Monday, 26 May 2025
SPECIAL

โชธะปุระ (Jodhpur) & บุณฑี (Bundi) วิถีชีวิตบนความจัดจ้าน นคร‘สีฟ้า’ที่ตราตึงใจ...ในอินเดีย

เมืองสีฟ้าย่อมถูกโฉลกกับคนบ้าสีฟ้า ผู้ซึ่งเข้าข่ายคลั่งไคล้สีนี้เป็นที่สุด จะเป็นใครเสียอีกล่ะถ้าไม่ใช่ผม การได้ไปเยือนไปอยู่ ณ สถานที่สีฟ้าย่อมทำให้มีความสุขสบายใจอย่างเป็นล้นพ้นสำหรับคนประเภทนี้ ในโลกนี้มีอยู่ไม่กี่แห่งเสียด้วยสิ และบางแห่งในนั้นอยู่ในประเทศอินเดียนั่นเอง หากเจาะจงให้เฉพาะลงไปอีกก็ที่รัฐราชสถาน ที่นั่นมีเมืองสีฟ้าอย่างน้อยสองแห่ง หนึ่งนั้นคือ บุณฑี อีกหนึ่งก็คือ โชธะปุระ หรือจอดห์ปูร์นั่นเอง หากดูตามพิกัดแล้วจะเห็นว่าสองเมืองนี้ตั้งอยู่เกือบสุดขอบด้านตะวันตกของประเทศ ภูมิประเทศกึ่งทะเลทราย ซึ่งแม้จะร้อนจะแห้งแล้งจะอะไรก็ตามแต่ นั่นไม่ใช่ปัญหาเลยแม้แต่น้อย ตราบใดที่สิ่งแวดล้อมรอบตัวมนุษย์บ้าสีฟ้ายังเป็นสีฟ้าอยู่

บุณฑี เป็นเมืองเล็กกว่า ป้อมวังอะไรต่าง ๆ เป็นฉบับย่อส่วนเมื่อเทียบกับเมืองโชธุปุระ บรรยากาศของสองเมืองมีทั้งคล้ายคลึงและแตกต่าง แน่นอน บุณฑีย่อมให้ความรู้สึกผ่อนคลายและเรื่อยเฉื่อยมากกว่า ไม่ใช่แค่เพราะขนาดเล็กกว่า แต่น่าจะเพราะเมืองนี้ไม่ได้คลาคล่ำไปด้วยฝูงนักท่องเที่ยว ในโชธะปุระนั้นลำพังคนท้องถิ่นก็หนาแน่นพอสมควรอยู่แล้ว ไหนจะยังต้องมามุด ต้องฝ่าดงแบ็คแพ็คเกอร์ซึ่งเป็นกลุ่มคนหลักที่เลือกมาเดินทางท่องเที่ยวยังประเทศนี้ จะถ่ายรูปภาพเก็บเป็นที่ระลึกตามวัดวังอะไรต่าง ๆ ก็มักมีคนมาขวางฉากหรือหลุดเข้ามาในเฟรมภาพก่อนลั่นชัตเตอร์ให้เสียอารมณ์อยู่เนือง ๆ ซึ่งเจ้าความวุ่นวายขวักไขว่เช่นนี้ ก็แลกกันอย่างสมน้ำสมเนื้อกับความอลังการงานสร้างของงานสถาปัตยกรรมของเขาล่ะ 

อย่าเพิ่งด่วนสรุปไปว่าป้อมปราการของเมืองบุณฑีนั้นกระจอกกว่าป้อมแห่งเมืองโชธะปุระนะ ผมไม่ได้ต้องการสื่อความหมายเช่นนั้น เพราะแต่ละเมืองก็มีประวัติศาสตร์ของตัวเองที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันเลยแม้แต่น้อย ที่สำคัญ ตราบใดที่สองเมืองนี้เป็นสีฟ้า ก็ย่อมนับว่าสวยเสมอกัน ...และสวยกว่าเมืองใดก็ตามบนโลกใบนี้ที่ไม่ใช่สีฟ้า (โปรดเข้าใจมนุษย์สีฟ้า)

หากรวบยอดประวัติศาสตร์ของพื้นที่แถบนี้เป็นฉบับย่อที่สุด ก็คงต้องย้อนหลังกลับไปหลายร้อยปี ซึ่งเป็นยุคสมัยที่มีการปกครองระบอบกษัตริย์ ประกอบด้วยอาณาจักรน้อยใหญ่มากมาย โดยมักมีการแผ่อิทธิพลของเจ้าอาณาจักรที่เข้มแข็งกว่า โดยใช้วิธีทั้งการทูตและการทหาร หากอยากเห็นภาพชัดเจนกว่านี้ขอแนะนำให้ดูหนังบอลลีวูด (Bollywood) เรื่อง “โยดา อักบาร์” (Jodhaa Akbar) หนังรักโรแมนติกบอกเล่าช่วงเวลาที่ราชวงศ์โมกุลเรืองอำนาจและแผ่บารมีไปทั่วชมพูทวีป ซึ่งน่าจะเป็นช่วงเวลาเดียวกับสมัยอยุธยา นอกจากเกร็ดประวัติศาสตร์แล้ว ยังมีแง่มุมเกี่ยวกับศาสนาฮินดูกับอิสลาม รวมถึงวัฒนธรรมของดินแดนแถบทะเลทรายแห่งราชสถานด้วย  

ทั้งสองเมืองนี้เปิดรับนักท่องเที่ยวจากทุกสารทิศ ชาวแบ็คแพ็กเกอร์ทั้งหลายถูกอกถูกใจเพราะค่าครองชีพไม่แพง ร้านรวงเกสต์เฮาส์ที่จอดห์ปูร์ดูจะพรักพร้อมกว่า ทั้งปริมาณและคุณภาพ ห้องพักมีให้เลือกทั้งแบบนอนรวมราคาไม่กี่สิบรูปีต่อวัน ไปจนถึงห้องเดี่ยวราคาสูงกว่า ลวดลายสไตล์การตกต่างภายในตามแบบฉบับราชสถาน ในขณะที่บุณฑีนั้นส่วนใหญ่เป็นบ้านพักคล้ายโฮมสเตย์ราคาย่อมเยา บางแห่งมีอาหารเช้าแบบง่ายๆแถมให้ด้วย 

จุดเด่นของสถานที่พักของทั้งสองเมืองนี้ก็คือดาดฟ้าสำหรับขึ้นไปนั่งเล่นกินลมชมวิวยามเช้าหรือซึมซับบรรยากาศโพล้เพล้ยามค่ำ บ้านเรือนแถบนี้สร้างกันแบบไม่ต้องมีหลังคาจั่วมุงสังกะสีหรือกระเบื้องแต่อย่างใด ปล่อยโล่งกันแบบนั้น อาจจะเป็นเพราะฝนไม่ได้ตกชุกเหมือนที่อื่นก็เป็นได้ คนเขาจึงใช้พื้นที่ดาดฟ้าในการตากผ้าหรือเป็นที่หย่อนใจ นอกจากให้ความรู้สึกผ่อนคลายแล้ว ยังสามารถสังเกตอากัปกิริยาผู้คนจากระยะไกลโดยไม่ต้องลงไปเดินไปเบียดกับฝูงชน บางครั้งบริเวณดาดฟ้านี่เองที่เป็นพื้นที่สำหรับเว้นระยะห่างทางสังคมที่ดีที่สุด

กิจกรรมเรื่อยเฉื่อยของการเป็นนักท่องเที่ยว ก็คือการทอดน่องท่องเมือง เดินลัดเลาะตรอกซอยแบบไม่ต้องกางแผนที่ แลนด์มาร์กสำคัญส่วนใหญ่อยู่ในระยะเดินกันถึง ตลาดกลางสีสันจัดจ้านก็มี ร้านค้า แทรกอยู่ทั่วไป กระหายน้ำคอแห้งก็แวะซื้อดื่มน้ำผลไม้คั้นสดหรือลาสซี (โยเกิร์ตปรุงรส) ของกินเล่นกินจริงทั้งคาวหวานก็มากมี คนที่ชอบเครื่องเทศรับรองติดใจ การได้ชิมโน้นกินนี้น่าจะเป็นองค์ประกอบสำคัญอย่างหนึ่งของการออกไปท่องโลกล่ะ

มนุษย์เรานี่ชอบงานรื่นเริงกันมาก แต่ดูเหมือนคนบ้านเมืองนี้จะชื่นชอบมากกว่าที่อื่นใด เพราะมักได้ยินเสียงฆ้องกลองตามจุดต่าง ๆ ของเมืองแทบทุกวัน หรือเดินอยู่ดี ๆ ก็เจอขบวนแห่อะไรสักอย่าง หรือเจอเวทีรื่นเริง มีคณะแสดงยิปซีกำลังร่ายรำระบำกัน

แน่นอน ที่พลาดไม่ได้เลย ก็คือวังและป้อมปราการประจำเมือง นอกจากได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์มากขึ้นแล้ว ยังได้เห็นงานสถาปัตยกรรมอลังการงานสร้างด้วย คนสมัยก่อนนี่ก็เก่งไม่แพ้คนยุคนี้เลย เผลอ ๆ อาจเก่งกว่าเพราะสมัยโน้นไม่ได้มีเครื่องทุ่นแรงเหมือนยุคนี้ ที่สำคัญ การขึ้นไปยังป้อม มองลงมาเห็นวิวบ้านเรือนที่พร้อมใจกันทาด้วยสีฟ้า นี่แหละคือไฮไลต์ล่ะ


 

ฝันให้ไกล แล้วไปให้ถึง 'จีน' กับเส้นทางสู่อวกาศ ที่เริ่มต้นจาก 'คำดูถูก'

เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2021 ประเทศจีนได้ส่งยานสำรวจจู้หรง ที่มากับยานเทียนเหวิน-1 ร่อนลงจอดบนพื้นผิวดาวอังคารได้สำเร็จเป็นชาติที่ 3 ของโลก ต่อจากสหรัฐอเมริกา และรัสเซีย แต่ความสำเร็จครั้งนี้ของจีนถือว่าล้ำหน้ากว่านั้น เพราะหากนับยานที่ร่อนลงจอดบนดาวอังคารแล้วยังสามารถติดต่อสื่อสารกับยานแม่ได้ ก็จะนับว่าจีนเป็นชาติที่ 2 ต่อจากสหรัฐอเมริกาที่ทำได้ และยังเป็นการประกาศความสำเร็จตามหลังนาซ่า ที่ส่งยาน "เพอร์ซีเวอแรนซ์" ลงจอดบนพื้นผิวดาวอังคารได้ก่อนหน้านั้นในวันที่ 18 กุมภาพันธ์เพียงไม่กี่เดือน 

ความสำเร็จของโครงการสำรวจอวกาศของจีนครั้งนี้ ทำให้ทั่วโลกเริ่มหันมาสนใจว่าจีนจะไปได้ไกลถึงไหน และนี่อาจเป็นการเปิดศักราชสงครามเย็นยุคใหม่ระหว่างจีน-สหรัฐฯ อย่างที่สหรัฐฯ และ สหภาพโซเวียต เคยขับเคี่ยวกันอย่างสูสีในการมุ่งสู่ห้วงอวกาศเมื่อกว่า 70 ปีก่อนก็เป็นได้ 

ถ้าหากมองย้อนกลับไปในสมัยที่โลกเข้าสู่ยุคสงครามเย็นใหม่ ๆ ไม่มีใครคาดคิดเลยว่าจีนจะกระโดดเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของโครงการสำรวจอวกาศ หรือ แม้แต่จะพัฒนาเทคโนโลยีอากาศยานได้ทัดเทียมกับชาติมหาอำนาจของโลกได้อย่างที่เห็นในวันนี้ 

แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจีนจะไม่เคยฝันว่าจะต้องได้ไปเหยียบเย้ยชมจันทร์อย่างชาติตะวันตกให้ได้สักวันหนึ่ง 

จุดเริ่มต้นของความพยายามมุ่งสู่อวกาศของจีนนั้นมาจากปณิธานของเหมา เจ๋อตุง ที่ได้เห็นยานสปุตนิก-1 ดาวเทียมดวงแรกของโลกจากสหภาพโซเวียต ที่ส่งออกไปโคจรรอบโลกได้สำเร็จในปี 1957 จึงตั้งเป้าหมายว่าจีนต้องส่งยานอวกาศสักลำออกไปนอกโลกบ้างให้ได้ หลังจากนั้น เหมา เจ๋อตุง จึงสั่งเดินหน้าโครงการสำรวจอวกาศของจีนทันที ภายใต้ชื่อ Project 581 ในปี 1958

เมื่อมีโปรเจกต์เริ่มต้นแล้ว ก็ต้องมีคนมาคุม ที่ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีอากาศยานที่ล้ำสมัยแบบตะวันตกที่หาไม่ได้ในประเทศจีน แต่ในที่สุด เหมา เจ๋อตุง ก็ได้หัวกะทิระดับประเทศมา ที่มีเบื้องหลังไม่ธรรมดา และต้องยอมแลกกับนักโทษการเมืองชาวอเมริกันหลายคน 

ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ ที่ต่อมาได้รับสมญาว่าเป็นบิดาแห่งการบินอวกาศจีน คนนั้นก็คือ เฉียน สเวเซิน

เฉียน สเวเซิน พื้นเพเป็นคนเซี่ยงไฮ้ เกิดในปี 1911 พร้อมพรสวรรค์ด้านคณิตศาสตร์ และ ฟิสิกส์อย่างหาตัวจับยาก จึงได้ทุนจากสหรัฐฯ ไปเรียนต่อด้านวิศวกรรมการบินที่ Massachusetts Institute of Technology หรือ MIT

หลังจากจบปริญญาโทที่ MIT แล้ว เฉียน สเวเซิน ย้ายไปทำงานวิจัยพัฒนาด้านอากาศยานระบบแอโรไดนามิกกับ ธีโอดอร์ ฟอน คาร์มาน ศาสตราจารย์ด้านวิศวกรรมการบินและอวกาศที่มีชื่อเสียงระดับโลก ที่สถาบัน California Institute of Technology หรือ Caltech ซึ่งในช่วงเวลานั้น ศาตราจารย์ คาร์มาน เป็นผู้ดูแลห้องปฏิบัติการแรงขับเคลื่อนไอพ่น ที่ได้รับทุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ ให้ช่วยพัฒนายานขับเคลื่อนไร้คนขับ และระบบยานขนส่งอวกาศให้กับองค์การ NASA 

และเมื่อเฉียน สเวเซิน จบปริญญาเอกที่ Caltech ในปี 1939 เขาได้รับบรรจุให้ทำงานในกองทัพสหรัฐฯ โดยรับผิดชอบการวิเคราะห์ จรวด และขีปนาวุธของฝ่ายเยอรมัน เพื่อพัฒนาอาวุธให้กับฝ่ายสหรัฐฯ เท่านั้นยังไม่พอ เขายังได้รับเลือกให้ร่วมเป็นหนึ่งในทีมวิจัยของ Manhattan Project ในการพัฒนาระเบิดนิวเคลียร์ลูกแรกของโลกอีกด้วย 

แต่พอสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้ว โลกก็เริ่มเข้าสู่ยุคสงครามเย็นของ 2 ขั้วอำนาจใหม่ที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างกัน นำโดยสหรัฐอเมริกาที่ยึดแนวทางเสรีนิยมประชาธิปไตย กับ สหภาพโซเวียตที่เดินตามแนวสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ 

ประกอบกับช่วงนั้น เหมา เจอตุง สามารถรบชนะรัฐบาลพรรคก๊กมินตั๋งของเจียง ไคเช็ก จึงทำให้จีนกลายเป็นประเทศสังคมนิยมตั้งแต่ 1949 เป็นต้นมา 

ด้วยความกลัวกระแสลัทธิสังคมนิยมในรัฐบาลสหรัฐฯ จึงทำให้ เฉียน สเวเซิน ถูกตั้งข้อหาว่าเป็นสายลับให้จีน และถูกคุมขังในบ้านพักพร้อมครอบครัวนานหลายปี จนกระทั่งเหมา เจ๋อตุง ได้เจรจากับ ประธานาธิบดี ดไวต์ ไอเซนฮาวร์ เพื่อแลกตัว เฉิน สเวเซิน กับนักโทษการเมืองชาวอเมริกันที่ถูกคุมขังในประเทศจีนหลายคน จนสามารถได้ตัว เฉียน สเวเซิน กลับมาประเทศจีน 

และให้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศแห่งชาติจีน หรือ CAST ที่นอกจากเขาจะเป็นคนวางพื้นฐานการพัฒนายานอวกาศ และดาวเทียมให้จีนเป็นคนแรกแล้ว ยังถ่ายทอดความรู้ให้กับนักวิศกรชาวจีนอีกมากมายหลายรุ่น ที่กลายเป็นทรัพยากรบุคคลอันมีค่าให้กับโครงการอวกาศของจีน

ตอนแรก เหมา เจ๋อตุง ต้องการเร่งพัฒนาดาวเทียมสัญชาติจีนสู่อวกาศให้ทันภายในปี 1959 เพื่อฉลองครบรอบ 10 ปีแห่งการสถาปนาประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน แต่ยังทำไม่สำเร็จ ทำได้เพียงการทดลองปล่อยจรวดส่งหนูขาวออกไปนอกชั้นบรรยากาศเท่านั้น 

จนกระทั่งจีนสามารถพัฒนาดาวเทียมดวงแรกได้สำเร็จในปี 1970 ที่ชื่อว่า ตงฟางหง-1 ปล่อยจากศูนย์ส่งดาวเทียมจิ่วเฉวียน ในมณฑลกานซู และทำให้จีนกลายเป็นประเทศที่ 5 ที่สามารถส่งดาวเทียมไปโคจรรอบโลกได้ ตามหลัง สหภาพโซเวียต สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส และ ญี่ปุ่น 

แต่ทั้งนี้ ในปี 1969 สหรัฐอเมริกาได้ส่งมนุษย์คนแรกไปปักธงชาติสหรัฐฯ บนดวงจันทร์เรียบร้อยแล้วด้วยยานอพอลโล่ 11 

เหมา เจ๋อตุงไม่อยากจะถูกทิ้งห่างไปนาน ยังคงฝันที่ไล่ตามชาติตะวันตกให้ทัน แต่ทว่าการพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศของจีนก็มีหยุดชะงักนานหลายปีเพราะปัญหาการเมืองในประเทศในช่วงยุคปฏิวัติวัฒนธรรม จนสิ้นสุดหลังจากการอสัญกรรมของเหมา เจ๋อตุงในปี 1976 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่ NASA เปิดตัวโครงการ Viking เพื่อมุ่งหน้าสู่ดาวอังคารไปแล้ว

โครงการสำรวจอวกาศยุคแรกจึงไม่ได้รับความสนใจจาก 2 ชาติมหาอำนาจยักษ์ใหญ่เท่าที่ควร เพราะมองว่าเทคโนโลยีของจีนยังล้าหลังอยู่หลายขุม และไม่เห็นประโยชน์อันใดที่จะชวนจีนให้มาเข้าร่วมสมาคม "มุ่งสู่ดวงจันทร์" ไปด้วยกัน 

แต่เมื่อเข้าสู่ยุคฟื้นฟูเศรษฐกิจจีนในสมัย เติ้ง เสี่ยวผิง ถึงได้เริ่มเดินหน้าแผนสำรวจอวกาศจีนขึ้นมาใหม่ โดยคราวนี้จีนตั้งใจพัฒนายานที่สามารถพามนุษย์ขึ้นไปได้จริง ๆ ด้วยโครงการยานเสินโจว และในที่สุดก็ทำสำเร็จกับยานเสินโจว-5 ในปี 2003 ที่สามารถพา หยาง ลี่เว่ย นักบินอวกาศคนแรกของจีนไปสู่นอกโลกได้นาน 21 ชั่วโมง และกลาย เป็นชาติที่ 3 ของโลกที่สามารถก้าวมาจนถึงจุดนี้ได้ 

การพัฒนายานอวกาศของจีนยังเดินหน้าต่อเนื่อง จีนเริ่มพัฒนากระสวยอวกาศ ฉางเอ๋อ-1 เพื่อวนรอบดวงจันทร์ในปี 2007 และยานเสินโจว-7 ในปี 2008 ที่นักบินอวกาศจีนสามารถออกจากยานมาลอยอยู่นอกชั้นบรรยากาศได้ 

แต่พอมาถึงจุดนี้ แผนการสำรวจอวกาศของจีนก็เริ่มทำให้ชาติมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ ไม่พอใจ เนื่องจากเทคโนโลยีที่ใช้พัฒนาจรวดอวกาศ กับ จรวดพิสัยไกลข้ามทวีป ICBM ที่เป็นอาวุธทางทหารใช้พื้นฐานเดียวกัน 

และในปี 2011 สภาคองเกรซสหรัฐฯ ก็ลงมติแบนโครงการสำรวจอวกาศของจีน ไม่ยอมให้ NASA ใช้งบประมาณไปสนับสนุนโครงการของจีน และไม่ยอมให้จีนใช้สถานีอวกาศนานาชาติที่ดูแลโดย NASA ด้วยเหตุผลหลายประการ เช่น ไม่ต้องการให้จีนแอบใช้เทคโนโลยีอวกาศของสหรัฐฯ ไปพัฒนาอาวุธ กล่าวหาว่าจีนแอบขโมยข้อมูลจากห้องแล็บของ NASA รวมถึง ดาวเทียมวงโคจรต่ำของจีน มีเทคโนโลยีที่ล้าหลัง และจะกลายเป็นขยะในชั้นบรรยากาศที่อาจเป็นอันตรายกับโลกในภายหลัง

แต่จีนไม่ยอมแพ้ แก้ลำด้วยการสร้างสถานีอวกาศเป็นของตัวเองในโครงการ เทียนกง-1 ออกสู่ชั้นบรรยากาศในปี 2011 เช่นเดียวกัน และตามมาด้วยสถานีอวกาศเทียนกง-2 ในปี 2016 

และในปี 2019 ทีมสำรวจอวกาศจีนก็สร้างความฮือฮาให้กับโลกอีกครั้ง ที่สามารถนำยาน ฉางเอ๋อ-4 ร่อนลงสู่พื้นผิวดวงจันทร์ในด้านที่ยังไม่เคยมีประเทศไหนสำรวจมาก่อน จนนับเป็นอีกก้าวสำคัญของการสำรวจดวงจันทร์ 

และต่อมาในปี 2020 จีนก็บรรลุภารกิจส่งดาวเทียมเป่ยโต่ว ที่เป็นดาวเทียมระบุพิกัดสัญชาติจีนที่ครอบคลุมพิกัดทั่วโลก ท้าทายธุรกิจดาวเทียมระบบ GPS ของสหรัฐฯ ได้แล้วในตอนนี้ 

จนกระทั่งวันนี้ เทคโนโลยีอวกาศของจีนก็ขยับเข้าใกล้สหรัฐฯ มากขึ้นจากความสำเร็จของยานจู้หรง-1 เพื่อมุ่งหน้าสำรวจสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร นับว่า 60 ปีของโครงการพัฒนายานอวกาศของจีนเดินทางมาไกลมาก จากจุดเริ่มต้นที่ไม่มีอะไรเลย

แม้ความจริงในตอนนี้ จีนยังไม่สามารถทัดเทียมสหรัฐฯ ได้ ในโครงการอวกาศ และต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะไปถึงจุดที่สหรัฐฯ ทำได้ในวันนี้ แต่ก็ไม่ได้ห่างกันจนไม่เห็นฝุ่น แถมยังสามารถพัฒนาขึ้นมาได้ใกล้เคียงในระดับหายใจรดต้นคอ

เรื่องนี้ เหมา เจ๋อตุง ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า อย่าปรามาสว่าเป็นเพียงฝันลม ๆ แร้ง ๆ เพราะก้าวแรกของความมุ่งมั่นนั้นสำคัญเสมอ 

มาถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะสงสัยว่าประเทศต่าง ๆ ทำไมถึงอยากมุ่งสู่นอกโลก และหากถามว่าการสำรวจอวกาศด้วยงบประมาณมากมายมหาศาลนั้น โลกจะได้ประโยชน์อะไร? 

การแสวงหาแร่หายาก และทรัพยากรใหม่ ๆ งั้นหรือ? การสร้างอาณานิคมนอกโลกสำรองไว้หากโลกเกิดหายนะงั้นหรือ? 

ฤาจริง ๆ แล้ว อาจเป็นเพราะ DNA ของความอยากรู้ ที่ทำให้มนุษย์พยายามแสวงหาคำตอบมานับพันปี ถึงความจริงเรื่องจุดเริ่มต้นสิ่งมีชีวิต โดยมีโลกเป็นฐานผลักดันให้มนุษย์มุ่งสู่อวกาศเพื่อไขปริศนาความลับของจักรวาลกันแน่...


ข้อมูลอ้างอิง

https://www.nbcnews.com/science/space/china-becomes-only-second-nation-history-land-rover-mars-n1267410

https://interestingengineering.com/all-you-need-to-know-about-the-chinese-space-program

https://www.labroots.com/trending/space/16798/china-banned-international-space-station

https://www.reuters.com/article/us-space-exploration-china-moon-timeline/timeline-major-milestones-in-chinese-space-exploration-idINKBN28B5GE

https://www.washingtonpost.com/national/health-science/nasas-1976-viking-mission-to-mars-did-everything-right--except-find-martians/2016/06/18/749701f6-2c15-11e6-9b37-42985f6a265c_story.html

https://en.wikipedia.org/wiki/Chinese_space_program

https://en.wikipedia.org/wiki/Qian_Xuesen

Berlin Airlift ปฎิบัติการขนส่ง 'ข้ามเวหา' สะท้านโลก แผนสุดแสบ!! ดัดหลังโซเวียต ยุคสงครามเย็น

Berlin Airlift ถือเป็นอีกปฎิบัติการขนส่งทางอากาศครั้งใหญ่ของโลกที่มักจะถูกพูดหยิบยกมาเป็นกรณีศึกษาด้านโลจิสติกส์ทางอากาศอย่างน่าสนใจ

เรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ฝ่ายสัมพันธมิตรได้ทำข้อตกลงพอทสดัม (Potsdam Agreement) แบ่งเยอรมนีออกเป็น 4 ส่วน และแบ่งกันควบคุมส่วนละประเทศ ซึ่งได้แก่สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส อังกฤษ และโซเวียต ถึงแม้กรุงเบอร์ลินจะอยู่ใจกลางเขตปกครองของโซเวียตที่อยู่ทางตะวันออกของเยอรมนี แต่ก็ถูกแบ่งการปกครองออกเป็น 4 ส่วนเช่นกัน จึงทำให้เบอร์ลินเป็นเหมือนไข่แดงที่อยู่ท่ามกลางกองกำลังของโซเวียต

ต่อมามีความเห็นที่ไม่ตรงกันระหว่างสองขั้วอำนาจที่ทางฝ่ายตะวันตกประกอบด้วย สหรัฐอเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศส ที่ต้องการฟื้นฟูเยอรมนีขึ้นมาใหม่และพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของยุโรปแต่โซเวียตไม่เห็นด้วยกับแผนการนี้ เมื่อทางฝ่ายตะวันตกได้ออกเงินสกุลเงินใหม่เพื่อใช้ในเยอรมันตะวันตก เพราะต้องการตัดขาดทางเศรษฐกิจกับเยอรมันตะวันออกในการครอบครองของโซเวียต 

ในวันที่ 25 มิถุนายน 1948 โซเวียต จึงตอบโต้ด้วยการปิดเส้นทางการจราจรเข้าออกเบอร์ลินทั้งทางถนน ทางราง และทางน้ำ คงเหลือไว้แต่เพียงเส้นทางการบินเท่านั้น เพื่อเป็นการกดดันให้ฝ่ายตะวันตกถอนกองกำลังออกจากเบอร์ลิน

ฝ่ายพันธมิตรตะวันตก ซึ่งมีภารกิจเร่งด่วนในการจัดส่งอาหาร เวชภัณฑ์ และของใช้ที่จำเป็นให้แก่ประชาชนและทหารที่อาศัยในอยู่ในเบอร์ลินตะวันตกมากกว่าสองล้านคน (คาดการณ์ว่าจะต้องจัดส่งสินค้าวันละไม่น้อยกว่า 4,500 ตัน) จึงประสบปัญหาโดยทันที

อย่างไรก็ตาม ทางกองทัพสหรัฐฯ ก็ได้เข้ามาช่วยเหลือปัญหานี้ โดยมอบหมายภารกิจให้แก่ พลตรี วิลเลียม เอช. ทันเนอร์ (William H. Tunner) ผู้ที่มีผลงานการจัดส่งยุทธภัณฑ์จากอินเดียไปยังจีนในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

ภารกิจนี้อาจไม่ใช่เรื่องยากสำหรับปัจจุบัน แต่หากย้อนกลับไปเมื่อกว่า 60 ปีที่แล้ว ที่เทคโนโลยีต่าง ๆ ยังไม่ทันสมัยเท่ากับในวันนี้ จึงจัดได้ว่าสะท้านวงการโลจิสติกส์กันเลยทีเดียว เพราะด้วยพาหนะหลักที่ใช้ในการขนส่งคือ เครื่องบิน Douglas C-54 นั้น สามารถขนได้มากสุดครั้งละ 10 ตัน จึงต้องมีเที่ยวบินไปส่งสินค้าที่เบอร์ลินไม่น้อยกว่า 450 เที่ยวต่อวัน 

หลังรับภารกิจดังกล่าวมา นายพลทันเนอร์ ได้ออกแบบระบบการขนส่งสินค้า โดยให้มีเที่ยวบินห่างกันทุกๆ 3 นาที ซึ่งเป็นระยะเวลาต่ำสุดที่ยังคงไว้ซึ่งความปลอดภัย เท่ากับ 24 ชั่วโมงจะมีเที่ยวบินลงจอดที่เบอร์ลินมากสุด 480 เที่ยว และทุกเที่ยวบินต้องดำเนินงานตามเวลาที่กำหนดเพื่อไม่ให้มีผลกระทบกับเครื่องบินลำอื่นที่ตามมา

เริ่มจากเครื่องบินออกที่สนามบินต้นทางตรงเวลา ใช้ความเร็วและบินไปตามเส้นทางที่กำหนด และมีโอกาสในการนำเครื่องบินลงที่เบอร์ลินเพียงครั้งเดียว หากนักบินทำไม่สำเร็จต้องขนสินค้ากลับไปยังต้นทางเพราะหากบินวนอีกครั้งจะส่งผลกระทบต่อเที่ยวบินที่ตามมา

ในอดีตเมื่อนักบินนำเครื่องลงแล้วจะลงจากเครื่องเพื่อไปพักผ่อนและรับประทานอาหารว่างพร้อมกับฟังบรรยายสรุปเที่ยวบินขากลับ แต่ในตอนนี้ ทันเนอร์ มองว่าเป็นการเสียเวลา จึงได้ออกแนวทางปฏิบัติใหม่ให้ลูกเรืออยู่บนเครื่องขณะที่สินค้ากำลังถูกขนลงจะมีอาหารว่างเสริฟถึงเครื่องพร้อมกับเจ้าหน้าที่มาบรรยายสรุป จึงทำให้เวลาที่เครื่องลงจอดใช้เวลาเพียง 30 นาที ก็สามารถบินกลับขึ้นไปใหม่ได้

ภารกิจในครั้งนี้ใช้เครื่องบินถึง 300 ลำ โดยสับเปลี่ยนเป็นเครื่องบินปฏิบัติการ 200 ลำ และอยู่ระหว่างการซ่อมบำรุง 100 ลำ 

ทั้งนี้ ทันเนอร์ ได้มีการปรับระบบการซ่อมบำรุงเครื่องบินใหม่ โดยแต่เดิมทีมช่างชุดเดียวซ่อมทุกอย่างในเครื่องที่ตนดูแล แต่ระบบใหม่คือทีมช่างที่มีความเชี่ยวชาญในแต่ละด้านจะอยู่ประจำที่ แล้วเครื่องบินจะถูกส่งต่อไปยังทีมช่างในแต่ละสถานีแทน เพื่อให้การซ่อมบำรุงทำได้รวดเร็วขึ้น 

เมื่อการดำเนินงานทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ เขาจึงได้ขยายจุดรับสินค้าไปยังสนามบินอีกสองแห่ง ซึ่งอยู่ในเบอร์ลินตะวันตก

ยิ่งไปกว่านั้น พอใกล้ถึงฤดูหนาว ความต้องการสินค้าก็เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะถ่านหิน เพื่อใช้สร้างความอบอุ่น ที่คาดการณ์ว่าต้องการสินค้ามากถึง 7,000 ตันต่อวัน 

ดังนั้น ทันเนอร์ จึงได้วางแผนการจัดส่งถ่านหินให้ได้ถึงวันละ 10,000 ตัน เพื่อสร้างประวัติศาสตร์การขนส่งสินค้าทางอากาศครั้งใหญ่ โดยเขากำหนดวันที่ดำเนินงาน คือ วันอีสเตอร์ในปี 1949 ซึ่งในช่วงเวลา 24 ชั่วโมงของวันนั้น ชาวเบอร์ลินจะได้เห็นเครื่องบินต่อแถวยาวเป็นขบวนพาเหรดเข้ามาส่งสินค้า 

การขนส่งครั้งนั้น ได้สร้างสถิติด้วยเที่ยวบินทั้งหมด 1,398 เที่ยว กับถ่านหินจำนวน 12,941 ตัน เทียบเท่ากับการขนส่งด้วยรถไฟจำนวน 600 คัน โดยไม่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นแม้แต่ครั้งเดียว

ดูเหมือนว่าการปิดล้อมเบอร์ลินของโซเวียตจะไม่ได้ผลตามที่คาดหวัง ในทางกลับกันยังถูกพันธมิตรตะวันตกตอบโต้ด้วยการงดส่งสินค้าไปยังเยอรมันตะวันออก ส่งผลให้เกิดความขาดแคลนและทางโซเวียตเกรงว่าหาปล่อยไว้อาจเกิดการลุกฮือขึ้นต่อต้านของประชาชนได้ จึงจำเป็นต้องยกเลิกการปิดล้อมหลังจากที่ดำเนินการปิดล้อมเป็นเวลา 11 เดือน 

อย่างไรก็ตาม ปฏิบัติการขนส่งสินค้าทางอากาศยังดำเนินงานต่อไปอีก 3 เดือน เพื่อให้มั่นใจว่าโซเวียตจะไม่ทำการปิดล้อมอีก

สำหรับปฏิบัติ Berlin Airlift ได้สิ้นสุดลงในวันที่ 1 กันยายน 1949 โดยมีเที่ยวบินทั้งหมด 276,926 เที่ยว ขนส่งสินค้ามากกว่า 2.3 ล้านตัน ซึ่งภารกิจครั้งนี้ประสบความสำเร็จได้จากการบริหารงานของ พลตรี วิลเลียม เอช. ทันเนอร์ ที่ปรับปรุงกระบวนการทำงานต่าง ๆ และเป็นต้นแบบให้แก่การบินในปัจจุบัน ซึ่งเมืองเบอร์ลินได้ตั้งชื่อถนนตามชื่อของท่านเพื่อเป็นเกียรติต่อเหตุการณ์ในครั้งนี้ด้วย


ข้อมูลอ้างอิง 
https://www.logisticshalloffame.net/en/members/william-h-tunner

https://www.defense.gov/Explore/Inside-DOD/Blog/Article/2062719/the-berlin-airlift-what-it-was-its-importance-in-the-cold-war/

https://history.state.gov/milestones/1945-1952/berlin-airlift

https://www.americanheritage.com/william-h-tunner-berlin-airlift-commander#1

อยู่บ้านนาน แต่ร่างห้ามพัง!! Work from home อย่างไร ? ไม่เสียสุขภาพ

ด้วยสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ทำให้หลายออฟฟิศปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงาน จากเดิมที่พนักงานทุกคนต้องนั่งทำงานในออฟฟิศ ก็เปลี่ยนมาเป็น Work From Home คือสามารถทำงานหรือประชุมผ่านโน้ตบุ๊กหรือคอมพิวเตอร์จากที่ใดก็ได้ ซึ่งภาวะเหล่านี้น่าจะส่งผลกระทบกับพวกเราทุกคนไปอีกนานจนกว่าการระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 จะดีขึ้น

อย่างไรก็ตามการนั่งทำงานผ่านโน้ตบุ๊กหรือคอมพิวเตอร์ต่อเนื่องเป็นเวลานาน การใช้งานกล้ามเนื้อซ้ำ ๆ รวมทั้งการจัดระเบียบร่างกายที่ไม่ถูกต้องย่อมทำให้เกิดการเมื่อยล้า และนำไปสู่อาการปวดเมื่อยได้ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อบริเวณคอ บ่า ไหล่ โดยอาการปวดเมื่อยดังกล่าวมีโอกาสเกิดขึ้นมากกว่าการทำงานที่ออฟฟิศในสถานการณ์ปกติ ดังนั้นหากมีการจัดท่าทางที่เหมาะสมขณะใช้โน้ตบุ๊กหรือคอมพิวเตอร์ จะมีส่วนช่วยคลายความเจ็บปวดจากการ Work From Home ได้

สำรวจตัวเองกันหน่อย

คุณกำลังนั่งท่าแบบนี้หรือเปล่า ??

ท่านั่งที่ไม่เหมาะสม : ไหล่ห่อ หลังค่อม ศีรษะยื่นไปข้างหน้า เท้าลอยจากพื้น
ระดับความสูงของที่พักแขนไม่เท่ากับความสูงของโต๊ะ ส่งผลให้เกิดภาวะเกร็งของกล้ามเนื้อคอ บ่า ไหล่ 

การจัดระเบียบร่างกายที่เหมาะสมขณะนั่งทำงาน

ศีรษะ ตั้งตรง ไม่ก้มหรือเงยจนเกินไป ควรวางหน้าจอให้อยู่ในระดับสายตา ห่างออกไประมาณ 2.5 ฟุต 

คอ ตั้งตรงแล้ว ไม่เอียงคอหรือหันไปด้านใดด้านหนึ่ง

หลัง นั่งพิงพนักเก้าอี้ ไม่แอ่นหรืองอหลัง อาจมีหมอนใบเล็ก ๆ รองรับส่วนโค้งบริเวณหลังส่วนล่าง

แขนและข้อศอก แขนแนบชิดกับลำตัว วางแขนลงบนที่พักแขนให้แขนทำมุม 90 องศา ข้อศอกและข้อมือควรอยู่ในระนาบเดียวกัน 

ขา วางต้นขาแนบชิดไปกับที่นั่ง และปล่อยขาลงไปให้เท้าแนบพื้น 

เข่า งอเข่า 90 องศา  

เท้า วางเท้าบนพื้นให้เต็มฝ่าเท้า ถ้าหากเท้าไม่ถึงพื้นให้หาอะไรมารองหรือปรับระดับเก้าอี้ลง

มาดู 9 ข้อควรปฏิบัติง่าย ๆ ขณะนั่งทำงาน แล้วลองไปปรับใช้กันดูดีกว่า 

1.) นั่งทำงานในที่มีแสงสว่างเพียงพอ ไม่ควรให้แสงสะท้อนจากภายนอกสะท้อนเข้าตาโดยตรง ควรใช้แสงไฟแบบเดย์ไลท์หรือไฟสีขาว
2.) ปรับสภาพแวดล้อมโต๊ะทำงานให้คอมพิวเตอร์หรือโน้ตบุ๊กอยู่ทางด้านหน้าและปรับให้หน้าจออยู่ในระดับเดียวกับสายตา
3.) เลือกเก้าอี้ที่มีเบาะที่นั่งสามารถรองรับต้นขาได้พอดีและมีที่พักแขนอยู่ในระดับเดียวกับโต๊ะ
4.) ปรับระดับความสูงเก้าอี้ให้พอเหมาะ เมื่อนั่งแล้วเข่างอทำมุม 90 องศา เท้าวางบนพื้นได้เต็มฝ่าเท้า หากเท้าไม่ถึงพื้นสามารถหาที่พักเท้ามาวางได้
5.) ไม่วางเมาส์หรือคีย์บอร์ดไกลเกินไปเพราะทำให้ต้องเอื้อมแขนหรือก้มหลัง
6.) ขณะนั่งทำงานควรนั่งหลังชิดพนักพิงหรือพิงเอนหลังเล็กน้อย
7.) ควรเปลี่ยนอิริยาบถทุก 45-50 นาที 
8.) พักสายตาจากหน้าจอบ้าง การจ้องหน้าจอนาน ๆ ทำให้ตาแห้ง ลองกระพริบตาถี่ ๆ หรือมองออกไปในระยะไกล
9.) หมั่นยืดกล้ามเนื้อโดยเฉพาะกล้ามเนื้อบริเวณคอ บ่า แขน ไหล่


ข้อมูลอ้างอิง
https://www.bangkokhospital.com/content/work-from-home-and-office-syndrome

https://www.ergonomicshelp.com/blog/working-from-home-ergonomics

https://www.bbc.com/worklife/article/20200508-how-to-work-from-home-comfortably-ergonomic-tips-covid-19
 

ถึงคิวเมืองชล!! สหพันธ์แรงงานคนพิการไทย รุดเมืองชล​ฯ ช่วยคนพิการ-ครอบครัว มอบรถวีลแชร์ ถุงยังชีพ อย่างต่อเนื่องในช่วงโควิดระบาด

นายชีวานนท์ พรรัตน์ธนิกกุล นายกสมาคมสหพันธ์แรงงานคนพิการไทย และตำแหน่งคณะอนุกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการและด้านแรงงาน ลงพื้นที่นำถุงยังชีพที่ได้รับมาจาก อ.ชูศักดิ์ จันทยานนท์ ประธานมูลนิธิออทิสติกไทย โดยความอนุเคราะห์จาก "คุณกัญจนา ศิลปอาชา" ประธานมูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย มอบให้กับ "คนพิการ" ในเขตพื้นที่สีแดงเข้ม​ กรุงเทพมหานครและเขตปริมณฑล 5 จังหวัด  เพื่อเป็นขวัญกำลังใจ บรรเทาความเดือดร้อน และดูแลคุณภาพชีวิตของคนพิการในช่วงสถานการณ์เชื้อไวรัส covid-19 ที่กำลังแพร่ระบาดระลอก 3 อยู่ในขณะนี้ 

ในการนี้นายชีวานนท์ พรรัตน์ธนิกกุล นายกสมาคมฯ ได้ลงพื้นที่ไปยัง "สมาคมส่งเสริมและพัฒนาคนพิการไทย ตั้งอยู่ที่ ต.เจ้าพระยาสุรศักดิ์ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี พร้อมด้วย "คุณยะ" ช่วยเหลือคนพิการ คนยากไร้ คนด้อยโอกาส ร่วมมอบเงินให้กับครอบครัวคนพิการ ซึ่งมีน้องคนพิการทางการได้ยิน น้องคนพิการทางจิต และ คุณป้าคนพิการทางการเคลื่อนไหวได้รับรถวีลแชร์ที่บริจาคโดย "นายสายันต์ ดีเลิศ" นายกสมาคมส่งเสริมอาชีพและช่วยเหลือรถเข็นเพื่อคนพิการ (ปทุมธานี)

การลงพื้นที่ในวันนี้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของ "คุณกัญจนา ศิลปอาชา" ที่จะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง 

อีกทั้งนายชีวานนท์ พรรัตน์ธนิกกุล ยังได้กล่าวให้กำลังใจกับ ผู้นำคนพิการ / จิตอาสา / คนพิการและครอบครัวคนพิการ ให้ต่อสู้ร่วมกันอย่างปลอดภัยในช่วงสถานการณ์เชื้อไวรัสโควิค 19 และยังได้แนะนำการล้างมือ การใช้เจลแอลกอฮอล์การใส่หน้ากากอนามัย หรือผ้าหน้ากากอนามัย กินร้อนช้อนกลาง เพื่อช่วยลดปัญหาการสุ่มเสี่ยงที่อาจจะได้รับเชื้อไวรัสได้อีกทางหนึ่งด้วยความห่วง

#คนละไม้_คนละมือ

‘Chuck Feeney’ (ชัก ฟีนีย์) อภิมหาเศรษฐีใจบุญ ยอดนักบริจาค ผู้เป็นต้นแบบของ Warren Buffett และ Bill Gates

Chuck Feeney (ชัก ฟีนีย์) ชายชราที่มัธยัสถ์และสุดแสนที่จะธรรมดา แต่สิ่งที่เขาลงมือทำกลายเป็นแบบอย่างให้อภิมหาเศรษฐีของโลกอย่าง Warren Buffett และ Bill Gates ยอมรับ ยกย่อง ชื่นชม นับถือ และนำมาเป็นแบบอย่าง Chuck Feeney (เกิด 23 เมษายน พ.ศ.2474) เป็นผู้ก่อตั้งและเป็นเจ้าของ DFS บริษัทจำหน่ายสินค้าปลอดภาษีอันดับ 1 ของโลก (ปัจจุบันผู้ถือหุ้นใหญ่คือ LVMH : Moët Hennessy Louis Vuitton SE) ร่วมกับ Robert Warren Miller โดย Chuck Feeney ได้ขายหุ้นส่วนของตัวเองไปเพื่อนำเงินไปใช้ทำกองทุนการกุศล The Atlantic Philanthropies (AP)
 

DFS (DFS Group) ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2503 เครือข่ายประกอบด้วยสาขากว่า 420 แห่ง รวมถึงร้านค้าปลอดภาษีในสนามบินหลัก 18 แห่ง และร้านค้าในตัวเมือง 14 แห่ง ปัจจุบันบริหารโดย บริษัท Moët Hennessy Louis Vuitton (LVMH) ร่วมกับผู้ร่วมก่อตั้งและผู้ถือหุ้นของ DFS Robert Warren Miller เมื่อ วันที่ 11 มกราคม พ.ศ.2540 DFS Group ดำเนินธุรกิจในฐานะบริษัทลูกของ LVMH สำนักงานใหญ่ของ DFS ตั้งอยู่ในฮ่องกง และมีสำนักงานใน ออสเตรเลีย กัมพูชา จีน ฝรั่งเศส อินโดนีเซีย อิตาลี ญี่ปุ่น มาเก๊า นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สหรัฐอเมริกา และเวียดนาม DFS Group มีพนักงานมากกว่า 9,000 คนดำเนินงานใน 14 ประเทศทั่วโลก ในปี พ.ศ.2560 มีนักเดินทางเกือบ 160 ล้านคนเข้าเยี่ยมชมและใช้บริการในร้านค้าของ DFS

Chuck Feeney ใช้ชีวิตอย่างพอเพียง อาศัยอยู่ในอพาร์ทเมนต์ธรรมดา ๆ ในนครซานฟรานซิสโก มลรัฐแคลิฟลอเนีย กับภรรยา Helga Feeney

Chuck Feeney อาศัยอยู่ในนครซานฟรานซิสโก มลรัฐแคลิฟลอเนีย กับภรรยา Helga Feeney เขาใช้ชีวิตอย่างพอเพียง พำนักในอพาร์ทเมนต์ที่มีความเข้มงวดราวกับหอพักของนักศึกษาน้องใหม่ ไม่เคยสวมเสื้อผ้าแบรนด์เนม ไม่ชอบทานอาหารหรูหรา อาหารโปรดที่เขาชอบที่สุดคือแซนด์วิชชีสย่างมะเขือเทศราคาแสนถูก ใช้แว่นตาเก่า ๆ ใส่นาฬิกาธรรมดา และไม่มีรถขับ การเดินทางก็มักใช้บริการรถโดยสารสาธารณะ 

แต่เป็นผู้บุกเบิกแนวคิดในเรื่องการบริจาคขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ใช้โชคที่ได้รับส่วนใหญ่มาก ๆ ไปกับการบริจาคให้กับการกุศลครั้งใหญ่ แทนที่จะเป็นการบริจาคเมื่อเสียชีวิตไปแล้ว “เพราะคนเราไม่สามารถนำเงินติดตัวไปในสัมปรายภพได้ ทำไมไม่บริจาคไปทั้งหมด ซึ่งจะสามารถควบคุมการบริจาคได้ว่า เงินบริจาคจะไปให้ใคร ที่ไหน อย่างไร และได้เห็นผลลัพธ์ด้วยตาของคุณเอง” Chuck Feeney กล่าวว่า “เราได้เรียนรู้เรื่องราวต่าง ๆ มากมาย เราจึงเลือกทำบางอย่างที่แตกต่างออกไป แต่ผมพอใจมาก และรู้สึกดีมากที่ได้ทำสิ่งนี้ได้เสร็จขณะมีชีวิตอยู่” Feeney กล่าวกับ Forbes ว่า “ขอขอบคุณทุกคนที่เข้าร่วมกับผมในการเดินทางครั้งนี้ และสำหรับผู้ที่สงสัยเกี่ยวกับ Giving While Living ขอให้ลองดู แล้วคุณจะชอบ”

ในช่วงสี่ทศวรรษที่ผ่านมา Chuck Feeney ได้บริจาคเงินกว่า 8 พันล้านเหรียญสหรัฐให้กับองค์กรการกุศล มหาวิทยาลัย และมูลนิธิต่าง ๆ ทั่วโลก ผ่านมูลนิธิ The Atlantic Philanthropies ของเขา เมื่อนิตยสาร Forbes พบเขาครั้งแรกในปี พ.ศ.2555 เขาคาดว่า เขาจะมีเงินเหลือประมาณ 2 ล้านดอลลาร์สำหรับการเกษียณอายุของเขาและภรรยา กล่าวอีกนัยหนึ่งเขาได้รับเงินมากกว่ามูลค่าสุทธิในปัจจุบันถึง 375,000% และเขาบริจาคไปโดยไม่ระบุชื่อ ในขณะที่ผู้ใจบุญที่ร่ำรวยหลายคนต่างก็เกณฑ์กองทัพนักประชาสัมพันธ์เพื่อปาวประกาศถึงการบริจาคของพวกเขา Chuck Feeney ก็พยายามอย่างมากที่จะเก็บงำการบริจาคของเขาไว้เป็นความลับ เนื่องจากการบริจาคเพื่อการกุศลที่เป็นความลับ และกระจายไปทั่วโลก นิตยสาร Forbes จึงเรียก Chuck Feeney ว่า James Bond of Philanthropy

“การให้ในขณะที่ยังมีชีวิต ทำให้เกิดความแตกต่าง”
Chuck Feeney

ก่อนชายผู้แสนมัธยัสถ์นี้จะอายุ 85 เขาได้ทำอะไรมาบ้าง ?

1.) บริจาคเงิน 588,000,000 เหรียญสหรัฐให้มหาวิทยาลัยคอร์แนล โดยห้ามไม่ให้มหาวิทยาลัยประกาศชื่อผู้บริจาค

2.) บริจาค 125,000,000 เหรียญสหรัฐ ให้มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย 

3.) บริจาค 60,000,000 เหรียญสหรัฐ ให้มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ต

4.) ลงทุน 1,000,000,000 เหรียญสหรัฐ เพื่อปรับปรุงมหาวิทยาลัยอีก 7 แห่ง และอีก 2 แห่งในไอร์แลนด์เหนือ

5.) จัดตั้งกองทุนการกุศล The Atlantic Philanthropies (AP) ให้การรักษาพยาบาลฟรีสำหรับเด็กปากแหว่งในประเทศที่กำลังพัฒนา

6.) ได้บริจาคเงินไปทั้งสิ้น 8,000,000,000 เหรียญสหรัฐ เมื่ออายุ 89 ปี

วันที่ 14 กันยายน 2020 Chuck Feeney พร้อมด้วยภรรยา Helga Feeney ได้ลงนามในเอกสาร ณ นครซานฟรานซิสโกอันเป็นการปิดการบริจาคให้ The Atlantic Philanthropies (AP)

แม้ว่า Chuck Feeney จะรักในการหาเงิน แต่ก็ใช้จ่ายเงินอย่างประหยัดมาก Chuck Feeney มีความปรารถนาว่า ก่อนปี พ.ศ.2559 เขาจะบริจาคเงินที่เหลือให้หมด เพื่อจะได้ตายอย่างตาหลับ โดยเงินของเขาได้กระจายไปทั่วโลกให้พื้นที่จำเป็นในอัตรา 400,000,000 เหรียญสหรัฐ ต่อปี และในเดือนกันยายน พ.ศ.2563 Chuck Feeney ก็ทำได้สำเร็จ โดยเขาเหลือเงินเพื่อใช้ดำรงชีวิตกับภรรยาเพียงสองล้านเหรียญเท่านั้น 

วันที่ 14 กันยายน ค.ศ.2020 Chuck Feeney พร้อมด้วยภรรยา Helga Feeney ได้ลงนามในเอกสาร ณ นครซานฟรานซิสโกอันเป็นการปิดการบริจาคให้ The Atlantic Philanthropies (AP) หลังจากบริจาคมาแล้วทั่วโลกเป็นเวลาสี่ทศวรรษ The Atlantic Philanthropies พิธีซึ่งกระทำบนระบบ Zoom กับ The Atlantic Philanthropies รวมถึงข้อความวิดีโอจาก Bill Gates และอดีตผู้ว่าการมลรัฐแคลิฟลอเนีย Jerry Brown ประธานสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐฯ Nancy Pelosi ส่งจดหมายอย่างเป็นทางการจากสภาคองเกรสแห่งสหรัฐอเมริกาเพื่อขอบคุณ Feeney สำหรับการบริจาคของเขา

“ผมมีหนึ่งความคิดในใจ ซึ่งไม่เคยเปลี่ยน นั้นคือ เราต้องใช้ความมั่งคั่งที่มีเพื่อช่วยเหลือผู้คน” Chuck Feeney

เขาเป็นตัวอย่างสำหรับคนรวยที่ว่า "ในขณะที่มีความสุขกับชีวิต ต้องแบ่งปันความสุขนี้ให้กับผู้อื่นด้วย" การทำการกุศลของ Chuck Feeney เป็นที่โด่งดังมาก ผู้สื่อข่าวจำนวนมากเดินทางไปยังบ้านของเขา แล้วทุกคนก็ล้วนแต่แปลกใจ และถาม Chuck Feeney ว่า “คุณมีทรัพย์สินมากมาย ทำไมถึงไม่ใช้ชีวิตที่สวยหรู" 

เพื่อตอบข้อสงสัยของทุกคน Chuck Feeney ยิ้ม และบอกเล่าเรื่องราว 

"สุนัขจิ้งจอก พบไร่องุ่นที่เต็มไปด้วยผลไม้ อยากจะเข้าไปในไร่ เพื่อกินองุ่นให้เต็มที่ แต่มันอ้วนเกินไป เลยมุดผ่านรั้วไร่องุ่นไปไม่ได้ ดังนั้นมันจึงไม่กินไม่ดื่มอยู่สามวัน และแล้วตัวมันก็ผอมลง จนมุดผ่านรั้วเข้าไปในไร่องุ่นได้ ! 

เมื่อกินอิ่มเป็นที่พึงพอใจแล้ว แต่…ตอนที่จะกลับออกไป กลับออกไม่ได้อีก ทำอย่างไรก็ไม่ได้ เมื่อไม่มีทางเลือก มันจึงต้องอดน้ำ อดอาหารอีกสามวันสามคืน จนสุดท้ายแล้ว ท้องของมันตอนที่ออกมาจากไร่องุ่น ก็เหมือนกับตอนที่มันเข้าไปในไร่องุ่น" 

เมื่อเล่าเสร็จ Chuck Feeney กล่าวว่า "บนสวรรค์นั้นไม่มีธนาคาร ทุกคนเกิดมากับความว่างเปล่า ในที่สุดก็จากไปแบบมือเปล่า ไม่มีใครสามารถนำความมั่งคั่งไปกับความตายได้" และเมื่อมีสื่อถาม Chuck Feeney ทำไมต้องบริจาคเงินออกไปจนหมด คำตอบของเขาง่ายมาก ๆ และไม่มีใครคาดถึง เขากล่าวว่า "เพราะถุงใส่ศพนั้นไม่มีกระเป๋า" อันที่จริงแล้วความจนของเขาเกิดจากการบริจาคเงินมหาศาล สิ่งที่เขาได้มา ได้ส่งคืนกลับไปสู่สังคมทั้งหมด มันช่วยทำให้เขามีความสุขมากกว่ามีเงินเป็นหมื่นเป็นแสนล้านเสียอีก


Chuck Feeney กับ Warren Buffett

Chuck Feeney จึงมีอิทธิพลต่อทั้ง Warren Buffett และ Bill Gates เมื่อพวกเขาเปิดตัว การให้คำมั่นสัญญาในปี พ.ศ.2553 ซึ่งเป็นการรณรงค์เชิงรุกเพื่อโน้มน้าวให้ผู้มั่งคั่งที่สุดในโลก บริจาคทรัพย์สมบัติอย่างน้อยครึ่งหนึ่งสำหรับการกุศล ก่อนที่พวกเขาจะเสียชีวิต “Chuck Feeney เป็นต้นแบบที่สำคัญในแง่ของแรงบันดาลใจในการให้และทำตามคำมั่นสัญญา” Warren Buffett กล่าวว่า “เขาเป็นต้นแบบสำหรับพวกเราทุกคน ซึ่งจะต้องใช้เวลาราว 12 ปีหลังจากที่เสียชีวิตเพื่อทำสิ่งที่เขาทำภายในช่วงชีวิตของเขา” สำหรับ Bill Gates ได้กล่าวถึง Chuck Feeney ว่า “Chuck ได้สร้างเส้นทางให้ผู้ใจบุญคนอื่น ๆ เดินตาม ผมจำได้ว่า พบเขาก่อนเริ่มการให้คำมั่นสัญญา เขาบอกผมว่า เราควรสนับสนุนผู้คน ไม่ให้เพียงแค่ 50% แต่ให้มากที่สุดในช่วงชีวิตของพวกเรา ไม่มีใครเป็นตัวอย่างที่ดีไปกว่า Chuck หลายคนพูดกับผมว่า Chuck Feeney เป็นแรงบันดาลใจให้พวกเขาได้อย่างไร ช่างน่าทึ่งจริง ๆ ”

“Chuck ได้สร้างเส้นทางให้ผู้ใจบุญคนอื่น ๆ เดินตาม ผมจำได้ว่า พบเขาก่อนเริ่มการให้คำมั่นสัญญา เขาบอกผมว่า เราควรสนับสนุนผู้คนไม่ให้เพียงแค่ 50% แต่ให้มากที่สุดในช่วงชีวิตของพวกเรา” Bill Gates
 

ตม.จว.ชุมพร จับกุมขบวนการขนแรงงานต่างด้าวสัญชาติเมียนมาหลบหนีเข้าเมือง โดยใช้รถนำ

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.สิทธิชัย โล่กันภัย รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.สุเมธ เมฆขจร ผบก.ตม.6 พ.ต.อ.สัญชัย โชคขยายกิจ, พ.ต.อ.ไพรัช พุกเจริญ, พ.ต.อ.ศุภชัชจ์ เปี่ยมมนัส, พ.ต.อ.ภาณุภาคยณ์ จิตต์ประยูรตี รอง ผบก.ตม.6 และ พ.ต.ท.ชนกฤดิ พงษ์ศิริ สวญ.ตม.จว.ชุมพร พร้อมด้วย พ.ต.ต.สันติ มณีรัตน์ สว.ตม.จว.ชุมพร ร่วมแถลงข่าวการจับกุมคดีที่น่าสนใจ ดังนี้

พ.ต.ท.ชนกฤดิ พงษ์ศิริ สวญ.ตม.จว.ชุมพร พร้อมด้วย พ.ต.ต.สันติ มณีรัตน์ สว.ตม.จว.ชุมพร นำกำลังเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ตม.จว.ชุมพร สนธิกำลัง สภ.ปะทิว และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ร่วมกันจับกุม นายสุธะ อายุ 51 ปี สัญชาติไทย ในความผิดฐาน “ร่วมกันช่วยเหลือ ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใด ๆ ให้คนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมายพ้นจากการจับกุม” และนายอาซะ อายุ 44 ปี สัญชาติเมียนมา พร้อมพวกรวม 11 คน ในความผิดฐาน “เป็นบุคคลต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต” “ความผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และ พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ กรณีแรงงานต่างด้าวข้ามเขตจังหวัดโดยไม่ได้รับอนุญาต” โดยสามารถจับกุมได้ที่ บริเวณวัดถ้ำเขาพลู หมู่ที่ 3 ต.ชุมโค อ.ปะทิว จว.ชุมพร

พฤติการณ์ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ปะทิว ภ.จว.ชุมพร ได้รับแจ้งว่า มีรถนำบุคคลต่างด้าวมาปล่อยทิ้งไว้ที่ศาลาหลังเมรุ ภายในวัดถ้ำเขาพลู อ.ปะทิว จว.ชุมพร จึงพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง และเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ตม.จว.ชุมพร ร่วมตรวจสอบ พบเป็นคนต่างด้าวสัญชาติเมียนมา จำนวน 11 คน ไม่มีหนังสือเดินทางหรือเอกสารประจำตัวบุคคลต่างด้าวที่ถูกกฎหมายมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ จากนั้นเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ตม.จว.ชุมพร จึงได้ออกติดตามรถที่ขนแรงงานต่างด้าวมาปล่อยทิ้งไว้ จนกระทั่งสามารถสกัดจับรถขนกระเป๋าสัมภาระได้ 1 คัน บริเวณถนนสายปากคลอง-บางสะพานน้อย (รอยต่อระหว่างจว.ชุมพร - จว.ประจวบคีรีขันธ์)

โดยร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บ้านมาบอำมฤต ภ.จว.ชุมพร จากการตรวจสอบพบว่า เป็นรถกระบะสีน้ำตาล มีหลังคาปิดหลังกระบะทะเบียนเลย โดยมีนายสุธะ อายุ 51 ปี เป็นผู้ขับขี่ และพบกระเป๋าสัมภาระ 11 ใบ จึงได้ทำการตรวจยึดไว้และนำมาตรวจสอบพบว่าเป็นกระเป๋าของคนต่างด้าวที่ถูกนำมาปล่อยทิ้งไว้ทั้ง 11 คน สอบถามนายสุธะ ผู้ต้องหา ให้การรับว่ารับจ้างขนกระเป๋าสัมภาระของแรงงานต่างด้าวทั้ง 11 คน โดยรับมาจากบริเวณป่าริมถนนแถว ต.ควนมีด อ.จะนะ จว.สงขลา ได้ออกมาจาก จ.สงขลา โดยใช้เส้นทางถนนสายหลัก เอเชีย 41 และถนนเพชรเกษมมุ่งหน้า จว.ประจวบคีรีขันธ์ เมื่อมาถึงบริเวณ อ.ท่าแซะ จว.ชุมพร ได้เลี้ยวขวาเข้ามาทาง อ.ปะทิว จว.ชุมพร เพื่อจะวิ่งบนถนนสายรอง ไปยัง จว.ประจวบคีรีขันธ์ และเมื่อไปถึงบริเวณ ต.ปากคลอง อ.ปะทิว จว.ชุมพร ได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียกตรวจสอบและจับกุมไว้ได้

การขยายผล จากการสอบสวนเบื้องต้นพบว่าบุคคลต่างด้าวสัญชาติเมียนมาทั้ง 11 คน ได้เดินทางมาจากประเทศมาเลเซีย เพื่อต้องการจะกลับประเทศเมียนมาทางชายแดน อ.แม่สอด จว.ตาก โดยเสียค่าเดินทางให้กับนายหน้าจากประเทศมาเลเซีย เป็นจำนวนคนละประมาณ 3,200 - 3,500 ริงกิต จากนั้นจะมีรถรับพวกตนมาเป็นทอด ๆ โดยการลักลอบหลบหนีเข้ามาทางช่องทางธรรมชาติ ไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นบริเวณใด แต่ได้มีการนั่งเรือหางยาวข้าม ลำน้ำใช้เวลาประมาณ 1 นาที จากนั้นก็มีรถยนต์กระบะมารับพวกตนเป็นทอด ๆ โดยครั้งสุดท้ายก่อนถูกจับกุมได้ขึ้นรถกระบะชนิดตอนครึ่งและนั่งเบียดเสียดกันมาอยู่ด้านหน้ารถทั้งหมด และมีรถกระบะอีกคันทำหน้าที่ขนกระเป๋าสัมภาระ จนกระทั่งถูกนำมาปล่อยทิ้งไว้ ณ ที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่จึงได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดบริเวณใกล้เคียงทราบว่า รถกระบะคันที่ขนแรงงาน เป็นรถกระบะสีขาวทะเบียนนครราชสีมา นายสุธะ ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมได้ ให้การรับว่ารถทั้ง 2 คัน ได้แวะเติมน้ำมันที่ปั๊มน้ำมันบางจาก ริมถนนสายเอเชีย 41 (ขาขึ้น) อ.ละแม จว.ชุมพร ก่อนที่จะถูกตรวจค้นและจับกุม

จากการสืบสวนและตรวจสอบกล้องวงจรปิดตลอดเส้นทางก่อนมาถึงที่เกิดเหตุพบรถกระบะที่นายสุธะ ผู้ต้องหา ขับนำหน้ารถกระบะที่ขนแรงงานต่างด้าวทั้ง 11 คน เพื่อดูเส้นทางตลอดระยะทางกว่า 100 กม. เมื่อเข้าเขต จว.ชุมพร นั้น เชื่อได้ว่า นายสุธะ ผู้ต้องหาที่จับกุมได้ มีพฤติการณ์ร่วมกันกับผู้ต้องหาอีกคนให้การช่วยเหลือ ซ่อนเร้น แก่แรงงานต่างด้าวที่หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายเพื่อให้พ้นจากการจับกุม โดยการนำพาคนต่างด้าวจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อจะนำไปส่งยังจุดหมายตามที่ได้รับการว่าจ้าง ซึ่งจากกการซักถามปากคำนายสุธะ ผู้ต้องหา ยังพบข้อมูลการติดต่อทางโทรศัพท์และการโอนเงินทางบัญชีของนายสุธะ ซึ่งจะได้ทำการสืบสวนขยายผลหาตัวผู้ร่วมกระทำผิดต่อไป ในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนผู้ต้องหายังให้การปฏิเสธ

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th จะขอบพระคุณอย่างยิ่ง

ชลบุรี - สงขลา - ด่วน เรือเฟอร์รี่ ชลบุรี-สงขลา เที่ยวแรกเทียบท่าแล้วไร้ปัญหา เตรียมเปิดให้บริการ 21 พ.ค.นี้

ทดสอบเที่ยวแรก เรือเฟอร์รี่เส้นทางชลบุรี-สงขลา ล่าสุดเข้าเทียบท่าที่ จ.สงขลา แล้ววันนี้ เผยใช้เวลาวิ่งแค่ 18-20 ชม. และไร้ปัญหา ตั้งเป้าเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการเที่ยวแรก 21 พ.ค.นี้

“เรือเฟอร์รี่ ดิ บลู ดอลฟิน” ของบริษัท ซี ฮอร์ส เฟอร์รี่ จำกัด ซึ่งเป็นเรือที่จะเปิดให้บริการขนส่งทางทะเล เส้นทาง ชลบุรี-สงขลา ซึ่งเป็นเส้นทางใหม่ ได้เข้าจอดเทียบท่าที่บริเวณท่าเทียบเรือประทีปซีแลนด์ คอนสตรัคชั่น ถนนแหล่งพระราม เขตเทศบาลนครสงขลาแล้ว โดยเป็นการทดลองเดินทางครั้งแรกของเรือลำนี้ เส้นทางชลบุรี-สงขลา เพื่อเช็คเส้นทางเดินเรือ ทดสอบการเดินเรือ และการเข้าจอดเทียบท่า เพื่อให้มีความพร้อมที่สุด และแก้ไขปัญหาต่าง ๆ โดยตามแผนจะเปิดให้บริการในวันที่ 21 พ.ค.นี้ จาก จ.ชลบุรี มายัง จ.สงขลา

นายพิพัฒน์ชัย จันทร์เรือง หัวหน้าฝ่ายการตลาด บริษัท ซี ฮอร์ส เฟอร์รี่ จำกัด กล่าวว่า ในวันนี้เป็นการทดสอบการเดินเรือ วิ่งจากสัตหีบมาที่ จ.สงขลา หากเป็นไปตามแผนที่วางไว้ก็จะเริ่มเปิดให้บริการได้ ตั้งแต่วันที่ 21 พ.ค.นี้ เส้นทางชลบุรี-สงขลา ซึ่งจะตรวจสอบความพร้อมทุกอย่าง รวมถึงผู้ประกอบการ และจะประกาศให้ทราบอีกครั้ง ทางเว็บไซต์ของบริษัทฯ

โดยเรือลำนี้ สามารถบรรทุกรถ 10 ล้อได้ 60 คัน และรถเก๋งอีก 20 คัน ผู้โดยสาร 586 คน และในเรือก็จะมีทั้งห้องอาหาร และที่พัก ซึ่งเรือลำนี้จะมาช่วยทั้งด้านเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวของ จ.สงขลา และ จ.ชลบุรี โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ส่วนค่าโดยสารกำลังอยู่ระหว่างการขออนุญาตจากกรมเจ้าท่า และจะประกาศผ่านทางเว็บไซต์ให้ทราบรายละเอียดอีกครั้ง โดยเรือลำนี้สามารถโต้คลื่นได้ขนาด 5-10 เมตรได้อย่างสบาย จึงมั่นใจในความปลอดภัยในการเดินทาง

สำหรับรายละเอียดของ “เรือเฟอร์รี่ ดิ บลู ดอลฟิน” ของบริษัท ซี ฮอร์ส เฟอร์รี่ จำกัด มีขนาด 7,003 ตันกรอส ความยาว 136.6 เมตร ความเร็ว 17 น็อต หรือ 31.48 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รองรับรถบรรทุกได้ประมาณ 60 คัน รถยนต์ส่วนตัว 20 คัน ผู้โดยสารประมาณ 586 คน จะใช้เวลาในการเดินทางจากท่าเรือจุกเสม็ด หรือท่าเรือพาณิชย์สัตหีบ จ.ชลบุรี ถึง จ.สงขลา ระยะเวลาเพียง 18-20 ชั่วโมง ซึ่งเร็วกว่าทางรถยนต์ที่ใช้เวลาเดินทางประมาณ 23-24 ชั่วโมง ทั้งยังรองรับการขนส่งในอนาคตด้วย

โดย “เรือเฟอร์รี่ ดิ บลู ดอลฟิน” มีสิ่งอำนวยความสะดวก ทั้งห้องพัก โซนอาหารและเครื่องดื่ม เหมือนเรือท่องเที่ยวกึ่งเรือสำราญ ซึ่งได้รับการตรวจรับรองความปลอดภัยจากกรมเจ้าท่าแล้ว เมื่อวันที่ 12 มี.ค.ที่ผ่านมา และคนประจำเรือได้รับการฝึกอบรมตามข้อกำหนด มีความพร้อมในการปฏิบัติงาน การคมนาคมขนส่งทางน้ำ ในเส้นทางนี้ จะเป็นประโยชน์ในการเชื่อมโยงระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC เข้ากับระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ หรือ SEC ช่วยเพิ่มศักยภาพของการขนส่งทางน้ำ ลดต้นทุน และอุบัติเหตุจากการขนส่งทางบก และลดปัญหามลพิษฝุ่นละออง PM2.5


ภาพ/ข่าว  นิราช / นันทพล ทิพย์ศรี รายงาน

เชียงใหม่ - ผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็นผู้แทน ตร. เดินทางมาประชุมเพื่อรับทราบสถานการณ์ และแผนการสกัดกั้นคนต่างด้าวลักลอบหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย และการบริหารจัดการวัคซีนให้แก่ข้าราชการตำรวจในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่

วันที่ 21 พ.ค.64  เวลา 10.30 น. ด้วย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. มีความห่วงใยข้าราชการตำรวจที่ต้องปฏิบัติหน้าที่เสี่ยงต่อการต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จึงได้สั่งการให้ พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ ที่ปรึกษาพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ /ประธานคณะทำงานการจัดหาและฉีดวัคซีนฯ พิจารณาจัดสรรวัคซีนเป็นพิเศษ เพิ่มเติมจากที่ได้รับการจัดสรรจากสาธารณสุขจังหวัด ให้แก่ข้าราชการตำรวจในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่  ซึ่งเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดนั้น

พล.ต.ท.ชินภัทร สารสิน ผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็นผู้แทน ตร.เดินทางมาประชุมเพื่อรับทราบสถานการณ์และแผนการสกัดกั้นคนต่างด้าวลักลอบหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย และการบริหารจัดการวัคซีนให้แก่ข้าราชการตำรวจในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่  พร้อมทั้งเป็นตัวแทน ตร. มอบวัคซีนจำนวน 3,200 โดส เพื่อฉีดให้แก่ข้าราชการตำรวจทุกหน่วยในจังหวัดเชียงใหม่ โดยมอบหมายให้โรงพยาบาลดารารัศมี เป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินการฉีดให้ข้าราชการตำรวจในโอกาสต่อไป

โดยมี พล.ต.ต.บัณฑิต ตุงคะเศรณี รอง ผบช.ภ.5 รรท. ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.พิเชษฐ  จีระนันตะสิน ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ , พล.ต.ต.หญิง พิมพรรณ ทรัพย์ขำ ผบก.รพ.ดร. และข้าราชการตำรวจในสังกัด ภ.จว.เชียงใหม่ ร่วมประชุมและรับมอบวัคซีน ณ ห้องประชุม 4 ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่

ตราด - ผู้นำชุมชนบ้านบางเบ้า ร่วมมือหลายภาคส่วน รื้อถอนเศษซากเสาปูนที่ตั้งโด่เด่ในทะเล

วันที่ 21 พ.ค.64 นายเติมศักดิ์ เสริฐศรี ผู้ใหญ่บ้านบางเบ้า หมู่ 1 ต.เกาะช้างใต้ อ.เกาะช้าง จ.ตราด เปิดเผยว่า ปัจจุบันตนเองพร้อมด้วย ทีมงานผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน,สารวัตรกำนัน,ผู้นำชุมชน, เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง,ผู้ประกอบการเรือนำเที่ยว,เจ้าของธุรกิจต่างๆในชุมชนบ้านบางเบ้า,เจ้าของธุรกิจเรือนำเที่ยวเพิ่มพูลทรัพย์ ได้ให้การสนับสนุนเรือจำนวน 3 ลำ พร้อมพนักงาน และชาวบ้านบางเบ้าอีกจำนวนหลายคน ได้ร่วมมือกันทำการรื้อถอนเสาคอนกรีต (เสาปูน) ที่ตั้งโด่เด่!จำนวนมากอยู่ในทะเลใกล้ๆกับสะพานชุมชนบ้านบางเบ้า พร้อมกับนำเรือนำเที่ยวขนาดใหญ่ดำเนินการชักลากเสาปูนและเศษซากสิ่งก่อสร้างของตัวอาคาร (อดีตโรงแรม เกาะช้างซีฮัท) โดยทางอุทยานฯเกาะช้างได้ทำการรื้อถอนตัวอาคารออกไป เมื่อช่วงปลายปี 2553 ที่ผ่านมา เนื่องจากคดีได้ถึงที่สุดตามคำพิพากษาของศาล จ.ตราด ให้มีการรื้อถอน ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เมื่อไปยืนที่สะพานบ้านบางเบ้า จะได้เห็นมีเศษซากของเสาปูน-ส่วนประกอบฐานล่างของห้องน้ำ ตั้งเรียงรายอยู่ในทะเลจำนวนมาก  

นายเติมศักดิ์ เสริฐศรี ผู้ใหญ่บ้านบางเบ้า หมู่ 1 ต.เกาะช้างใต้ กล่าวว่า การดำเนินการรื้อถอนเศษซากเสาปูนและส่วนประกอบฐานล่างของห้องน้ำ ที่ตั้งโด่เด่อยู่ในทะเลใกล้ ๆ สะพานบ้านบางเบ้าในครั้งนี้ เพื่อปรับทัศนียภาพ สิ่งแวดล้อมโดยรอบชุมชนในทะเลบ้านบางเบ้า ให้ดูสะอาดตาและสวยงามในสายตานักท่องเที่ยวและคนทั่วไป อีกทั้งยังส่งผลดีให้เรือของชาวบ้านในชุมชน สามารถวิ่งเข้า-ออกบริเวณดังกล่าวได้อย่างสะดวกสบาย เตรียมพร้อมต้อนรับเปิดฤดูกาลท่องเที่ยว หลังจากผ่านพ้นวิกฤตการระบาดของโควิด-19 โดยจะมีการใช้เรือทำการลากจูงเศษซากเสาปูนที่รื้อถอนออกทั้งหมดนำไปทำเป็นแนวปะการังเทียม แหล่งอาศัยของสัตว์น้ำ เกิดประโยชน์กับเรือประมงพื้นบ้านหรือเรือขนาดเล็กแนวชายฝั่ง พร้อมกับมีการทำค่าพิกัด GPS เพื่อเสนอต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป สำหรับการดำเนินการรื้อถอนเศษซากเสาปูนในทะเลดังกล่าว คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในระยะเวลา 2-3 วัน  


ภาพ/ข่าว วรโชติ เกาะช้าง-วิเชียร ม่วงสี ทีมข่าวภูมิภาค /รายงาน

ปทุมธานี - รองผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี เป็นประธานในพิธีบวงสรวงโครงการโคก หนอง นา แห่งน้ำใจและความหวัง วัดเกาะเกรียง

เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2564 เวลา 08.00 น. นายพงศธร กาญจนะจิตรา รองผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี เป็นประธานในพิธีบวงสรวงพื้นที่สำหรับโครงการโคก หนอง นา แห่งน้ำใจและความหวัง วัดเกาะเกรียง ตำบลบางคูวัด อำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี นายจักรกฤษณ์ ทองสิริประภา เลขานุการคณะทำงานฯ กล่าวว่า วัดเกาะเกรียง โดยมี พระมหาบัญญัติ สุจิตฺโต ดร. เจ้าอาวาสวัดเกาะเกรียง เป็นผู้มีวิสัยทัศน์ที่จะสนองแนวพระราชดำริ และพระบรมราโชบายการสืบสาน รักษา และต่อยอดของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน รวมทั้งขยายผลแนวพระราชดำริปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ไปสู่ประชาชนเพื่อจะได้น้อมนำไปปฏิบัติให้เป็นวิถีชีวิต ขับเคลื่อนกิจกรรม โคก หนอง นา โมเดล ให้เป็นจุดตัวอย่าง เป็นต้นแบบในการบริหารจัดการพื้นที่ใช้สอยที่ว่างเปล่าให้เกิดประโยชน์ต่อชุมชน ปรับปรุงพัฒนาสภาพแวดล้อมระบบนิเวศน์ภายในชุมชนรอบข้าง ให้มีความสมดุลอย่างยั่งยืน เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องภัยแล้งและส่งเสริมการประกอบอาชีพ การใช้น้ำน้อย โดยกิจกรรม โคก หนอง นา โมเดล เป็นกลไกในการขับเคลื่อน ซึ่งในวันนี้มีพัฒนาการจังหวัดปทุมธานี วัฒนธรรมจังหวัดปทุมธานี ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดปทุมธานี ดร.จิดาภา แต่สกุล นายกสมาคมสตรีไทยสากล นายธนบดี ศรีเมือง พร้อมด้วยคณะทำงานฯ ข้าราชการ จิตอาสา และประชาชนทั่วไปเข้าร่วมพิธีฯ

ทั้งนี้รองผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี กล่าวว่าจังหวัดปทุมธานีพร้อมสนับสนุนการดำเนินโครงการโคก หนอง นา แห่งน้ำใจและความหวัง วัดเกาะเกรียง ซึ่งวัดเกาะเกรียงนั้นนับเป็นวัดแรกในจังหวัดปทุมธานีที่ดำเนินโครงการนี้ สำหรับโครงการโคก หนอง นานั้น โคก หมายถึงพื้นที่สูงสำหรับเลี้ยงสัตว์ ปลูกพืช หนองสำหรับการกักเก็บน้ำ และนาสำหรับทำการปลูกข้าว จากนั้นรองผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี ยังได้สักการะศาสนสถานสำคัญภายในวัดอีกด้วย


ภาพ/ข่าว  วะจะนะชัย วาจาพารวย รายงาน

สุโขทัย - สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานอุปกรทางการแพทย์ ให้กับโรงพยาบาลสุโขทัย

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าพระราชทานอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้แก่โรงพยาบาลสุโขทัย เพื่อเพิ่มศักยภาพ และประสิทธิภาพในการดูแลผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019

วันนี้ (21 พ.ค. 64) เวลา 08.30 น. ที่ห้องประชุมศรีสุโขทัย ชั้น 4 อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลสุโขทัย อำเภอเมืองสุโขทัย จังหวัดสุโขทัย นายวิรุฬ พรรณเทวี ผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย เป็นประธานรับมอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ คือ เครื่องให้อากาศผสมออกซิเจนอัตราการไหลสูง (Humidifier With Intgrated Flow Generator) หรือ เครื่องออกซิเจนไฮโฟลว์ เพื่อใช้ในการรักษาผู้ป่วยโควิด – 19 โดยมีดร.นพ.ปองพล วรปาณิ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสุโขทัย ,นพ.มาโนช อู่วุฒิพงษ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสุโขทัย ,ประชาสัมพันธ์จังหวัดสุโขทัย และบุคลากรทางการแพทย์ร่วมพิธี

ตามที่เกิดการระบาดระลอกใหม่ของไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทย ซึ่งการระบาดในครั้งนี้ส่งผลเป็นวงกว้าง ทําให้มีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลต่างๆ เป็นจํานวนมาก หลายโรงพยาบาลขาดแคลนอุปกรณ์ทางการแพทย์โดยเฉพาะ “เครื่องออกซิเจน ไฮ โฟลว์” (Oxygen High Flow) ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่มีความจําเป็นและสําคัญในการช่วยชีวิตผู้ป่วยภาวะหายใจล้มเหลว หรือมีภาวะพร่องออกซิเจน และเพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสในการรอดชีวิตของผู้ป่วยได้มากยิ่งขึ้น

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี องค์นายกกิตติมศักดิ์ และองค์ประธานกรรมการมูลนิธิชัยพัฒนา ได้พระราชทานงบประมาณจาก “กองทุนชัยพัฒนาสู้ภัยโควิด 19 (และโรคระบาดต่าง ๆ )” จัดซื้อ “เครื่องออกซิเจน ไฮ โฟลว์” (Oxygen High Flow) จํานวน 530 เครื่อง และมีพระราชานุมัติพระราชทานแก่โรงพยาบาลแล้ว 456 เครื่อง ในกว่า 80 โรงพยาบาล ทั่วทุกภาคของประเทศ

ชลบุรี – กราบหัวใจ ! รองผู้การเมืองชล ต่อแถวเข้าคิวฉีดวัคซีนโควิดเคียงข้างชาวบ้าน

เมื่อวันที่ 20 พ.ค.64 ซึ่งเป็นวันแรกของการให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ให้กับประชาชนในเขตเมืองพัทยา และพื้นที่ใกล้เคียง โดยเมืองพัทยากำหนดใช้อาคารกรีฑาในร่มเมืองพัทยา ศูนย์กีฬาแห่งชาติภาคตะวันออก ซอยชัยพฤกษ์ 2 เป็นสถานที่บริการวัคซีนให้ประชาชนนั้น

มีรายงานว่า สำหรับสถานที่ดังกล่าวรองรับการให้บริการฉีดวัคซีนซิโนแวค ให้กับประชาชนที่อาศัยอยู่ในเขตเมืองพัทยา และพื้นที่ใกล้เคียงรวม 3 ตำบลของอำเภอบางละมุง ซึ่งให้บริการวัคซีนวันละประมาณ 4,000 โดส เป็นเวลา 2 วัน มีประชาชนซึ่งประกอบการอาชีพกลุ่มเสี่ยงต่าง ๆ ทั้ง บุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ครู ตำรวจ ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว และหน่วยงานภาคปฏิบัติที่มีการทำงานสุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ที่ลงทะเบียนในระบบสาธารณสุข เข้ารับบริการเป็นจำนวนมาก

ทั้งนี้ ในกลุ่มประชาชนที่มารอเข้าคิวต่อแถวตามเวลานัดหมาย ได้ทยอยเดินเท้าเข้าอาคารเพื่อเข้าระบบการรับวัคซีนกันอย่างต่อเนื่องนั้น ผู้สื่อข่าวได้สังเกตเห็นนายตำรวจนายหนึ่งยืนรอคิวร่วมกับประชาชน ที่มารับบริการวัคซีน พร้อมปฏิบัติตามระเบียบของเจ้าหน้าที่ตามขั้นตอน ทราบต่อมาคือ พ.ต.อ.สุขทัศน์ พุ่มพันธ์ม่วง รอง ผบก.ภ.จว.ชลบุรี ที่เดินทางมารับวัคซีนแบบประชาชนธรรมดาคนหนึ่ง โดยไม่ถืออภิสิทธิ์แต่อย่างใด สร้างความประทับใจต่อผู้ทราบข่าวและเห็นเหตุการณ์เป็นอย่างมาก


ภาพ/ข่าว  นิราช / นันทพล ทิพย์ศรี ก012 ชลบุรี

กรุงเทพฯ - จก.ขส.ทร.จัดกิจกรรมวันอาภากร บริจาคโลหิต และมอบสิ่งของให้ชุมชนใกล้เคียงสู้โควิด-19

พลเรือตรี สาธิต นาคสังข์ เจ้ากรมการขนส่งทหารเรือ (จก.ขส.ทร.) จัดกิจกรรมเนื่องในวัน อาภากร โดยจัดพิธีบวงสรวงและอ่านคำประกาศพระเกียรติคุณ พลเรือเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์​บริเวณ​หน้า​กองบังคับการ​ และ​จัดกิจกรรมบริจาคโลหิต​ เพื่อสนับสนุน​โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า​ กรมแพทย์ทหารเรือ​ นำโลหิตไปช่วย​เหลือผู้ป่วย​

เนื่องจากขณะนี้​โรงพยาบาลขาดแคลนเลือดเป็นจำนวนมาก​ พร้อมกันนี้​ได้มอบสิ่งของอุปโภค บริโภค อาหาร ยารักษาโรค ให้กับ​ชุมชน​บ้านพระยาทำ ​ซึ่งอยู่ติดกับ​กรมการขนส่งทหารเรือ​ ที่ได้รับผลกระทบจาก โควิด-19​ โดยเชิญผู้นำชุมชน​เป็นผู้แทนมารับ ​และส่งต่อให้คนในชุมชนต่อไป​ เมื่อ 19 พ.ค.64


ภาพ/ข่าว กพร.ทร. / นิราช / นันทพล ทิพย์ศรี รายงาน

นรข.เข้มชายแดน กันลักลอบเข้าเมือง หลังคิงส์โรมันโควิดระบาด ด้าน ฉก.ม.3 สกัดลักลอบเข้าเมืองต่อเนื่อง

ค่ำวันที่ 20 พ.ค.ที่ผ่านมา นายประจญ  ปรัชญ์สกุล ผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย พล.ต.ต.ชินวิช วิชัยธนพัฒน์ ผบก.ภ.จว.เชียงราย พ.อ.สัมฤทธิ์ ฉัตรวัฒนาสกุล ผบ.ฉก.ม.3 กองกำลังผาเมือง น.อ.จิรัฐ ผูกทอง ผบ.นรข.เขตเชียงราย ร่วมกับปกครอง ตำรวจ และทหาร ออกตรวจตราตามแนวชายแดนเพื่อป้องกันการลักลอบหลบหนีเข้าออกเมือง โดยทาง หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำน้ำโขง หรือ นรข.เขต เชียงราย ได้มีการลาดตระเวณ ทั้งทางบก และทางน้ำเพื่อป้องกันการลักลอบหลบหนีเข้าเมือง จาก สปป.ลาว โดยเฉพาะทางแม่น้ำโขง

ซึ่งที่ผ่านมามีการพบการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส โควิด -19 ในพื้นที่คิงส์โรมัน ซึ่งเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษที่เกาะดอนซาว เมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว ซึ่งมีการตรวจพบผู้ติดเชื้อเกือบ 300 ราย ซึ่งในจำนวนดังกล่าวมีส่วนหนึ่งที่เป็นคนไทย ซึ่งอาจจะมีการลักลอบเดินทางเข้ามาในเขตประเทศไทยได้

ในส่วนของ ชายแดนด้าน อ.แม่สาย ทางเจ้าหน้าที่่ ทหารร้อย ม.3 บก.ควบคุมที่ 2 หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารม้าที่ 3 กองกำลังผาเมือง เจ้าหน้าที่ได้ตรวจพบคนไทยจำนวน 4 คน เดินอยู่บนถนนทางขึ้นวัดถ้ำผาจม หมู่ 1 ต.เวียงพางคำ อ.แม่สาย ติดชายแดนไทย-เมียนมา จึงได้เข้าทำการควบคุมตัวเอาไว้ จากการตรวจสอบทราบว่าชื่อ น.ส.ทาลิธา  เรือนงาม อายุ  47 ปี  ชาว ต.ปากแพรก อ.เมืองกาญจนบุรี จ.กาญจนบุรี น.ส.กนกพร สิทธิยอดปรีชา อายุ 35 ปีชาว ต.แม่ฟ้าหลวง อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย นายนัทที บุญนาวา อายุ 35 ปี ชาว ต.จริม อ.ท่าปลา จ.อุตรดิตถ์ และนายสมใจ สัมพันแพร อายุ  31 ปี ชาว ถ.นครถุง แขวงบางไผ่ เขตบางแค กรุงเทพฯ

การสอบถามทั้ง 4 คน ก็สารภาพว่าเดินทางมาจากเมืองท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา หลังจากได้ลักลอบข้ามไปฝั่งประเทศเมียนมาเพื่อหางานทำและเยี่ยมญาติ และเมื่อจะเดินทางกลับได้เสียค่าจ้างให้คนนำพาหัวละ 10,000-13,000 บาท  เจ้าหน้าที่จึงดำเนินคดี เป็นบุคคลซึ่งเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไม่เดินทางเข้ามาตามช่องทาง  ด่านตรวจคนเข้าเมือง  เขตท่า สถานี หรือท้องที่และตามกำหนดเวลาฯ ข้อหาฝ่าฝืนข้อกำหนดารบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน  พ.ศ.2548 และข้อหาไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานควบ คุมโรคติดต่อ พ.ศ.2558 (คำสั่ง จ.เชียงรายที่ 1380/2563ฯ ) จากนั้นควบคุมตัวดำเนินคดีและกักตัวเป็นเวลา 14 วันตามมาตรการป้องกันไวรัสโควิด-19 ตามกฎหมาย  อีกราย เจ้าหน้าที่เฝ้าตรวจบริเวณท่าข้ามหลังวัดถ้ำผาจมใกล้เคียงกับจุดเดิม พบชายทราบชื่อภายหลังคือ นายซออะแว อู อายุ 29 ปีชาวสัญชาติอินเดีย  ได้ลักลอบเข้ามาในประเทศไทย อ้างว่าจะเดินทางไปกรุงเทพฯ  สอบสวนเบื้องต้นทราบว่าไม่มีงานทำที่แน่นอน และอาศัยอยู่ในฝั่ง ท่าขี้เหล็กมาหลายปัแล้ว ทางเจ้าหน้าที่จึงได้ผลักดันเพื่อกลับไปยังประเทศเมียนมา


ภาพ/ข่าว  ณัฐวัตร ลาพิงค์ / เชียงราย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top