Saturday, 7 June 2025
SPECIAL

ขอนแก่น - รพ.ศรีนครินทร์ เสริมเตียงรองรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มหลังเตียงผู้ป่วยเต็ม ยืนยันสามารถบริหารจัดการได้อย่างเต็มที่และครอบคลุมผู้ติดเชื้อทุกระดับ พร้อมนำหุ่นยนต์ทดแทนบุคลากรมาใช้ในการส่งอาหาร

เมื่อเวลา 10.30 น.วันที่ 20 เม.ย.2564 ที่ รพ.ศรีนครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น หรือ มข.รศ.นพ.ชาญชัย พานทองวิริยะกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น หรือ มข.  เปิดเผยว่า การบริหารจัดการเตียงผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ของทางโรงพยาบาล ซึ่งอยู่ในสังกัดชอง มข. ภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในพื้นที่ที่ในขณะนี้ พบผู้ติดเชื้อต่อเนื่องทะลุกว่า 200 ราย ทำให้เตียงผู้ป่วยในโรงพยาบาลต่างๆที่เตรียมสำหรับรองรับผู้ติดเชื้อ โดยเฉพาะเริ่มเต็ม ซึ่ง รพ.ศรีนครินทร์มีห้องความดันลบทั้งหมด 8 ห้อง เตียงผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในระดับหนัก-วิกฤติ ซึ่งมีเตียงผู้ป่วยอยู่ 5 เตียงขณะนี้ก็เต็มเช่นเดียวกัน

"ในส่วนของเตียงที่รองรับผู้ป่วยโควิด-19 ในระดับหนักและวิกฤตินั้น ทางโรงพยาบาลได้เพิ่มเตียงอีก 5 เตียง ซึ่งจะเพียงพอในการดูและผู้ป่วยในระดับหนัก-วิกฤติ ในส่วนของผู้ติดเชื้อที่มีอาการปานกลาง ภายใต้การบริหารจัดการรับมือสถานการณ์ในระดับสูงสุด ซึ่งในเรื่องของเตียงผู้ป่วยขณะนี้จะสามารถรองรับผู้ป่วยทุกระดับได้ทั้งหมด"

ขณะที่ รศ.นพ.ทรงศักดิ์ เกียรติชูสกุล ผอ.รพ.ศรีนครินทร์ กล่าวว่า ในแผนของการรักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 นั้น ทางโรงพยาบาลได้มีแผนเตรียมพร้อมรับในทุกระดับตั้งแต่ระดับน้อยไม่แสดงอาการไปจนถึงระดับหนักถึงขั้นวิกฤติ แต่จะเน้นในการรักษาผู้ติดเชื้อภาวะวิกฤติเป็นหลักเหมือนกับที่โรงพยาบาลขอนแก่น เนื่องจากมีความพร้อมทางด้านอุปกรณ์การแพทย์และบุคลากร ซึ่งการดูแลผู้ป่วยหนักจะแตกต่างจากการดูแลผู้ป่วยระดับอื่น ๆ เนื่องจากต้องใช้อุปกรณ์พิเศษอื่น ๆ เยอะ ทั้งชุดป้องกันที่จะต้องมีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อจากผู้ป่วยในระดับที่สูง และต้องใช้อุปกรณ์ที่ผ่านการฝึกอบรมมาแล้วอย่างดี แต่ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ขณะนี้มีการพบผู้ติดเชื้อจำนวนมาก โรงพยาบาลจึงต้องช่วยดูแลผู้ป่วยที่มีอาการในระดับน้อยถึงปานกลางด้วย ทำให้มีการแบ่งสัดส่วนของจำนวนเตียงผู้ป่วยให้เหมาะสมมากยิ่งขึ้น

"ขณะนี้เรามีตั้งแต่ผู้ป่วยที่ต้องสงสัยรอผลตรวจ โดยจัดโซนภายในตึกสามารถรองรับได้จำนวน 14 คน คนไข้ที่มีอาการปานกลางจัดโซนไว้ให้ 2 ตึก สามารถรองรับได้จำนวน 20 คน ส่วนคนไข้ที่เข้ารับการรักษาเบื้องต้นแล้วเป็นอาการคงที่จะย้ายไปอีกตึกหนึ่งและรอกลับบ้านซึ่งรองรับได้16 คนและกำลังพิจารณาหาหอผู้ป่วยรองรับอีก 12 เตียง ในส่วนของคนไข้หนักซึ่งเป็นภารกิจหลักของเราสามารถรับผู้ป่วยได้ทั้งหมด 5 คน ขณะนี้จำนวนเตียงเต็มแล้วทั้ง 5 เตียง แต่เร็ว ๆ นี้จะสามารถส่งผู้ติดเชื้ออาการหนักที่ทำการรักษาหายแล้วกลับบ้าน 1 ราย ก็จะทำให้เตียงหนักว่าง 1 เตียง ทำให้ตอนนี้ทางโรงพยาบาลได้ทำการจัดสรรหาหอผู้ป่วยรองรับผู้ป่วยหนักเพิ่มขึ้นอีก โดยใช้หอผู้ป่วยจำนวน 1 ตึกซึ่งจะสามารถรองรับผู้ติดเชื้ออาการหนักจนถึงขั้นวิกฤติได้อีก 5 เตียง โดยวันนี้จะเริ่มเข้าไปทำการปรับเปลี่ยนทันทีตามความเหมาะสมและได้มาตรฐานความปลอดภัยด้านสาธารณสุข"

ผอ.รพ.ศรีนครินทร์ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า โรงพยาบาล ได้นำหุ่นยนต์มาช่วยในเรื่องของการส่งอาหารและยาให้กับผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพื่อป้องกันการติดเชื้อในระดับสูงสุด ส่วนบุคลากรของ รพ.ศรีนครินทร์ ในช่วงของการระบาดระลอกที่ 3 นี้ภายหลังจากพบแพทย์ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จำนวน 2 คน ทำให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงในโรงพยาบาลและตัวผู้ป่วยด้วย เนื่องจากบุคลกรทางการแพทย์นั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกันในหลายๆ แผนก ต้องมีการปิดหอผู้ป่วยและตึกผ่าตัดเพื่อทำความสะอาด

ในขณะนั้นมีบุคลากรทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับ แพทย์ที่ติดเชื้อจำนวนเกือบ 600 คน ผู้ป่วยที่แพทย์ที่ติดเชื้อให้การรักษาอีกเกือบ 30 คน แต่ผลตรวจหาเชื้อของทุกคนเป็นลบ ทำให้มีความเข้มงวดมากขึ้นตั้งแต่การคัดกรองผู้ป่วยทั่วไป ผู้ป่วยต้องสงสัย และผู้ป่วยที่จะเข้ารับการผ่าตัด จะมีการนำเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์มาเสริมโดยซักประวัติผู้ป่วยผ่านทางวีดีโอคอล การสวอบผู้ที่จะเข้ารับการผ่าตัดทุกคนรวมถึงผู้ป่วยต้องสงสัยว่าติดเชื้อจะมีมาตรการที่เข้มข้นขึ้นเพื่อความปลอดภัยต่อบุคลากรทางแพทย์ในระดับสูงสุด พร้อมทั้งจัดทีมแพทย์ให้เข้ากับสถานการณ์หากมีทีมแพทย์ติดเชื้อก็สามารถสับเปลี่ยนทีมแพทย์ยกชุดได้ทันที

นอกจากนี้ยังบริหารจัดการในส่วนของผู้ป่วยโดยการลดการให้บริการบางส่วนภายในโรงพยาบาล แต่จะให้การสอบถามอาการผ่านทางโทรศัพท์และส่งยาไปให้ผู้ป่วยที่บ้านทางไปรษณีย์ ลดระยะเวลาของผู้ป่วยที่จะอยู่ในโรงพยาบาลให้น้อยที่สุด ซึ่งผู้ป่วยที่จะรับยาภายหลังจากยื่นใบสั่งยาแล้วให้ไปที่อื่นทันทีและจะมีข้อความแจ้งมายังผู้ป่วยว่าขณะนี้สามารถรับยาได้แล้วจึงค่อยเดินทางมารับยากลับไป หรือผู้ป่วยบางรายที่กลัวไม่กล้าเดินทางมาโรงพยาบาลก็จะใช้วิธีการสอบถามอาการผ่านทางโทรศัพท์และจัดยาส่งไปให้ทางไปรษณีย์

ปราจีนบุรี - สาวเสริมสวยใฝ่ธรรมะทุ่มเงินส่วนตัวสองล้านสร้างลานธรรมในหมู่บ้าน

วันที่ 20 เมย.64 ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดปราจีนบุรีรับแจ้งว่าที่บ้านนาไผ่รส ม.2 ต.ย่านรี อ.กบินทร์บุรีจ.ปราจีนบุรี เจ้าของร้านเสริมสวยบัญชิตา บิวตี้ ซาลอน ควักเงินส่วนตัว 2 ล้านบาทซื้อที่ดินเพื่อสร้างลานธรรมะประจำหมู่บ้านโดยมีเจตนารมณ์เปิดใจใส่ธรรมะให้คนในหมู่บ้านมาสวดมนต์ไหว้พระนั่งสมาธิ เช้า-เย็น โดยเจ้าตัวยึดธรรมะถือศีลปฏิบัติธรรมมาแล้วหลายปี เมื่อมีโอกาสอยากทำในสิ่งที่คิดไว้

ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่ร้านเสริมสวยบัญชิตาบิวตี้ซาลอน นส.บัญชิตา บุญพรมอ่อน อายุ 37 ปี เจ้าของร้านเสริมสวยนส.บัญชิตา หรือ น้องแอม เปิดเผยว่า หลังจากที่เรียนเสริมสวยมา 10 ปี เปิดร้านเสริมสวยครบวงจรและเรียนนวดคลายเส้นมาด้วยต่อมาได้ช่วยเหลือผู้ยากไร้ทำให้คิดได้ว่า คนเราทุกคนเกิดมามีคุณภาพชีวิตไม่เหมือนกันอาจเป็นเพราะว่า"บุญ-บาป "เป็นตัวกำหนด สังเกตดูจากการกระทำของตัวเองแต่ละครั้งที่ได้ทำบุญช่วยเหลือคนจนรู้สึกอิ่มใจ มีโอกาสจะร่วมทำบุญกับผู้ยากไร้ตลอดมาในรอบ 10 ปี

ขณะเดียวกันได้เข้าวัดปฏิบัติธรรมบ่อย ๆ สวดมนต์ไหว้พระนั่งสมาธิ ฟังธรรมะจากหลวงพ่อต่าง ๆ ซาบซึ้งในพุทธคุณเก่งมีแนวคิดที่จะสร้างลานธรรมด้วยตัวเองควักเงินส่วนตัวซื้อที่ 5 ไร่ เพื่อสร้างลานธรรมให้คนเฒ่าคนแก่และ เพื่อน ๆ ที่เป็นกัลยาณมิตรมีใจใฝ่ธรรมะด้วยกันให้มาถือศีลปฏิบัติธรรมที่ลานธรรมที่จะสร้างขึ้นในหมู่บ้าน โดยการเปิดเป็นลานธรรมมีที่นั่งสวดมนต์ไหว้พระ ลานธรรมแห่งนี้จะให้ผู้สูงอายุในหมู่บ้านและใกล้เคียงมาร่วมปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ เช้า-เย็นมีโรงทานไว้บริการแก่ผู้มาปฏิบัติธรรมรวมถึงจะสร้างห้องนวดคลายเส้นให้กับผู้ที่มาปฏิบัติธรรมด้วย แรงบันดาลใจที่จะสร้างลานปฏิบัติธรรมในคิดว่าตัวเองสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรงนึกถึงหลักความเป็นจริงคนทุกคน หนีการเกิดแก่เจ็บตายไม่พ้น การได้สวดมนต์ไหว้พระและช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์เล็ก ๆ น้อย ๆ ให้พ้นจากทุกข์กายทุกข์ใจถือว่าได้สั่งสมบุญแล้ว ได้บริจาคร่างกายกับสภากาชาดไทยเอาไว้แล้วเพื่อใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ ดีกว่าเผาทิ้งซึ่งไม่เกิดประโยชน์ใด ๆ เลยพอมีแนวคิดที่จะสร้างลานธรรมมีญาติติธรรมหลายคนติดต่อเข้ามาที่จะมาร่วมปฏิบัติธรรมอย่างนี้หลายคนแล้วขออนุโมทนาบุญไว้ล่วงหน้าด้วยกัน


ภาพ/ข่าว  ลักขณา สีนายกอง

ชุมพร – ควบคุมการทำประมงในช่วงประกาศปิดอ่าวไทยตอนกลาง (ประจวบ ฯ - ชุมพร - สุราษฎร์ธานี)

วันอาทิตย์ ที่ 18 เมษายน 2564 ศรชล.จังหวัดชุมพร บูรณาการร่วมกับ ศูนย์ป้องกันและปราบปรามประมงทะเล จังหวัดชุมพร ภายใต้การอำนวยการของ นายธีระ อนันตเสรีวิทยา ผวจ./ผอ.ศรชล.จังหวัดชุมพร มอบหมายให้ น.อ.กิตติพงษ์ พุ่มสร้าง รอง ผอ.ศรชล.จังหวัดชุมพร บูรณาการร่วมกับ นาย พงศ์รันย์ รัตนพรหม ผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและปราบปรามประมงทะเลจังหวัดชุมพร จัดกิจกรรมควบคุมการทำประมงในช่วงประกาศปิดอ่าวไทยตอนกลาง(ประจวบ ฯ ชุมพร สุราษฎร์ธานี)

นายนุรัตน์ ขาวสอาด เจ้าพนักงานเดินเรือปฏิบัติงาน หัวหน้าชุดปฏิบัติงาน พร้อมเจ้าหน้าที่รวม 6 นาย นำเรือตรวจประมง 113 ออกตรวจพื้นที่ตามภารกิจที่ได้รับมอบหมาย ในการนี้ตรวจยึดลอบพับหรือไอ้โง่ จำนวน 59 ลูก โดยมีผู้ลักลอบทำการประมงบริเวณชายทะเล อ่าวทุ่งมะขาม อ่าวทุ่งคา และอ่าวสวี โดยที่ลอบพับและลอบพับปูดังกล่าวเป็นเครื่องมือประมงผิดกฎหมาย ตาม พ.ร.ก.การประมง พ.ศ. 2558 และ พ.ร.ก.การประมง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 เรื่องห้ามมิให้ผู้ใดใช้เครื่องมือลอบพับได้หรือไอ้โง่ ที่มีช่องทางเข้าของสัตว์น้ำสลับซ้ายขาวอยู่ทางด้านข้างใช้สำหรับดักสัตว์น้ำ มีความผิดตามมาตรา 67 มีโทษตามมาตรา 147 ต้องระวางโทษปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท หรือปรับจำนวนห้าเท่าของมูลค่าสัตว์น้ำที่ได้จาการทำการประมง แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า แต่ไม่พบผู้กระทำความผิด  เจ้าหน้าที่จึงได้รื้อถอนและทำการยึดเครื่องมือประมงดังกล่าวนำของกลางส่งพนักงานสอบสวน สภ.ปากน้ำชุมพร อ.เมือง จังหวัดชุมพร จำนวน ลอบพับ (ไอ้โง่ 59 ลูก) ไว้เพื่อเป็นหลักฐาน


ภาพ/ข่าว  ธนากร โกศลเมธี รายงานศูนย์ข่าวสารจังหวัดชุมพร

สุโขทัย - Sukhothai Crafts and Folk Art “เค้กสีนิลสังคโลก” ต่อยอดงานศิลปสังคโลกสุโขทัย

“เครื่องสังคโลก” เครื่องเคลือบดินเผาที่เป็นเอกลักษณ์จากยุคสุโขทัยกว่า 700 ปี ช่างจะเขียนลวดลายอย่างวิจิตร ที่สะท้อนถึง สภาวะแวดล้อม ความเป็นอยู่ และความเชื่อในสมัยสุโขทัย จากนั้นเคลือบด้วยน้ำยาที่ทำจากเถ้าไม้ผสมดินผิวนา แล้วนำไปเผาในอุณหภูมิสูงจนได้ชื้นงานที่มีเนื้อแกร่ง

สุขเสมอ Coffee and Bakery House คาเฟ่ของคนรุ่นใหม่ โดยคุณศิลป์ไทย สินอำพล และคุณศุภลักษณ์ คงรุ่ง 2 เจ้าของกิจการ ได้ดึงเอาลวดลายอันเป็นเอกลักษณ์ มาประยุกต์ใช้เป็นลวดลายบนหน้าเค้ก พร้อมปรับส่วนผสมของตัวเค้กโดยใช้แป้งจากข้าวหอมนิลออร์แกนิกส์ ซึ่งเป็นผลผลิตที่มีอยู่มากในพื้นที่มาเป็นส่วนประกอบในวัตถุดิบ เพื่อเพิ่มความเป็นสุโขทัยมากยิ่งขึ้น จนได้เป็น “เค้กสีนิลสังคโลก” ของฝากขึ้นชื่อของร้าน

จุดเด่นของเค้กสีนิลสังคโลก คือลวดลายรูปปลาและพรรณพฤกษา ที่สะท้อนให้เห็นความอุดมสมบูรณ์ในอดีตของกรุงสุโขทัย และยังได้นำลาย ”สิบสองหน่วยตัด” 1 ใน 9 ลายของผ้าตีนจกอันขึ้นชื่อของสุโขทัยมาตกแต่งบนหน้าเค้กอีกด้วย ในส่วนของเนื้อเค้กจะมีความเหนียวหนึบ ต่างจากเค้กทั่วไป เพราะใช้แป้งจากข้าวหอมนิลออร์แกนิกส์ ทำให้มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากข้าว ใช้น้ำมันรำข้าวที่มีไขมันต่ำกว่าแทนเนยและมาการีน เนื้อครีมเป็นสีเขียวไข่กา ซึ่งเป็นสีบนเครื่องสังคโลก

และที่โดดเด่นคือทางร้านมีกิจกรรมให้ลูกค้าสามารถเรียนรู้ ลงมือทำ แต่งหน้าเค้กเอง โดยจะสอนทั้งลายสังคโลกและลายผ้าตีนจก อันเป็นเอกลักษณ์ของสุโขทัย นอกจากจะได้ความอิ่มเอมในรสชาติอร่อย แล้วยังจะได้ความภาคภูมิใจในผลงานของตัวเองอีกด้วย


ภาพ/ข่าว  เสนิศชนันต์ สุขกสิกร

เราอยู่ในระบบที่ถูกกดขี่ให้มีความรู้ แต่กลับสร้างกรอบทางความคิดโดยไม่ได้ตั้งใจ

ปรากฎการณ์สังคมปัจจุบันสะท้อนว่าเราไม่ได้คาดหวังให้เด็กได้แค่ความรู้จากการศึกษา แต่อยากให้เด็กได้มีความคิดด้วย แต่ โรงเรียน ครอบครัว สังคม ต้องร่วมกัน มาบอกให้แต่โรงเรียนสร้าง แล้วที่บ้านไม่สร้าง สังคมไม่สร้าง สุดท้ายก็ติดกรอบเดิม

แล้วถ้าที่บอกว่า ดูดีมีความคิด หรือ ดูดีมีเหตุผล มันคือมีความคิดหรือมีความเหตุผลจริง หรือว่า แค่เราคิดในแบบที่สังคมคิดและมีเหตุผลตามที่สังคมบอกว่าอะไรมีเหตุผล เราอยู่ในโลกที่ให้ความสำคัญกับการกระทำซึ่งเป็นผลของความคิด แต่เราไม่ได้ให้คุณค่ากับกระบวนการทางความคิด #เหยื่อของโลกความรู้ เพราะโลกไม่มีอะไรถูกหมด และไม่มีอะไรผิด อยู่ที่ definition ของคำว่า ถูก ผิด สมควร หรือ ไม่สมควร ของสังคมนั้นๆ ทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลง อะไรที่บอกว่าถูกตอนนั้น อาจจะผิดในอีก 10 ปีข้างหน้า

เราส่งเสริมให้คนมีกระบวนทัศน์ หรือความคิดที่มี dynamic ที่สามารถเปลี่ยนแปลงตามกรอบเวลาและสถานที่ให้ได้ เพื่อให้รับมือกับปัญหาทุกรูปแบบที่จะเกิดขึ้นได้ ทั้งก็ aware ว่าคิดง่าย ทำยาก ดังนั้น stakeholder ของการศึกษาต้องมีส่วนร่วมในการสร้างระบบ และต้องเป็นระบบมีโครงสร้างที่สามารถคงสถานะได้ แต่ก็ต้องปรับเปลี่ยนได้ อันนี้แหละความยาก อารมณ์เหมือนสร้างตึกยังไง ที่สามารถยังคงเป็นตึกได้ แม้กระทั้งเจอลม เจอแรงสั่นจากแผ่นดินไหว อันนี้เป็น metaphor เฉยๆ

การศึกษาไทยตอนนี้ ปัญหาที่สามารถโทษมากกว่า mental model 

การศึกษาที่มุ่งแต่ให้ผู้เรียนมีความรู้ โดยไม่ได้ให้ผู้เรียนให้ความสำคัญกับกระบวนการคิด ดังนั้นจึงส่งผลในการประเมินด้วยเช่นกัน เพราะมันง่าย และชัดเจน สามารถวัดว่าใครมีความรู้ผ่านข้อสอบที่วัดความรู้ แต่ไม่ได้มีข้อสอบที่ดูว่า ทำไมถึงคิดแบบนั้น แล้วในการสอนให้คิด ไม่ใช่การเอาความคิดของผู้สอนไปใส่แล้วให้ผู้เรียนคิดแบบที่ผู้สอนเข้าใจ เพราะคนเราอาจจะมีวิธีการในการเข้าใจเรื่องต่างๆ ในมุมหรือด้านที่ไม่เหมือนกัน 

เช่น ทำไมคนนึงเรียนเลขเก่ง เพราะเค้าสามารถเข้าใจตรรกะผ่านคำอธิบายและทฤษฏีของตัวเอง ทำไมภาษาเก่งเพราะสามารถทำความเข้าใจผ่านตรรกะผ่านภาษาได้มากกว่า เราอยู่ในระบบที่ถูกกดขี่ให้มีความรู้ แต่กลับสร้างกรอบทางความคิดโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ก็ไม่ใช่โรงเรียนที่ส่งผลต่อกรอบทางความคิด แต่ยังมีปัจจัยของครอบครัว และสังคมที่คอยสุมสร้าง mental model ของตัวบุคคลอยู่

กรอบหนึ่งในหลายๆ กรอบที่มองเห็นได้ชัด คือ กรอบความถูก ผิด ตั้งแต่เรียนอนุบาล เราถูกสอนแล้วว่าอะไรถูก ผิด แต่ไม่ได้ถูกทำให้ว่าอะไรถูก ผิด

หากโรงเรียนทำหน้าที่เป็นเครื่องเตรียมเด็กสู่สังคม โรงเรียนในแง่ของการสร้างคน

ชั้น ป. 1 อนุบาลวังบาดาล เปิดเทอมวันแรก โรงเรียนมีนโยบายให้นักเรียนถอดรองเท้าก่อนเข้าห้องเรียน โดยให้เหตุผลว่า อยากให้ห้องเรียนสะอาด ดังนั้นครูเลยบอกให้นักเรียนถอดรองเท้าไว้ที่ชั้นวางรองเท้าที่โรงเรียนจัดไว้ให้ วันหนึ่ง มีนักเรียนคนนึง ด.ช. ปอนด์ ถามว่า ทำไมเราต้องถอดรองเท้าด้วยครับ เพราะยังไงก็ต้องทำความสะอาดอยู่ดี คุณครูก็จะหาเหตุผลที่เด็กอนุบาล 1 สามารถเข้าใจได้มาตอบต่างๆ วันถัดไป นักเรียนปอนด์ ถามอีกว่า ทำไมคุณครูไม่ถอดรองเท้าครับ คุณครูก็จะหาเหตุผลต่างๆ มาบอก หรืออาจจะถอดรองเท้าให้เป็นตัวอย่าง 

วันถัดไป ดญ. ฟ้า บ่นว่าในห้องมีกลิ่นเหม็น ซึ่งมากจากถุงเท้าเพื่อน เลยถามคุณครูว่า จะทำยังไงดี คำตอบที่เป็นไปได้ก็มีหลายอย่าง ให้ไปล้างเท้า เอาสเปรย์ฉีดห้อง หรือให้ทั้งห้องใส่รองเท้าในวันนั้น วันต่อมาสมมุติครูทำตามทั้งหมด แล้วครูโดนครูใหญ่เรียกไปด่า เพราะสร้างตัวอย่างให้นักเรียนห้องข้างๆ ว่าทำไมห้องนี้ใส่รองเท้าเข้าไปในห้องเรียน วันต่อมาเพื่อตัดปัญหาคุณครูก็เลยตัดสินใจให้นักเรียนถอดรองเท้าเข้าห้องเรียน ผลลัพธ์เพื่อให้ห้องสะอาด เพื่อมีความเป็นระเบียบของสังคมในการต้องถอดรองเท้าเข้าห้องเรียน แต่ผลลัพธ์อีกอย่างคือ นักเรียนต้องนั่งรมกลิ่นทีนเพื่อนทุกวันจนเสียประสาทในการเรียน 

หากเรามองจากเรื่องนี้ ปัญหาของเรื่องนี้คืออะไร กฎระเบียบ กลิ่นเท้า การเป็นตัวอย่าง ลองตั้งคำถามว่า ถ้าคุณเป็นคุณครู คุณจะสร้างกระบวนทัศน์หรือกระบวนควาามคิดด้วยวิธีไหนให้เด็ก ที่ไม่ใช่บอกว่า กฎคือกฎ เพราะถ้าแบบนั้น นักเรียนก็ต้องนั่งรมเท้าเพื่อนทุกวัน แต่สมมุติให้เพื่อนหาว่าใครเท้าเหม็นแล้วแก้ไขปัญหาให้คนที่เท้าเหม็น เด็กคนนั้นอาจจะโดนเพื่อนล้อ หรือว่าคุณครูจะเดินไปหา ผอ. สับๆ แล้วบอกว่าชั้นจะไม่ทนให้เด็กชั้น ต้องนั่งรมเท้า ดังนั้นชั้นจะให้เด็กใส่รองเท้า 

จริงๆ ผลลัพธ์แบบไหนก็มีผลกระทบเหมือนกัน ดังนั้นสิ่งที่สำคัญคือ ทำให้เด็กคิดว่า ถ้าใส่แล้วดียังไงไม่ดียังไง ไม่ไส่แล้วดีไม่ดียังไง ถ้าคนนึงใส่อีกคนไม่ใส่มีดีมีเสียยังไง ส่วนตัวอยากให้ครูมีความ directive ให้น้อยที่สุด แต่อยากให้สร้าง simulation ให้มากกว่า แล้วให้เด็กสร้าง agreement ร่วมกันว่าจะใส่ไม่ใส่หรืออย่างไร 

ในแง่ของความรู้

ชั้น ป. 1 วิชาคณิตศาสตร์ ครูพี่ลูกปลาจบคณิตศาสตร์เกียรตินิยมอันดับ 1 Ph.d. จาก Oxford และมี ครุศาสตร์ดุษฎีมา  ดังนั้นตัดปัจจัยเรื่องความรู้ของครู ในกรณีนี้คุณครูอยากให้เด็กเข้าใจว่า 1+1 = 2 แล้ว 2+2=4 

วิธีการสอน อาจจะเป็น 1 +  _ = 2 และ _ + 2 = 4 จงเติมคำในช่องว่าง (คำถามแรกคุณจะสอนก่อนว่า 1+1=2 หรือจะให้โจทย์ก่อนแล้วค่อย) สมมุติครูให้เป็นการบ้าน

ดช. ดร๊อะ ที่มีพ่อจบ Ph.d. Cambridge ด้าน cognitive psychology ให้พ่อช่วยสอนการบ้าน 1 + _ = 2 และ _ + 2 = 4 พ่อเลยสอนว่า 1+1 = 2 และ 2 + 2 = 4 เป็นคำตอบที่สมควรเขียนตอบ แต่พ่อสอนต่ออีกว่า 1 + 1 = 1 + 1 และ 2 + 2 = 2 + 2 หรืออาจะ -2 + 3 = 1 และ   -22 + √4 = 4 เหมือนกัน พ่อเลยบอกว่า เลขอะไรไม่สำคัญ ควาสำคัญของสมการ คือ สองฝั่งต้องเท่ากัน ซึ่งมีวิธีมากมายที่ทำให้สมการเท่ากันทั้งสองฝั่ง 

แต่ด้วยธรรมชาติของ ด.ช. ดร๊อะ ที่ชอบท้าท้ายสนุกสนาน เลยเอาสิ่งที่พ่อสอนมาทำความเข้าใจเอง แล้วเอาไปเขียนทำการบ้านส่งครู เลยตอบคุณครูในการบ้านว่า 1 + -12 =2 และ sqr 4 + 2 = 4 ซึ่งจริงๆ ด.ช. ดร๊อะไม่ได้รู้หรอกว่า - ที่ - ไม่ใช้ representation ของวิธีการ แต่เป็น Negative value ของเลข  1 ซึ่งก็มีกำลังสองติดอยู่ 

ด.ช. ดร๊อะเอาที่พ่อสอนมารวมๆ กันมั่วๆ โดยที่ไม่ได้เข้าใจอะไรแล้วทำการบ้านส่งครู ในวันที่เด็กเอาการบ้านไปส่ง คุณครูเห็นคำตอบ คุณคิดอะไรเป็นอันดับแรกกับคำตอบ 1. ให้คนอื่น พ่อ แม่ พี่น้อง ทำให้ 2. ไปดูยูทูปมาแล้วมาตอบ หรือ 3 4 5 หน้าที่ครูตอนนั้นคือ ต้องให้คะแนน  คุณครูจะกาถูก หรือจะกาผิด คุณครูจะเรียกเด็กมาถามมั้ยว่าทำไมตอบแบบนี้ แล้วสุดท้าย คุณครูจะให้คะแนนยังไง ถ้าเด็กเข้าใจหลักการของสมการ เด็กสามารถรวมของสองกองในจำนวนที่เท่ากันได้ แต่ไม่สามารถคิดแล้วเขียนเป็นตัวเลขได้ เราจะตัดสินเด็กคนนั้นจากความรู้ หรือเราจะตัดสินเด็กคนนั้นจากความคิด 

ถึงแม้คุณครูอาจจะเห็นว่าสิ่งที่พ่อสอนมาอาจจะถูกในหลักการ แต่จริงๆ 1 + -12  = 2 จริงๆ ต้องเขียนว่า 1 + (-1)2  = 2 เพื่อให้ถูกหลักการ คุณครูจะให้คะแนนเด็กยังไง และจะอธิบายเด็กว่ายังไง เราต้องสร้างไม่ใช่ให้เด็กเข้าใจความรู้ แต่ให้เข้าใจหลักการและกระบวนการของความรู้นั้น (ความเป็นไปได้ของเหตุการอาจจะน้อยมาก แต่ก็อาจจะเกิดขึ้นได้ เพราะปัจจุบันพ่อแม่รุ่นใหม่มีการศึกษากัน) 

ทั้งนี้ก็ มี factor อื่นๆ เช่นประสบการณ์ของครู วัยของเด็ก mental model ของครู และของเด็ก ครอบครัว สังคม

ที่อยากให้โฟกัสคือ ครูและระบบการศึกษาอยากให้เด็กรู้อะไร อยากให้เด็กรู้ว่า บวกยังไงจึงทำให้สมการเท่ากัน หรือหลักการการเท่ากันของสมการ หรือทั้งสอง หรือทั้งสองบวกการรู้ว่ารู้แล้วเอาไปทำใช้ทำอะไร 

ปัญหาการศึกษา ไม่ได้มีปัญหาคือจุดใดจุดหนึ่ง ขนาดประเทศโลกที่ 1 หรือประเทศแถวสแกนที่บอกว่ามีการศึกษาดีที่สุด ยังทำได้มากสุดแค่ทำให้ผู้เรียนรู้ แต่ทำให้ผู้เรียนคิดและให้เหตุผลของความคิด ยังคงกลายเป็นความท้าทาย เพราะคนเราคิดไม่เหมือนกัน การสำเร็จการศึกษานอกจากจะให้ได้มาซึ่ง collective/common knowledge และ social แล้วนั้น เราจะสร้างให้ผู้เรียนคิดได้อย่างอิสระได้อย่างไร 

ทั้งนี้ภายใต้ความอิสระ ต้องรวมตัวแปรทางด้านสังคม วัฒนธรรมเข้าไปด้วย เพราะตราบใดที่มนุษย์ยังต้องมีปฏิสัมพันธ์กันทั้งระหว่างคน และระหว่างธรรมชาติ จะคิดโดยไม่ดูตัวประกอบเหล่านี้ได้ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องไม่เอาสิ่งเหล่านี้มาปิดกั้นความคิด 

สุดท้ายเราต้องการอะไรจากการศึกษา เราจะเป็น ไม่เป็นทาสความรู้ หากเรามีความคิด แต่ถ้าเราไม่มีความรู้ในการเอามาคิด ก็ไม่มีทั้งความรู้ ความคิด ทั้งนี้ ความรู้ควรวัดจากสิ่งที่อยู่ในหนังสือหรือจากใบปริญญา แต่จะวัดคนที่มีความรู้และความคิดยังไง ตอนนี้ทั้งสอบข้อเขียน ทั้งสอบสัมภาษณ์ ทั้งทดลองงาน มีหมด จะวัดประเมินกันยังไง


เขียนโดย คุณปอนด์ สุทธินันท์ ดวงภุมเมศร์ 

นักเรียนทุนรัฐบาล UIS ปริญญาโท Master of Public Administration , Cornell University, สหรัฐอเมริกา

อุดรธานี - โรงแรมอุดร พร้อมส่งมอบให้แพทย์พยาบาลกักตัวสู้โควิด ยินดีให้ใช้สถานที่โดยไม่คิดมูลค่า

วันที่ 19 เมษายน 2564เวลา 14.30 น.  ที่โรงแรมวีธรา บูธีค โฮเต็ล ถ.อุดรดุษฎี เทศบาลนครอุดรธานี คณะเจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี เดินทางมาดูห้องพักของโรงแรม ที่จะใช้เป็นสถานที่กักตัว ของบุคลากรทางการแพทย์ ของโรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี ที่อยู่ในสภาพเป็นผู้เสี่ยงสูง หลังจากบุคคลากรในห้องผ่าตัดติดเชื้อโควิด-19 และมีอุปสรรคจะกลับไปกักตัวที่บ้านได้ เพื่อให้กลับมาปฏิบัติหน้าที่เร็วที่สุด โดยทาง นายณณชัย ทีฆธนานนท์ เจ้าโรงแรมของยินดีให้ใช้สถานที่โดยไม่คิดมูลค่า ซึ่งนางวรนันท์ ทีฆธนานนท์ และ นายกิตติภูมิ ทีฆธนานนท์ ภรรยาและบุตรชายนายณณชัยฯ ให้การต้อนรับและพาตรวจห้องพัก

โดยทางคณะได้ตรวจดูสภาพโรงแรม สูง 5 ชั้น 60 ห้อง ที่ประกอบการมาได้เพียง 8 ปี ประกอบด้วย ล็อบบี้,ห้องอาหาร,ห้องประชุม 1,2,3,ห้องพักแบบเตียงคู่ เตียงเดียว มีเครื่องปรับอากาศ ห้องน้ำในตัว และลานจอดรถ ที่กว้างขวาง ก่อนจะมาร่วมถ่ายภาพเป็นที่ระลึก

ตัวแทนจากโรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี บอกว่า วันนี้มาตรวจดูความพร้อมของทางโรงแรม ที่พบว่าพร้อมที่จะทำการรับตัวบุคคลากรทางการแพทย์ ของทางโรงพยาบาล ที่จะมาใช้เป็นสานที่กักตัว ซึ่งบุคคลากรที่จะมากักตัว ผ่านการตรวจหาเชื้อแล้วไม่มี แต่ยังคงต้องกักตัวเองเป็นเวลา 14 วัน ซึ่งผู้ที่มากักตัวที่นี่ไม่สะดวกที่จะกลับไปกักตัวเองที่บ้าน ซึ่งดูแล้วทางโรงแรมมีความพร้อมทุกอย่าง ที่จะสามารถให้บุคคลากรที่ถูกกักตัวมากักตัวที่นี่ ซึ่งคาดว่าจะมีการรับมอบพื้นที่พรุ่งนี้ และน่าจะมีบุคคลากรชุดแรกเข้ามากักตัวประมาณ 50 คนก่อน

ด้าน นายกิตติภูมิ ทีฆธนานนท์ บอกว่า ทางครอบครัวยินดีที่จะใช้โรงแรมเป็นสถานที่กักตัวบุคคลากรทางการแพทย์ของทางโรงพาบาลศูนย์อุดรธานี ซึ่งสถานการณ์โควิด-19 เมื่อปีที่แล้ว ทางครอบครัวก็ยินดีให้ทางราชการ ใช้โรงแรมเป็นสถานที่ที่ให้บุคคลากรทางการแพทย์ ใช้เป็นที่พักมาแล้ว เป็นการช่วยเหลือชาวอุดรธานีทางหนึ่ง


ภาพ/ข่าว  นายกฤษดา จันทร์ดวง ผู้สื่อข่าว จ.อุดรธานี

สุรินทร์ - ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารีสั่งคุมเข้ม แนวชายแดน 5 จังหวัดอีสานตอนล่าง ตามนโยบาย ผบ.ทบ.ในการป้องกันการระบาดของโควิด-19

วันที่ 19 เมษายน 2564 พลตรีอดุลย์ บุญธรรมเจริญ ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี เรียกหน่วยงานด้านความมั่นคงที่เกี่ยวข้องประชุม เพื่อมอบนโนบาย "มาตรการพิทักษ์พล" ของกองทัพมาใช้ควบคุมโควิดโดยกำหนดให้กำลังพลปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันกำลังพลอย่างมีประสิทธิภาพ ลดการแพร่กระจายเชื้อ 

โดยเฉพาะมาตรการป้องกันแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองโดย ที่อาจเกิดการระบาดของโควิด-19 ณ จุดผ่านแดนถาวรช่องสะงำ ตำบลไพรพัฒนา อำเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ และ หน่วยประสานงานชายแดนไทย-กัมพูชา จุดผ่านแดนถาวรช่องจอม อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์  โดยได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย และกำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่เข้มงวดในการสวมแมสตลอดเวลาในการปฏิบัติหน้าที่ พลตรีอดุลย์ บุญธรรมเจริญ ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี กล่าวว่า เพื่อป้องกันการระบาดของ ไวรัสโควิด-19 จึงสั่งการให้กำลังพลในสังกัดเพิ่มการลาดตระเวน ตลอดแนวชายแดน 5 จังหวัดอีสานตอนล่าง 24 ชั่วโมง

โดยเฉพาะมีการตั้งจุดตรวจตามช่องทางธรรมชาติ โดยมีการประสานกับทหารฝ่ายกัมพูชาอย่างใกล้ชิดผ่านช่องทางไลน์และช่องทางวีทีซี  ในการร่วมกันลาดตระเวนแบบคู่ขนาน  เพื่อป้องกันปัญหาแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง  ทั้งนี้ พลตรีอดุลย์ บุญธรรมเจริญ ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี ยังกล่าวต่อไปอีกว่า  ในส่วนของการฉีดวัคซีนให้กับกำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดนนั้น ผู้ว่าราชการทั้ง 5 จังหวัดในพื้นที่อีสานตอนล่าง ได้ส่งรายชื่อและจัดลำดับความเร่งด่วนให้กองกำลังป้องกันชายแดนไว้แล้ว หากได้รับวัคซีนมาอย่างเพียงพอ ก็จะเร่งดำเนินการฉีดวัคซีนให้กับกำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดนทันที เนื่องจากถือว่ามีความเสี่ยงสูงสุด


ภาพ/ข่าว  ปุรุศักดิ์  แสนกล้า 

สมุทรสาคร - ผู้ว่าฯ ปู กลับมาแล้ว...นำทีมสู้โควิดระลอกใหม่ ประเดิมสนามแรกหารือร่วม รพ.เอกชน ดูแลผู้ติดเชื้อ

เมื่อเวลา 14.30 น. ของวันที่ 19 เมษายน 2564 นายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร พร้อมด้วย นางชุติพร วิจิตร์แสงศรี นายกเหล่ากาชาดจังหวัดสมุทรสาคร ได้เดินทางกลับมาบริหารงานที่จังหวัดสมุทรสาคร อย่างเป็นทางการ หลังจากที่ออกจากโรงพยาบาลศิริราชแล้วได้กลับพักฟื้นรักษาสุขภาพที่บ้านพักในจังหวัดอ่างทอง นับตั้งแต่เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2564 เป็นต้นมา

โดยการเดินทางกลับมาในวันนี้ของท่านผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาครนั้น ก็เดินทางกลับมาแบบเป็นการส่วนตัว ไม่ได้มีพิธีการต้อนรับแต่อย่างใดทั้งสิ้น  เมื่อมาถึงที่ศาลากลางจังหวัดสมุทรสาคร ก็ได้แวะทักทายกับเจ้าหน้าที่ อส.ที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่บริเวณด้านหน้าศาลากลางจังหวัด จากนั้นก็เข้าไปตรวจงานในห้องทำงานของผู้ว่าฯ ก่อนที่จะเปิดโอกาสให้สื่อมวลชนได้พูดคุยสัมภาษณ์ในบางเรื่องบางประเด็น เช่น ความตั้งใจแรกที่อยากจะทำเมื่อกลับมาในครั้งนี้,การนำทีมสู้โควิด – 19 ในสถานการณ์ปัจจุบัน,โควิดวันนั้น(ก่อนเข้าโรงพยาบาล) กับ โควิดวันนี้(หลังออกจากโรงพยาบาล) ต่างกันอย่างไร,ความสำคัญของโรงพยาบาลสนาม, และอะไรคือสิ่งที่อยากจะบอกกับพี่น้องชาวจังหวัดสมุทรสาคร เพื่อสู้โควิดไปด้วยกัน เป็นต้น

ส่วนการประเดิมภารกิจแรกแบบเบา ๆ เมื่อกลับมาทำงานในฐานะผู้บริหารระดับสูงสุดของจังหวัดสมุทรสาคร และเป็นหัวเรือใหญ่หรือแม่ทัพในการสู้กับสถานการณ์โควิดระลอกใหม่อีกครั้ง ก็คือ การประชุมร่วมกับ นายแพทย์นเรศฤทธิ์ ขัดธะสีมา นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสมุทรสาคร และผู้บริหารโรงพยาบาลเอกชนทั้ง 8 แห่ง คือ โรงพยาบาลมหาชัย 1 , รพ.มหาชัย 2 , รพ.มหาชัย 3 , รพ.เอกชัย , รพ.วิชัยเวชสมุทรสาคร, รพ.วิชัยอ้อมน้อย,รพ.วิภาราม และ รพ.เจษฎาเวชการ เพื่อรับทราบถึงการให้บริการตรวจรักษาและรับผู้ติดเชื้อโควิด เข้าสู่กระบวนการดูแลของโรงพยาบาลเอกชน ภายใต้มาตรการของกระทรวงสาธารณสุข

นายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาหลังจากที่ออกจากโรงพยาบาลแล้ว ตนเองก็ได้ปฏิบัติงานมาอย่างต่อเนื่องแต่เป็นในรูปแบบของ Work From Home และก็ได้ติดตามข่าวสารของจังหวัดสมุทรสาครมาตลอด โดยก่อนหน้านี้ประมาณ 2 สัปดาห์ ก็ตั้งใจจะกลับมาทำงานที่จังหวัดสมุทรสาคร แต่หมอทราบข่าวเสียก่อนเลยรีบสั่งห้ามไว้ สำหรับสิ่งที่ต้องการและอยากจะให้เกิดขึ้นที่จังหวัดสมุทรสาครอันดับแรกในขณะนี้ก็คือ คนสมุทรสาครมีความเข้าใจที่ตรงกันเกี่ยวกับการปรับพื้นที่จากสีส้มเป็นสีแดง โดยมีคนสมุทรสาครหลายคนยังเข้าใจคลาดเคลื่อน เพราะสถานการณ์โควิดมีผลกระทบต่อคนทั้งประเทศ แต่คนสมุทรสาครหลายคนไม่เข้าใจว่า ทำไมสมุทรสาครถูกเปลี่ยนสีจากส้มเป็นแดง และจะมีผลกระทบอย่างไรบ้าง ซึ่งก็อยากจะบอกทุกคนว่า การเปลี่ยนแปลงพื้นที่สีนั้น ก็ด้วยที่สมุทรสาครเป็นเขตปริมณฑล และไม่อยากให้เอาพื้นที่สีมาเป็นเรื่องสำคัญ เพราะตอนนี้ทั้งประเทศก็ล้วนแต่เป็นพื้นที่ๆ เกิดการระบาดของโรคเหมือนกัน และถ้าสังเกตดูจะพบว่า ในหลักการปฏิบัติไม่ว่าจะสีแดงหรือสีส้ม ก็มีข้อบังคับการปฏิบัติที่แทบจะไม่แตกต่างกันเลย เพราะฉะนั้นถ้าคนสมุทรสาครมีความเข้าใจในส่วนตรงนี้ร่วมกันแล้ว ก็จะเข้าใจว่าสีไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ “เราจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร” ดังนั้นความตั้งใจสิ่งแรกที่อยากจะทำก็คือ อยากสร้างความเข้าใจให้เกิดกับคนจังหวัดสมุทรสาครทุกคนมีความเข้าใจที่ตรงกันในเรื่องดังกล่าวและเดินหน้าสู้โควิดร่วมกัน

นายวีระศักดิ์ฯ เปิดใจอีกว่า ส่วนความพร้อมที่จะกลับมานำทีมบริหารเพื่อสู้กับโควิดอีกครั้งนั้น วันนี้ตนเองก็คิดว่าพร้อมสู้แล้ว แต่ก็ต้องแบบค่อยเป็นค่อยไป เพราะวันนี้เราไม่ได้ทำงานอยู่เพียงลำพัง เรามีทีมงานที่คอยช่วยเหลือกัน ทั้งรองผู้ว่าราชการจังหวัดและหัวหน้าส่วนราชการต่าง ๆ ที่จะต้องคอยประคับประคองช่วยกันให้งานเป็นไปตามที่วางแผนไว้ รวมถึงพี่น้องชาวจังหวัดสมุทรสาครที่ได้ร่วมกันเดินหน้ามาจนถึงทุกวันนี้ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

ด้านสถานการณ์โควิด-19 ในวันก่อนที่ผู้ว่าจะเข้าโรงพยาบาล กับ สถานการณ์ในวันนี้ ในความรู้สึกของท่านผู้ว่าสมุทรสาครมีความแตกต่างกันมากน้อยอย่างไรนั้น นายวีระศักดิ์ฯ ก็บอกว่า ถ้าถามผมแล้ว สำหรับสมุทรสาครนั้น สถานการณ์โควิดในวันนี้ดีกว่าในวันนั้นมาก เพราะวันก่อนที่จะเข้าโรงพยาบาลมีคนที่ติดเชื้อโควิดในจังหวัดสมุทรสาครแต่ละวันเพิ่มจากหลักสิบ เป็นหลักร้อย จนกระทั่งมียอดรวมเป็นหลักหมื่น  แต่วันนี้ผู้ติดเชื้อรายวันมีแค่หลักสิบและส่วนใหญ่ก็เป็นคนต่างจังหวัด ส่วนคนสมุทรสาครก็จะติดเชื้อมาจากข้างนอก ซึ่งวันนี้สามารถพูดได้อีกอย่างหนึ่งว่า สมุทรสาครเป็นโมเดล ที่ทำให้คนไทยทั้งประเทศเห็นว่า เราสามารถต่อสู้เอาชนะสถานการณ์โควิด ที่เคยมีผู้ติดเชื้อค่อนข้างมาก จนวันนี้เหลือน้อยลง จนกระทั่งเกือบจะไม่มีเลย เพราะฉะนั้นวันนี้สถานการณ์ของสมุทรสาครดีขึ้นมากจริง ๆ

ส่วนเรื่องของความหนักใจเกี่ยวกับสถานการณ์โควิดที่ผ่านมาซึ่งเกิดกับแรงงานต่างด้าว กับ สถานการณ์โควิดในปัจจุบันที่ติดเชื้อใจกลุ่มคนไทยนั้น หากจะให้บอกว่าไม่หนักใจก็คงจะไม่ใช่ ก็คงต้องหนักใจบ้าง แต่วันนี้คงไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดเรื่องของความหนักใจกันแล้ว แต่ต้องพูดกันถึงเรื่องของ “ความรับผิดชอบ” ในฐานะผู้ว่าราชการจังหวัด รับผิดชอบในฐานะคนไทยคนหนึ่ง และรับผิดชอบในฐานะคนสมุทรสาครคนหนึ่ง  ทุกคนต้องร่วมมือช่วยเหลือกัน เพราะปัญหานี้คงไม่สามารถแก้ไขให้ลุล่วงได้โดยง่ายและรวดเร็ว ปัญหานี้คงต้องใช้ระยะเวลาอีกสักพักใหญ่กว่าที่จะผ่านพ้นไปได้

นายวีระศักดิ์ฯ ยังกล่าวถึงโรงพยาบาลสนามด้วยว่า สำหรับโรงพยาบาลสนามนั้น ในวันที่ผมเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลศิริราช ส่วนหนึ่งที่เป็นความกังวลใจก็คือ การเกิดขึ้นของโรงพยาบาลสนามหรือศูนย์ห่วงใยคนสาคร ทำอย่างไรจะให้เกิดขึ้นให้ได้ เพราะสิ่งนี้คือ จุดแตกหักที่จะแยกคนที่ติดเชื้อให้ออกมาจากคนปกติ ถ้าไม่มีโรงพยาบาลสนามก็ไม่มีวันนี้ ซึ่งก็เชื่อว่าคนสมุทรสาครคงจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า โรงพยาบาลสนามเป็นจุดที่ทำให้จังหวัดสมุทรสาครดีขึ้นจากเดิมเป็นอย่างมาก จึงเป็นคำตอบโดยปริยายแล้วว่า “โรงพยาบาลสนามเป็นหัวใจหลักในการต่อสู้กับสถานการณ์โควิด” นั่นคือ การแยกคนที่ติดเชื้อออกมา และสิ่งที่ต้องยอมรับกันก็คือ โรงพยาบาลสนามไม่ใช่สถานที่สุขสบาย มีหลายคนกล่าวถึงโรงพยาบาลสนามในด้านลบหลาย ๆ อย่าง จึงอยากให้เข้าใจร่วมกันว่า แม้โรงพยาบาลสนามจะไม่สะดวกสบายแบบอยู่บ้าน แต่ขอให้เข้าใจว่าโรงพยาบาลสนามจะเป็นสิ่งหนึ่งที่ช่วยทำให้เราทุกคนสู้กับสถานการณ์โควิดได้อย่างทันท่วงที

นายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร กล่าวทิ้งท้ายว่า ตนขอขอบพระคุณคนไทยทั้งประเทศ ขอบพระคุณคนสมุทรสาคร สำหรับกำลังใจที่ส่งไปให้ขณะที่เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับการสู้กับโรคโควิด 19 นั้นก็คือ “กำลังใจ” ซึ่งที่ผ่านมาตนเองยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่า จะสามารถมีชีวิตรอดกลับมาตรงนี้ได้อีกครั้ง แต่เพราะได้สิ่งสำคัญที่สุดมาช่วยพยุงนั่นก็คือ กำลังใจ ที่แม้จะเป็นนามธรรมจับต้องไม่ได้แต่ก็เป็นสิ่งที่มีคุณค่ามหาศาล ฉะนั้นกำลังใจที่แต่ละคนมอบให้จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการต่อสู้กับสถานการณ์โควิด 19 ในปัจจุบันนี้ เพราะทุกคนต้องการกำลังใจเป็นอย่างสูง เพื่อการยืนหยัดต่อไปให้ได้จนกว่าสถานการณ์โควิดจะผ่อนคลาย หรือผ่านพ้นไปในที่สุด วันนี้กำลังใจที่ทุกคนมีให้แก่กันและกัน จะเป็นพลังในการขับเคลื่อนให้สมุทรสาครเดินหน้าต่อไป ทำให้ประเทศไทยเดินหน้าต่อไป ผมไม่รู้ว่าในอนาคตเราจะประสบปัญหาเพิ่มมากขึ้น หรือน้อยลง  แต่ผมเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า “วันที่เรายังมีลมหายใจ ยังมีกำลังใจที่ดี แม้จะมีอุปสรรคที่ท้าทายให้เราก้าวข้ามไป เมื่อเราผ่านพ้นไปได้ ความสำเร็จจะรอเราอยู่ข้างหน้าอย่างแน่นอน”


ภาพ/ข่าว ชูชาตแดพยนต์ ทีมข่าวสมุทรสาคร

ราชบุรี - ชิมเมนูเด็ดที่เจษฎาฟาร์ม ชมแสดงช้างแสนรู้แบบถึงโต๊ะ ในห้องอาหารที่เดียวในโลก

สุดปัง!! ชิมอาหารเมนูเด็ด จิบกาแฟคุณภาพเยี่ยม แถมยังฝึกขี่ม้า ดารา และชมฟรีการแสดงของช้างน้อยแสนรู้แบบถึงโต๊ะในห้องอาหารที่เดียวในโลก

(20 เม.ย. 64) พาไปกันที่เจษฎาฟาร์ม ราชบุรี ตั้งอยู่ที่ ตำบลพิกุลทอง อ.เมือง จ.ราชบุรี ซึ่งเป็นสถานที่ฝึกการขี่ม้าของบรรดาดารานักแสดงต่าง ๆ อีกทั้งม้าทุกตัวยังอยู่ในละครและภาพยนตร์ดังหลายเรื่อง อย่าง ภาพยนตร์ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่ถ่ายทำ ละคร และ ภาพยนตร์อีกด้วย ปัจจุบัน เจษฎาฟาร์ม ราชบุรี ได้มีการต่อยอดเปิดเป็น เจษฎาฟาร์มคาเฟ่เปิดครัวจำหน่ายอาหารสไตล์พื้นบ้าน และ สเต๊กแบรงกัสนำเข้า เป็นสเต็กเนื้อพรีเมียมนำเข้าจากต่างประเทศ รวมไปถึง เมนูสเต็กแบบไทย ๆ ในราคาเบา ๆ สามารถจับต้องได้ นอกจากนี้ยังมีเมนูเครื่องดื่มหลากหลายชนิด ทั้งกาแฟสด เมนูน้ำผลไม้ และ เมนูน้ำกัญชาเพื่อสุขภาพ ในสไตล์ร้านแบบเวิสเทริ์นคาวบอย

แต่ที่โดนใจและไม่เหมือนใคร คือ การโชว์การแสดงของเจ้าช้างน้อย “ราชาบุรี” ช้างน้อยวัยเพียง 5 ขวบ ที่แสดงลีลาการเต้นตามจังหวะเพลง แถมยังส่ายตูดแบบน่านัก ไม่ว่าจะยืน 2 ขา นั่งชู 2 ขา นอน และ การควงฮูลาฮูป ภายในร้านอาหาร แบบถึงโต๊ะอาหารให้ลูกค้าและนักท่องเที่ยวได้ชมกันอย่างใกล้ชิด ที่สำคัญชมฟรีแบบไม่คิดเงินเพิ่มจากค่าอาหาร หรือ ค่ากาแฟ

ส่วนเมนูเด็ดของทางร้าน ข้าวผัดกระเพราสูตรเด็ดแบบโบราณที่ขายมานานกว่า 20 ปี เมนู สปาเก็ตตี้ผัดขี้เมารสเด็ด มีทั้งเมนูทะเล เมนูหมูและไก่ และเมนูส้มตำ ราคาเริ่มตัน 50 - 150 บาท ส่วนเมนู สเต๊กแบรงกัสนำเข้า เป็นเสต็กเนื้อนำเข้าราคา 859 บาท สเต็ก หมู-ไก่ เริ่มที่ 259 – 559 บาท สำหรับเมนูเครื่องดื่ม กาแฟสด เริ่มต้นที่ 45 – 60 บาท ส่วนเมนูเครื่องดื่มผสมใบกัญชา ราคาแก้วละ 95 บาท เป็นเครื่องดื่มกัญชาเพื่อสุขภาพ

นอกจากนี้ทางเจษฎาฟาร์ม ราชบุรี ยังมีกิจกรรม นั่งช้างชมธรรมชาติ ไหว้พระถวายสังฆทานในอุโบสถเก่าแก่กว่าสองร้อยปี ที่วัดพิกุลทอง ต.พิกุลทอง อ.เมือง จ.ราชบุรี ซึ่งมีที่เดี่ยวในโลก นอกจากนี้ยังมีบริการขี่ม้า ทั้งม้าใหญ่และม้าแคะ ที่ให้นักท่องเที่ยวได้ชมธรรมชาติ โดยรอบฟาร์ม หรือจะไปไหว้พระที่วัด ส่วนราคา 300 – 500 บาท ต่อครั้ง สำหรับคนที่ต้องการฝึกขี่ม้าทางเจษฎาฟาร์ม ราชบุรี ก็บริการสอนจนสามารถขี่ม้าเป็นด้วย

นายเจษฎา สิงห์โต อายุ 39 ปี หรือ คุณอาร์ม เจ้าของเจษฎาฟาร์ม ราชบุรี เล่าให้ฟังว่า เดิมตนเองเปิดคอกเลี้ยงวัวเพื่อจำหน่าย พอได้อายุ 20 ปีเริ่มมาเลี้ยงม้าแห่นาค โดยไปบริการ ม้าแห่นาคตามงานบวชต่าง ๆ จากนั้นหันมาเริ่มเลี้ยงมาอย่างจริงจัง จนกลายมาเลี้ยงม้าถ่ายละคร จนเกิดความชำนาญ และเปิดเป็นสถานที่ฝึกสอน ดารานักแสดงในการขี่ม้า นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ และ ละคร เรื่องต่าง ๆ ตนจึงได้ต่อยอด มาขายอาหาร ซึ่งคุณแม่ขายอาหารตามสั่งมาก่อน จึงไห้มาทำที่ร้าน ตกแต่งในสไตล์ คาวบอย จำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม เริ่มต้นราคา 50 - 150 บาท  และ เมนูสเต็กเนื้อนำเข้าราคา 859 บาท

ส่วนตนเองก็เป็นนักแสดง ได้รับบทเป็นสมเด็จพระนเรศวร จึงได้ซึมซับ ในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช จึงได้ไปซื้อช้างและเรียนรู้ประวัติศาสตร์ โดยถ่ายทอดความรู้ให้กับนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวชมภายในฟาร์มด้วย

สำหรับนักเที่ยวที่ต้องเดินทางมาเที่ยวที่เจษฎาฟาร์ม ราชบุรี ตั้งอยู่ที่ด้านหลังของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลพิกุลทอง (อนามัยพิกุลทอง) ต.พิกุลทอง อ.เมือง จ.ราชบุรี โทร 081-2906-753 หรือ แฟนเพจ เจษฏา ฟาร์ม ราชบุรี


ภาพ/ข่าว  ตาเป้ จ.ราชบุรี

พังงา - สุดอเมซิ่ง...พระอาทิตย์ขึ้นที่ทุ่งหญ้าสะวันน่าเกาะพระทอง แอฟริกาไทยแลนด์

ที่เดอะมอแกน อีโค วิลเลจ เกาะพระทอง อ.คุระบุรี จ.พังงา  ในช่วงเช้าตรู่เจ้าหน้าที่ได้นำกลุ่มนักท่องเที่ยวขึ้นรถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อ ออกเดินทางตลุยไปรอชมพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้าที่ทุ่งหญ้าสะวันนา พร้อมกับส่องสัตว์ป่าระหว่างทางโดยสัตว์ป่าประจำถิ่นที่นี่คือกวางม้า ทิวทัศน์สองข้างทางที่รถพาฝ่าไปนั้น แปลกตาเป็นทุ่งหญ้าสีทองกว้างใหญ่และต้นเสม็ดแคระ ลักษณะคล้ายกับบรรยากาศที่ดูในสารคดีป่าแอฟริกา

จากนั้นรถก็มาจอดที่จุดไฮไลท์ในการรอชมพระอาทิตย์ขึ้นแบบ 360 องศา กลางทุ่งหญ้า เมื่อมองไปทางทิศตะวันออกก็จะเห็นพระอาทิตย์เริ่มขึ้นอย่างช้า ๆ ตามแนวภูเขาบนแผ่นดินใหญ่ที่อยู่ห่างออกไป เมื่อพระอาทิตย์โผล่พ้นแนวภูเขาขึ้นมา ก็ส่งแสงสาดลงมาที่ทุ่งหญ้าสีทอง  ซึ่งหากมาในช่วงเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ ทุ่งหญ้าสีทองจะหนาแน่นไปสุดลูกลูกตา แต่มาในช่วงนี้ก็ยังพอมีให้เห็นบ้าง นักท่องเที่ยวแต่ละคนต่างก็หาจุดหามุมที่ตัวเองชื่นชอบบันทึกภาพไว้ว่าครั้งหนึ่งได้มาเที่ยวทุ่งหญ้าสะวันนาเมืองไทย ว่ากันว่าหากนำม้าลาย สิงโตและยีราฟ มาปล่อยบนเกาะ บรรยากาศก็จะกลายเป็นทุ่งหญ้าในทวีปแอฟริกาจริง ๆ

คุณปาจรีย์ ศรีฟ้า ผู้ประกอบท่องเที่ยวบนเกาะพระทอง เปิดเผยว่า เกาะพระทอง ตั้งอยู่ในอำเภอคุระบุรี จังหวัดพังงา มีพื้นที่ 102 ตร.กม. เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดพังงา มีชุมชน 3 หมู่บ้าน คือ บ้านปากจก บ้านทุ่งดาบ และบ้านแป๊ะโย้ย ได้รับการคัดเลือกจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ให้เป็น “Unseen Thailand” ในปี พ.ศ.2546  

เกาะพระทองเกิดจากซากปะการังทับถมกันมาอย่างยาวนานล้านปี จนกระทั่งกลายเป็นเกาะที่มีสภาพภูมิประเทศที่แปลกตาแบบนี้ คือจะมีลักษณะค่อนข้างแบนราบ ถือเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของเกาะแห่งนี้ ทิศตะวันออกจะเป็นแนวป่าโกงกาง ทิศตะวันตกเป็นหาดทราย ส่วนบริเวณกลางเกาะเป็นทุ่งหญ้าขนาดใหญ่ที่มี ต้นเสม็ดแคระ ขึ้นกระจายอย่างสวยงามมาก ปกติทริปเดินทางตามจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวจะมีบริษัทหรือผู้ชำนาญการมาดูแลหรือนำทัวร์ แต่สำหรับที่นี่ทุกอย่างดำเนินการโดยชาวบ้านในพื้นที่


ภาพ/ข่าว  อโนทัย  งานดี

ชลบุรี - วันไหลพัทยา สุดเงียบเหงา กิจกรรมสืบสานประเพณี วัฒนธรรมถูกยกเลิก ขานรับพื้นที่สีแดง

หลังจากที่ประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการ ศบค.เป็นประธาน มีมติเห็นชอบมาตรการยกระดับการควบคุมโรคโควิด-19 และปรับโซนสีของพื้นที่เพื่อให้สอดรับกับมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เป็นระยะเวลา 14 วัน นับตั้งแต่ข้อกำหนดประกาศในราชกิจจานุเบกษาบังคับใช้ หรือ ตั้งแต่เวลา 00.00 น.ของวันที่ 18 เมษายน 2564 จนถึงวันที่ 30 เมษายน 2564 ซึ่งแบ่งออกเป็น โซนสีแดง หรือ พื้นที่ควบคุมสูงสุด จำนวน 18 จังหวัด โดย 1 ใน 18 จังหวัดพื้นที่สีแดงมีจังหวัดชลบุรี ด้วยนั้น ส่งผลทำให้หลายกิจกรรมในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ของเมืองพัทยา อำบางละมุง ต้องถูกยกเลิกและงดจัด เพื่อให้สอดคล้องมาตรการของศบค.

ล่าสุดวันนี้ ( 19 เม.ย. 64 ) ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ถนนชายหาดพัทยา อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ซึ่งในทุกปีของวันที่ 19 เมษายนจะเป็นวันไหลพัทยา โดยบริเวณดังกล่าวจะมีประชาชนชาวไทยชาวต่างชาติ รวมถึงนักท่องเที่ยวผู้ประกอบการบาร์เบียร์ ร้านค้าต่าง ๆ ตลอดแนวชายหาด จะร่วมเล่นสาดน้ำในเทศกาลวันไหลพัทยากันอย่างคึกคักสนุกสนาน ทั้งนี้ในช่วงบ่ายและถือเป็นเป็นไฮไลท์ของวันไหลพัทยา จะขบวนรถบุปผชาติแห่อัญเชิญพระพุทธรูปไปตลอดแนวชายหาด ให้นักท่องเที่ยวได้สรงน้ำพระ เพื่อความเป็นสิริมงคล ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวได้มีการจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในเทศกาลวันไหลพัทยา

แต่ด้วยในปีนี้มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 ระลอกใหม่และมีความรุนแรง มีแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ทำให้มียอดผู้ติดเชื้อสะสมระลอกใหม่ ในพื้นมี่จังหวัดชลบุรีในวันนี้ (19 เม.ย.64) ถึง 1,283 ราย  ส่งผลทำให้เทสกาลวันไหลพัทยา กิจกรรมสืบสานประเพณีในช่วงเทศกาลวันไหลต้องถูกยกเลิกจัดงาน เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื่อไวรัสโควิด-19 โรค ที่เกิดจากการรวมกลุ่มกัน การสัมผัสใกล้ชิดในรูปแบบต่าง ๆ และให้เป็นไปตามมาตรการของศบค. ทำให้บรรยากาศเทศกาลวันไหลพัทยาเงียบเหงา ร้านค้า บาร์เบียร์ปิด ถนนสายชายหาดที่แน่นไปด้วยประชาชนและนักท่องเที่ยวมาเล่นสาดน้ำไม่มีแม้แต่เงาผู้คน มีเพียงรถที่สัญจรไปมา

นางไรระตี ทรงสุวรรณ อายุ 54 ปี เจ้าร้านขายชุดว่ายน้ำและอุปกรณ์เล่นน้ำ บริเวณชายหาดพัทยา กล่าวว่า หากเปรียบเทียบวันไหลพัทยาในปีนี้กับที่ที่ผ่าน ๆ มา ปีนี้เงียบมากไม่เหมือนเดิม ซึ่งปกติทุกปีที่มีการจัดงานจะขายสินค้าแบบไม่ได้นั่งพักเลยต้องหาคนมาช่วยขาย 3-4 คน ในช่วงวันไหลพัทยา จะมีการนำปืนฉีดน้ำมาแขวนและอุปกรณ์เล่นน้ำต่าง ๆ รวมถึงซองกันน้ำ มาว่างขายเต็มหน้าร้าน อีกทั้งบริเวณหน้าร้านจะมีการนำถังน้ำมาตั้งเลียงกันจำนวนมาก แต่พอมาปีนี้บรรยากาศที่เคยเจอก็เงียบเหงาไปหมด ซึ่งปกติตั้งแต่ในช่วงเทศกลาสงกรานต์ถึงเทศกาลวันไหลทางร้านจะขายสินค้าดีมากแบบไม่มีเวลาพักเลย รายได้ตกวันเกือบ 20,000 -30,000 บาท รายได้ไหลมาเหมือนชื่อวันไหล ผู้คนแน่น แต่มาปีนี้ขายได้ไม่ถึงพันบาทต่อวัน

นายสมศักดิ์ พลเยี่ยม อายุ 40 ปี วินจักรยายนยนต์รับจ้าง ซอย 6 ชายหาด กล่าวว่า บรรยากาศวันไหลพัทยาในปีนี้และปีที่ผ่านมาต่างกันอย่างมากปีนี้เงียบเหงามาก ปกติถ้ามีการจัดงานวันไหลก็จะมีผู้โดยสารมาใช้บริการจำนวนมากสร้างรายได้ในช่วงวันไหลพัทยาหลายพันบาท ทั้งนี้เห็นด้วยที่งดจัดงานวันไหลพัทยาในปีนี้ไปด้วยการแพร่ระบาดโควิด-19 น่ากลัว การงดจัดงานถือเป็นการป้องกันของโรคที่ดีเพื่อไม่ให้มีการรวมกลุ่มของประชาชนและนักท่องเที่ยว


ภาพ/ข่าว อนันต์ สุขวัฒนะ / เอกชัย สุขวัฒนะ  ผู้สื่อข่าวภูมิภาค พัทยา จ.ชลบุรี

นราธิวาส - แม่ทัพภาคที่ 4 สั่งกำลังป้องกันชายแดนเตรียมรับคนไทยกลับประเทศ หลังมาเลย์ดีเดย์ผลักดันแรงงานต่างชาติออกนอกประเทศภายใน 21 เมษายนนี้

วันนี้ (19 เมษายน 2564) แม่ทัพภาคที่ 4 สั่งเตรียมพร้อมรองรับคนไทยกลับเข้าประเทศ หลังมาเลเซียขีดเส้นผลักดันชาวต่างชาติที่อาศัยในเมืองโดยผิดกฎหมาย ต้องเดินทางออกจากประเทศก่อนวันที่ 21 เม.ย.64 หลังจากที่ได้มีการผ่อนผันมาแล้วหลายครั้ง อันเนื่องมาจากผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโควิด 19 ในประเทศมาเลเซีย ย้ำรับคนไทยทุกคนแต่ต้องผ่านกระบวนการคัดกรองโรคอย่างเคร่งครัด ป้องกันนำเชื้อโควิด-19 เข้ามาระบาดในประเทศ

พลโท เกรียงไกร  ศรีรักษ์  แม่ทัพภาคที่ 4 / ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 กล่าวว่า ภายหลังมาเลเซียเร่งรัดผลักดันให้ชาวต่างชาติที่อาศัยในเมืองผิดกฎหมาย ต้องเดินทางออกจากประเทศก่อนวันที่ 21 เมษายน 2564 โดยเฉพาะกลุ่มคนไทยที่อยู่ในมาเลเซียนั้น เราได้มีการเตรียมการรับมือเรื่องนี้ไว้แล้วโดยได้ประสานจังหวัดต่าง ๆ ที่อยู่ติดชายแดนมาเลเซียให้มีมาตรการรับมือทั้งเรื่องของสถานที่สำหรับรองรับกลุ่มดังกล่าว

ทั้งยังได้สั่งการให้หน่วยกำลังทุกหน่วยประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดอย่างใกล้ชิด ตลอดจนหน่วยงานสาธารณสุข และหน่วยที่เกี่ยวข้อง โดยนำมาตรการที่เคยใช้ควบคุมโรคโควิด-19 ที่ใช้ได้ผลเป็นอย่างดีมายกระดับเพิ่มเติม ส่วนกำลังเจ้าหน้าที่ป้องกันตามแนวชายแดนก็ได้สั่งให้เข้มงวดมาตรการดูแลสกัดกั้นตามแนวชายแดน ซึ่งได้ดำเนินการมาโดยตลอดตั้งแต่มีนาคมปีที่แล้ว โดยได้มีการตรวจตราตามแนวชายแดนอย่างเข้มงวด เพิ่มเติมกำลังเจ้าหน้าที่เฝ้าตรวจตามแนวชายแดน โดยเฉพาะการเข้ามาผ่านช่องทางธรรมชาติผิดกฎหมาย ของแรงงานคนไทยที่ไปทำงานยังมาเลเซีย ที่จะต้องนำเข้ากระบวนการ Quarantine ป้องกันโรคโควิด-19 ทุกคน

เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อ สำหรับชายแดนที่ต้องดูแลเป็นพิเศษนั่นคือ ฝั่งจังหวัดนราธิวาสและสงขลา เพราะมีช่องทางธรรมชาติที่หลายช่องทาง ที่สามรถแอบลักลอบเข้ามาได้ ประกอบกับทั้ง 2 จังหวัดนี้ ขณะนี้เป็นพื้นที่สีแดงที่ต้องมีการควบคุมสูงสุด เนื่องจากมีระบาดจำนวนมาก โดยเฉพาะทางจังหวัดนราธิวาส ที่มักมีผู้ลักลอบเข้ามาทางฝั่ง อ.ตากใบ อ.แว้ง และ อ.สุไหงโกลก โดยข้ามแม่น้ำเข้ามา ยิ่งช่วงนี้หน้าแล้ง น้ำแห้งทำให้สามารถข้ามมาได้โดยสะดวก ยิ่งมาเลเซีย​ผลักดันอาจทำให้มีคนแอบลักลอบเข้ามามายิ่งขึ้น โดยเมื่อวานนี้สามารถจับกุมได้กว่า 40 คน ก็ได้นำเข้ากักตัวสังเกตอาการทั้งหมด นอกจากกำลังเจ้าหน้าที่แล้วก็ได้ประสานกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ได้ช่วยกันเป็นหูเป็นตาดูแล ช่วยด้วยอีกทางหนึ่ง สำหรับชายแดนที่ติดทางทะเล จ.สตูล​ ก็ได้ให้กำลังป้องกันชายแดน โดยกองกำลังเทพสตรี เฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด และเข้มงวดกวดขันยังจุดที่เป็นเกาะแก่งต่าง ๆ ที่คาดว่าอาจมีการลักลอบเข้ามา โดยส่วนใหญ่มาทางเรือ ก็ได้ประสานการทำงานร่วมกับทัพเรือภาค 3 ในการลาดตระเวนทางทะเลเพื่อป้องกันอย่างเต็มที่ 

อย่างไรก็ดี ขอฝากถึงประชาชนในพื้นที่ได้ช่วยกันเป็นหูเป็นตา ช่วยกันสร้างความตระหนักรู้ในมาตรการและความจำเป็นในการเฝ้าระวังป้องกันโรคโควิด 19 โดยเฉพาะผู้ที่กำลังจะเข้ากลับมายังประเทศไทยขอให้แจ้งผ่านเข้ามายังเจ้าหน้าที่ เพื่อจะได้อำนวยความสะดวก ช่วยเหลือ และนำเข้าสู่กระบวนการคัดกรองโรคตามที่ สบค. กำหนด ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุดเพื่อความปลอดภัยของทุกคน ยืนยันไม่ว่าจะเดินทางเข้ามาผ่านช่องทางใดเจ้าหน้าที่พร้อมรับและดูแล แต่ต้องมีการคัดกรองโรคอย่างเข้มข้น และหากพี่น้องประชาชนพบเห็นผู้ที่แอบลักลอบเข้ามายังหมู่บ้าน ชุมชนของตนโดยไม่ผ่านการคัดกรองโรค ก็ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่โดยทันที เพื่อป้องกันไม่ให้มีการนำเชื้อจากต่างประเทศเข้ามาในพื้นที่ แม่ทัพภาคที่ 4 ได้กล่าวย้ำทิ้งท้าย


ภาพ/ข่าว  ปทิตตา หนดกระโทก ผู้สื่อข่าวนราธิวาสรายงาน

อุดรธานี - ผบช.ภ.4 สั่งตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง กรณีคลิปตำรวจในสังกัด ภ.จว.อุดรธานี พาภรรยาขึ้นเฮลิคอปเตอร์

เบื้องต้นได้รับรายงานชี้แจงว่าเป็นภาพเก่าเมื่อปี 2562 แต่ไม่ทราบเหตุผลว่าภรรยาของตำรวจรายนี้โพสต์ลงในโซเชียลตอนนี้เพื่อจุดประสงค์อะไร

เมื่อเวลา 17.00 น.วันที่ 19 เม.ย.2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าโลกโซเชียลมีเดียและเพจต่าง ๆ ทั่วทั้ง จ.ขอนแก่น ได้มีการเผยแพร่ภาพจากผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ “ปฏิบัติการหมาเฝ้าบ้าน” โพสต์ภาพของหญิงรายหนึ่ง ยืนอยู่ข้าง ฮ.ตำรวจ โดยระบุข้อความว่า  “สวัสดิการดีมี ฮ.หลวงให้ใช้ อ้างพาเมียบินร่วมงานแม่บ้านก็ได้ด้วย ปีนี้ตำรวจท็อปฟอร์มจริง ๆ ” หลังเพจเฟซบุ๊กดังกล่าวมีการเผยแพร่ออกมาทำให้มีชาวเน็ตต่างเข้ามาแสดงความคิดเห็นพร้อมกับแชร์ออกไปจำนวนมาก

ในเวลาต่อมา ผู้สื่อข่าวได้สอบถามไปยัง พล.ต.ท.ยรรยง เวชโอสถ ผบช.ภ 4 ทราบว่า กรณีดังกล่าวนั้น ทางตำรวจภูธรภาค 4 ได้รับคำสั่งจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้มีการตรวจสอบคลิปดังกล่าวและรายงานมายังสำนักงานตำรวจแห่งชาติโดยด่วน ซึ่งเบื้องต้นนั้น ตรวจสอบทราบว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัดตำรวจภูธรจังหวัดอุดรธานี และยังปฏิบัติราชการอยู่ในตำแหน่งสารวัตรสืบสวน ซึ่งทางตำรวจภูธรภาค 4 เองได้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงขึ้นมาและต้องทราบผลภายใน 3 วัน ในเบื้องต้นนั้นจากการตรวจสอบทราบว่า

"คลิปดังกล่าวเป็นคลิปที่ภรรยาและนายตำรวจรายนี้ถ่ายเอาไว้เมื่อปี พ.ศ.2552 ขณะที่ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 คนเก่าบินไปตรวจราชการ โดยมีสารวัตรสืบสวนรายนี้พร้อมภรรยาติดตามไปด้วย โดยในรายละเอียดอยู่ระหว่างการสอบสวนของทางคณะกรรมการ ว่าเพราะเหตุใดจึงนำคลิปดังกล่าวมาโพสต์ในโลกโซเชียลจนเป็นประเด็นขึ้นมา และในเรื่องของการที่ตำรวจพาภรรยาติดตามไปด้วยนั้น หากมีการขออนุญาตผู้บังคับบัญชาและผู้บังคับบัญชาอนุญาตก็สามารถพาขึ้นได้ไม่ผิด"

ขอนแก่น - ว่าที่มิสแกรนด์ แถลงข่าวประกวดมิสแกรนด์ขอนแก่น 2021 ก้าวสู่เวทีอันดับ 1 แห่งภาคอีสาน กองประกวดมิสแกรนด์ขอนแก่น 2021 เปิดตัวผู้เข้าประกวดทั้ง 26 คน ตัวแทนจาก 26 อำเภอ

เมื่อเวลา 18.00 น.วันที่ 18 เมษายน 2564 ที่ ห้องบอลรูมพรสราญ โรงแรมเฮือนต้นนุ่น ขอนแก่น  ได้มีถ่ายทอดสดแถลงข่าว มิสแกรนด์ขอนแก่น 2021 พร้อมเปิดตัวผู้เข้าประกวดทั้ง 26 คน ตัวแทนจาก 26 อำเภอ อีกทั้ง เปิดตัวมงกุฎประจำตำแหน่งมิสแกรนด์ขอนแก่น 2021 พร้อมผู้เข้ารอบชุดประจำชาติ 10 ผลงานสุดท้าย และเซอร์ไพร์สอีกมากมาย โดยมีนายณัทธภัทร มูลเหลา ผู้อำนวยการกองประกวดมิสแกรนด์ขอนแก่น พร้อมด้วยนายสิทธา  สมควรดี กรรมการผู้จัดการบริษัท เจ้านาง (ไทยแลนด์) จำกัด คุณ ปพิชญา  ศรีประวัติกุล  กรรมการผู้จัดการโรงแรมเฮือนต้นนุ่น ร่วมแถลงการจัดงานการประกวดมิสแกรนด์ขอนแก่น 2021 โดยมี สาวงามผู้เข้าร่วมประกวด ทั้ง 26 อำเภอ ร่วมงาน

นายณัทธภัทร  มูลเหลา ผู้อำนวยการกองประกวดมิสแกรนด์ขอนแก่น กล่าวว่า ในฐานะของผู้จัดงานมีความมุ่งมั่น และมีความมั่นใจที่จะให้เวทีการประกวดนางงาม ของจังหวัดขอนแก่นได้เป็นที่รู้จักยกมาตรฐานยกระดับ ในการทำงานในเวทีนางงามมากขึ้น ซึ่งส่วนตัวผมคนเดียวไม่อาจทำงานได้ ให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ได้ ต้องขอขอบพระคุณทุกฝ่ายที่ร่วมกัน หรือแม้แต่ผู้สนับสนุนทุกๆท่าน เช่นแบรนด์เครื่องสำอางค์เจ้านาง รวมไปถึงสถานที่ที่จัดงาน ในการเก็บตัวผู้เข้าประกวด เช่นโรงแรมเฮือนต้นนุ่น ขอกราบขอบพระคุณครับ ส่วนน้องๆทุกคน ตอนสมัครมาประกวดก็จะต้องมีใบรับรองแพทย์ หรือผลการตรวจเลือดทุกคน ส่วนสาวงามก็จะมีอำเภอละ 1 คน รวม 26 คน 26 อำเภอผ่านทาง Facebook : Miss Grand Thailand เวลา 16.00 น. เป็นต้นไปจะคว้ามงกุฏโดยในวันนี้เป็นการเปิดตัวสาวงามผู้เข้าประกวดจาก 26 อำเภอ และจะเก็บตัวทำกิจกรรม 6-9 พฤษภาคม 64 การคัดเลือกว่าใครจะได้เป็นมิสแกรนด์ขอนแก่นก็ต้องเป็นวันที่ 9 พ.ค.2564

ด้าน นายสิทธา  สมควรดี กรรมการผู้จัดการบริษัท เจ้านาง (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวว่า ทางบริษัทเจ้าของแบรนด์เจ้านางได้เล็งเห็นศักยภาพของคนขอนแก่น ได้ทำความสวยความงามในด้าน ของตัวเองว่าตัวเองชอบความสวยความงามด้านไหน เราจึงได้สร้างโปรเจคขึ้นมา คือให้น้องๆที่เข้าประกวดได้ทำ การนวดไทยผ่านแอป tiktok และได้ทำ Present ว่าตัวเองได้ทำพรีเซนต์สินค้าตัวไหน ของแบรนด์เจ้านางแล้วเราก็จะจับพิเศษตัวนี้แหละ ใช้ในการแข่งขัน ซึ่งถ้าใครทำพรีเซนต์ แล้วมีคนเข้าไปดู คุณชอบคนชื่นชม และกดไลค์ กดแชร์ เป็นจำนวนมาก ก็จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยในการตัดสิน ผ่านและก็จะ Contact ส่งไปให้น้อง เพื่อที่จะเข้าไปในรอบตัดสินได้เลย

ส่วน คุณปพิชญา ศรีประวัติกุล  กรรมการผู้จัดการโรงแรมเฮือนต้นนุ่น  กล่าวว่า ทางโรงแรมเรือนต้นนุ่นก็รู้สึกยินดีที่ได้ ต้อนรับคณะกองประกวดมิสแกรนด์ขอนแก่น 2021 ในครั้งนี้ ในการป้องกันมาตรการ covid ทางโรงแรมเราก็ได้ เว้นระยะที่นั่งสำหรับทุกท่าน และก็ได้มีการตรวจสอบและติดตามข่าวของสาธารณสุขอยู่เป็นประจำ ก่อนที่เราจะมีการจัดงานขึ้น ส่วนงานในวันนี้เราก็มีการเซฟตี้อย่างร้อยเปอร์เซ็นต์ โดยศักยภาพของทางโรงแรมเราก็สามารถต้อนรับคณะจัดประชุมฯ หรือจัดงานต่างๆ เพื่อให้สอดคล้องกับ เมืองไมซ์ซิตี้ ของขอนแก่นเรา. Cr.ถ่ายทอดสดแถลงข่าว มิสแกรนด์ขอนแก่น 2021 https://www.facebook.com/watch/?v=488233545858141


ภาพ/ข่าว ศูนย์ข่าวขอนแก่น

ฉะเชิงเทรา - นายกไก่ นำทีมบริหาร อบจ.ช่วยชาวบ้าน ณ ธรณีประตูส่งน้ำ คลองสัมปทวน-โพรงอากาศ -ตกระทุ่ม

วันที่ 19 เม.ย. 2564 นายกิตติ เป้าเปี่ยมทรัพย์ นายก อบจ.ฉะเชิงเทรา พร้อมด้วยนายไพศาล ช้างพลายแก้ว เลขานุการนายก อบจ.ฉะเชิงเทรา นายสุนทร พานแก้ว นายสุเทพ ศิริจำรัส สมาชิกสภา อบจ.ฉะเชิงเทรา นายธนภัทร ศรีอุไร กำนันตำบลโพรงอากาศ และผู้นำท้องถิ่น ร่วมลงพื้นที่รับฟังปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ณ ธรณีประตูส่งน้ำ คลองสัมปทวน-โพรงอากาศ -ตกระทุ่ม ต.โพรงอากาศ อ.บางน้ำเปรี้ยว จ.ฉะเชิงเทรา

ซึ่งการตรวจสอบพบว่า ไม่สามารถส่งน้ำให้ไหลผ่านได้ จึงส่งผลให้ประชาชนในพื้นที่ หมู่ 7 ,8 ,9 ,10 ,11 ,12 ,13 และหมู่ 14 ตำบลโพรงอากาศ อ.บางน้ำเปรี้ยว เชื่อมตำบลบางแก้ว และตำบลบางขวัญ อ.เมืองฉะเชิงเทรา จ.ฉะเชิงเทรา พื้นที่การเกษตรที่ได้รับความเดือดร้อน รวม 11,415.5 ไร่

นายกิตติ เป้าเปี่ยมทรัพย์ นายก อบจ.ฉะเชิงเทรา กล่าวว่า กรณีปัญหาความเดือดร้อนดังกล่าว อยู่ในความรับผิดชอบของชลประทาน หลังจากลงพื้นที่รับทราบปัญหาความเดือดร้อนแล้ว ตนและคณะได้เดินทางเข้าพบนายสมศักดิ์ ธิมา ผอ.โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาพระองค์ไชยานุชิต ณ โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาพระองค์ไชยานุชิต ต.ท่าไข่ อ.เมืองฉะเชิงเทรา จ.ฉะเชิงเทรา เพื่อปรึกษาหารือ และหาแนวทางการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในครั้งนี้

นายสมศักดิ์ ธิมา ผอ.โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาพระองค์ไชยานุชิต และนายสรยุทธ์ กสินธุ์มานะวาท หน.จัดสรรน้ำโครงการพระองค์ไชยานุชิต ได้ชี้แจงแนวทางแก้ไขปัญหา โดยในเบื้องต้นจะเข้าดำเนินการแก้ไขระดับธรณีประตูส่งน้ำ และจะนำเครื่องสูบน้ำไปดำเนินการสูบน้ำทันที เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนที่ต้องการใช้น้ำทำการเกษตรต่อไป


ภาพ/ข่าว  สัมฤทธิ์ ล้ำเลิศ / ฉะเชิงเทรา


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top