Sunday, 8 June 2025
SPECIAL

เชียงราย - นรข. รวบคนไทยแอบข้ามน้ำโขงหลังลอบไปทำงานคาสิโนฝั่งลาว

ค่ำวันที่ 17 18 เม.ย.64 น.อ.จิรัฏฐ์ ผูกทอง ผบ.หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง (นรข.) เขตเชียงราย พ.ต.อ.มณุวัฒน์ กอสมาน ผกก.ด่านตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) เชียงแสน จ.เชียงราย ได้ร่วมกันทำการจับกุม นายอาซ่า หย่าจา อายุ 20 ปี ชาว ต.เวียงใต้ อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน นายภานุวัฒน์ ถิรรัตนภาคิน อายุ 25 ปี ชาว ต.ห้วยผา อ.เมืองแม่ฮ่องสอน จ.แม่ฮ่องสอน นายพงษ์เดช แซ่หล่อ อายุ 22 ปี ชาว ต.เวียงใต้ อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน นายวุฒิชัย เป้พินิจ อายุ 22 ปี ชาว ต.หนองหาร อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ น.ส. อมรรัตน์  แซ่หลี่ อายุ 23 ปี ชาว ต.สันทรายน้อย อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ น.ส. นิชา วงศ์โท๊ะ อายุ 32 ปี ชาว ต.นาครัว อ.แม่ทะ จ.ลำปาง และ น.ส. ธัญลักษณ์ ดิษกุลธาดา อายุ 26 ปี ชาว 3 ต.ห้วยผา อ.เมืองแม่ฮ่องสอน จ.แม่ฮ่องสอน ในข้อกล่าวหา "เข้ามาหรือออกไปนอกราชอาณาจักร ซึ่งมิใช่ช่องทางด่านตรวจคนเข้าเมือง เขตท่าสถานีหรือท้องที่และตามกำหนดเวลาตามที่รัฐมนตรีประกาศ ข้อหาไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักควบคุมโรคติดต่อหรือผู้ว่าราชการจังหวัด ตามมาตรา 35 (1) พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 และข้อหาฝ่าฝืนข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่ง พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (ฉบับที่ 1) ข้อ 3 "

โดยการจับกุมครั้งนี้ทางเจ้าหน้าที่หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง (นรข.)เขตเชียงราย  สถานีเรือเชียงของ   ได้ออกตรวจตราตามริมฝั่งแม่น้ำโขงชายแดนไทย-สปป.ลาว ในพื้นที่รับผิดชอบ จนกระทั่งถึงบริเวณช่องทางธรรมชาติเขตหมู่บ้านดอนมหาวัน หมู่ 9 ต.เวียง อ.เชียงของ ได้สังเกตเห็นเรือกาบจำนวน 2 ลำ แล่นมาจากฝั่งลาวเข้ามาเทียบท่าในฝังไทย โดยมีผู้โดยสารมาด้วยจากนั้นได้แล่นกลับออกไป เจ้าหน้าที่เข้าทำการตรวจสอบ พบผู้ต้องหาทั้ง 7 คนกำลังจะเดินจากแม่น้ำโขงเข้ามายังประเทศไทย จึงได้ทำการควบคุมตัวเอาไว้ ก่อนจะนำส่งให้กับเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองเชียงของ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย

สอบสวนเบื้องต้นทราบว่าทั้งหมดเดินทางมาจากโครงการคิงส์โรมัน  ในเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมคำ เมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว ตรงกันข้าม อ.เชียงแสน จ.เชียงราย โดยได้ลักลอบข้ามแดนจากฝั่งไทยไปทำงานที่คาสิโนดังกล่าว มื่อช่วงเดือน พ.ย.2563 เมื่อถึงวันพักก็จะพากันเดินทางกลับโดยเดินทางไปยังเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว ตรงกันข้าม อ.เชียงของ ก่อนเพื่อจะได้หาเรือข้ามฟากขึ้นฝั่งที่ อ.เชียงของ ก่อนจะได้เดินทางด้วยรถยนต์กลับภูมิลำเนาแต่ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมตัวได้เสียก่อน  โดยเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินคดีพร้อมทั้งปฏิบัติการตามมาตรการป้องกันไวรัสโควิด-19 อย่างเข้มงวด


ภาพ/ข่าว  ณัฐวัตร ลาพิงค์ เชียงราย

กระบี่ - โซเชียลแห่แชร์เรื่องราวความน่ารักน่าเอ็นดู ของหนูน้อย 3 ขวบ ขณะว่ากล่าวเตือนพ่อหลังรถมอเตอร์ไซค์ประสบอุบัติเหตุ จนได้รับบาดเจ็บทั้งพ่อทั้งลูก

วันที่ 18 เม.ย.64 ผู้สื่อข่าวรายงาน ว่า โลกโซเชี่ยลฯต่างแสดงความเอ็นดุเด็กชายวัย3 ขวบ และให้กำลังใจกันอย่างล้นหลาม ขณะนั่งปลอบและสั่งพ่อหลังประสบอุบัติเหตุรถมอเตอร์ไซค์ล้ม บริเวณยูเทิร์น หน้าห้างแม็คโคร ถนนเพชรเกษม  ต.ไสไทย อ.เมือง จ.กระบี่  โดย ผู้ใช้เฟซบุ๊กที่ชื่อว่า “แพร แพร์” ได้โพสต์ภาพสองพ่อลูก ขณะนั่งอยู่บนรถกู้ภัย พร้อมข้อความบอกเล่าเรื่องราวที่สองพ่อลูกสนทนากันว่า ได้ยินน้องคุยกับพ่อ ถึงเรื่องอุบัติเหตุ ที่ฟังแล้วน่าเอ็นดูเด็กน้อยเป็นอย่างมากที่พยายามที่จะเตือนผู้เป็นพ่อ   พร้อมเล่าเรื่องราวที่พ่อลูกสนทนากันเป็นสำเนียงภาษาใต้ดังนี้

น้อง :  พ่อครับพ่อเจ็บม้าย พ่อเจ็บตรงไหนม้าย เเต่น้องก็เจ็บนะ น้องมีเลือดออกด้วย แต่ว่าน้องเป็นห่วงพ่อมากนะครับ

พ่อ: พ่อไม่เจ็บครับ พ่อขอโทษนะลูกนะ

น้อง: น้องจะไม่ชวนพ่อแหลงแล้วนะเวลาพ่อขับรถ

เมื่อพาน้องขึ้นรถเพื่อไปส่งรพ.ผ่านจุดเกิดเห็น น้องได้ชี้ไปที่เกิดเหตุที่ฟุตบาตที่ชน

น้อง: พ่อจำไว้เลยนะ พ่อไม่ชนตรงนี้แล้วนะ พ่อไม่ขับรถเร็วแล้วนะทีนี้ น้องเจ็บน้องกลัวเลือด

พ่อ: ครับลูก 

เครติด#สาวกู้ภัยมิราเคิลออฟไลฟ์กระบี่

ภายหลังเผยแพร่เรืองราวดังกล่าวออกไป ปรากฏว่ามีผู้คนเข้ามาแสดงความคิดเห้นและชื่นชมในความน่ารักน่าเอ็นดูของหนูน้อยคนดังกล่าว และแชร์ต่อกันเป็นจำนวนมาก

ผู้สื่อข่าวได้สอบถาม น.ส.รัตนมณี  สายนุ้ย  "น้องแพร" นามเรียกขาน มิราเคิล32 อายุ 19  ปี เป็นเจ้าหน้าที่อาสาสมัครกูู้ชีพมูลนิธิมิราเคิลออฟไลฟ์ จ.กระบีี่ ในสังกัดรพ. สต.บ้านไสไทย ที่ออกช่วยเหลือผู้ประสบเหตุ  ทราบว่า  เหตุการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นเมื่อเวลา ประมาณ2ทุ่มเศษ หลังรับแจ้งจาก ศูนย์นพรัตน์  ออกตรวจสอบเหตุ ว.40 รถจยย. ล้มเอง บริเวณยูเทรินห้างแมคโคร มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 3 ราย เป็นพ่อลูกกัน   โดยผู้เป็นพ่อ อายุ 33 ปี มีบาดแผลฉีกขาดบริเวณ หัวแม่เท้าด้านซ้าย มีแผลถลอกทั่วไปตามร่างกาย รายที่ 2 เป็นลูกสาว อายุ 12 ปี ปวดข้อแขนด้านซ้าย แผลถลอกทั่วไปตามร่างกาย และรายที่3 ลูกชาย อายุ 3 ขวบ  มีแผลถลอกทั่วไปตามร่างกาย.มีรอยฟกช้ำที่หน้าผาก จนท.ให้การช่วยเหลือปฐมพยาบาลก่อน นำส่ง รพ.กระบี่ ซึ่งระหว่างที่จนท.หามผู้เป้นพ่อขึ้นบนรถกู้ภัย ลูกชาย3ขวบที่นั่งข้างๆ ก็พูดกับพ่อในลักษณะดังกล่าว ได้ยินแล้วรูู้สึกเอ็นดูในความน่ารักของน้อง  3 ขวบ ที่พยายามที่จะเตือนพ่อขณะที่ตัวเองด้วยความเป็นห่วงทั้งที่ตัวเองในขณะทีี่ตัวเองก็เจ็บจากอุบัติเหตุเช่นกัน 


ภาพ/ข่าว  ณัฏฐพงษ์ ศรีปล้อง รายงาน

นราธิวาส - ผบ.ฉก.นราธิวาส ตรวจเยี่ยมและประชุมเพิ่มประสิทธิภาพการปฎิบัติงาน พร้อมทั้งให้กำลังใจกำลังพลหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานในพื้นที่

พลตรีไพศาล หนูสังข์ ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 15 / ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส พร้อมด้วย พันเอก เฉลิมพร ขำเขียว รองผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 15 / รองผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส และคณะฯ ลงพื้นที่ ตรวจเยี่ยม และประชุมเพิ่มประสิทธิภาพการปฎิบัติงาน ให้กับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานในพื้นที่ จังหวัดนราธิวาส  จำนวน 4  หน่วย ได้แก่ หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 45 อำเภอระแงะ , หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 46 อำเภอรือเสาะ, หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 48 อำเภอเจาะไอร้อง และ หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 49 อำเภอศรีสาคร

โดยได้รับฟัง สรุปการชี้แจงการปฎิบัติที่สำคัญในห้วงที่ผ่านมา และแผนการปฏิบัติงานที่สำคัญในห้วงต่อไป  พร้อมทั้งแนวความคิดการเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน ของหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานในพื้นที่  โดยผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส มอบนโยบาย ข้อสั่งการสอบถามข้อขัดข้องในการปฎิบัติงาน พร้อมทั้งเน้นย้ำการปฏิบัติงาน ของชุดปฎิบัติการจรยุทธ์ ต้องอยู่ในความไม่ประมาท การรักษาความปลอดภัยในพื้นที่สร้างความมั่นใจให้กับพี่น้องประชาชน พร้อมทั้งการเฝ้าตรวจให้เป็นไปตามสั่งการของ ผอ.รมน.ภาค4 การใช้ระเบียบการนำหน่วย มอบแนวทางการเฝ้าระวัง ป้องกัน การสังเกตุการณ์ และการรักษาความปลอดภัยในพื้นที่ พร้อมทั้งให้กำลังพล ปฏิบัติตนตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า COVID19 อย่างเคร่งครัด

ทั้งนี้ ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส เน้นย้ำผู้บังคับหน่วย เรื่องสวัสดิการ สิทธิกำลังพล โดยฝากความห่วงใยแก่กำลังพล ให้ดูแลตนเอง และเฝ้าติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส Covid19 อย่างใกล้ชิด ตลอดจนมอบงบประมาณแก้ไขปัญหาเบื้องต้น และสิ่งของอุปโภค บริโภค เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจในการปฎิบัติงานให้แก่กำลังพลต่อไป


ภาพ/ข่าว  แวดาโอ๊ะ​ หะไร​ จ.นราธิวาส

นครพนม - เร่งตรวจหาเชื้อผู้ไปเที่ยวสถานบันเทิงร่วมกับผู้ป่วยโควิดรายที่ 16

วันที่ 17 เมษายน 2564 ที่บริเวณศาลาประชาคมยงใจยุทธ ศาลากลางจังหวัดนครพนม มีประชาชนจำนวนมากเดินทางมารับบริการตรวจหาเชื้อโควิด ภายหลังจากที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครพนมได้มีประกาศให้ผู้ที่ไปใช้บริการสถานบริการ 3 แห่ง ประกอบด้วย AEC PUB นครพนมตะวันนา 2004 และ HOME 108 ระหว่างวันที่ 3-12 เมษายน 2564 ให้มารายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่สาธารณสุข เพื่อรับการตรวจคัดกรองหาเชื้อโควิดระหว่างวันที่ 17 - 22 เมษายน 2564

ภายหลังจากที่มีการตรวจพบผู้ป่วยติดเชื้อโควิดรายที่ 16 ซึ่งเป็นผู้จัดการร้านอาหารชื่อดังในนครพนม ที่หลังปิดร้านอาหารของตนเองแล้วไปสังสรรค์ต่อกับเพื่อนที่สถานบันเทิงดังกล่าว แม้ก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่จะมีการระดมสรรพกำลังลงพื้นที่เก็บตัวอย่างบุคคลกลุ่มเสี่ยงสูง ที่เป็นพนักงานให้บริการทั้งหมดทันที รวมทั้งสิ้น 207 คน ไปแล้ว อีกทั้งมีการสั่งประกาศปิดร้านเป็นเวลา 14 วัน

แต่เมื่อผลตรวจเริ่มทยอยออกมาพบว่ามีพนักงานติดเชื้อ 8 ราย และประชาชนที่มาเที่ยวสถานบันเทิงเดียวกับผู้ป่วยรายที่ 16 ป่วยติดเชื้อ 1 รายประกอบกับการสอบสวนโรคยังพบว่าพนักงานในสถานบันเทิงระหว่างปฏิบัติหน้าที่ มีความหย่อนยานในมาตรการป้องกัน เช่น ไม่สวมถุงมือแล้วไปหยิบจับอาหาร หรือรับแก้วเหล้าจากนักเที่ยวมาชงให้แขก และมีการสลับเปลี่ยนโต๊ะทำหน้าที่ ทำให้ผู้ที่เดินทางไปเที่ยวมีโอกาสเสี่ยงสูงในการสัมผัสเชื้อและแพร่เชื้อไปยังผู้อื่น

นพ.มานพ ฉลาดธัญญกิจ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า ในการตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 นั้น สามารถตรวจได้หลังจากได้รับเชื้อมาแล้วประมาณ 5 -7 วัน ซึ่งจากการคำนวณตามหลักระบาดวิทยาจะอยู่ประมาณช่วง 3-12 เมษายน ดังนั้นจึงได้มีการประกาศให้ประชาชนกลุ่มที่ไปเที่ยวในสถานบันเทิงตามทามไลน์ของผู้ป่วยรายที่ 16 เข้าตรวจหาเชื้อเพื่อเป็นการเฝ้าระวังป้องกัน ส่วนวิธีการตรวจนั้นเจ้าหน้าที่เลือกที่จะใช้การตรวจแบบ RT-PCR (การตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อไวรัส) เนื่องจากมีความไว ความจำเพาะสูง สามารถทราบผลภายใน 3 – 5 ชั่วโมง ที่สำคัญคือสามารถตรวจจับเชื้อไวรัสปริมาณน้อย ๆ ในรูปแบบของสารพันธุกรรมได้ดี ไม่ว่าจะเป็นเชื้อเป็นหรือเชื้อตายตรวจจับได้หมด โดยสามารถตรวจได้จากสารคัดหลั่งทางเดินหายใจส่วนบน ส่วนล่างของผู้สงสัยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ดังนั้นจึงเลือกใช้วิธีนี้เพื่อให้เกิดความรวดเร็ว เนื่องจากคาดว่าจะมีประชาชนที่อยู่ในกลุ่มนี้จำนวนมากที่มารับบริการ ซึ่งถ้าเราใช้ชุดทดสอบแบบรวดเร็ว หรือ Rapid Test จะทราบผลใน 15 นาที แต่ถ้ามีผลเป็นบวก เราก็ต้องมาตรวจซ้ำอีกครั้งด้วยวิธี RT- PCR เพื่อความแม่นยำอีกครั้ง ซึ่งจะทำให้เจ้าหน้าที่ต้องปฏิบัติหน้าที่หลายรอบอีกทั้งประชาชนที่มารับบริการก็ต้องเสียเวลาเพิ่ม ซึ่งเราพยายามที่จะทำให้จบโดยเร็วเพื่อควบคุมสถานการณ์ให้ได้ไวที่สุด

สำหรับการตรวจในครั้งนี้ผู้ที่มารับบริการจะได้รับบัตรคิว จากนั้นมานั่งรอที่เก้าอี้ภายในเต้นท์ที่เจ้าหน้าที่จัดไว้ให้ เมื่อได้คิวก็เข้ารับการลงทะเบียน ซักประวัติ และเข้าสู่ขั้นตอนการตรวจหาเชื้อ ซึ่งแต่ละคนจะใช้เวลาประมาณ 10 นาที ก็จะเสร็จสิ้นขั้นตอน หลังจากนั้นแต่ละคนแยกย้ายกันกับบ้านไปเฝ้าระวังและกักตัวเองรอฟังข่าวผลตรวจ ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่โทรไปแจ้งภายหลังผลออกให้ได้ทราบ

ทั้งนี้ในแต่ละวันเจ้าหน้าที่จะสามารถตรวจได้เพียงวันละ 500 คน ณ จุดให้บริการศาลาประชาคมยงใจยุทธ ดังนั้นผู้ที่อยู่ต่างอำเภอ ของจังหวัดนครพนมที่เดินทางไปสถานบันเทิงดังกล่าว สามารถไปตรวจที่โรงพยายาบาลประจำอำเภอได้ด้วยเช่นเดียวกัน


ภาพ/ข่าว  สุเทพ หันจรัส ผสข.นครพนม

“ชาวจีนจะไม่ยอมให้คนต่างชาติบางกลุ่ม มากินข้าวของคนจีนแล้วทุบชามข้าวของเรา”

"Chinese people will not allow some foreigners to eat China's rice while smashing its bowls"

“ชาวจีนจะไม่ยอมให้คนต่างชาติบางกลุ่ม มากินข้าวของคนจีนแล้วทุบชามข้าวของเรา”

คำกล่าวนี้ หัว ชุนหยิง โฆษกกระทรวงต่างประเทศ และอธิบดีกรมสารสนเทศของจีน กล่าวในการแถลงข่าวโต้ตอบสหรัฐอเมริกาและประเทศตะวันตก ที่กล่าวหาจีนว่า ใช้แรงงานอุยกูร์เยี่ยงทาสในเขตซินเจียง ในไร่ฝ้ายและโรงงานผลิตผ้าผ้าย เมื่อช่วงปลายเดือน มีนาคม 2564

จีนแถลงว่าการกล่าวหาของอเมริกาและประเทศตะวันตก เป็นการโกหกให้ร้ายอย่างไร้ความอาย ส่วนการต่อต้านสินค้าจีนนั้น ถูกพลเมืองจีนตอบโต้โดยการงดซื้อสินค้าระดับแบรนด์ของตะวันตก โดยมีดาราจีนและผู้เป็นพรีเซนเตอร์ที่มีชื่อเสียงของประเทศจีนช่วยผลักดัน โดยการยกเลิกสัญญากับแบรนด์ ส่วนผู้บริโภค และผู้ค้าขายออนไลน์ ทำการยกเลิกแอพพลิเคชั่นช้อปปิ้งออนไลน์ ของแบรนด์ต่าง ๆ

แม้ฟังดูจะเหมือนเป็นกิจกรรมบอยคอตต์เชิงสัญลักษณ์ ที่อาจไม่มีผลกระทบมากนัก แต่โดยความจริง จีนมีพลเมือง 1,400 ล้านคน และยอดขายสินค้าแบรนด์ต่าง ๆ ในตลาดจีนนั้น ล้วนมีมูลค่าแต่ละปี หลายร้อยหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ เช่นตลาดของ H&M ในประเทศจีนใหญ่เป็นอันดับที่ 4 รองจาก UK (1), US (2) และเยอรมันนี โดยทำยอดขายจากร้าน H&M ทั่วประเทศจีนกว่า 500 ร้านได้ถึง 1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2019 หากมียอดขายตกไป 10% ย่อมหมายถึง 140 ล้านดอลลาร์

นอกเหนือจาก H&M แล้ว แบรนด์อื่น ๆ ที่เจอกระแสต่อต้านได้แก่ Nike, Adidas และ Burberry โดยมีสาเหตุหลักมาจากการแถลงนโยบายที่จะไม่ใช้สินค้าฝ้ายของจีน หรือแสดงการเห็นด้วยกับคำกล่าวหาของสหรัฐอเมริกา

คำพูดในเชิงโวหาร ของหัว ชุนหยิง นั้น เป็นคำพูดที่ต่อยอดมาจากคำอธิบาย ที่เธอพูดไว้ว่า “ตลาดของประเทศจีนอยู่ตรงนี้ เราต้อนรับบริษัทต่างชาติด้วยความใจกว้าง แต่เราต่อต้านการโจมตีประเทศจีนด้วยความเกลียดชังและใช้วิธีสกปรก ใช้เรื่องโกหกและข่าวลือ อันทำให้เกิดความเสียหายต่อผลประโยชน์ของประเทศจีน”

คำพูดชุดนี้ ช่วยให้ความหมายของ “ทุบชามข้าวของเรา” ชัดเจนขึ้น

สำหรับคนจีน คำว่า “ชามข้าว” ไม่ได้มีความหมายตรง ๆ แต่หมายถึง ช่องทางในการทำมาหากิน เช่นเดียวกับที่คนไทยพูดว่า “ทุบหม้อข้าวของตนเอง” จากความหมายดั้งเดิม ที่ชามข้าวหมายถึง “อาชีพ” ความหมายได้ถูกปรับไปตามบริบท คำว่า “ชามข้าว” หรือ rice bowl นั้น จึงรวมถึง ธุรกิจ การค้า การลงทุน และแหล่งรายได้ทุกประเภท และคำว่า “ชามข้าวเหล็ก” นั้นยิ่งเป็นการย้ำในความหมายของ “แหล่งรายได้ที่มั่นคงถาวร”

บรรดาแบรนด์ต่าง ๆ ที่เข้ามาเปิดร้านและดำเนินธุรกิจในประเทศจีน กอบโกยรายได้มหาศาลจากพลเมืองจีน เปรียบเสมือน เข้ามา “กินข้าวของคนจีน” แต่การไม่ยอมซื้อผ้าฝ้ายของจีน เพราะอ้างว่าเป็นสินค้าจากการใช้แรงงานทาสตามข่าวลือ คือการ “ทุบชามข้าวจีน” นั่นเอง

ชาวจีน มีโวหารมากมายที่เกี่ยวกับ “ข้าว” ที่น่ารู้ เช่น

- ข้าวทุกเม็ดได้มาจากเหงื่อที่หยดมาจากคิ้ว

- ข้าวหุงสุกไปแล้ว ยังไงก็แก้ไขไม่ได้ (อย่าเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว)

- พูดมากแค่ไหนก็ไม่อาจทำให้ข้าวสุกได้ (อย่าดีแต่พูด)

- ภรรยาจะทำอาหารเก่งเพียงใด ก็ทำอะไรไม่ได้ถ้าไม่มีข้าว (ถ้าเครื่องมือไม่ครบย่อมทำอะไรไม่สำเร็จ)

- เอาข้าวไปล่อจับไก่ ได้ไก่มาแต่ไม่มีข้าวกิน

- ไม่มีจิตใจที่จะดื่มชาหรือกินข้าว (อยู่ในอารมณ์โศกเศร้าอย่างที่สุด)

- จะให้ข้าวสาร 3 ถัง ข้าก็ไม่มีวันก้มหัวให้ (ไม่ยอมแลกเกียรติกับสิ่งของใด)

- ข้าราชการตงฉิน คือคนที่กินข้าวกับเกลือเท่านั้น

- มีเวลาปีเดียว จงปลูกข้าว มีเวลาสิบปีให้ปลูกป่า ถ้ามีเวลาตลอดชีวิตจงให้ความรู้แก่ผู้คน

- ครูคือผู้ทำนาด้วยปากเพื่อให้ได้ข้าวมาใส่ชาม

- คนรอเกี่ยวข้าว ย่อมดีกว่า ข้าวรอให้คนมาเกี่ยว

คำว่า “ทุบหม้อข้าว” ที่คนไทยใช้นั้น จะให้ภาพที่ชัดกว่าสำหรับคนไทย เพราะหม้อเป็นภาชนะที่ใช้หุงต้ม อันเปรียบเทียบให้เห็นว่า หม้อเป็นช่องทางทำมาหากินที่ชัดกว่า อย่างไรก็ตามคนจีน ก็ใช้ทั้ง “ชามข้าว” และ “หม้อข้าว” ตามความคุ้นเคยของแต่ละคน ส่วนคำว่า “ชามข้าวเหล็ก” ซึ่งหมายถึงอาชีพที่มั่นคงถาวรนั้น ยังใช้เรียก ตำแหน่งงานราชการ เพราะมีความมั่นคงระยะยาว ตกไม่แตก ในเกาหลี ข้าราชการจะมีชื่อเปรียบเทียบว่า “ชามข้าวเหล็ก” เพราะมีรายได้ที่แน่นอน มั่นคง

ศรีสะเกษ - ยอดผู้ติดเชื้อพุ่งสูงถึง 38 รายแล้ว ผู้ว่าฯมั่นใจจะฝ่าสถานการณ์นี้ไปได้อย่างราบรื่น ขอให้ทุกคนเป็นทีมเดียวกันคือเป็นทีมศรีสะเกษ ที่จะต้องร่วมด้วยช่วยกัน

เมื่อวันที่ 17 เม.ย.64 ที่ห้องประชุมสระกำแพงใหญ่ ชั้น 4 ศาลากลาง จ.ศรีสะเกษ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ  นายวัฒนา   พุฒิชาติ ผวจ.ศรีสะเกษ ได้เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อ จ.ศรีสะเกษ ครั้งที่ 10 /2564 ซึ่ง นพ.ทนง วีระแสงพงษ์ สาธารณสุข จ.ศรีสะเกษ และคณะได้รายงานสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19

โดยผู้ติดเชื้อโควิด 19 ระลอก 3 จ.ศรีสะเกษ มีผู้ป่วยระหว่างวันที่ 1 - 16 เม.ย.64 จำนวน 30 ราย ผู้ป่วยรายใหม่ในวันที่ 17 เม.ย. 64 จำนวน 8 รายรวมเป็นมีผู้ป่วยสะสม จำนวน 38 ราย โดยรายที่ 31 เพศชาย อายุ 45 ปี อ.เมืองศรีสะเกษ พนักงานขับรถ รับผู้ติดเชื้อรายที่ 18 รายที่ 32 เพศหญิง อายุ 29 ปี อ.เมืองศรีสะเกษ บุตร ผู้ป่วยยืนยันรายที่ 22 รายที่ 33 เพศชาย อายุ 24 ปี อ.เมืองศรีสะเกษ บุตร ผู้ป่วยยืนยันรายที่ 29 (ไปงานแต่งงาน) รายที่ 34 เพศชาย อายุ 21 ปี อ.เมืองศรีสะเกษ บุตร ผู้ป่วยยืนยันรายที่ 30 (ไปงานแต่งงาน) รายที่ 35 เพศชาย อายุ 21 ปี อ.เมือง อาชีพ ชกมวย ที่กรุงเทพฯ รายที่ 36 เพศชาย อายุ 24 ปี เดินทางไปกรุงเทพฯ สัมผัสผู้ป่วยยืนยันรายที่ 30  รายที่ 37 เพศชาย อายุ 19 ปี อ.กันทรลักษ์ เดินทางมาจากกรุงเทพฯ และรายที่ 38 เพศหญิง อายุ 29 ปี อ.อุทุมพรพิสัย เดินทางไปกรุงเทพฯ ซึ่งเขตพื้นที่ที่เป็นพื้นที่สีแดงคือ อ.เมืองศรีสะเกษ อ.กันทรารมย์และ อ.วังหิน

โดยมี นายสำรวย เกษกุล รอง ผวจ.ศรีสะเกษ พร้อมด้วย นายนพ พงษ์ผลาดิสัย ปลัดจังหวัดศรีสะเกษ นายบุญประสงค์ นวลสายย์ หน.สนง.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จ.ศรีสะเกษ หน.ส่วนราชการและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องมาเข้าร่วมประชุม

นายวัฒนา พุฒิชาติ ผวจ.ศรีสะเกษ กล่าวว่า การที่ยอดผู้ติดเชื้อสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องนี้ ตนเคยกล่าวเอาไว้ว่าทุกคนต้องเป็นผู้เล่นด้วยกันทั้งหมดเหมือนกับฟุตบอล ทุกคนมีบทบาทอย่างยิ่งคนในสนามฟุตบอล ก็เหมือนกับพี่น้องประชาชน ถ้าพี่น้องประชาชนเล่นฟุตบอลในสนามไม่วิ่งไม่กระตือรือร้นไม่ช่วยกัน โอกาสที่จะทำประตูและมีชัยชนะก็จะเป็นไปไม่ได้

เพราะฉะนั้นพี่น้องประชาชนเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งโดยเฉพาะอย่างยิ่งการประพฤติปฏิบัติต่อกันในการดูแลคนที่เข้ามาในพื้นที่ คนในครอบครัวจะต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าอาจจะไม่ใช่คนธรรมดาอาจจะมีการเจ็บการป่วยการติดเชื้อม าเราไม่ได้คิดว่าต้องการทำให้หวาดระแวง แต่ว่าอยากให้ตระหนักว่าถ้าสมมุติว่าทุกคนมีสมมุติฐานในการที่จะต้องการให้ปลอดภัยร่วมกันต่างคนต่างกลัวกันไว้ก่อน ในครอบครัวทานข้าวอาจจะแยกกันทานข้าว พูดคุยกันให้น้อยลง ใส่หน้ากากให้มากขึ้นและงดลดการที่จะไปร่วมกับกิจกรรมกับคนอื่นและปฏิบัติตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข คิดว่าต้นทางตรงนี้จะสามารถสกัดยับยั้งได้ดี

ผวจ.ศรีสะเกษ ยังกล่าวด้วยว่า ในส่วนของการเตรียมการแนวหลังก็เป็นสิ่งที่คิดว่าเรามีความพร้อมเรามีแผนหนึ่งแผนสองสถานที่หนึ่งสถานที่สองเตรียมไว้แล้ว แต่ก็ไม่อยากให้ถึงขนาดนั้นไม่ต้องการให้คนศรีสะเกษเจ็บไข้ได้ป่วย เพราะฉะนั้นเราจะต้องเป็นทีมเดียวกันไม่ใช่มีเฉพาะทีมหมอทีมพยาบาล ทีมตำรวจทีมปกครอง ประชาชนก็จะต้องเป็นทีมหนึ่งเดียวกันคือเป็นทีมศรีสะเกษที่จะต้องร่วมด้วยช่วยกันเมื่อต้นทางไม่เกิดขึ้นมาโอกาสที่จะเพิ่มขยายก็ลดน้อยลง

แต่สิ่งหนึ่งก็คือเราอย่าไปว่ากันใครติดแล้วติดมา ติดมาจากไหนบอกไปไหนมาบ้าง บอกที่หมอพยาบาลจะเข้าสอบสวนเส้นทางและไทม์ไลน์ต่าง ๆ ให้เร็วที่สุด และเราก็จะสกัดกั้นการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เพราะฉะนั้นเราจะต้องเป็นทีมเดียวกันช่วยกันตนคิดว่าเราจะฝ่าสถานการณ์ที่ยากลำบากนี้ไปได้อย่างรวดเร็วและราบรื่น


ภาพ / ข่าว ศิริเกษ หมายสุข ผู้สื่อข่าวประจำ จ.ศรีสะเกษ

อุบลราชธานี - เอาไม่อยู่ ตรวจพบผู้ป่วยโควิดเพิ่ม 7 ราย รวมเป็น 102 ราย ส่วนใหญ่มีไทม์ไลน์เกี่ยวเนื่องกับสถานบันเทิง

วันที่ 17 เม.ย.64 ที่ห้องประชุมสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอุบลราชธานี นายสฤษดิ์ วิฑูรย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี แถลงข่าวสถานการณ์โควิด - 19 จังหวัดอุบลราชธานี พบผู้ป่วยเพิ่ม 7 ราย รวมจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด - 19 รอบใหม่ 102 คน พื้นที่ที่พบผู้ป่วยรายใหม่อยู่ในอำเภอบุณฑริก อำเภอเมือง อำเภอวารินชำราบ อำเภอเขมราฐ และอำเภอม่วงสามสิบ ส่วนใหญ่มีประวัติสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย และมีประวัติเสี่ยงที่เกี่ยวเนื่องกับสถานบันเทิงในจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งทั้งหมดเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลและมีอาการไม่รุนแรง 

ผวจ.อุบลราชธานี กล่าวว่า ขณะนี้จังหวัดอุบลราชธานีได้กำหนดมาตรการป้องกันควบคุมโรคและปิดสถานที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019  ได้แก่ การห้ามการดำเนินการหรือจัดกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการแพร่โรค ห้ามการใช้อาคารหรือสถานที่ของโรงเรียนและสถาบันการศึกษาทุกประเภทเพื่อจัดการเรียนการสอน การสอบ การฝึกอบรม หรือทำกิจกรรมใด ๆ ที่มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมจำนวนมาก ห้ามจัดกิจกรรมซึ่งมีการรวมกลุ่มของบุคคลที่มีจำนวนมากกว่าห้าสิบคนขึ้นไป  ปิดสถานบริการ  ผับบาร์ คาราโอเกะ สถานประกอบกิจการอาบน้ำ อาบอบนวด ออกไปจนถึงวันที่ 24 เมษายน 2564 การกำหนดให้ทุกพื้นที่อำเภอและตำบลของจังหวัดอุบลราชธานีเป็นพื้นที่ควบคุม การจำหน่ายอาหาร และเครื่องดื่มและบริการบริโภคในร้านอาหารทั่วไป ร้านอาหารทั่วไป ร้านข้าวต้ม รถเข็นแผงลอยจำหน่ายอาหารเปิดได้ไม่เกิน 23.00 น. การจำหน่ายสุราหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ห้ามไม่ให้มีการบริโภคในร้าน ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า เปิดได้จนถึงเวลา  21.00 น. และให้จำกัดจำนวนผู้เข้ารับบริการ

ขอความร่วมมือประชาชนในจังหวัดอุบลราชธานีงดหรือหลีกเลี่ยงการเดินทางโดยไม่มีเหตุจำเป็น โดยเฉพาะการเดินทางไปในพื้นที่ควบคุม งดการจัดกิจกรรมสังสรรค์ อยู่บ้าน หยุดเชื้อ และให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันควบคุมโรคอย่างเคร่งครัด ด้วยการสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยน้ำหรือแอลกอฮอล์ รักษาระยะห่าง  ตรวจวัดอุณหภูมิ สำหรับมาตรการคัดกรองบุคคลเข้าพื้นที่ให้ผู้ที่มาจากพื้นที่ควบคุมสูงสุด 18 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ นครปฐม ขอนแก่น ชลบุรี เชียงใหม่ ตาก นครราชสีมา ประจวบคีรีขันธ์ ภูเก็ต ระยอง สงขลา สมุทรสาคร สระแก้ว สุพรรณบุรี และอุดรธานี กักตัวเพื่อดูอาการ 14 วัน และสแกนแอปพลิเคชั่นไทยชนะและฮักอุบลเมื่อเข้าพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี


ภาพ/ข่าว  กิตติภณ  เรืองแสน

ปทุมธานี – ไม่มีวันหยุด คำรณวิทย์ สนับสนุนมูลนิธิครอบครัวพอเพียงส่งเสริมเยาวชนปทุมธานี

เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2564 ที่สำนักงานองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี ต.บ้านฉาง อ.เมือง จ.ปทุมธานี พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง นายก อบจ.ปทุมธานี ให้การต้อนรับ นางสาวอริยสิริ พิพัฒน์นารา ประธานคณะกรรมการมูลนิธิครอบครัวพอเพียง พร้อมด้วยนายสมนึก  เกกีงาม  ประธานมูลนิธิครอบครัวพอเพียง สาขาปทุมธานี พร้อมคณะเพื่อขอช่วยเหลือและข้อเสนอแนะความคิดเห็นในการทำงานของมูลนิธิครอบครัวพอเพียง ที่เป็นองค์กรเอกชนด้านสิทธิมนุษย์ชนและสภาวิชาชีพ

นางสาวอริยสิริ พิพัฒน์นารา กล่าวถึงวัตถุประสงค์มูลนิธิครอบครัวพอเพียงว่า เพื่อปลุกจิตสำนึกให้เยาวชนและครอบครัวมีความรัก ความกตัญญู รู้คุณชาติ ศาสนาและสถาบันพระมหากษัตริย์ ให้เยาวชนและครอบครัวมีคุณธรรมมีจริยธรรม รังเกียจการทุจริตและถือประโยชน์ของส่วนรวมเป็นสำคัญให้ความช่วยเหลือในการให้คำปรึกษาแนะนำ จัดฝึกอบรมดูงาน ผลิตเอกสารและเผยแพร่เรื่องเกี่ยวกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง แก่เยาวชนและครอบครัว เพื่อการนำไปใช้ในชีวิตประจำวันตลอดจนในการบริหารองค์กร ห้างร้าน ชุมชนและประเทศชาติ

มูลนิธิครอบครัวพอเพียงได้เปิดสาขาที่จังหวัดปทุมธานี เป็นจังหวัดลำดับที่ 16 จากประชาชนที่มีจิตอาสาและเสียสละเพื่อเพื่อปลุกจิตสำนึกให้เยาวชนและครอบครัวมีความรักโดยมุ่งเน้นไปที่เยาวชนตามโรงเรียนต่างๆทั่วประเทศ มูลนิธิครอบครัวพอเพียงจึงอยากให้ อบจ.ปทุมธานีช่วยสนับสนุนงบประมาณในการจัดฝึกอบรมเยาวชนปทุมธานีเพื่อการพัฒนาประเทศในอนาคต

พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง กล่าวว่า ยินดีให้การสนับสนุนกับทางมูลนิธิครอบครัวพอเพียงที่มองเห็นประโยชน์ของเยาวชนที่จะเป็นกำลังสำคัญในอนาคตของประเทศชาติ ซึ่งทางอบจ.ปทุมธานีได้ทำ MOU กลับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี โดยมี นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี ผอ. เขตการศึกษาระดับมัธยม และอธิการบดี มทร.เพื่อจะต่อยอดให้เด็กระดับมัธยมซึ่งมีทั้งหมด 22 โรงเรียน โดยได้ขอความร่วมมือไปยังภาคอุตสาหกรรมในจังหวัดปทุมธานี เช่น อุตสาหกรรมนวนครอุตสาหกรรมบางกะดี อุตสาหกรรมลาดหลุมแก้ว เป็นต้นโดยมีแนวคิดเด็กที่จบการศึกษา ถ้าทางโรงงานเรานั้นจะรับคนงานในแต่ละปีก็ขอให้คนปทุมธานี 50% เพื่อให้คนปทุมธานีได้มีงานทำในส่วนของนโยบายที่ออกไปทั้งหมดนั้นเริ่มดำเนินการทำตามขั้นตอนทั้งหมด จะเห็นว่า อบจ.ปทุมธานีทำงานไม่มีวันหยุดเพื่อคนปทุมโดยแท้จริง รวมทั้งการตรวจโควิด-19 ซึ่งเราจะรอไม่ได้ เพราะเชื้อไวรัสโควิด ไม่มีวันหยุด  ดังนั้นทุกภาคส่วนต้องร่วมกันในการนำพาประเทศให้ปลอดภัยจากไวรัสโควิด-19


ภาพ/ข่าว ประภาพรรณ ขาวขำ / รายงาน

กาฬสินธุ์ - ช็อคคลัสเตอร์ผับตากอากาศนศ.ติดโควิดเพิ่ม 1 ราย ไม่รอผลไทม์ไลน์ทั่วเมือง

จังหวัดกาฬสินธุ์พบผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มอีก 1 ราย เป็นนักศึกษาสาววิทยาลัยเทคนิคกาฬสินธุ์วัย 18 ปี ชาวตำบลกลางหมื่น อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ พบเป็นคลัสเตอร์คอนเสิร์ต “ซองดูฮี” สถานบันเทิงตากอากาศ และเข้าตรวจกลุ่มเสี่ยงสูงแต่ไม่รอผลและไม่กักตัว ตรวจสอบไทม์ไลน์พื้นที่และช่วงเวลาเสี่ยงซื้อของทั่วเมือง ขณะที่ยอดผู้ติดเชื้อของจังหวัดกาฬสินธุ์รวม 16 ราย พร้อมออกประกาศคุมเข้มมาตรการป้องกันการแพร่ระบาด

เมื่อเวลา 10.30 น.วันที่ 17 เมษายน 2564 นายทรงพล ใจกริ่ม ผวจ.กาฬสินธุ์ เป็นประธานประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อ จ.กาฬสินธุ์ เพื่อติดตามสถานการณ์และปรับแผนวางมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 หลังพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอีก 1 ราย เป็นคลัสเตอร์จากคอนเสิร์ต “ซองดูฮี”สถานบันเทิงตากอากาศ ทำให้ จ.กาฬสินธุ์ มียอดผู้ติดเชื้อสะสมรวม 16 ราย โดยรายล่าสุดนั้นอยู่ในกลุ่มเสี่ยงเที่ยวสถานบันเทิงและได้เข้ารับการตรวจหาเชื้อ แต่ระหว่างรอผลการตรวจกลับพบว่าไม่ได้กักตัวเอง และได้เดินทางไปสถานที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะในตัวเมืองกาฬสินธุ์หลายแห่ง

นายทรงพล ใจกริ่ม ผวจ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า สำหรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มอีก 1 ราย เป็นรายที่ 16 ล่าสุดนั้น เป็นนักศึกษาหญิงของวิทยาลัยเทคนิคกาฬสินธุ์ อายุ 18 ปี มีภูมิลำเนาอยู่ใน ต.กลางหมื่น อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์  ประวัติสัมผัสผู้ติดเชื้อจากคอนเสิร์ตซองดูฮีสถานบันเทิงตากอากาศ อ.นามน จ.กาฬสินธุ์ เริ่มมีอาการป่วย 13 เมษายน 2564 ด้วยอาการไอ ปวดศีรษะ หายใจเหนื่อย

นายทรงพล กล่าวต่อว่า สำหรับกรณีผู้ป่วยรายที่ 16 หรือประชาชนทั่วไปที่รู้ตัวเองว่าอยู่ในกลุ่มเสี่ยงและเข้ารับการตรวจคัดกรอง ซึ่งระหว่างการรอผลตรวจนั้น อยากฝากเตือนจะต้องปฏิบัติตัวรับผิดชอบต่อสังคมด้วย โดยการกักตัว สังเกตอาการตัวเองเป็นเวลา 14 วัน ไม่ออกไปในสถานที่ต่างๆหรือพบปะผู้คนจำนวนมาก ที่จะทำให้บุคคลอื่นเสี่ยงติดเชื้อไปด้วย ซึ่งต่อไปหากพบว่ามีกรณีบุคคลอยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูงและเข้าตรวจเชื้อแล้ว อยู่ระหว่างการรอผลตรวจ แต่ไม่ยอมกักตัวเอง และยังเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆอีกทางเจ้าหน้าที่อาจจะต้องมีการบังคับใช้กฎหมายดำเนินการขั้นเด็ดขาดต่อไป เพื่อป้องกันความเสี่ยงในการติดเชื้อ

อย่างไรก็ตามจากการสอบสวนโรคของเจ้าหน้าสาธารณสุข พบไทม์ไลน์ผู้ป่วยรายที่ 16 นักศึกษาอายุ 18 ปี โดยมีพื้นที่และช่วงเวลาเสี่ยงดังนี้ วันที่ 10 เมษายน 2564 ช่วงเวลา 14.00-14.15 น.ตลาดสดเทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ (หน้าสภ.เมืองกาฬสินธุ์) ช่วงเวลา 23.00-24.00 น.ร้านตากอากาศ อ.นามน จ.กาฬสินธุ์, วันที่ 12 เมษายน 2564 ช่วงเวลา 11.40-11.50 น.ร้านนุชไก่สด ตลาดเกษตร อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ ช่วงเวลา 12.00-12.05 น.ร้านอี้เหวินชาปั่น ตลาดเกษตร ช่วงเวลา 12.34-12.50 ร้าน KFC สาขากาฬสินธุ์พลาซ่า ช่วงเวลา 13.30-13.40 น.ร้านก๋วยเตี๋ยวแก่งนาขาม ต.นาจารย์ อ.เมืองกาฬสินธุ์, วันที่ 14 เมษายน 2564 ช่วงเวลา 16.10-16.20 น.ร้านห้องเย็นโอเล่ ต.โพนทอง อ.เมืองกาฬสินธุ์, วันที่ 15 เมษายน 2564 ช่วงเวลา 13.00-13.30 น.ร้านโกเหลียงก๋วยเตี๋ยว (วงเวียนน้ำพุ) อ.เมืองกาฬสินธุ์

ซึ่งหากประชาชนท่านใดมีประวัติเดินทางเข้าไปในพื้นที่และช่วงเวลาเสี่ยงตามที่ได้แจ้งนี้ ให้รายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่สาธารณสุขใกล้บ้านและแจ้งประวัติเพื่อประเมินความเสี่ยง หรือติดต่อที่หมายเลขโทรศัพท์ 043-019760 ต่อ 107 (กลุ่มงานควบคุมโรคติดต่อ สำนักงานสาธารณสุข จ.กาฬสินธุ์)

นายทรงพล กล่าวอีกว่า ล่าสุด จังหวัดกาฬสินธุ์ได้ออกคำสั่งฉบับที่ 24 การห้ามดำเนินการหรือจัดกิจกรรมหรือที่เสี่ยงต่อการแพร่โรค เช่น การปิดสถานบริการ หรือสถานที่เสี่ยงต่อการแพร่โรค ผับ บาร์ คาราโอเกะ หรือสถานประกอบการที่มีลักษณะคล้ายสถานบริการ สถานบันเทิง ตั้งแต่วันที่ 18 เมษายน 2564 เป็นต้นไป โดยให้ยกเลิกคำสั่งฉบับที่ 23 ที่เดิมกำหนด ไว้ 13-26 เมษายน นอกจากนี้ ยังห้าม การใช้อาคาร หรือสถานที่ของโรงเรียน และสถาบันการศึกษาทุกประเภท เพื่อการจัดการเรียนการสอน การสอบ การอบรม หรือการทำกิจกรรมใด ๆ ที่มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนมาก งานประชุม งานสัมมนา ที่มีจำนวนประชาชนเข้าร่วมงานเกินกว่า 50 คน ขอให้เลื่อนไปก่อนอย่างน้อย 2 สัปดาห์ งานบวช งานแต่ง ทำได้ตามประเพณีแต่ต้องไม่มีการจัดแสดงกิจกรรมหรือมหรสพ ส่วนการจำหน่ายอาหาร เครื่องดื่ม สามารถทำได้จนถึงเวลา 23.00 น โดยงดจำหน่ายสุราหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมทั้งการห้ามบริโภคในร้าน


ภาพ/ข่าว ณับพงษ์  ประชากูล จ.กาฬสินธุ์

นราธิวาส-เปิดโรงพยาบาลสนามแห่งที่ 2 จำนวน 186 เตียงดูแลผู้ป่วย COVID19 ที่ศูนย์ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้เสพยาเสพติด พร้อมรับผู้ป่วยวันแรก 65 ราย

วันนี้ (17 เม.ย. 64) ที่ศูนย์ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้เสพยาเสพติดจังหวัดนราธิวาส นายเจษฎา จิตรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส เป็นประธานเปิดโรงพยาบาลสนามแห่งที่ 2 ของจังหวัดนราธิวาส โดยมีนางดาเรศ จิตรัตน์ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดนราธิวาส นาวาเอก วิชชา พรหมคีรี รอง ผอ.รมน.จ.นราธิวาส (ฝ่ายทหาร) นายชินวุฒิ ขาวสำลี รองผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส ปลัดจังหวัดนราธิวาส นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนราธิวาส หัวหน้าส่วนราชการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม

โดยผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาสและคณะได้ตัดริบบิ้นเปิดโรงพยาบาลสนามแห่งที่ 2 จากนั้นได้เข้าเยี่ยมชมภายในอาคารที่สามารถรองรับผู้ป่วยได้ 186 เตียง ซึ่งการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามรองรับการให้บริการผู้ป่วย COVID19 เพื่อทำหน้าที่ในการคัดกรองและแยกผู้ป่วยโดยใช้ระดับความรุนแรงของโรค จัดลำดับความสำคัญในการรักษาผู้ป่วยและจัดระบบบริการ สำหรับในวันนี้จะรองรับผู้ป่วย COVID19 ซึ่งเป็นผู้ต้องขังจากเรือนจำชั่วคราวโคกยามูและผู้พ้นโทษ จำนวน 65 ราย ส่วนในผู้ป่วยกลุ่มอื่น ๆ จะทยอยเข้ารับการรักษาจนเต็มจำนวนเตียง โดยสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนราธิวาสจัดสรรบุคลากรทางการแพทย์ ประกอบด้วย แพทย์และพยาบาลอยู่ประจำทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้การรักษาและป้องกันการแพร่ระบาดของโรค COVID19

นายเจษฎา จิตรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส กล่าวว่า ขณะนี้มีการแพร่ระบาดของโรค COVID19 เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง คาดการณ์ว่าจะมีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะผู้ต้องขัง ผู้พ้นโทษ และกลุ่มประชาชนทั่วไป ซึ่งขีดความสามารถของโรงพยาบาลสนามเรือนจำจังหวัดนราธิวาสแห่งแรกอาจรองรับผู้ป่วยได้ไม่เพียงพอ และมีข้อจำกัดด้านพื้นที่ จึงได้จัดตั้งโรงพยาบาลสนามแห่งที่ 2 เพื่อรองรับผู้ป่วย COVID19 เพิ่มเติม สำหรับในด้านการบริหารจัดการระดับพื้นที่ขอให้นายอำเภอเป็นผู้นำ ซึ่งถ้าทุกคนช่วยกันก็มั่นใจว่าจะสร้างความมั่นใจให้ชาวนราธิวาส รวมทั้งลดการแพร่กระจายของโรค COVID19 ในจังหวัดนราธิวาสได้ เพื่อให้สามารถระงับยับยั้งโรคได้ภายใน 28 วัน

ทั้งนี้ ศบค. ได้แถลงสถานการณ์การติดเชื้อ COVID19 ในจังหวัดนราธิวาส วันนี้ (17 เมษายน 2564) มีผู้ป่วยใหม่ จำนวน 18 ราย และผู้ป่วยยืนยันสะสม จำนวน 348 ราย


ภาพ/ข่าว  แวดาโอ๊ะ หะไร จ.นราธิวาส

แม่ฮ่องสอน – เกิดพายุฝนกระหน่ำพื้นที่แม่ฮ่องสอน ไฟฟ้าดับทั้งคืน

จากเมื่อเย็นของค่ำวันที่ 16 เมษายน 2564 เวลา  18.30 น.ที่ผ่านมาได้เกิดพายุฝนฟ้าคะนองลมแรงในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้รับผลกระทบในหลายอำเภอ ต้นไม้ล้มปิดทับเส้นทางหลวงหมายเลข 108 ระหว่างอำเภอแม่ลาน้อย – อำเภอแม่สะเรียง ทำให้การจราจรติดขัดรถทุกชนิดไม่สามารถผ่านไปมาได้เจ้าหน้าที่หมวดการทางแม่สะเรียงร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจจากสถานีตำรวจภูธรแม่ลาน้อย ตลอดทั้งชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียงระดมช่วยกันตัดกิ่งไม้เพื่อเปิดช่องทางจราจรใช้เวลาประมาณ 30 นาทีสามารถเปิดการจราจรได้ และที่บ้านแม่แลบ หมู่ที่ 6 ตำบลแม่ลาน้อย ถูกแรงพายุพักกระหน่ำเอาซู้มประตูทางเข้าหมู่บ้านพังล้มระเนระนาด ที่บ้านท่าผาปุ้ม หมู่ที่ 3 ตำบลท่าผาปุ้ม อำเภอแม่ลาน้อยพายุได้พัดเอาเต็นฑ์ที่กางไว้เพื่อจัดกิจกรรมเทศกาลสงกรานต์หอบขึ้นไปไว้บนหลังคาบ้านตลอดจนสิ่งของพังระเนระนาดเช่นกัน

ที่บริเวณหมู่บ้านห้วยโป่งกาน ตำบลผาบ่อง ถนนสาย 108 มีต้นไม้ขนาดใหญ่ล้มพาดใส่สายไฟฟ้า  ทำให้เสาไฟฟ้าหักล้มจำนวน 7 ต้น ไม่สามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าให้แก่อำเภอขุนยวม ทำให้อำเภอขุนยวมทุกหมู่บ้าน และหน่วยราชการไม่มีกระแสไฟฟ้าใช้ตลอดทั้งคืนเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดแม่ฮ่องสอนทั้งสองอำเภอต่างระดมช่วยกันแก้ไขปัญหาจนสำเร็จลุล่วงสามารถทำการจ่ายกระแสไฟฟ้าได้ในเวลา 06.00 น.ของเช้าวันที่ 7 เมษายน 2564


ในพื้นที่อำเภอเมืองจังหวัดแม่ฮ่องอน ได้เกิดต้นไม้ล้มทับหลังคาบ้านของ นายนิติธร  วิไจยา เลขที่ 71 ถนนนิเวชพิศาล  ตำบลจองคำ  อำเภอเมือง ได้รับความเสียหาย ทาง พ.อ.สุจินต์  ทรัพย์สิน  ผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจกรมทหาราบที่ 7 ม่อนตะแลง จัดกำลังพลชุดบรรเทาสาธารณภัย นำโดย ร.ท.พิษณุ  ต๊ะนางอย  หัวหน้าชุด ร่วมกับเจ้าหน้าที่แขวงทางหลวงจังหวัดแม่ฮ่องสอน เข้าทำการช่วยเหลือตัดกิ่งไม้ชักลากต้นไม้ออกจากหลังคาบ้าน สามารถให้เจ้าของบ้านเข้าพักอาศัยได้ตามปกติ

ภาพ/ข่าว  เกียรติศักดิ์  รักสัตย์  / เกียรติยศ  รักสัตย์ / ทีมข่าวภูมิภาคประจำจังหวัดแม่ฮ่องสอน

เชียงใหม่ - ขนส่งจังหวัดเชียงใหม่ อำนวยความสะดวก และความปลอดภัยรองรับการเดินทางของประชาชนช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2564

วันที่​ 16 เม.ย.​ 2564 สำนักงานขนส่งจังหวัดเชียงใหม่ โดย นางวราภรณ์ วรพงศธร ขนส่งจังหวัดเชียงใหม่ จัดเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวก และความปลอดภัยรองรับการเดินทางของประชาชนช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2564​  ณ​ สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดเชียงใหม่ แห่งที่ 1, 2 และ 3  โดยจัดเจ้าหน้าที่ทำการตรวจสอบความพร้อมของตัวรถ และอุปกรณ์ส่วนควบ ด้านความปลอดภัยของรถโดยสาร​ ตามแบบ Checklist  ได้แก่ ล้อและยาง กระจกกันลม ระบบไฟฟ้า ประตูฉุกเฉิน เข็มขัดนิรภัย และค้อนทุบกระจก ตรวจสอบรถ จำนวน 90 คัน พบว่ารถโดยสารมีความพร้อมทุกคัน ไม่พบข้อบกพร่อง

นอกจากนี้ได้ทำการตรวจความพร้อมของพนักงานขับรถ จำนวน 90 ราย พบว่าพนักงานขับรถมีความพร้อมทุกราย ไม่พบการกระทำความผิดกฎหมาย

ในการนี้ได้ให้คำแนะนำ แก่ผู้โดยสารบนรถโดยสารประจำทาง  เพื่อความปลอดภัยในการเดินทาง​ ได้แก่ การคาดเข็มขัดนิรภัย​ การใช้อุปกรณ์ช่วยเหลือกรณีฉุกเฉิน​ ประชาสัมพันธ์การแจ้งร้องเรียนรถโดยสารสาธารณะ ทางสายด่วน 1584 

ขนส่งจังหวัดเชียงใหม่ ได้กำชับพนักงานขับรถและผู้โดยสารให้ปฎิบัติตามมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค COVID19 อย่างเคร่งครัด  โดยจัดให้มีการวัดอุณหภูมิพนักงานขับรถ  ผู้บริการ และผู้โดยสารทุกคนเพื่อคัดกรอง ,   พนักงานขับรถ  ผู้บริการ และผู้โดยสารทุกคน ต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา  ,จัดให้มีเจลหรือแอลกอฮอล์เพื่อล้างมือก่อนขึ้นรถ และทุกครั้งที่มีการสัมผัส ,ทำความสะอาดรถด้วยแอลกอฮอล์หรือน้ำยาฆ่าเชื้อทุกครั้งหลังการใช้งาน และต้องเข้มงวดการให้ผู้โดยสารทุกคนต้องลงทะเบียนข้อมูลการเดินทางและสแกนคิวอาร์โค้ดไทยชนะ  และรถขาเข้าทุกคันต้องให้ผู้โดยสารทุกคนสแกนคิวอาร์โค้ด CM - CHANA ก่อนเข้าเชียงใหม่ เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับทุกคนในการติดตามตัว หากพบผู้ติดเชื้อโควิดด้วย


ภาพ/ข่าว นภาพร เชียงใหม่

ทำความรู้จัก “กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน : Infrastructure Fund” เพื่อวางกลยุทธ์การลงทุนในช่วงวิกฤต

แม้ในช่วงวิกฤติจะส่งผลให้การลงทุนเกิดความผันผวนอย่างมาก ทั้งต่อระดับความเสี่ยงจากการลงทุน และผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับก็ตาม แต่หากนักลงทุนวางกลยุทธ์การลงทุนโดยเลือกสินทรัพย์ที่เหมาะสม ก็จะช่วยพลิกวิกฤติเป็นโอกาส และสามารถสร้างผลตอบแทนได้ในระดับที่น่าพึงพอใจ

ตลอด 2 ปีที่ผ่านมาในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยลดต่ำทั่วโลก การลงทุนในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund :IFF) เป็นทางเลือกการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนแก่นักลงทุนในระดับที่สูงกว่าตราสารหนี้ และมีความผันผวนในระดับที่ต่ำกว่าตลาดหุ้น เนื่องจากจุดเด่นของอุตสาหกรรมโครงสร้างพื้นฐานที่มีอุปสงค์ยืดหยุ่นต่ำ ไม่ผันแปรตามสภาวะเศรษฐกิจ เพราะเป็นสินค้าและบริการที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของประชาชน อีกทั้งเป็นธุรกิจที่มี Barrier of Entry สูง (เป็นเจ้าตลาด หรือ ธุรกิจผูกขาด) จึงทำให้มีคู่แข่งขันเข้ามายาก ตลอดจนความสามารถในการขึ้นราคาเมื่อต้นทุนเพิ่มขึ้นหรือในภาวะเงินเฟ้อได้อีกด้วย

กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน เป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ภาครัฐและเอกชนใช้ในการระดมทุนจากผู้ลงทุนทั่วไปทั้งรายย่อยและสถาบัน เพื่อนำเงินไปลงทุนในกิจการโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะในวงกว้างของประเทศ 10 ประเภท ประกอบด้วย ระบบขนส่งทางราง, ประปา, ไฟฟ้า, ถนน, สนามบิน, ท่าเรือน้ำลึก, โทรคมนาคม, พลังงานทางเลือก, ระบบบริหารจัดการน้ำหรือชลประทาน และระบบป้องกันภัยธรรมชาติ โดยนักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนในรูปของเงินปันผล และกำไรจากส่วนต่างราคา นอกจากนี้ผู้ลงทุนที่เป็นบุคคลธรรมดายังได้รับยกเว้นภาษีจากรายได้เงินปันผลดังกล่าวเป็นระยะเวลา 10 ปี ทั้งนี้ในประเทศไทยมีกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่

1.) กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย หรือ TFFIF

2.) กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้า ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี หรือ SUPEREIF

3.) กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน โรงไฟฟ้าพระนครเหนือ ชุดที่ 1 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยหรือ EGATIF

4.) กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งมวลชนทางราง บีทีเอสโกรท หรือ BTSGIF

5.) กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ดิจิทัล หรือ DIF

6.) กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต จัสมิน หรือ JASIF

7.) กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้า อมตะ บี.กริม เพาเวอร์ หรือ ABPIF และ

8.) กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้ากลุ่มน้ำตาลบุรีรัมย์ หรือ BRRGIF

นักลงทุนที่สนใจลงทุนในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน สามารถทำได้ 2 ช่องทาง คือ

1.) การซื้อหุ้น IPO ที่ทำการเสนอขายครั้งแรก ผ่านบริษัทหลักทรัพย์ที่บริหารจัดการจัดการกองทุนนั้น รวมทั้งธนาคารพาณิชย์ หรือโบรกเกอร์ที่เป็นผู้จัดจำหน่าย และ

2.) ภายหลังจากหมดช่วง IPO แล้ว กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานก็จะถูกนำเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และซื้อขายเช่นเดียวกับหุ้นทั่วไปบนกระดานหุ้น ดังนั้นผู้ลงทุนจึงต้องเปิดบัญชีและทำการซื้อขายหุ้นโครงสร้างพื้นฐานผ่านโบรกเกอร์ได้


ข้อมูลอ้างอิง

https://www.set.or.th/th/products/listing2/set_iff_p1.html

https://www.finnomena.com/finnomena-ic/scbgif/

ไอร์แลนด์เหนือ มรดกแห่งความขัดแย้งของอังกฤษ ความสงบที่ถูกสั่นคลอนจากผลสะท้อนของ Brexit

ไอร์แลนด์เหนือ 1 ใน 4 ประเทศที่เป็นองค์ประกอบของสหราชอาณาจักร เป็นประเทศเขตเดียวที่ไม่ได้ตั้งอยู่บนเกาะบริเตนใหญ่เหมือนอย่างอังกฤษ สก็อตแลนด์ และ เวลส์ แต่เป็นส่วนหนึ่งของเกาะไอร์แลนด์ ที่ถูกแยกออกมา 2 ส่วน คือ สาธารณรัฐไอร์แลนด์ ซึ่งเป็นประเทศอิสระ กับ ไอร์แลนด์เหนือที่เป็นส่วนหนึ่งของสหราชอาณาจักร

ไอร์แลนด์เหนือ ถูกมองว่าเป็นหนึ่งลูกที่มีปัญหาของอังกฤษมาช้านาน ราวกับว่า "ความขัดแย้ง" คือมรดกที่ตกทอดไปสู่ลูก ๆ หลาน ๆ ของชาวไอร์แลนด์เหนือ ที่ล่าสุดตอนนี้ได้ลุกฮือขึ้นมาประท้วงครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายปีปี และขยายตัวเป็นความรุนแรง มีการเผารถเมล์สาธารณะ ขว้างปาก้อนอิฐ ระเบิดขวดข้ามไปยังกำแพงแห่งสันติภาพ เส้นแบ่งความขัดแย้งแห่งประวัติศาสตร์ของชาวไอร์แลนด์เหนือมานานมากกว่า 50 ปี

ความขัดแย้งในไอร์แลนด์เหนือ เกิดจากปัญหาในหลายมิติ ที่ทับถมกันมานานถึง 1 ศตวรรษเต็มๆ ทั้งปัญหาความแตกต่างทางเชื้อชาติ ศาสนา การเมือง สิทธิมนุษยชน จนวันนี้ มีปัญหาใหม่เพิ่มเข้ามาถมอีก นั่นก็คือ Covid19 และ Brexit

มรดกความขัดแย้งของไอร์แลนด์เหนือมีที่มาจากอะไร วันนี้เรามาลองมาทำความเข้าใจกันสักหน่อยดีกว่า

ก่อนหน้าที่จะมีการแบ่งเกาะไอร์แลนด์เป็น 2 ส่วนอย่างทุกวันนี้ ทั้งเกาะไอร์แลนด์เคยเป็นของอังกฤษทั้งหมด จากการพิชิตของกองทัพอังกฤษในสมัยพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 ในปี 1542 และได้สถาปนาตนขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งไอร์แลนด์

ในตอนนั้นประชากรส่วนใหญ่บนเกาะไอร์แลนด์เป็นชาวไอริช ที่นับถือศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก แต่ทางตอนเหนือของเกาะจะมีชุมชนของชาวอัลสเตอร์ ที่อพยพมาจากฝั่งสก็อตแลนด์ ส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์ นิกายโปแตสแตนท์

จนมาถึงช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ชาวเกาะไอร์แลนด์ที่เป็นชาวไอริชก็คิดว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องแยกตัวออกจากอังกฤษเสียที แต่ชาวอัลสเตอร์ที่อยู่อย่างหนาแน่นทางตอนเหนือของเกาะ ยังต้องการอยู่กับอังกฤษ จึงได้ลงนามตกลงแบ่งประเทศ ตอนใต้กลายเป็นสาธารณรัฐไอร์แลนด์ ปกครองโดยรัฐบาลชาวไอริช ที่ส่วนใหญ่เป็นคาทอลิก มีเมืองหลวงที่กรุงดับลิน ส่วนทางตอนเหนือแยกเป็นประเทศไอร์แลนด์เหนือ มีกรุงเบลฟาสเป็นเมืองหลวง ที่ยังขอเป็นส่วนหนึ่งของอังกฤษ ปกครองโดยรัฐบาลชาวอัลสเตอร์ ที่เป็นโปแตสแตนท์ในปี 1921

แต่ปัญหาของไอร์แลนด์เหนือกลับไม่จบง่าย ๆ เพราะยังคงมีชาวไอริชคาทอลิกหลงอยู่ทางตอนเหนือที่กลายเป็นชนกลุ่มน้อยทันที ในสังคมไอร์แลนด์เหนือที่เต็มไปด้วยชาวโปแตสแตนท์ ที่จงรักภักดีกับอังกฤษ บางส่วนจึงได้รวมตัวเป็นกลุ่มกองกำลังติดอาวุธ แล้วเรียกตนเองขบวนการกู้ชาติไอริช Irish Republican Army หรือ IRA มีเป้าหมายเพื่อรวมชาติไอร์แลนด์เหนือกลับมาเป็นส่วนหนึ่งของสาธารณรัฐไอร์แลนด์อีกครั้งหนึ่ง

ซึ่งกลุ่ม IRA ได้รับการสนับสนุนทั้งด้านการเงิน และอาวุธจากชาวไอริชทางตอนใต้ และชาวไอริชที่อยู่ในต่างประเทศ เช่นในยุโรป และสหรัฐอเมริกา เพื่อก่อความไม่สงบในไอร์แลนด์เหนือ และในอังกฤษอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่วางระเบิด ลอบสังหาร ปล้นธนาคาร จนถึงระดับก่อการร้าย ส่วนฝ่ายชาวอัสเตอร์โปแตสแตนท์เองก็มีกองกำลังติดอาวุธของตนเอง ออกมาสู้กับขบวนการ IRA เช่นเดียวกัน

ความขัดแย้งระหว่าง ชาวไอริชคาทอลิก และชาวอัลสเตอร์ โปแตสแตนท์ ในไอร์แลนด์เหนือ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยาวนานนับจากนั้น ช่วงเวลาที่ขัดแย้งรุนแรงที่สุด รู้จักในชื่อยุค "The Troubles" ที่กินเวลายาวนานถึง 30 ปี ตั้งแต่ 1960-1990 จนรัฐบาลอังกฤษต้องเข้ามาแทรกแซง และได้สร้างกำแพงกั้นระหว่างชุมชนฝั่งคาทอลิก และฝั่งโปสแตสแตนท์ในปี 1969 ที่ชาวไอร์แลนด์เหนือเรียกว่า Peace Wall - กำแพงสันติภาพ

แต่หน้าที่ของกำแพงไม่ได้ส่งเสริมสันติภาพตามชื่อของมันแม้แต่น้อย แต่กลับสร้างความแบ่งแยกระหว่างเชื้อชาติ และ ศาสนาในดินแดนไอร์แลนด์เหนือให้กว้างยิ่งขึ้นไปอีก

ผลจาก Peace Wall ทำให้เกิดการแบ่งแยกโซนออกมาอย่างชัดเจน เด็กชาวไอร์แลนด์เหนือมากกว่า 90% เข้าเข้าเรียนโรงเรียนที่สร้างขึ้นเฉพาะของกลุ่มเชื้อชาติ ศาสนาของตน โดยแทบไม่มีโอกาสได้รู้จักชุมชนอีกด้านหนึ่งของกำแพง

นอกจากนี้ กลุ่มชาวไอริชคาทอลิกที่เป็นชนกลุ่มน้อยมักถูกเลือกปฏิบัติ และมีโอกาสในหน้าที่การงานน้อยกว่าชาวโปแตสแตนท์ ที่มีเสียงในรัฐบาลไอร์แลนด์เหนือที่มากกว่า

ความขัดแย้งยังคงฝังรากลึกรุนแรงต่อเนื่อง เมื่อชาวไอริชในไอร์แลนด์เหนือได้รวมกลุ่มเพื่อเรียกร้องสิทธิ์ที่เท่าเทียมของตน จนเกิดจลาจลรุนแรง ทางอังกฤษได้ส่งกองกำลังเข้ามาปราบปรามในวันที่ 30 มกราคม 1972 จนมีชาวไอริชเสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนั้นถึง 26 คน เหตุการณ์นั้นได้รับการจารึกในประวัติศาสตร์ของไอร์แลนด์เหนือว่าเป็น "Bloody Sunday หรืออาทิตย์นองเลือด 1972"

ความเจ็บแค้นในครั้งนั้นก่อให้เกิดการตอบโต้อย่างรุนแรงจากกลุ่มกองกำลังกู้ชาติไอริช หรือ IRA ซึ่งหนึ่งในการโต้ตอบที่สะเทือนขวัญชาวอังกฤษอย่างมาก คือการลอบสังหาร ท่านเอิร์ล เมาท์แบทเทิ่น ด้วยการวางระเบิดเรือตกปลาส่วนตัวของครอบครัว ขณะที่มีบุตรสาวคนโต และครอบครัวลูกหลานของเอิร์ลเมาท์แบทเทิ่นกำลังไปพักผ่อนตกปลาร่วมกันถึง 7 คน เหตุลอบสังหารครั้งนั้น ทำให้เอิร์ลเมาท์แบทเทิ่น พร้อมสมาชิกในครอบครัวเสียชีวิตรวม 4 คน

ซึ่งเอิร์ล เมาท์แบทเทิ่นถือเป็นนายพลแห่งราชนาวีอังกฤษที่มีชื่อเสียงมาก และมีศักดิ์เป็นถึงพระปิตุลาของเจ้าชายฟิลิปแห่งเอดิบเบอระ พระสามีในสมเด็จพระราชินี อลิซเบธที่ 2

แต่หลังจากที่ตึงเครียดวุ่นวายมานาน ในที่สุดทั้งไอร์แลนด์เหนือ ไอร์แลนด์ อังกฤษ ก็สามารถบรรลุข้อตกลงสันติภาพร่วมกันในวันที่ 10 เมษายน 1998 ข้อตกลงฉบับนั้นมีชื่อว่า Good Friday Agreement เห็นชอบที่จะยุติความรุนแรงทุกฝ่าย ให้ชาวไอริชคาทอลิกมีสิทธิ์ มีเสียงในระบบการเมืองสภาไอร์แลนด์เหนือมากขึ้น นักประวัติศาสตร์อังกฤษต่างยกให้การบรรลุข้อตกลง Good Friday เป็นการสิ้นสุดยุค The Troubles ในไอร์แลนด์เหนือ

แม้ว่าความวุ่นวายจะยุติ แต่ความขัดแย้งในสังคมชาวไอร์แลนด์เหนือ ไม่เคยจางหายไป

ชาวโปแตสแตนท์ และชาวคาทอลิกในไอร์แลนด์เหนือ ยังคงอยู่ภายในกำแพงจำกัดเขตในชุมชนของตนไปอย่างเงียบ ๆ จนกระทั่งเกิดเรื่องที่กลับมาตอกลิ่มความแตกแยกให้ประทุมาอีกครั้ง นั่นคือการลงประชามติ Brexit ในปี 2016

แม้ว่าภาพรวมของการลงคะแนนทั่วทั้งสหราชอาณาจักรจะเห็นชอบให้ออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป แต่หากมองคะแนนในแต่ละภูมิภาคจะพบว่าในเสียงไอร์แลนด์เหนือส่วนใหญ่ยังอยากอยู่กับ EU แถมชนะขาดเกือบ 11%

แต่เมื่อต้องร่วมหัวจมท้ายไปกับอังกฤษก็ต้องเป็นตามนั้น แต่ปัญหาอยู่ที่พรมแดนไอร์แลนด์เหนือ และสาธารณรัฐไอร์แลนด์

จากเดิมที่ไม่มีปัญหาเพราะอังกฤษและไอร์แลนด์เป็นสมาชิก EU ทั้งคู่ สามารถเดินทางไปมาข้ามพรมแดนได้อย่างอิสระ แต่พออังกฤษแยกตัวออกจาก EU ตามเงื่อนไขของประเทศนอกสมาชิก จำเป็นต้องมีการตั้งด่านตรวจคนเข้าเมืองและ กำแพงภาษีสินค้า

แต่ทั้งนี้อังกฤษขอต่อรองในเรื่องนี้ ยื้อกันนานกว่า 3 ปีจนสรุปออกมาได้ว่า EU จะยอมผ่อนผันเรื่องกำแพงระหว่างไอร์แลนด์เหนือ และประเทศไอร์แลนด์ได้ เพราะเห็นแก่ข้อตกลงสันติภาพ Good Friday 1998 แต่เขตแดนทางทะเลจำเป็นต้องมี

แม้จะไม่ได้เป็นกำแพงทางกายภาพ แต่เส้นแบ่งทางทะเลนี้จะรวมเขตไอร์แลนด์เหนือ เป็นเขตเดียวกับสาธารณรัฐไอร์แลนด์ จึงทำให้ฝ่ายนิยมสหราชอาณาจักร หรือกลุ่มอัลสเตอร์โปแตสแตนท์ไม่พอใจมาก ที่ดูเหมือนอังกฤษ และชาว EU ผลักไสพวกเขาไปอยู่ฝั่งเดียวกับสาธารณรัฐไอร์แลนด์ และมีการประท้วง เขียนกำแพงต่อต้านเส้นแบ่งทะเลไอร์แลนด์อยู่ทั่ว ๆ ตามแนวชายฝั่ง และท่าเรือที่มีแรงงานชาวไอริชคาทอลิกอยู่

ยิ่งมาเกิดการแพร่ระบาด Covid-19 มีการประกาศมาตรการล็อคดาวน์ และงดการชุมนุมในที่สาธารณะ ที่ชาวอัลสเตอร์โปแตสแตนท์ถูกห้ามไม่ให้ชุมนุม

แต่พอมีข่าวการเสียชีวิตของนายบ๊อบบี้ สโตร์ลีย์ อดีตหัวหน้าหน่วยของขบวนการ IRA รัฐบาลไอร์แลนด์เหนือกลับให้จัดพิธีศพใหญ่โตได้ ที่มีผู้ไปร่วมงานอย่างเนืองแน่นกว่า 2,000 คน รวมถึง มิชเชล โอ'นีลล์ รองนายกรัฐมนตรีของไอร์แลนด์เหนือ กลับไปร่วมงานได้โดยไม่ผิดกฏมาตรการควบคุมโรคระบาดของรัฐ

เหตุและผลสะสมกันมานานหลายเรื่องก็ระเบิดออกมากลายเป็นการชุมนุมประท้วงครั้งใหญ่ โดยฝ่ายชาวโปแตสแตทน์นิยมอังกฤษ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่รู้สึกคับข้องใจว่าพวกเขารู้สึกเหมือนถูกละเมิดสิทธิ์ และกำลังจะถูกผลักไปอยู่รวมกับอีกฝ่ายที่อยู่คนละด้านของกำแพง

และหากเป็นเช่นนั้นจริงในอนาคต พวกเขาก็จะกลับกลายเป็นคนกลุ่มน้อยในเกาะไอร์แลนด์ทั้งหมดที่เป็นชาวคาทอลิกหรือไม่

การประท้วงเริ่มต้นตั้งแต่ 29 มีนาคม 2021 ที่ผ่านมาในเขตเดอร์รี ลอนดอนเดอร์รี และลามไปถึงเบลฟาสท์ กินเวลานานหลายวัน มีการขว้างปาก้อนอิฐ ระเบิดขวดข้ามกำแพง Peace Wall เข้าไปในฝั่งของชาวไอริช เผารถเมล์ โจมตีเจ้าหน้าที่ตำรวจที่บาดเจ็บไปแล้วถึง 74 คนในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา นับเป็นการประท้วงที่ดุเดือดที่สุดในไอร์แลนด์เหนือในรอบสิบปี ที่หลายฝ่ายเกรงว่าจะกระทบกับข้อตกลง Good Friday ที่เคยสร้างความหวังว่าไอร์แลนด์เหนือจะสงบสุขได้จริง ๆ เสียที

จากการประท้วงครั้งล่าสุดนี้ ทำให้ผู้นำทั้ง 3 ดินแดน บอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ อาร์ลีน ฟอสเตอร์ นายกรัฐมนตรีแห่งไอร์แลนด์เหนือ และ ไมเคิล มาร์ติน นายกรัฐมนตรีไอร์แลนด์ ออกมาเรียกร้องให้ทุกฝ่ายอยู่ในความสงบ และพยายามหาทางออกด้วยสันติวิธี ตามหลักข้อตกลง Good Friday

ส่วนทั้งชาวโปแตสแตนท์ และชาวคาทอลิกในไอร์แลนด์เหนือต่างออกมาแสดงความคิดเห็นอย่างมากมาย หลายความเห็นมองว่า คนรุ่นใหม่เหล่านี้เกิดไม่ทันความอลหม่านของบ้านเมืองในยุค The Troubles พวกเขามองกำแพง Peace Wall ด้วยความไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องเกิดมาเพื่อเจอสิ่งเหล่านี้

ไอร์แลนด์เหนือจะมีโอกาสได้พบกับยุคทองแห่งความสงบสุขบ้างหรือไม่ หรือความแตกแยกจะอยู่คู่กับไอร์แลนด์เหนือราวกับมรดกต้องคำสาปเช่นนี้ตลอดไป


ข้อมูลอ้างอิง :

https://edition.cnn.com/2021/04/09/uk/northern-ireland-violence-explainer-gbr-intl/index.html

https://abcnews.go.com/International/wireStory/explainer-latest-unrest-ireland-76990771?cid=clicksource_4380645_10_heads_posts_card_hed

https://www.bbc.com/news/uk-northern-ireland-56664378

https://en.m.wikipedia.org/wiki/The_Troubles

ถ้าจะมีความรักทั้งที ก็จงเป็นเถอะ คนจงรักภักดี

หลายบทความได้กล่าวไว้ว่า สุนัขไม่ได้ซื่อสัตย์ หรือจงรักภักดีแต่อย่างใด แต่สุนัขเป็นสัตว์สังคม ที่จะต้องมีจ่าฝูง และลำดับชั้นในฝูง เมื่อมีการยอมรับให้เจ้าของสุนัขเป็นจ่าฝูง สุนัขก็จำเป็นต้องเอาใจจ่าฝูง แต่เมื่อใดสุนัขมองว่าจ่าฝูงอ่อนแอ ไม่เหมาะสมที่จะเป็นจ่าฝูง สุนัขก็ก้าวร้าว ไม่เชื่อฟัง พยามที่จะขึ้นเป็นจ่าฝูงแทนเจ้าของสุนัข และเนื่องจากสุนัขอยู่ร่วมกันเป็นฝูง การจะควบคุมฝูงให้อยู่ในกฎและระเบียบวินัยได้ก็คือการมีจ่าฝูงขึ้นมาเป็นศูนย์กลางอำนาจ ซึ่งลูกฝูงจะมอบความจงรักภักดีให้แก่จ่าฝูงที่ถูกเลือก และซื่อสัตย์ต่อฝูงของตัวเอง

ถ้าเปรียบเทียบจากข้างต้น สุนัขมองเราเป็นจ่าฝูงเลยมอบความจงรักภักดี แล้วจะแตกต่างอะไรกับการที่เรามองว่าพฤติกรรมความจงรักภักดีของเขานี้อยู่ในสายเลือดและในสัญชาตญาณ เพราะเมื่อใดก็ตามที่สุนัขเขารู้สึกผูกพันกับใคร หรือยอมรับในความเป็นจ่าฝูงของเรา สุนัขก็จะรู้หน้าที่ของตัวเอง โดยการแสดงออกมาในแบบนั้น... สุดท้ายแล้วอย่างไร สิ่งนั้นที่ตอบแทนเรามาก็คือความซื่อสัตย์ และจงรักภักดีต่อเราอยู่ดี

สุนัขมีความผูกพันกับมนุษย์เมื่อแสนกว่าปีก่อนได้ ซึ่งทันทีที่พวกเขาพบมนุษย์ พวกเขาก็เริ่มมีพฤติกรรมฝูงที่เปลี่ยนไป ปรับเปลี่ยนนิสัยสัตว์ป่าให้เข้ากับมนุษย์ได้มากขึ้นทีละนิด  มีการผสมระหว่างหมาป่ากับหมาบ้าน จนส่งผลให้ DNA ของเขาค่อยเปลี่ยนจากหมาป่ามาเป็นหมาบ้านไปในที่สุด แล้วเมื่อสุนัขมาอยู่กับมนุษย์ พวกเขาก็มีความสามารถในการเรียนรู้การสื่อสารแบบที่มนุษย์สื่อสาร ปรับตัวได้อย่างไว เข้าใจภาษากาย และการแสดงออกทางสีหน้าของเรา มีงานกรณีศึกษาหลายชิ้นที่ระบุว่า สุนัขมีความพยายามที่จะเข้าใจความรู้สึกของมนุษย์มากกว่าสัตว์อื่น ๆ อีกทั้งยังสามารถแสดงความรู้สึกของตัวเองออกมาให้มนุษย์ได้รับรู้... อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่มนุษย์ทุกคนที่พวกเขาจะใส่ใจความรู้สึก หรือต้องการจะปลอบโยน แต่จะมีเพียงแต่คนที่พวกเขารัก มีความผูกพัน ด้วยเท่านั้นที่พวกเขาจะยอมจงรักภักดีด้วย เห็นหรือไม่ว่า ลักษณะนิสัยของสุนัขแล้ว อุทิศตัวเองเพื่อเข้าใจมนุษย์เรามากขนาดไหน...

“อยากได้ ต้องให้ก่อน” เชื่อไหมว่าเราใช้คำ ๆ นี้กับเขาได้จริง ถึงสุนัขจะมีความรักให้เรา เขาก็ไม่สามารถอยู่ได้หากมีความรักจากเขาแค่ฝ่ายเดียว รักมาด้วยใจ ให้มาด้วยใจกลับ การให้ในสิ่งที่จะทำให้พวกเขาเชื่อมั่นได้ว่าจะไม่ถูกทอดทิ้งให้โดดเดี่ยว มันคือความรู้สึกมั่นคงและปลอดภัย แค่คิดว่าเราเป็นผู้ให้ที่ดีเสมอ สิ่งนั้นก็จะตอบแทนเรา... ในหลาย ๆ ครั้ง ที่เราพบสุนัขทั่วไป ตามถนนหนทาง โดยเฉพาะการเจอในรูปแบบเริ่มต้นไม่ค่อยดี อย่างสุนัขเห่า หรือมองหน้ากันแบบท่าจะไม่ค่อยดี หรือหนัก ๆ เลย แบบว่าจะวิ่งใส่กันแน่ ๆ ฮ่า ๆ เราก็ไม่เคยได้ศึกษาการเอาตัวรอดจากเหตุการณ์แบบแท้จริงเลยว่าควรรับมืออย่างไร เราใช้แต่วิธีที่เราเจอมาแล้วรู้สึกว่าประสบความสำเร็จในแบบนี้ เราคิดแค่ว่าถ้าเราเจออะไรแบบนี้ เราจะมองเขาด้วยใจเสมอ เราจะคิดในใจตลอดว่าเรามาด้วยใจ ไม่ได้มาทำร้าย เรามาดีนะ อาจจะดูแปลก ๆ แต่เชื่อเถอะว่าเขารับรู้ได้ถึงใจเราแน่นอน 

แต่ก็เข้าใจว่าไม่ได้ง่ายสำหรับทุกคน ทุกอย่างอาจจะต้องใช้เวลาปรับตัว เพราะนิสัยสุนัขแต่ละตัวก็ต่างกัน บางตัวเข้าใจง่ายแปปเดียวสนิทกัน บางตัวใช้เวลา บางตัวเป็นสุนัขติสท์สุด ซึ่งเหมือนมนุษย์เลย เราเคยใช้เวลานานมาก เพื่อจะเป็นเพื่อนกับสุนัขข้างทางตัวนึง หลาย ๆ วัน ที่เราไปหา พูดคุย และอยากจะลูบหัวเขา เขาก็จะไม่ให้จับหรือโดนตัวเลย แต่ว่าในแต่ละวัน ก็ต่างพัฒนาความสัมพันธ์ขึ้นเรื่อย ๆ จากไกล ใกล้กันมากขึ้นเรื่อย ๆ (จากมุมมองลึกแล้วเขาก็อาจจะเจออะไรมามากมาย เช่นการถูกทำร้าย คงไม่แปลกที่อาจจะมีความเชื่อใจหรือไว้ใจใครยาก) จนวันนึงเขายอมให้เรา มันเป็นความรู้สึกที่ดีใจมาก ๆ  ว่าเราสามารถทำให้เขาไว้ใจ เชื่อใจเราได้ และจริงที่จากนั้นสัญชาตญาณของเขาก็กระตุ้นทำหน้าที่ของลูกฝูงที่ดี และเชื่อฟังคำสั่งจ่าฝูงแบบเราอย่างน่ามหัศจรรย์ เราจึงไม่น่าแปลกใจที่สุนัขบางตัวสามารถจดจำได้ว่าใครเคยช่วยชีวิตพวกเขาไว้ แม้เพียงครั้งเดียวก็ตาม

ความซื่อสัตย์ของเขา เงินซื้อไม่ได้ เพียงเราต้องการก็จะต้องแลกเปลี่ยนกันด้วยหัวใจจริง ความรัก ความไว้ใจความเชื่อใจซึ่งกันและกันที่เรามี เราจะได้ในสิ่งนั้นกลับมาเช่นกัน 

ขออุทิศให้ แพนด้า


ข้อมูลอ้างอิง
https://www.dogilike.com/content/train/5184/
ภาพ :  Pinterest 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top