แต่นี่ไม่ใช่เรื่องของอียิปต์เพียงประเทศเดียว การแบ่งขั้วอำนาจ แบ่งข้าง แบ่งฝ่าย กำลังเกิดขึ้นในทั่วทุกมุมโลก 

ในปี ค.ศ. 2011 นิตยสารไทม์ได้ใส่ วาเอล โกนิม ไว้ในรายชื่อ 100 บุคคลที่มีอิทธิพลมากที่สุดประจำปี ค.ศ. 2011

เราต้องทำงานอย่างหนักเพื่อหาวิธีว่า จะนำเทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างไร มากกว่าที่จะให้เทคโนโลยีกลายเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา ทุกวันนี้มีการโต้กันมากมายว่า จะทำอย่างไรจึงจะสามารถต่อสู้กับการคุกคามทางออนไลน์ และต่อกรกับพวกเกรียนได้ นี่เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ไม่มีใครไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ แต่เราจำเป็นต้องคิดด้วยว่า จะออกแบบประสบการณ์ในการใช้สื่อสังคมออนไลน์อย่างไร จึงจะส่งเสริมความเป็นพลเมืองดี และให้รางวัลแก่ความมีวิจารณญาณ ผมทราบความจริงอย่างหนึ่งว่า ถ้าหากผมเขียนโพสต์ที่กระทบความรู้สึกมากขึ้น เขียนในมุมมองด้านเดียวมากขึ้น และในบางครั้งโกรธและก้าวร้าวมากขึ้น ผมต้องได้คนมาเห็นโพสต์นั้นเป็นแน่ ผมจะได้รับความสนใจมากขึ้น แต่จะเป็นอย่างไรถ้าเราเน้นคุณภาพมากขึ้น อะไรสำคัญกว่า : จำนวนคนอ่านโพสต์ที่คุณเขียน หรือ ใครคือคนที่ได้รับผลกระทบหลังจากอ่านที่คุณเขียน ทำไมเราไม่ทำเพียงแค่กระตุ้นให้ผู้คนเข้าร่วมในบทสนทนามากขึ้น แทนที่จะเอาแต่เผยแพร่ความคิดเห็นอยู่ตลอด หรือให้รางวัลกับคนที่อ่าน และตอบกลับในมุมมองที่พวกเขาก็ไม่เห็นด้วย และทำให้มันเป็นที่ยอมรับของสังคมด้วยว่า เราเปลี่ยนความคิดเขา หรืออาจแม้แต่จะให้รางวัล ถ้าเรามีเงื่อนไขที่วัดได้ว่า มีคนจำนวนกี่คนที่เปลี่ยนความคิด และกลายเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์การใช้สื่อสังคมออนไลน์ของเรา ถ้าผมสามารถติดตามว่า มีจำนวนคนกี่คนที่กำลังจะเปลี่ยนความคิด ผมอาจจะเขียนโพสต์บนสื่อโซเชียลอย่างมีวิจารณญาณมากขึ้น ผมจะพยายามทำอย่างนั้นแทนที่จะดึงดูดกลุ่มคนที่เห็นด้วยกับผมอยู่แล้ว “กดไลค์” จะกลายเป็นด้วยว่า ผมไปสนองอคติของเขา

เราจำเป็นต้องคิดกลไกการร่วมสร้างกลุ่มคนที่มีประสิทธิภาพด้วยเช่นกัน เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงของข้อมูลที่แพร่กระจายเป็นวงกว้างในโลกออนไลน์ และให้รางวัลแก่ผู้คนเหล่านั้นที่เข้ามามีส่วนร่วม สิ่งสำคัญคือ เราต้องคิดเรื่องระบบนิเวศน์ของสื่อสังคมออนไลน์ในปัจจุบันใหม่ และออกแบบประสบการณ์การใช้งานใหม่ด้วย  เพื่อให้รางวัลแก่ความมีวิจารณญาณ ความเป็นพลเมืองดี และความเข้าใจร่วมกัน ในฐานะที่ผมเชื่อในอินเตอร์เน็ต ผมรวบรวมทีมจากกลุ่มเพื่อนไม่กี่คน เพื่อพยายามหาคำตอบและสำรวจความเป็นไปได้ ผลิตภัณฑ์แรกของเราคือ แพลตฟอร์มของสื่อแบบใหม่เพื่อการสนทนา เรากำลังให้บริการการสนทนาที่ส่งเสริมความเข้าใจร่วมกัน และหวังว่า จะช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแนวคิด เราไม่อวดอ้างว่า เราได้พบคำตอบ แต่เราได้เริ่มทดลองกับการสนทนาที่แตกต่างกันเกี่ยวกับปัญหาการแตกแยกที่รุนแรงต่าง ๆ เช่น การโต้วาทีในเรื่อง ชาติพันธุ์ การควบคุมอาวุธปืน ผู้ลี้ภัย ความสัมพันธ์ระหว่างมุสลิมและการก่อการร้าย เหล่านี้คือ บทสนทนาที่สำคัญ ทุกวันนี้อย่างน้อยหนึ่งในสามของคนบนโลกสามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้ แต่ส่วนหนึ่งของอินเตอร์เน็ตกำลังถูกจองจำโดยด้านที่มืดบอดของคุณธรรมด้วยพฤติกรรมของมนุษย์เรา เมื่อก่อนผมเคยพูดว่า “ถ้าคุณต้องการปลดปล่อยสังคม สิ่งที่คุณจำเป็นต้องมีก็แค่อินเตอร์เน็ต” แต่วันนี้ผมเชื่อว่า “ถ้าเราต้องการปลดปล่อยสังคม เราต้องเริ่มจากการปลดปล่อยอินเตอร์เน็ตก่อน” ขอบคุณมากครับ

ตอนนี้เราทำอะไรได้บ้างเกี่ยวกับพฤติกรรมออนไลน์ เราจะใช้อินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียเพื่อสร้างความสุภาพ และการโต้แย้งอย่างมีเหตุผลได้อย่างไร URL คลิปที่วาเอล โกนิมพูดเรื่องนี้ (พร้อม Sub Title ไทย) ได้ที่ http://https://youtu.be/HiwJ0hNl1Fw

Revolution 2.0: The Power of the People Is Greater Than the People in Power: A Memoir แต่งโดย วาเอล โกนิม

วาเอล โกนิม ยังถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า ไม่สามารถอธิบายข้อสงสัยเกี่ยวกับที่มาของ Facebook "We are all Khalid Said" ซึ่งเชื่อกันว่า มีผู้ริเริ่มสร้างเพจนี้มากกว่าหนึ่งคน ยิ่งไปกว่านั้นมีผู้คนมากกว่า 360,000 คนเข้าร่วม Facebook ส่วนตัวของเขา และอีกกว่า 3,000,000 คนเข้าร่วมเพจ Facebook "We are all Khaled Said" ซึ่งดำเนินการโดยเขา และผู้ดูแลระบบอีกคนคือ อับเดล ราห์มัน แมนเซอร์ (Abdel Rahman Mansour) และ Facebook "We are Khaled Said" มีส่วนอย่างสำคัญในการจุดประกายการปฏิวัติอียิปต์ ในปี ค.ศ. 2011 นิตยสารไทม์ได้ใส่ วาเอล โกนิม ไว้ในรายชื่อ 100 บุคคลที่มีอิทธิพลมากที่สุดประจำปี ค.ศ. 2011 และ World Economic Forum ได้เลือกให้ วาเอล โกนิม เป็นหนึ่งใน Young Global Leaders ในปี ค.ศ. 2012 ด้วย

ด้วย “คำสารภาพของ วาเอล โกนิม” สังคมไทยจะต้องไม่ยอมให้อินเตอร์เน็ตกลายเป็นเครื่องมือสร้างความเกลียดชังและโกรธแค้น แต่ต้องใช้เพื่อการสร้างสรรค์ ประเทืองปัญญา และจรรโลงสังคม ด้วยการแยกแยะ ผิด ชอบ ชั่ว ดี ในการแปลง “ข้อมูล” ให้เป็น “ข่าวสาร” พิจารณาใคร่ครวญให้ “ข่าวสาร” กลายเป็น “ความรู้” ใช้สติและศีลธรรมกำกับ “ความรู้” ให้เกิด “ปัญญา” เพื่อทำให้ สังคมไทย ประเทศชาติบ้านเมือง และโลก ได้มีความสงบสุข สวยสดและงดงาม เจริญรุ่งเรือง ด้วยความดีตลอดไป