Monday, 26 May 2025
SPECIAL

สงขลา - แม่ทัพภาค 4 ตั้ง เกจิดังภาคใต้และพระอีก 5 รูปเป็นที่ปรึกษา ด้านศาสนา การศึกษา และวัฒนธรรม พบมีผลงานมากทั้งการพหุสังคม มอบทุนการศึกษา ทนุบำรุงศาสนาพุทธ และเปิดศูนย์เรียนรู้

พลโทเกรียงไกร ศรีรักษ์ แม่ทัพภาคที่ 4 / ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ได้มีหนังสือแต่งตั้งพระครูสุวัฒนาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดนาทวี / รองเจ้าคณะจังหวัดสงขลา และเกจิดังภาคใต้ ให้เป็นที่ปรึกษา ด้านศาสนา ,การศึกษา และ วัฒนธรรม เนื่องจากพระครูสุวัฒนาภรณ์ มีความสามารถและได้มีผลงานปรากฏมากมาย เช่น การพหุสังคม โดยใช้หลักศาสนาในการความเชื่อที่ถูกต้องเพราะทุกศาสนามีแต่เมตตา อภัย ให้โอกาสและเน้นถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติศาสนาพระมหากษัตริย์ พร้อมทั้งให้ชาวไทย และชาวไทยมุสลิมทำกิจกรรมเพื่อเป็นประโยชน์ร่วมกัน สร้างความรักความสามัคคีทั้งมุสลิมและไทยให้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข

ด้านการศึกษา ก็ได้มีการมอบทุนการศึกษาให้โรงเรียนต่าง ๆ ภายในอำเภอนาทวี และอำเภอใกล้เคียง มีการส่งเสริมวันสำคัญ ๆ ทางพุทธศาสนา จัดให้มีการเวียนเทียน และปฏิบัติธรรม นำศีล 5 ข้อ สอนให้ประชาชนนำไปปฏิบัติ ชีวิตจะมีแต่ความสุขความเจริญ พระครูสุวัฒนาภรณ์ ยังเป็นนักพัฒนาวัดที่สามารถพัฒนาวัดนาทวี จนทำให้ประชาชนหันหน้าเข้าวัดทำบุญ และร่วมทำโครงการต่าง ๆ ด้วยความเต็มใจ ที่สำคัญพระครูสุวัฒนาภรณ์ ยังเคยเกลี้ยกล่อมผู้หลงผิดให้กลับใจเข้ามามอบตัวกับเจ้าหน้าที่รัฐ จนเป็นข่าวดังเมื่อลายปีก่อน และยังมีความคิดสร้างสรรค์ และมองถึงอนาคตว่าจะต้องพัฒนาอย่างไร

วันนี้ จึงทำให้พระครูสุวัฒนาภรณ์ ได้รับการแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาของแม่ทัพภาคที่ 4 ในครั้งนี้พร้อมกับพระภิกษุอีก 5 รูป ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้และ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา


ภาพ/ข่าว  นายปรีชา สถิตเรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา

ผวา เจอแก๊งเงินกู้ขู่ทวงดอกเบี้ยโหด ล่าสุดรถซาเล้งเครื่องมือทำกินหาย สงสัยถูกตามมายึด หวันไม่ปลอดภัย โร่แจ้งความ ตร.

โควิด-19 เชื้อโรคร้ายทำลายเศรษฐกิจ พ่นพิษหนักทุกหย่อมหญ้า แม่ค้ากาแฟได้รับผลกระทบ หันหน้ากู้เงินด่วนนอกระบบ จากนายทุนหลายเจ้า ด้วยอัตราดอกเบี้ยสุดหฤโหด ก้มหน้าชงกาแฟหาเงินใช้หนี้ไม่พอชำระ เจอตามทวงไม่กล้าออกทำมาหากิน สุดท้ายซาเล้ง เครื่องมือหาเลี้ยงชีพหาย สงสัยเจ้าหนี้ยกพวกยึด รีบแจ้งความเป็นหลักฐาน หวังได้ซาเล้งขายกาแฟคืน

เมื่อเวลา 01.30 น.วันที่ 24 พฤษภาคม 2564 นางกาญจน์ธิดา รชตพงศ์วิทย์ อายุ 43 ปี แม่ค้ากาแฟ ได้เดินทางเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับ ร.ต.ท.รัชพล แสงสี รองสว.สอบสวน สภ.เมืองพัทยา จ.ชลบุรี หลังรถจักรยานยนต์ซาเล้งสูญหายไป จากบ้านเช่า ภายในซอยวัดบุญกัญจนาราม ม.11 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ซึ่งตนเองสงสัยว่าจะเป็นการกระทำของเจ้าหนี้เงินกู้นอกระบบ ที่เอารถซาเล้งที่ใช้ทำมาหากินเลี้ยงชีพของตนเองไป

นางกาญจน์ธิดา ได้เปิดเผยว่าก่อนหน้านี้ตนเอง ได้รับผลกระทบจากปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้เมืองพัทยาซึ่งเป็นแหล่งทำมาหากิน ไม่มีนักท่องเที่ยว เศรษฐกิจจึงอยู่ในสภาวะวิกฤต เมื่อรายได้ไม่พอจุลเจือครอบครัว จึงได้ตัดสินใจกู้เงินจากแก๊งเงินกู้นอกระบบ ซึ่งตนเองตกลงกู้เงินนอกระบบไปหลายเจ้า เมื่อประสบปัญหาหนัก รายได้ที่ขายของแต่ละวันไม่เพียงพอที่จะส่งดอกให้กับเหล่าเจ้าของเงินทั้งหลาย จึงทำให้ตนเองต้องคอยหลบซ่อนตัวจากแก๊งทวงเงิน เพราะเกรงว่าจะได้รับอันตราย

ซึ่งก่อนหน้านี้ตนเองก็ได้เจรจาขอลดค่าดอกเบี้ย จนเหลือวันละ 100 บาท แต่มีบางเจ้าที่ไม่ยินยอมตามคำขอ ทั้งยังทวงและด่าทออย่างรุนแรง พร้อมยื่นคำขาดจะต้องส่งวันละ 500 เท่านั้น หากไม่ส่งก็จะต้องตามมายึดทรัพย์สิน แต่ตนเองก็ไม่สามารถหาเงินมาส่งดอกเบี้ยสุดหฤโหดได้ตามที่ตกลง จึงต้องหนีไปหลบซ่อนตัวอยู่ที่อื่น ไม่กล้าออกไปขายของตามปกติ และจะต้องรอให้สามีมารับถึงจะกล้ากลับเข้าห้องพัก

กระทั่งช่วงดึกที่ผ่านมาเมื่อกลับถึงห้องพัก ได้ตรวจสอบก็พบว่ารถซาเล้งขายกาแฟ เป็นรถจยย.ยี่ห้อเวฟ 125 ไอ สีขาว หมายเลขทะเบียน 1 กญ 362 ชลบุรี  ได้สูญหายไป จึงพากันมาแจ้งความร้องทุกข์ โดยตั้งขอสงสัยว่าต้องเป็นฝีมือของแก๊งเงินกู้อย่างแน่นอน เพราะแก๊งเงินกู้ได้ส่งไลน์ มาข่มขู่ไว้ก่อนหน้านี้ ตนเองไม่รู้จะไปพึ่งใคร จึงต้องรีบพากันมาแจ้งความ หวังว่าจะได้ซาเล้งขายกาแฟเลี้ยงชีพคืน นอกจากนี้ยังสร้างหวาดกลัว เพราะเกรงว่าจะได้รับอันตรายหากเจอกับแก๊งเงินกู้ จึงต้องเดินทางมาแจ้งความร้องทุกข์ไว้เป็นหลักฐานดังกล่าว


ภาพ/ข่าว  นิราช / นันทพล ทิพย์ศรี ก012 ชลบุรี

สุโขทัย - ผู้ว่าฯ สุโขทัย เยี่ยม Young Smart Farmer (เกษตรกรรุ่นใหม่) ทำเกษตรในพื้นที่จำกัดมีรายได้ทั้งปี

Young Smart Farmer (YSF) อำเภอเมืองสุโขทัย นำแนวคิดจากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ระหว่างเครือข่าย YSF สุโขทัย ปรับพื้นที่ 2 ไร่ กว่าๆ ทำเกษตรแบบผสมผสาน ใช้พื้นที่น้อย มีผลผลิตทั้งปี แถมมีรายได้อย่างต่อเนื่อง

นายวิรุฬ พรรณเทวี ผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย พร้อมด้วย นายเนตร สมบัติ เกษตรจังหวัดสุโขทัย และคณะลงพื้นที่อำเภอเมืองสุโขทัย เยี่ยมแปลงเกษตรผสมผสานของ นางสาวชรินทร สัพลักษณ์ รองประธาน Young Smart Farmer (เกษตรกรรุ่นใหม่) ของจังหวัดสุโขทัย ณ หมู่ที่ 6 ตำบลบ้านหลุม อำเภอเมืองสุโขทัย จังหวัดสุโขทัย ซึ่งเป็นจุดเรียนรู้ด้านเกษตรผสมผสาน ปลูกพืชหลากชนิด ทั้งพืชผัก ไม้ผล พืชหลักทีทำรายได้ คือ ผักหวานอินทรีย์ ขายทั้งยอดผักหวาน และเพาะเมล็ดขาย  แปลงผักกุ่ยช่าย ผลิตทั้งกุ่ยช่ายเขียว และกุ่ยช่ายขาว ทำแบบประณีต เพิ่มมูลค่าด้วยการบรรจุหีบห่อ เพื่อให้การขนส่งจากแหล่งผู้ผลิตไปให้ยังแหล่งผู้บริโภค หรือแหล่งที่ใช้ประโยชน์ คงสภาพตลอด ให้ปลอดภัย และรักษาคุณภาพให้ได้มากที่สุด ซึ่งกุ่ยช่ายขาว มีราคาขายที่สูงกว่า กุ่ยช่ายเขียวถึงหนึ่งเท่าตัว นอกจากนี้ยังมี ไม้ผล เช่น มะม่วง ส้มโอ มะละกอ ลิ้นจี่ เป็นต้น

นางสาวชรินทร สัพลักษณ์ เล่าว่ามีความสุขที่ได้เห็นผลผลิตในแปลงที่ตนเองได้ลงมือทำเอง  เริ่มต้นจากแนวคิดว่ามีที่ทำกินน้อยจะทำอย่างไรจึงจะพึ่งพาตนเองได้ และมีสุขภาพดี ครอบครัว มีความสุข จึงเริ่มจากปลูกในสิ่งที่ชอบ วางแผนการปลูกพืชให้มีกินตลอดทั้งปี โดยทำแบบพอเพียงก่อน ทำน้อยได้มาก ปลอดจากสารพิษ ( ไม่ใช้สารเคมี ) ปลูกพืชที่เป็นอาหารประจำวัน ถ้ามีเหลือกินจึงเอาไปขาย สิ่งสำคัญของการทำเกษตร คือ เรียนรู้จากธรรมชาติ ใช้ทรัพยากร ดิน น้ำ พืช อย่างมีคุณค่า โดยจะมีการปรับปรุง บำรุงดิน ฟื้นฟูและเสริมธาตุอาหารให้กับดิน  ใช้โซล่าเซลล์เป็นแหล่งพลังงานสะอาดในเรื่องน้ำให้พืชผัก การพักต้นพืชหลังจากให้ผลผลิตเต็มที่แล้ว คืนความอุดมสมบูรณ์ให้กับต้นพืช  เป็นการทำเกษตรแบบประณีต แบบพึ่งพิงธรรมชาติและคืนความสมบูรณ์กลับสู่ธรรมชาติ ให้ความสำคัญกับความใส่ใจใทรัพยากรธรรมชาติเป็นหลัก


ภาพ/ข่าว  พงศ์เทพ สาคร สุโขทัย

กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดเชียงราย จัดตั้งกองบังคับการสกัดกั้นแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองผิดกฎหมาย ที่อาคารออกหนังสือผ่านแดน อ.แม่สาย จังหวัดเชียงราย

เมื่อ 22 พ.ค.64 นายประจญ ปรัชญ์สกุล ผวจ.ชร./ผอ.รมน.จังหวัดเชียงราย เดินทางมาตรวจเยี่ยมกองบังคับการสกัดกั้นแรงงานต่างด้าวฯ พร้อมทั้งได้จัดประชุมเพื่อมอบนโยบาย ให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการสกัดกั้นการข้ามแดนโดยผิดกฎหมาย ณ ห้องประชุมที่ว่าการอำเภอแม่สาย โดยมี พ.อ.กิตติพล ไพรหิรัญ รอง ผอ.รมน.จังหวัด ช.ร.(ท.), พ.อ.พักตร์พงษ์ เงสันเที๊ยะ หน.กลุ่มงานนโยบายแผนและการข่าวฯ/หัวหน้าชุดประสานงานฯ , นายประสงค์ หล้าอ่อน นอ.แม่สาย, ท้องถิ่น/ท้องที่ ให้การต้อนรับและมีผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการประชุมประกอบด้วย

1) ที่ทำการปกครองจังหวัดเชียงราย

2) กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดเชียงราย

3) สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย

4) สำนักงานจัดหางานจังหวัดเชียงราย

5) หน่วยข่าวกรองทางทหาร กองกำลังผาเมือง

​​6) หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารม้าที่ 3 กองกำลังผาเมือง

​​​7) ด่านศุลกากรแม่สาย

​​​8) สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองแม่สาย

​​​9) ที่ทำการปกครองอำเภอแม่สาย

​​​10) สำนักงานสาธารณสุขอำเภอแม่สาย

​​​11) ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย

​​​12) สถานีตำรวจภูธรแม่สาย

​​​13) กองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 327 อำเภอแม่จัน

​​​14) หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง เขตเชียงราย

15) หน่วยประสานงานชายแดนไทย-เมียนมา เขตพื้นที่ 1

หลังจากนั้นได้เยี่ยมหน่วย ณ ที่ตั้ง บก.สกัดกั้นแรงงานต่างด้าวฯ ภายในอาคารออกหนังสือผ่านแดน อ.แม่สาย จว.ช.ร. พร้อมรับฟังบรรยายสรุป จาก กอ.รมน.จังหวัด ช.ร.

คืบหน้า หมูไทยไปไม่ถึงเวียตนาม เรือเกิดจมหมูตายเกลื่อน แรงงานกัมพูชาเก็บไปทำอาหารหลังเรือจม

คืบหน้ากรณีเรือขนสุกรส่งประเทศเวียตนาม เกิดล่มชายฝั่ง สุกรตายลอยเกลื่อนทะเล ต.หาดเล็ก อ.คลองใหญ่ จ.ตราด ตามข่าวที่เสนอไปแล้วนั้น บ่ายวันนี้ทั้งไต๋เรือ คนงาน ช่วยกันเก็บซากสุกรขึ้นเรือ เพื่อนำกลับไปประเทศกัมพูชา แต่จะส่งไปขายประเทศเวียตนามได้หรือไม่ ก็ต้องตรวจซากสุกรทั้งหมดอีกครั้ง โดยมีอาสาสมัครสมาคมสว่างบุญช่วยเหลือธรรมสถานตราดเขตอำเภอคลองใหญ่ นำโดยนายอาทิตย์ หนองแพ รองประธานเขตอาสาสมัครสมาคมสว่างบุญช่วยเหลือธรรมสถานตราดเขตคลองใหญ่พร้อมด้วยอาสาสมัครได้นําเรือตรวจการณ์มาช่วยอำนวยความสะดวกการเก็บซากสุกรดังกล่าวด้วย

ซึ่งการเก็บซากสุกร ไม่มีเจ้าหน้าที่ราชการมาตรวจสอบแต่อย่างไร มีเรือประมงขนาดเล็กของชาวบ้านนำเรือไปช่วยขนลำเลียงซากสุกรขึ้นฝั่ง เพื่อรอขนถ่ายลงเรือชาวกัมพูชา นำกลับไปประเทศกัมพูชา ซึ่งไต๋เรือขนสุกร ไม่เปิดเผยตัว โดยแหล่งข่าวรายหนึ่งเล่าให้ฟังว่า เมื่อช่วงเย็นของวันที่ 20 ที่ผ่านมา เรือบรรทุกสุกรของพ่อค้ากัมพูชา มาจอดเทียบท่าเรือ เพื่อรอสุกรฝั่งไทย เพื่อนำลงเรือข้ามไปยังฝั่งกัมพูชา หลังนำสุกรลงเรือเรียบร้อย เรือก็ออกจากท่าไปได้ไม่ไกล เรือเกิดล่ม ทำให้สุกรจำนวน 200 ตัว ที่อยูใต้ท้องเรือ และถูกขังอยู่ในกรงเหล็ก จมน้ำตายเกลื่อนทะเล โดยแหล่งข่าวเปิดเผยว่าเรือที่จมน่าจะเกิดจากการบรรทุกสุกรเกินน้ำหนัก โดยเรือที่บรรทุกมีความยาวประมาณ 5 วา กว่า ซึ่งอาจจะเป็นสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุในครั้งนี้ สำหรับสุกรทั้งหมดอยู่ระหว่างนำส่งลูกค้าที่ประเทศเวียตนาม เรือเกิดพลิกตะแคง น้ำเข้าเรือจนและสุกรตายเกือบหมด เหลือที่รอดตายเพียง 1 ตัวเท่านั้น

ผู้ดูแลการขนส่งสุกรชาวกัมพูชา บอกว่าสุกรทั้งหมด จะต้องนำไปไว้ที่กัมพูชาเสียก่อน ต้องตรวจสอบอีกครั้งว่าจะนำส่งไปประเทศเวียตนามได้ไหมจะยังใช้บริโภคได้ไหม อาจจะต้องนำไปทิ้งหรือนำไปทำอย่างอื่นในกัมพูชา เพราะจ่ายเงินไปเรียบร้อยแล้ว สำหรับเรือที่จมอยู่ ต้องรอทีมงานกู้เรือ มาทำการกู้เรืออีกครั้ง ขณะเดียวกันชาวบ้านใกล้ที่เกิดเหตุเล่าว่าช่วงค่ำที่ผ่านมา แรงงานกัมพูชาหลายคนที่มาทำงานอยู่บ้านคลองสน พากันไปเก็บซากสุกรที่จมน้ำ ไปทำอาหารกินกัน ล่าสุดพบสุกรตายทั้งหมด 199 ตัว ซึ่งผู้ดูแลบอกว่าไม่เอาเรื่องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ที่เหลือจะนำกลับไปประเทศกัมพูชาต่อไป


ภาพ/ข่าว วิเชียร ม่วงสี ผู้สื่อข่าว จ.ตราด

นายพรเทพ เขม้นเขตวิทย์ รายงานจากศูนย์ข่าวภาคตะวันออก

‘แก้ม ปุณิกา’ หรือ PUKACHEEK การโชว์ลีลาพลิ้วไหวบนเซิร์ฟสเกต | LOCK LENS GURU EP.21

???? GURU : คุณแก้ม ปุณิกา เกษมจิตต์ ดีเจ และนักเซิร์ฟสเกต

▶️ หัวข้อ : รู้จัก ‘แก้ม ปุณิกา’ หรือ PUKACHEEK จากดีเจสาวสวยสุดคูล สู่การโชว์ลีลาพลิ้วไหวบนเซิร์ฟสเกต

อ่านคอลัมน์เพิ่มเติม : https://thestatestimes.com/post/2021040410

???? ดำเนินรายการโดย เจ THE STATES TIMES

.

.

แนะนำสิ่งที่พ่อแม่ควรทำ เพื่อส่งเสริมความถนัดและความสนใจของลูก ช่วยลูกค้นหาความถนัดของตัวเอง

พ่อแม่ส่วนใหญ่ในบ้านเมืองเรามักคาดหวังกับการเรียนของลูกเป็นอย่างมาก ต่างตะบี้ตะบันส่งลูกไปเรียนกวดวิชา เพื่อหวังให้ลูกเรียนเก่ง ได้เกรดเฉลี่ยดีๆ และพุ่งเป้าไปสู่การสอบเข้าคณะดังๆ ในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง

เด็กบางคนต้องแบกความคาดหวังของพ่อแม่ในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยคณะนั้นคณะนี้ให้ได้ บางคนถึงขนาดต้องแบกทั้งชีวิตเพียงเพื่อตอบสนองความต้องการของพ่อแม่ ! 

สังคมไทยอยู่กับค่านิยมและทัศนคติเรื่องเกรดเฉลี่ย หรือ ผลการเรียนมาโดยตลอด และเมื่อเด็กเกรดเฉลี่ยเรียนดี ค่านิยมของสังคมแกมขอร้องหรือบังคับ เพื่อให้เด็กเลือกสายวิทย์คณิตเท่านั้น

ยังมีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้ไหม? ที่เปิดกว้างและให้โอกาสลูกได้เดินตามความถนัดหรือในสิ่งที่ลูกชอบ

ผู้เขียนเองมองว่า ในเรื่องการส่งเสริมความถนัดและความสนใจของลูก เป็นหน้าที่ของพ่อแม่ที่สามารถช่วยลูกให้ค้นหาความถนัดของตัวเองได้ ขอแนะนำสิ่งที่พ่อแม่ควรทำ

1. เป็นโค้ชที่ดีให้กับลูก
พ่อแม่ควรทำหน้าที่คอยสังเกตและสนับสนุนในสิ่งที่ลูกถนัดและทำได้ดี รวมไปถึงควรชื่นชมเมื่อลูกทำเรื่องที่ดี และให้กำลังใจทุกครั้งที่ลูกทำสิ่งใดได้ดีเป็นพิเศษ พร้อมพูดกระตุ้นให้ลูกทำดียิ่งๆ ขึ้นไป จะทำให้ลูกเกิดความมั่นใจ และความพยายามที่จะทำสิ่งที่ตัวเองชอบและทำได้ดี

2. เป็นผู้รับฟังที่ดี 
อย่าตัดสินใจแทนลูก การพูดว่า พ่อแม่อาบน้ำร้อนมาก่อน เป็นการปิดกั้นทางความคิด ทั้งๆ ที่เด็กทุกคนและทุกวัยต้องการให้พ่อแม่รับฟังเขา ยิ่งลูกเติบโตมากเท่าไหร่ พ่อแม่ยิ่งต้องพูดน้อยลงและรับฟังลูกมากขึ้น การรับฟังอย่างตั้งใจ โดยพ่อแม่ทำหน้าที่ตั้งคำถาม ให้ลูกได้แสดงความคิดเห็นส่วนตัวออกมาให้ได้ เพื่อที่พ่อแม่จะได้รับรู้ และช่วยเกลาความคิดให้ลูกไปพร้อมๆ กัน


 

3. การเปิดโอกาสให้ลูกได้ลองทำในสิ่งที่เขาชอบ 
ให้เขาได้ค้นหาตัวตน ให้เขาได้ลองทำในสิ่งใหม่ เพราะโอกาสคือสิ่งสำคัญที่จะทำให้เด็กได้เรียนรู้ และเป็นการเปิดโลกทัศน์ให้กับพวกเขา เป็นที่น่าเสียดาย ที่ผ่านมาเด็กเก่งหลายคนไม่ได้รับโอกาสแสดงศักยภาพที่มี

4. ให้ลงมือทำ 
หาเวทีให้ลูกลงมือทำให้เหมาะสม เพราะการลงมือปฏิบัติจริง เขาจะได้ทักษะในการคิด วิเคราะห์ การแก้ปัญหา ในขั้นตอนนี้ให้พ่อแม่คอยสังเกต การคิดวิเคราะห์และวุฒิภาวะทางอารมณ์ จะได้ประเมินลูกได้อย่างถูกต้อง ส่วนใหญ่แล้วพ่อแม่จะแปลกใจว่า พอลูกมาทำกิจกรรมนอกบ้านทำไมลูกดูเป็นผู้ใหญ่กว่าที่คิด

5. เข้าใจและยอมรับ 
เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ ไม่ว่าลูกจะเป็นอย่างไร ถนัดเรื่องไหน อาจจะตรงใจหรือไม่ตรงความคาดหวังของพ่อแม่ก็ตาม พ่อแม่ควรยอมรับ และเข้าใจลูกอย่างลึกซึ้ง 

สุดท้าย ทุกสิ่งทุกอย่างที่พ่อแม่ทำ เพื่อให้ลูกประสบความสำเร็จและมีความสุขในอาชีพที่เขารัก และสามารถตอบสนองได้ทั้งการเลี้ยงชีพและจิตวิญญาณ จุดนั้นถ้าทำได้ ถือเป็นความสำเร็จในชีวิตมนุษย์

เขียนโดย อ.นิธิมา กุญชร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาบุคลากร โปรเฟสชั่นนอล เทรนเนอร์
#Talktonitima


อ้างอิงข้อมูล  

https://mgronline.com/qol/detail/9620000028682
https://www.parentsone.com/how-to-help-child-for-find-talent/

Top 5 ผู้นำ ที่อยู่ในตำแหน่ง ‘ยาวนาน’

เอ่ยคำว่า ‘ผู้นำ’ ผู้คนมักจะเห็นแต่ภาพผู้นำการเมือง หรือผู้นำประเทศ แต่โลกนี้มี ‘ผู้นำ’ มากมายหลายแขนง และที่น่าสนใจไปกว่านั้น คือ ผู้นำที่อยู่ในตำแหน่ง ‘ยาวนาน’ 

THE STATES TIMES จึงขอหยิบยกเหล่า ‘ผู้นำ’ จากหลากหลายด้าน ที่มีความน่าสนใจ และดำรงตำแหน่งมาอย่างยาวนาน มาบอกเล่ากัน

‘5 ผู้นำในตำนาน’ ที่ดำรงตำแหน่งมาอย่างยาวนาน

ปอล บิยา (Paul Biya) : เป็นผู้นำประเทศแคเมอรูน ที่ได้ชื่อว่า ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดในโลก ด้วยระยะเวลา 46 ปี นายปอล บิยา ก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีประเทศแคเมอรูน ในช่วงระหว่างปี ค.ศ.1975-1982 และต่อจากนั้น จึงขึ้นมารับตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งแคเมอรูน ตั้งแต่วันที่ 6 พฤศจิกายน ค.ศ.1982 จนถึงปัจจุบัน 

บียาถือเป็นผู้นำที่มีชื่อเสียงของประเทศแคมเมอรูน ในช่วงต้นทศวรรษที่ 90 เขาได้เข้ามาปฏิรูปการเมืองของประเทศแคเมอรูน จากระบบพรรคการเมืองเดียว มาเป็นระบบหลายพรรค ตลอดเส้นทางการเมือง เขาสามารถเอาชนะการเลือกตั้งมาโดยตลอด ทั้งแบบคะแนนท่วมท้น ฉิวเฉียด หรือแม้กระทั่งเคยถูกกล่าวหาว่าโกงการเลือกตั้ง ปัจจุบันบียายังคงเป็นผู้นำแคเมอรูน ในวัย 88 ปี

จอมพลแปลก พิบูลสงคราม : เป็นผู้นำทางการเมืองไทยที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดถึง 15 ปี 25 วัน โดยจอมพลแปลก หรือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม นั่งเก้าอี้นายกฯ เมืองไทย 8 สมัย ระหว่างปี พ.ศ.2481-2487 และปี พ.ศ.2491-2500 

จอมพล ป. พิบูลสงคราม ถือเป็นผู้นำที่มีบทบาทต่อประเทศ และสร้างความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ อยู่มากมาย อาทิ การเปลี่ยนชื่อประเทศ จาก ‘ประเทศสยาม’ มาเป็น ‘ประเทศไทย’ เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่ มาใช้เป็นวันที่ 1 มกราคม ตามสากล หรือเปลี่ยนเพลงชาติไทยแบบเก่า ให้มาเป็นเพลงที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน รวมทั้งคำทักทาย ‘สวัสดี’ ก็เกิดในยุคสมัยของนายกรัฐมนตรีคนนี้ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ยังมีวาทะในตำนาน ที่สะท้อนถึงความเป็นผู้นำตลอดกาลได้เป็นอย่างดี นั่นคือ ประโยคที่ว่า ‘เชื่อผู้นำ ชาติพ้นภัย’ 

มาร์กาเรต แทตเชอร์ : หากจะหาผู้นำที่เป็นสุภาพสตรี ที่อยู่ในตำแหน่งยาวนาน และเป็นที่จดจำมากที่สุด คงต้องยกให้กับ นางมาร์กาเรต แทตเชอร์ อดีตนายกรัฐมนตรีของอังกฤษ โดยเธอขึ้นดำรงตำแหน่งเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม ค.ศ.1979 ถึงวันที่ 28 พฤศจิกายน ค.ศ.1990 รวมระยะเวลาทั้งสิ้น 11 ปี 24 วัน

มาร์กาเรต แทตเชอร์ ได้ชื่อว่าเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของยุโรปและคนแรกของอังกฤษ และเป็นผู้นำทางการเมืองที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดคนหนึ่งของอังกฤษ นับตั้งแต่ยุคของวินสตัน เชอร์ชิล (Winston Churchill) ตลอดระยะเวลาของการเป็นผู้นำ แทตเชอร์มีผลงานที่โดดเด่น พอ ๆ กับการมีช่วงเวลาที่ต้องประสบกับมรสุมทางการเมืองมากมาย จนได้รับฉายาว่า ‘หญิงเหล็ก’ แห่งวงการเมืองโลก

สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร : ประเทศไทยมี ‘ผู้นำสงฆ์’ ที่ทรงดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุด นั่นคือ สมเด็จพระสังฆราช กรมหลวงวชิรญาณสังวร หรือ สมเด็จพระญาณสังวร พระสังฆราชองค์ที่ 19 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยทรงเริ่มต้นดำรงตำแหน่งเมื่อวันที่ 21 เมษายน พ.ศ.2532 จนถึงวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ.2556 รวมเวลาทั้งสิ้น 24 ปี 186 วัน

สมเด็จพระญาณสังวร ทรงมีพระกรณียกิจมากมาย ตลอดจนทำนุบำรุงพุทธศาสนาในประเทศไทยให้มีความเป็นปึกแผ่น น่าเลื่อมใส จนมีผู้คนให้ความเคารพศรัทธาทั่วทั้งประเทศ พระองค์ถือเป็นสมเด็จพระสังฆราชที่มีพระชันษามากกว่าสมเด็จพระสังฆราชทุกพระองค์ในอดีต และยังเป็นพระสังฆราชพระองค์แรกของไทยที่มีพระชันษา 100 ปี โดยสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ.2556 ด้วยพระอาการติดเชื้อในกระแสพระโลหิต

เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน : ในโลกกีฬาก็มี ‘ผู้นำ’ โดยเฉพาะผู้นำสโมสรฟุตบอลในอังกฤษ ที่ได้ชื่อว่า ดำรงตำแหน่งมายาวนานที่สุด นั่นคือ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เขาเป็นผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มาตั้งแต่เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน ค.ศ.1986 จนถึงวันที่ 19 พฤษภาคม ค.ศ.2013 กินระยะเวลาทั้งสิ้นกว่า 27 ปี

เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน หรือ เฟอร์กี้ ทำผลงานพาทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้าถ้วยรางวัลต่าง ๆ กว่า 38 รายการ โดยเป็นการคว้าแชมป์รายการใหญ่อย่างพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ถึง 13 ครั้ง และแชมป์ฟุตบอลยุโรปถึง 2 ครั้ง สไตล์การทำงานของอดีตผู้จัดการทีมคนนี้ คือการสู้ไม่ถอยจนถึงวินาทีสุดท้าย จนทำให้ทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กลายเป็นทีมที่ภาพลักษณ์ของการเป็นนักสู้มาจนถึงทุกวันนี้

หยิบยก ‘ผู้นำ’ ทั้ง 5 มาบอกเล่ากัน ยังมีผู้นำอีกมากมายในโลกนี้ที่เต็มไปด้วยความสามารถ และมีชื่อเสียง แต่ทั้ง 5 ท่านเหล่านี้ คือตัวแทนของความเป็นผู้นำที่เต็มไปด้วยศรัทธา จนกลายเป็นตำนานที่ผู้คนยังกล่าวขวัญถึงอยู่เสมอ


ที่มา : https://th.wikipedia.org/wiki/แปลก_พิบูลสงคราม

https://www.gqthailand.com/culture/article/longest-non-royal-national-leaders

https://th.wikipedia.org/wiki/มาร์กาเรต_แทตเชอร์

https://www.silpa-mag.com/this-day-in-history/article_1160

https://th.wikipedia.org/wiki/สมเด็จพระสังฆราชเจ้า_กรมหลวงวชิรญาณสังวร

https://th.wikipedia.org/wiki/อเล็กซ์_เฟอร์กูสัน

5 ผู้นำที่แอบทำให้ ‘ฉัน’ อยากลอง ‘ตามติด’

คุณเป็นผู้นำที่ควรเดินตามหรือเปล่า?  

การเป็น ‘ผู้นำ’ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับชื่อ ตำแหน่ง ที่อาจมีประดับไว้บนนามบัตร เพราะสิ่งเหล่านั้นอาจยังไม่ได้สะท้อนถึง ความเป็นผู้นำที่ครบถ้วนทั้งหมด

วันนี้ The States Times ขอยกตัวอย่าง 5 สุดยอดผู้นำ ที่ประกอบร่างคุณสมบัติของความเป็นผู้นำเข้าด้วยกัน จากคนธรรมดา กลายเป็นคนที่ประสบความสำเร็จบนทางเดินของตนเอง จนเราเองก็อยากเดินตามหลังพวกเขาเหล่านี้ !! 

1.) โกโก ชาแนล (Coco Chanel) ผู้นำความสำเร็จ กุญแจที่เป็นหัวใจสำคัญของ ‘นักสู้’ 

ในอดีต โกโก ชาแนล เคยเป็นเด็กที่ถูกครอบครัวทอดทิ้งให้อยู่ในบ้านเด็กกำพร้า ถูกเลี้ยงโดยแม่ชี ซึ่งหวังจะให้เธอเป็นช่างตัดเย็บ แต่ด้วยความใฝ่ฝันของเธอ จึงมุ่งหน้าสู่การเป็นนักร้องคาบาเร่ต์ แต่ใครจะรู้ว่านั่นแหละ ที่เป็นจุดเริ่มต้นของแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จระดับโลกอย่าง ‘Chanel’ 

มาดูกันว่าเธอมีแนวคิดอย่างไร ที่ทำให้กลายเป็นเจ้าของแบรนด์แฟชั่นสุดหรูที่ถือกำเนิดมาแล้วมากกว่า 100 ปี

- กล้าที่จะเดินตามความฝัน เธอเดินทางจากบ้านเด็กกำพร้าสู่เมืองมูแล็ง ออกไล่ตามความฝันของตัวเอง เพื่อเป็นนักร้องคาบาเร่ต์ แม้ว่าเธอจะไม่ประสบความสำเร็จในการเป็นนักร้อง แต่การล้มเหลวครั้งนี้ ก็ทำให้เธอได้พบกับนายทุนคนหนึ่ง ที่สนับสนุนให้เธอเปิดร้านขายเสื้อผ้าของตัวเองในปารีส จนนำมาซึ่งโอกาสที่ทำให้ได้เปิดร้านขายเสื้อผ้า อันเป็นจุดเริ่มต้นของแบรนด์ Chanel 

- เชื่อมั่นในตัวเอง เธอเป็นคนที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง กลายเป็นข้อดีที่ทำให้คนอื่นเชื่อในสิ่งที่เธอทำ เมื่อเธอนำเสนอชุดสูทที่ทำจากผ้ายืด มีแต่คนวิจารณ์งานของเธอในแง่ลบ แต่เธอเชื่อว่าเสื้อผ้าจะต้องใส่สบาย และรับกับสรีระของคนได้ดีมาตัดเย็บ ซึ่งเธอเคยพูดไว้ว่า “ความหรูหราสง่างาม จะต้องมาพร้อมกับการสวมใส่ที่สบาย” เสื้อผ้าของเธอได้รับการตอบรับอย่างดีในภายหลัง แสดงให้เห็นถึงการยึดมั่นในความคิด ถึงแม้จะต้องเสี่ยงหรือแหกกฎเกณฑ์ของสังคมบ้างก็ตาม 

- มีความคิดสร้างสรรค์ รู้จักเอาปัญหาหรือสิ่งต่าง ๆ รอบตัวมาประยุกต์ใช้ แฟชั่นหลายอย่างที่สร้างขึ้นนั้นมาจากการหยิบเอาสิ่งที่เห็นรอบตัวมาปรับ เช่น เสื้อผ้าของชายคนรัก นำมาประยุกต์เป็นชุดของผู้หญิงที่ทะมัดทะแมง และในสมัยนั้นกระเป๋าผู้หญิงยังไม่มีสายสะพาย ต้องถือไว้ตลอดเวลา ทำให้เกิดแรงบันดาลใจที่จะออกแบบ เพื่อเพิ่มความสะดวก ซึ่งกลายเป็นจุดเริ่มต้นของกระเป๋าผู้หญิงที่มีสายสะพายมาจนถึงปัจจุบัน

2.) ผู้พันแซนเดอส์ / ฮาร์แลนด์ ดี แซนเดอร์ส (Colonel Harland David Sanders) ผู้นำที่ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรค แม้ล้มเหลวมาเกือบทั้งชีวิต

ช่วงเวลากว่า 75 ปีที่ KFC เป็นหนึ่งในแบรนด์อาหารจานด่วนที่โด่งดัง และเติบโตเร็วที่สุดในโลก ถือกำเนิดโดย ‘ฮาร์แลนด์ แซนเดอร์ส’ หรือที่ทุกคนรู้จักกันในนาม ‘ผู้พันแซนเดอร์ส’ ชายผู้มีหนวดเครา/ผมสีขาว ท่าทางใจดี มาพร้อมเอกลักษณ์สวมสูทสีขาว ซึ่งเบื้องหลังความสำเร็จและกว่าจะมาเป็น KFC นั้น เขาต้องฝ่าฝันอุปสรรค และล้มเหลวมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็สะสมความล้มเหลวมาผสมผสานกับแนวคิดและมุมมองการตลาดที่ลับจนแหลมคมขึ้นเรื่อย ๆ 

- ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ผู้พันแซนเดอร์สนั้นให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือผู้อื่นเสมอ และไม่ได้มองว่า ‘เงินคือสิ่งที่สำคัญที่สุด’ ในการดำเนินธุรกิจ แต่เขามองว่าการช่วยเหลือผู้คนต่างหากที่เป็นสิ่งสำคัญ

- ความเท่าเทียม ผู้พันแซนเดอร์สปฏิบัติกับทุกคนเสมือนคนในครอบครัวไม่ว่าจะเป็นพนักงานหรือลูกค้า โดยผู้พันเคยกล่าวไว้ว่า “สำหรับผมไม่ว่าจะเป็นเศรษฐีพันล้าน หรือคนขับรถบรรทุก แต่เมื่อพวกเขานั่งลงบนโต๊ะเดียวกันแล้ว พวกเขาก็คือคนที่อยากกินอาหารดี ๆ สักมื้อ” และไม่ว่าใครที่ต้องการจะรับประทานไก่ทอดของเขา นั่นก็คือ คนที่ต้องการรับประทานอะไรดี ๆ เหมือนกัน

- การควบคุมคุณภาพเป็นสิ่งสำคัญ ผู้พันแซนเดอร์สเชื่อมั่นในรสชาติ และคุณภาพของไก่ทอดของตัวเองว่า ดีที่สุด และอยากจะแบ่งปันสิ่งที่ดีที่สุดให้กับคนรอบข้างอยู่เสมอ ดังนั้นการควบคุมคุณภาพจึงถือเป็นหลักในการทำธุรกิจที่เขายึดถือมาตลอด

- จิตวิญญาณนักสู้ ไม่ว่าจะเจอปัญหาและอุปสรรคสักเท่าไหร่ แต่ผู้พันแซนเดอร์สไม่คอยยอมแพ้ และยังพยายามสู้ต่อเพื่อความสำเร็จอยู่เสมอ เช่นเดียวกับธุรกิจของเขาที่ไม่ว่าจะต้องเจอปฏิเสธกี่ครั้ง สุดท้ายก็พยายามจนประสบความสำเร็จในที่สุด

3.) อีลอน มัสก์ ผู้นำอัจฉริยะ ด้านนวัตกรรมของโลก

มหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลก ผู้ก่อตั้ง Tesla และ SpaceX ที่เปลี่ยนโลกด้วยเทคโนโลยียุคใหม่ ผลักดันจนโลกต้องเอนเอียงมาใส่ใจรถยนต์ไฟฟ้า และจุดประกายความหวังของการเดินทางสู่ห้วงอวกาศของมนุษย์ จนมักถูกเรียกเทียบว่าเป็นไอร่อนแมนแห่งโลกความจริง ว่าแต่ภายใต้รอยหยักในสมองเขา มีแนวคิดใดที่ผลักให้เขากลายเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมในยุคนี้ แถมยังเป็นมหาเศรษฐีได้ตั้งแต่วัย 23 ปี

ความสำเร็จสร้างขึ้นเองได้ เขามักจะบอกว่า “ความสำเร็จไม่มีวันมาได้มาง่าย ๆ หากไม่ลงมือทำ” ทุกอย่างต้องสำเร็จหากมีการลงมือทำ

- กล้าที่จะเสี่ยง เพราะหากสำเร็จแล้วมันต้องคุ้มค่า เขาจะมีมุมมองความคิดที่กว้างไกล และกล้าที่จะกำหนดเป้าหมายที่คาดว่าจะสำเร็จในอนาคต แม้หลายคนจะบอกว่ามันคงไม่มีทางเกิดขึ้นได้ แต่มัสก์กล้าที่จะเสี่ยงในสิ่งที่เขาคิดว่าหากมันสำเร็จแล้วต้องคุ้มค่า 

- ต้องไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรค เขามีความมุ่งมั่นต่อแนวคิด และโครงการที่จะทำทุกครั้ง ทำให้เขาไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคต่าง ๆ แม้ในอดีตที่ผ่านมา การทดสอบจรวดไปสู่อวกาศของเขาประสบความล้มเหลวหลายครั้ง แต่เขาไม่ยอมแพ้และยังคงทำสิ่งที่ผิดพลาดให้กลับมาสำเร็จอีกครั้ง

- ต้องรักในสิ่งที่ตัวเองทำ เพราะหากไม่รัก ก็คงจะไม่มีความสุขและไม่มีใจที่อยากจะทำ แต่ถ้ารักในสิ่งที่ตัวเองทำ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องคอยคิดถึงสิ่งนั้นอยู่ตลอดเวลา และต้องไม่รู้สึกว่าเป็นภาระ ให้คิดว่าเหมือนกับเป็นงานอดิเรกที่ทำเท่าไรก็ไม่มีทางเบื่อ

- ความล้มเหลวเป็นเหมือนตัวเลือก “ความล้มเหลวถือเป็นหนึ่งในตัวเลือก หากคุณยังไม่เคยพลาด นั้นอาจแปลว่าคุณยังไม่เคยที่จะริเริ่มสร้างสิ่งใหม่ ๆ” เขาจึงมักพยายามหาสิ่งใหม่ๆ เพื่อต่อยอดให้สำเร็จ 

- ทุกวินาทีมีค่าเสมอ มัสก์เองก็ถือว่าเป็นหนอนหนังสือตัวยง เขาอ่านหนังสือมากพอ ๆ กับที่คนอื่น ๆ ชอบดูทีวี ในหนึ่งวันทุกคนต่างก็มี 24 ชั่วโมงเท่ากัน ซึ่งคุณไม่สามารถขอเวลาเพิ่มได้แม้แต่วินาทีเดียว ตัวเขาต้องการใช้เวลาทุกวินาทีให้เกิดประโยชน์เพื่อเรียนรู้ ซึ่งจะนำไปสู่การต่อยอดสิ่งใหม่ ๆ เสมอ

4.) โดราเอม่อน (Doraemon) ผู้นำมุมมอง ความเข้าใจ และยอมรับจุดอ่อนของผู้ตาม 

เชื่อได้ว่าในช่วงหนึ่งของวัยหลาย ๆ คน น่าจะเคยได้ดูการ์ตูนยอดนิยมและเป็นอมตะ อย่าง “โดราเอม่อน” ซึ่งนอกจากความมหัศจรรย์ของกระเป๋าสารพัดไอเทมวิเศษแล้ว อีกมุมหนึ่ง โดราเอม่อน ถือเป็นตัวละครที่สะท้อนให้เห็นถึงแบบอย่างของ “ผู้นำ” ในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างมาก โดยมีตาแว่นโนบิตะเป็นผู้เดินตามประจำ มาลองดูกันว่าวิถีของการเป็นผู้นำในแบบโดราเอม่อนเป็นอย่างไร

- ความมุ่งมั่นในการทำงาน ก่อนที่โดราเอม่อนจะถูกส่งมาช่วยโนบิตะนั้น โดราเอม่อนรู้แล้วว่าความไม่เอาไหนของโนบิตะเป็นอย่างไร แต่ว่าโดราเอม่อนเองแสดงความมุ่งมั่น ในการที่จะทำงานนี้ให้สำเร็จ ซึ่งถ้าเราดูจากแต่ละตอน โนบิตะจะนำปัญหาไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กเรื่องใหญ่มาปรึกษาโดราเอม่อนเสมอ แม้บางครั้งโดราเอม่อนจะท้อแท้บ้าง แต่ก็ไม่มีตอนไหนเลยที่แสดงให้เห็นความละเลยต่อการทำงานของตน และนั่นก็ทำให้โดราเอม่อนกลายเป็นส่วนสำคัญต่อความฝันของผู้ตามอย่างโนบิตะ ที่ต้องการจะเปลี่ยนแปลงอนาคตของตัวเองจากคนไม่เอาไหนให้ได้สำเร็จตามที่ฝันไว้

- เข้าใจและยอมรับจุดอ่อนของผู้ตาม โนบิตะเปรียบเสมือนคนที่ขี้แพ้ทำอะไรก็ไม่ได้เรื่อง แต่โดราเอม่อนก็มักจะทำความเข้าใจถึงความสามารถของโนบิตะที่น้อยนิด และพร้อมรับในจุดอ่อนต่าง ๆ ของโนบิตะด้วยความเต็มใจ จากนั้นก็คอยช่วยวางแผนเพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ให้ล่วงหน้า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเพราะโดราเอม่อนเองก็เชื่อว่าบนความไม่เอาไหนของโนบิตะ ก็ซ่อนมุมมองของความตั้งใจอยู่ เช่น การมีจิตใจมุ่งมั่นที่จะทำสิ่งต่าง ๆ และหาทางแก้ไขปัญหา แม้ว่าบางครั้งวิธีการแก้ไขปัญหาอาจดูไม่เหมาะสมก็ตาม ทำให้โดราเอม่อนเต็มใจช่วยเหลือโนบิตะเป็นอย่างดี

5.) เราทุกคน คือ ผู้นำ!! 

สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ความเป็นผู้นำของตัวเราเอง เราทุกคนสามารถที่จะเป็นผู้นำได้ดี เพราะเชื่อว่าภาวะผู้นำมีอยู่ภายในตัวเราทุกคน หากมีการเรียนรู้ ฝึกหัด และอบรมอย่างสม่ำเสมอ ก็ไม่ยากที่จะกระตุ้นภาวะผู้นำในตัวบุคคลออกมาได้ มาดูกันว่าคุณลักษณะใดบ้างที่เราควรหันมาพัฒนาเพื่อก้าวสู่การเป็น “ผู้นำ” บ้าง 

- มีความเชื่อมั่นในตัวเอง หากไม่เชื่อมั่นว่าจะทำได้ เราไม่มีวันที่จะทำได้ ดังนั้นความเชื่อมั่นในตัวเอง ต้องมาเป็นอันดับ 1 ก่อนการลงมือทำ ถ้าเราไม่เชื่อมั่นในตัวเองใครจะมาเชื่อมั่นในตัวเรา!! เพราะฉะนั้น...ทัศนคติเชิงบวกจะช่วยให้เราเชื่อมั่นในศักยภาพของเรามากขึ้น โดยเราต้องบอกตัวเองอยู่เสมอว่า “เราทำได้!” แล้วเราก็จะทำสำเร็จได้

- รับฟังผู้อื่นอย่างจริงใจ การรับฟังเป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับผู้นำ เพราะการรับฟังทำให้เข้าใจผู้อื่น เมื่อหากเราต้องการนำใครแล้ว เราควรเข้าใจในความต้องการของเขา เมื่อผู้นำรับฟังผู้อื่นมากขึ้น ผู้อื่นก็จะรับฟังผู้นำอย่างเต็มใจ เมื่อเราพูด เราจะรู้เท่าที่เราพูด แต่เมื่อเราฟัง เราจะรู้ในสิ่งที่เราไม่รู้

- เผชิญหน้าท้าอุปสรรคแบบปิดทองหลังพระ บทพิสูจน์ผู้นำที่แท้จริง คือ การเผชิญกับปัญหาแล้วสามารถแก้ไขได้อย่างสร้างสรรค์ ไม่ถอยหนีแม้ว่าจะเจออุปสรรคแค่ไหนก็ตาม ผู้นำมักจะอยู่ด้านหลัง เวลางานนั้นได้ผลสำเร็จตามเป้าหมาย แต่ผู้นำจะออกมายืนแถวหน้าทันที เมื่องานนั้นพบกับปัญหา และแก้ไขปัญหานั้นจนสำเร็จได้

- ความเป็นผู้รับผิดชอบอย่างแท้จริง ผู้นำจะรับทั้ง ผิด และ ชอบ ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไรก็ตาม คนที่มีความรับผิดชอบ จะทำให้การปฏิบัติงานไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ และช่วยให้การทำงานสามารถบรรลุเป้าหมายได้อย่างดี

จริง ๆ แล้วการเป็นผู้นำที่ดี คงต้องบอกว่าไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ถ้าลองวิเคราะห์จากบรรดาผู้นำที่ยกตัวอย่างมาข้างต้น รวมถึงถ้าคุณได้เจอคนที่คุณกล้าเรียกเขาว่าผู้นำด้วยแล้ว จะพบสิ่งหนึ่งที่คล้ายคลึงกัน คือ ‘พลังด้านบวก’ ที่ปล่อยออกมากระแทกกายและสัมผัสไปถึงข้างในใจ 

พลังที่พร้อมจะผลักให้เรากล้าเผชิญหน้ากับทุกความท้าทาย โดยมีเขาประคองอยู่ข้างหลัง และกระซิบเบา ๆ ให้เราเคลื่อนตัวได้แบบท้อถอย 

พลังแห่งความคิดสร้างสรรค์ ที่ไม่ถูกปิดกั้น เมื่อเราอยากออกความคิดเห็น แต่ถ้าฟุ้งเตลิด เขาจะช่วยตบให้มันเข้ากรอบ และปล่อยให้เราบันเทิงกับมันต่อ

พลังแห่งการโอบอุ้ม เมื่อเรารู้สึกท้อแท้และหมดกำลังใจ ทำไมแค่คำพูดไม่กี่คำ ที่อาจจะมีทั้งหวานฉ่ำ หรือเข้มปนดุ กลับสร้างแรงกระตุ้นและฮึดกับอุปสรรคตรงไหนได้แบบไม่รู้ตัว

นั่นแหละ ‘ผู้นำ’ ที่มีตัวตน 


ข้อมูลอ้างอิง : https://www.tpa.or.th/publisher/pdfFileDownloadS/FQ146_p45-47.pdf

https://blog.jobthai.com/inspiration

https://www.marketingoops.com/exclusive/business-case/kentucky-fried-chicken/

https://www.maruey.com/article/contentinjournal/689

New Normal New Skill ทักษะแบบนี้สิ ที่ ‘ผู้นำ’ ยุคนี้ควรต้องมี!!

สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่อยู่กับเรามานานมากกว่า 1 ปี ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง (กว้างมว้ากกกก) และทุก ๆ ประเทศทั่วโลกต่างก็เจอชะตากรรมสุดย่ำแย่ไม่ต่างกัน 

ทุกประเทศประสบปัญหาจากการติดเชื้อและมีผู้เสียชีวิตสูง กระทบไปสู่วิถีการใช้ชีวิตบางอย่างที่เคยคุ้น จนต้องปรับตัวอย่างรุนแรง ไม่ว่าจะด้านเศรษฐกิจ การค้าขาย การทำงาน การศึกษา และอื่น ๆ

อย่างไรก็ตามพฤติกรรมที่ต้องเปลี่ยน ทำให้เกิด ‘นวัตกรรมสุดด่วน’ เพื่อกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการเข้ามาชดเชยความเปลี่ยนแปลงในการใช้ชีวิตบางอย่างให้ทัน ใต้บริบทที่เรียกว่า New Normal หรือวิถีชีวิตแบบใหม่ จากเรื่องใหม่ ตัวแปรใหม่ ที่ต้องทำ ต้องใช้ และต้องอยู่กับมันให้กลายเป็นเรื่องปกติ

พูดถึง New Normal นอกจากจะสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ต่อวิถีชีวิตของมนุษย์แล้ว ยังส่งผลกระทบต่อหลายองค์กรธุรกิจ ที่ต้องปรับตัวเองเพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมรวมของมนุษย์โลกไปในตัว

หนึ่งในสิ่งที่เริ่มเห็นชัดไม่แพ้กัน คือ ‘ผู้นำ’ ในยุค New Normal ต้องเริ่มปรับตัว เพิ่มทักษะ (Skill) ใหม่ ๆ เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลง และนำพาองค์กรอยู่รอดต่อไปได้ในสังคม โดยหลัก ๆ ตอนนี้มี 3 ทักษะเร่งด่วนที่ผู้นำยุค New Normal ต้องมีไว้เพื่ออัพเกรดเป็นผู้นำยุคใหม่ได้แบบเต็มตัว!

3 ทักษะ (Skill) จำเป็น สำหรับผู้นำแห่งยุค New Normal มีอะไรบ้าง?

1.) Resilience & Adaptability

ความสามารถในการยืดหยุ่นและการปรับตัว ถือเป็นทักษะที่สำคัญอย่างมากในยุคนี้ เพราะท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงและไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น ผู้ที่สามารถเปลี่ยนแปลงและปรับตัวได้เร็ว จะรับมือกับปัญหาที่เข้ามาได้ดีกว่าผู้ที่เอาแต่ยึดติดและจมอยู่กับปัญหา (อย่างที่บอกใครปรับตัวก่อนได้เปรียบกว่า) ซึ่งผู้นำที่มีทักษะนี้จะสามารถคิดวางแผนกลยุทธ์ หาทางออก ปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินงาน เพื่อพาทีมไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ นำผู้ตามให้ก้าวไปข้างหน้า กล้าที่จะเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงด้วยวิธีการรับมืออย่างชาญฉลาด

ลองยกตัวอย่างง่าย ๆ หากคุณเป็นเจ้าของธุรกิจร้านอาหารที่ก่อนเจอวิกฤติโควิด-19 เปิดขายเพียงแต่หน้าร้าน แต่เมื่อโควิดมา ร้านอาหารถูกปิด ไม่อนุญาตให้นั่งทานที่ร้าน ทุกคนอยู่บ้าน ยอดขายหล่นฮวบ จะปรับตัวอย่างไรล่ะ? สิ่งที่ร้านอาหารหลายร้านทำคือ ‘ปรับตัว’ พลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส เมื่อขายหน้าร้านไม่ได้ ก็หาช่องทางขายออนไลน์มันซะเลย ซึ่งการ ‘ปรับตัว’ และ ‘ยืดหยุ่น’ เช่นนี้ก็คือการเผชิญกับปัญหาและหาทางออกเพื่อให้ธุรกิจนั้นอยู่รอดไปได้

2.) Digital Skill

ทักษะนี้ใครไม่มีบอกเลยว่า Out!! เพราะตั้งแต่วิกฤติโควิด-19 เรียกได้ว่า ดิจิทัลเข้ามามีบทบาทในสังคมอย่างมาก เพราะวิถีชีวิตรูปแบบใหม่ที่ทำให้การพบปะไม่สามารถพบเจอหรือรวมกลุ่มกันได้ตามปกติ ซึ่งเจ้าเทคโนโลยีเหล่านี้นี่แหละ เป็นตัวช่วยในการปรับเปลี่ยนรูปแบบทั้งด้านการทำงาน การวางแผน การนำเสนอต่าง ๆ เพราะฉะนั้นผู้นำในยุคนี้หากไม่มีความรู้หรือทักษะทางด้านดิจิทัล ก็อาจทำให้งานดำเนินไปได้ไม่สะดวกนัก หรือไม่สามารถนำผู้ตามให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ได้ 

ยกตัวอย่าง ต่อเนื่องกับในข้อแรก ถ้าคุณเป็นเจ้าของร้านอาหาร การปรับตัวของร้าน เมื่อเปลี่ยนรูปแบบมาขาย ‘ออนไลน์’ จะเห็นได้ว่าดิจิทัลเข้ามามีบทบาทไม่น้อย ซึ่งถ้าคุณมีทักษะทางด้านดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นการใช้เครื่องมือทางสื่อสังคมออนไลน์ อย่าง เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ อินสตาแกรม หรือแม้แต่เข้าร่วมกับแอปฯ ฟู้ดเดลิเวอรี่ สิ่งเหล่านี้นี่แหละ การเพิ่มทักษะความเข้าใจของดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งมาเป็นเครื่องมือที่จะทำให้ธุรกิจของคุณดำเนินต่อไปได้ นอกจากนี้ยังช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มใหม่ให้กับธุรกิจคุณได้หากทำแล้วเกิด

3.) Emotional intelligence

แน่นอนว่าวิกฤติที่เกิดขึ้นสร้างความกังวลใจให้กับคนทุกกลุ่ม สิ่งที่หลายคนอาจจะหลงลืม แต่ความจริงแล้วเป็นทักษะที่ต้องการอย่างมากในยุคที่ผู้คนตกอยู่ในความเครียด นั่นก็คือ ‘ความมั่นคงทางอารมณ์’ การจมอยู่กับปัญหา กลัว เครียด กดดัน นอกจากจะส่งผลเสียต่อสุขภาพ ยังทำให้กระบวนการคิดและการตัดสินใจไม่ดีเท่าที่ควร นั่นหมายความว่าผู้นำที่มีความฉลาดทางอารมณ์ สามารถจัดการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างมีสติ มีความเข้าใจและเห็นใจในตัวผู้อื่น จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความสำเร็จในสิ่งที่ทำ เพราะผู้นำที่ดีจะช่วยเพิ่มศักยภาพของผู้ตามให้ดียิ่งขึ้น

ท่ามกลางวิกฤติที่ส่งผลกระทบต่อคนทุกกลุ่ม หากคุณกำลังเผชิญกับปัญหา ยอดขายตก ปรับตัวไม่ทัน ไม่ใช่เรื่องแปลกที่คุณจะรู้สึกเครียด และกดดัน แต่เมื่อไหร่ที่คุณนำอารมณ์เป็นตัวตั้ง แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้จะส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตของตัวคุณเอง รวมทั้งสมาชิกในธุรกิจ แถมอาจยิ่งทำให้ปัญหาที่มีกลายเป็นปัญหาที่ใหญ่ขึ้นไปอีกด้วย ดังนั้น ‘ความมั่นคงทางอารมณ์’ เองก็เป็นอีกหนึ่งทักษะที่ต้องมีและไม่ควรมองข้าม

จริง ๆ อาจจะมีทักษะใหม่ ๆ ที่พร้อมพอกพูนเข้ามาไม่รู้จบ แต่กับ 3 ทักษะนี้ น่าจะเป็นอาวุธที่ควรต้องมีของ ‘ผู้นำ’ ในยุค New Normal แบบด่วน ๆ 


อ้างอิงข้อมูล : https://adecco.co.th/th/knowledge-center/detail/new-normal-skills-2020
 

"รวมน้ำใจคนไทยไม่ทิ้งกัน" มอบถุงยังชีพ ช่วยเหลือครอบครัวคนพิการ สู้ภัยโควิด-19

เมื่อวันเสาร์ที่ 22 พ.ค.64 เวลา 08.30 น ที่ผ่านมา​ นายชีวานนท์ พรรัตน์ธนิกกุล นายกสมาคมสหพันธ์แรงงานคนพิการไทย และ ตำแหน่งคณะอนุกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชัวิตคนพิการด้านแรงงาน และ ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการคุ้มครองผู้บริโภค สภาผู้แทนราษฎร ลงพื้นที่มอบถุงยังชีพให้กับคนพิการและครอบครัวคนพิการ ณ​ วัดครุใน ต.บางครุ อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ

โดยได้รับความร่วมมือจาก​ นายจตุรงค์ เดชขุน ประธานศูนย์จิตอาสาช่วยคนพิการและผู้ป่วยติดเตียง สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ จังหวัดสมุทรปราการ นายสมชัย คำใจงาม รองประธานศูนย์ฯ, นางเสาวรส เกิดโภคา หัวหน้าจิตอาสาฯ​ อำเภอเมือง, นางมิ่งขัวญ.นาคบัลลังค์ เป็น. อ.ส.ม./อ.พ.ม./จิตอาสาสภาสังคมสงเคราะห์ฯ จัดเตรียมสถานที่เพื่อรับรอง "คนพิการ" มารับมอบถุงยังชีพอย่างพร้อมเพรียงกัน

ต่อจากนั้น เวลา 13.00 น. "นายชีวานนท์ พรรัตน์ธนิกกุล" พร้อมด้วย "นายชัยพร ภูผารัตน์" ผู้อำนวยการสภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทย เดินทางเข้าพบ นายยุทธพงษ์ เอี้ยงอ้าย เลขานุการในองค์หม่อมเจ้าอุทัยกัญญา ภาณุพันธุ์ และ นางสาวรุ่งนภา แก้วธรรม ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 16 ต.คลองสาม นายนิพนธ์ แก้วธรรม รองนายก อบต.คลองสาม พร้อมด้วยจิตอาสา เพื่อลงพื้นที่มอบถุงยังชีพตามบ้านคนพิการและครอบครัว คนยากไร้ คนด้อยโอกาส ตามเจตนารมย์ ของท่าน "กัญจนา ศิลปอาชา" ประธานมูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย ที่มอบปัจจัยให้กับ อ.ชูศักดิ์ จันทยานนท์ ประธานสภาคนพิการแห่งประเทศไทย ไปจัดซื้อเครื่องอุปโภค บริโภค สิ่งของในการดำรงชีวิต จัดเป็นถุงยังชีพ เพื่อเป็นการช่วยเหลือคนพิการและครอบครัวคนพิการ เบื้องต้นในช่วงสถานการณ์เชื้อไวรัสโควิค_ 19  และจัดสรรปันส่วนมอบหมายให้ "องค์การคนพิการระดับชาติ" นำไปช่วยเหลือคนพิการ ต่อไป

#คนละไม้_คนละมือ

ท​

Legal Sex Workers โลกของโสเภณี ที่มีใบอนุญาต

ช่วงนี้กระแสความสนใจในการหาช่องทางด้านอาชีพ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตในต่างแดน มีความแพร่หลายอย่างมาก ในเพจเฟซบุ๊ก ‘โยกย้าย มาโยกย้ายส่ายสะโพก’ เป็นเพจหนึ่งที่ได้แชร์ข้อมูลเกี่ยวกับอาชีพต่าง ๆ ขึ้นมานับร้อยอาชีพ เพื่อสนองต่อผู้ที่อพยพย้ายถิ่นฐานได้สำเร็จแล้วนั้น 

แน่นอนว่าในสาระสำคัญของอาชีพที่เชื่อหลายคนคงคุ้นเคยกันดี ก็จะมีตั้งแต่ พยาบาล, โปรแกรมเมอร์, แอร์โฮสเตส, หมอนวด, ครู, งานครัว, งานบนเรือสำราญ ฯลฯ 

แต่ที่น่าสนใจ คือ มีกลุ่มอาชีพที่ไม่ค่อยมีใครนึกถึงปรากฎขึ้นมาจากข้อมูลในเพจดังกล่าวให้สืบค้นต่อ!! ซึ่งมีอะไรบ้าง เด่วจะไล่กันแบบจากเบาไปหาหนัก 

อาชีพที่ว่าได้แก่...

1.) นักสปารองเท้าและกระเป๋า

2.) คนทำความสะอาดสุสาน 

และ ๆ ๆ

3.) อาชีพโสเภณีอย่างถูกกฎหมาย 

เกิดแรงสะดุด จนนิ้วไม่กล้าคลิกข้ามอาชีพ ‘โสเภณี’ เพราะมันเตะลูกกะตายิ่งนัก!!

และก็เชื่ออย่างแรงว่าผู้คนที่เข้าไปแวะเวียนในเพจดังกล่าว ก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน เพราะมีการโพสต์สอบถามเกี่ยวกับอาชีพโสเภณีมากมาย มีผู้กด Like กว่า 3 หมื่น และมีการคอมเมนต์ สอบถาม และพูดคุยกันกว่า 5 พันคอมเมนต์ในช่วงเวลาเพียง 2 วัน 

ที่น่าสนใจมากๆ คือ มีข้อมูลยืนยันจากผู้ใช้กฎหมายในประเทศนั้นๆ หรือจากผู้ที่อยู่อาศัยในประเทศนั้นเป็นเวลานาน มาแถลงไขจนใครที่เข้าไปอ่าน สามารถเข้าใจลักษณะการค้ากามารมณ์แบบครบถ้วน ตั้งแต่ขั้นตอนการขอใบประกอบอาชีพโสเภณีอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และเมื่อได้ใบอนุญาตแล้วจะต้องทำอย่างไรต่อ 

ณ ที่นี้ ขอยกตัวอย่างหนึ่งจากโสเภณีต่างชาติที่เข้าไปทำงานกันเล็กน้อย ซึ่งตัวอย่างนี้มาจากสิงคโปร์ โดยเผยว่าถ้าจะทำงานที่นั่นต้อง…

- มีการเซ็นสัญญาการทำงาน ระหว่าง 6 เดือน ถึง 2 ปี

- ระหว่างนั้นห้ามแต่งงานกับคนสิงคโปร์

- หลังหมดสัญญาแล้วจะไม่สามารถเดินทางเข้าสิงคโปร์ได้อีก

- สัญญาจะระบุเวลาการทำงาน มีทั้งเริ่มแต่เช้า 10.00 น. หรือ เที่ยง หรือบ่าย หรือเย็น

- วันหยุดคือวันที่มีประจำเดือน โดยจะได้หยุด 3 วัน

- สถานที่ทำงานนั้นเรียกว่า ‘บ้าน’

- โสเภณีประจำบ้าน จะออกจากบ้านได้หลังจากเลิกงานแล้วเท่านั้น และต้องแจ้งเวลากลับบ้านให้ชัดเจน

- ต้องตรวจสุขภาพตามกำหนด

- ค่าอาหารต้องออกเอง/บางบ้านอุปกรณ์ทำงานก็ต้องออกเอง

- ค่าแรงในการทำงาน อยู่ที่ 20-25 ดอลลาร์สิงคโปร์ (ประมาณ 580 บาท) ต่องานไม่เกิน 30 นาที

- ไม่เน้นคุณภาพการให้บริการ เมื่อหมดเวลาแล้วพร้อมรับแขกต่อไป

โอ้โห!! ฟังละอึ้ง

นอกจากสิงคโปร์แล้ว ยังมีผู้ให้ข้อมูลการประกอบอาชีพโสเภณีในเยอรมนี ซึ่งเป็นอีกพิกัดมีชื่อเรื่องธุรกิจกามารมณ์ที่ถูกกฎหมายมาตั้งแต่สมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยในช่วงท้ายของทศวรรษ 60s นั้น มาจนถึงปัจจุบัน เยอรมนีมีซ่องขนาดใหญ่ลือเลื่องรู้กันดีทั่วโลก 

โดยมีคนไทยที่ทำอาชีพโสเภณีอย่างถูกกฎหมายในเยอรมนีได้ให้ข้อมูลไว้ว่า ตัวเธอเรียนจบปริญญาตรี และปริญญาโท จากเมืองไทย และตั้งใจจะมาเรียนปริญญาเอกในยุโรป แต่ชีวิตผิดแผน กลายมาเป็นโสเภณีอย่างถูกต้อง มีใบอนุญาต ได้รับการดูแลจากรัฐ เช่นเดียวกับอาชีพอื่น ๆ อย่างช่วงโควิด-19 ก็ได้รับเงินช่วยเหลือเกือบ 1 ล้านบาท 

ยิ่งไปกว่านั้นรายได้จากการประกอบอาชีพของเธอ สามารถส่งเสียครอบครัวในเมืองไทยได้อย่างสบาย เวลาติดต่อราชการไม่เจอสายตาเหยียด หรือกริยาดูถูก 

พอเห็นแบบนี้แล้ว ก็ทำให้รู้สึกคัน (คันไม้คันมืออยากค้นหาข้อมูลนะ) จนไปไล่ดูว่า...ทุกวันนี้จำนวนประเทศที่ผ่านกฎหมายให้ อาชีพโสเภณี เป็นอาชีพถูกกฎหมายนั้นมีมากน้อยแค่ไหน

ปรากฎว่ามีเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เหตุผลเพราะทางรัฐของประเทศที่เห็นชอบมองว่า การตรวจตราธุรกิจที่ดำเนินอย่างเปิดเผย ย่อมง่ายกว่าธุรกิจหลบซ่อน ในบางประเทศเห็นว่า การค้าประเวณีอย่างถูกต้องช่วยลดอาชญากรรมทางเพศ และลดความรุนแรงในครอบครัว หรือด้วยหลักการอื่น ๆ

เอาเป็นว่ามาลองไล่เรียง เป็นความรู้กัน!! ว่า ‘อาชีพโสเภณี’ ในโลกกว้างนี้ มีมิติเช่นไรกันบ้าง?

สำหรับประเทศในยุโรป ที่อาชีพโสเภณีที่ได้รับการจดทะเบียน เป็นอาชีพถูกต้องตามกฎหมายและมีการตรวจตราอย่างเป็นระบบ ได้แก่ เยอรมนี, สวิสเซอร์แลนด์, ออสเตรีย, กรีซ, ตุรกี, เบลเยี่ยม, สาธารณรัฐเช็กฯ, เนเธอร์แลนด์, ฮังการี, อิตาลี, สเปน, โปรตุเกส และ ลัตเวีย

ส่วนในแถบสแกนดิเนเวียและใกล้เคียง ได้แก่ ฟินแลนด์, เอสโตเนีย, สโลเวเนีย, โปแลนด์ และยังมีประเทศอื่น ๆ ที่อาชีพโสเภณีไม่ผิดกฎหมาย แต่ไม่มีการตรวจตราควบคุม 

ข้ามมาฟากแถบทวีปอเมริกา ในอาร์เจนตินา อาชีพโสเภณี ก็เป็นอาชีพถูกกฎหมาย แต่ไม่อนุญาตให้หาประโยชน์จากโสเภณี จึงไม่อนุญาตให้มีพ่อเล้า แม่เล้า และห้ามค้าประเวณีในเขต 500 เมตรที่มีโรงเรียนตั้งอยู่ 

ในออสเตรีย อาชีพโสเภณีถูกต้องตามกฎหมายแต่มีการตรวจตราดูแลอย่างรัดกุม 3 ระดับคือ ระดับชาติ ระดับจังหวัด และระดับชุมชน

โสเภณีในบังคลาเทศ ค้าประเวณีได้อย่างถูกกฎหมาย แต่สังคมยังตราหน้าว่าเป็นอาชีพที่ไร้เกียรติ ทำให้โสเภณีถูกมองว่าเป็นอาชญากร

ในประเทศโบลิเวีย ผู้ที่อายุเกิน 18 ปี สามารถค้าประเวณีได้อย่างถูกกฎหมาย จึงสามารถพบเห็นผู้ยึดอาชีพโสเภณีได้ทั่วไป แต่ไม่มีกฎหมายที่จะให้ความคุ้มครองหรือดูแล ทำให้เกิดความเสี่ยงทั้งทั้งด้านสุขภาพ และความปลอดภัยต่อชีวิตของโสเภณี ทั้งกามโรคต่าง ๆ และการค้ามนุษย์ การบังคับให้ผู้อายุต่ำกว่าเกณฑ์ร่วมเพศกับลูกค้า

สาธารณรัฐโดมินิกัน ให้อาชีพโสเภณีเป็นอาชีพถูกต้องตามกฎหมาย และได้ทำให้โดมิกันเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญของการท่องเที่ยวเพื่อเซ็กซ์

ส่วนในเอกวาดอร์ นอกจากอาชีพโสเภณีถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ยังไม่ห้ามการหาประโยชน์จากโสเภณี เช่น การตั้งช่อง หรือสถานที่ให้บริการทางเพศ หรือการเป็นพ่อเล้า หรือแม่เล้า หรือนายหน้า แถมเอกวาดอร์ ยังดึงดูดโสเภณีจากโคลอมเบีย ให้มาหากินในเอกวาดอร์ เพราะค่าตอบแทนเป็นดอลลาร์สหรัฐฯ ต่างจากเงินเปโซของโคลอมเบียที่ไม่เสถียร ซึ่งมีการสำรวจคร่าว ๆ ในเอกวาดอร์พบว่า มีโสเภณีจำนวนไม่น้อยกว่า 35,000 คนกันเลยทีเดียว

ในเอลซัลวาดอร์ กฎหมายระดับชาติ ไม่มีบทลงโทษผู้ค้าประเวณี แต่กฎหมายในระดับเทศบาลสามารถเอาผิดในคดีค้าประเวณีได้ ดังนั้นกลุ่มลูกค้า จึงได้พัฒนาเขตเฉพาะขึ้น เพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อโสเภณีและการดำเนินกิจกรรมค้าประเวณี 

เอธิโอเปีย อนุญาตให้ผู้ที่มีอายุเกิน 18 ปี ประกอบอาชีพโสเภณีได้อย่างถูกกฎหมาย จึงพบเห็นโสเภณีได้ทั่วไป แต่กฎหมายยังจำกัดการหาผลประโยชน์จากโสเภณี และอาชีพแมงดาให้เป็นเรื่องผิดกฎหมายอยู่

การค้าประเวณีและการซื้อขายเซ็กซ์ในฟินแลนด์ เป็นสิ่งที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่หากผู้ซื้อได้ตกลงซื้อบริการทางเพศ จากผู้ขายที่เป็นเหยื่อของการค้ามนุษย์ ผู้ซื้อจะมีความผิดโดยบทลงโทษนั้น มีทั้งโทษปรับและจำ

การค้าประเวณีเป็นสิ่งถูกกฎหมายสำหรับผู้มีอายุเกิน 18 ปี ในอิสราเอล แต่มีบทลงโทษจำคุก 3 ปี ต่อผู้ซื้อเซ็กซ์จากผู้เยาว์ และอาชีพ ‘แมงดา’ จะถูกจำคุก 5 ปี 

ส่วนในญี่ปุ่น กฎหมายระบุว่า การซื้อขายเซ็กซ์นั้นผิดกฎหมาย โดยมีการระบุนิยามความหมายเพิ่มเติมความผิดภายใต้คำว่า ‘กิจกรรมทางเพศ’ ไว้ ซึ่งหมายถึงว่าการร่วมเพศกับอวัยวะเพศหญิงเท่านั้นที่ผิด ฉะนั้นกิจกรรมทางเพศ ที่ไม่ได้กระทำต่ออวัยวะเพศหญิง จึงถือว่าไม่ผิดกฎหมาย (อ่า)

ในมอลตา ประเทศเกาะกลางทะเลเมดิเตอร์เรเนียน การประกอบอาชีพโสเภณีด้วยความสมัครใจถือว่าไม่ผิดกฎหมาย แต่การกระทำใด ที่เป็นการล่อหลอก หว่านล้อม หรือบังคับ ให้ผู้อื่นประกอบอาชีพโสเภณีนั้นผิดกฎหมาย และการหาประโยชน์จากโสเภณีมีบทลงโทษ

เม็กซิโก ประกอบด้วยรัฐ 32 รัฐ และมีกฎหมายกลางที่ใช้กับทุกรัฐ ระบุกว่า ห้ามจัดตั้งซ่อง แหล่งค้าประเวณี หรือเป็นพ่อเล้า แม่เล้า ผู้ประกอบอาชีพโสเภณี ต้องจดทะเบียนและพกบัตรตรวจโรคติดตัวไว้ตลอดเวลา การซื้อขายเซ็กซ์ไม่ผิดกฎหมาย แต่อนุญาตให้แต่ละท้องถิ่น ออกกฎหมายบังคับใช้เพิ่มเติมได้ ดังนั้นกฎหมายว่าด้วยโสเภณีและการค้าประเวณีของเม็กซิโก จึงไม่มีลักษณะปูพรมผืนเดียวทั้งประเทศ มีความแตกต่างในแต่ละภูมิภาคและเมือง

กฎหมายว่าด้วยการค้าประเวณีของนอร์เวย์ มีความแตกต่างและน่าสนใจ คือ กฎหมายอนุญาตให้คนสัญชาตินอร์เวย์ขายบริการทางเพศได้ แต่ห้ามไม่ให้ผู้มีสัญชาตินอร์เวย์ หรือผู้ที่พำนักในนอร์เวย์ ซื้อบริการทางเพศ ไม่ว่าจะอยู่ในประเทศหรือนอกประเทศ การซื้อบริการทางเพศมีโทษทั้งปรับ และจำคุกนาน 1 ปี ในสวีเดนก็ไม่ต่างกันคือ ชาวสวีเดนสามารถค้าประเวณีได้ แต่ห้ามเป็นผู้ซื้อ

ในเซเนกัล เกณฑ์อายุที่จะยึดอาชีพโสเภณีได้คือ 21 ปี ซึ่งเป็นเกณฑ์อายุในการประกอบอาชีพที่สูงกว่าประเทศอื่น และมีการตรวจตราอย่างสม่ำเสมอ ทั้งการตรวจโรคและการไม่ถูกหลอกลวง หรือตกเป็นเครื่องมือของกลุ่มค้าประเวณี หรือพ่อเล้า แม่เล้า

ส่วนในสิงคโปร์นั้น แม้อาชีพโสเภณีไม่ผิดกฎหมาย แต่มีกฎหมายผูกพันมากมาย เช่น ห้ามหาลูกค้าในสถานที่สาธารณะ ห้ามหาประโยชน์จากโสเภณี ห้ามเป็นเจ้าของซ่อง ห้ามโฆษณาหรือประกาศขายเซ็กซ์ รวมทั้งทางอินเตอร์เน็ต 

จะเห็นได้ว่า ในประเทศที่อนุญาตให้อาชีพโสเภณีถูกต้องตามกฎหมาย มักจะเน้นว่า ห้ามหาผลประโยชน์จากโสเภณี 

แต่ในความเป็นจริง ก็เชื่อว่าการหากินบนหลังโสเภณีนั้นมีอยู่ จึงต้องมีกฎหมายคุ้มครอง ‘ในทางปฎิบัติ’ เพราะอาชีพนี้ มันยากมากที่จะปลอดจาก แมงดา พ่อเล่า หรือแม่เล้า  

อย่างไรก็ตาม โสเภณี ก็เป็นอาชีพอย่างอิสระอย่างหนึ่ง และก็ควรจะได้รับสิทธิในการคุ้มครองที่ดี การปฏิบัติตน การให้เกียรติจากสังคม เพื่อไม่ให้โสเภณีเหล่านั้น หลุดเข้าไปสู่วัฏจักรอันเลวร้าย วนเวียนสู่วงจรของอาชญากรรมจัดตั้ง

ที่นำมาเล่านี้ เป็นประสบการณ์ของอาชีพหนึ่งในโลกแห่งความเป็นจริง ไม่ได้เป็นการส่อแววอนาจารหรือสนับสนุนใด ๆ เพียงแต่เป็นการตีแผ่เรื่องจริง ที่ได้แรงหนุนจากบรรดาคอมเมนต์ ‘เพจโยกย้ายฯ’ ก็มีคอนเทนต์มากมายทั้งชุดคำพูดสนุกสนาน ขบขัน หรือข้อมูลความรู้ทั่วไปแบบเล่าสู่กันฟัง 

แต่อย่างไรเสีย บทสรุปของอาชีพนี้ ที่ทิศทางคำถามได้ในแนวเดียวกัน คือ “ทำไมถึงอยากเป็นโสเภณี?” 

คำตอบแบบชัด ๆ อาจระบุไม่ได้ แต่หากให้คลี่คลายอย่างผิวเผินและไม่เป็นทางการนั้น มีความจริงเพียงแค่หนึ่งเดียว...

“เพราะค่าตอบแทนคุ้มค่าแรงไง”

“แค่นั้นจริงๆ”

2 เหมือนสุดต่าง ระหว่าง 'เจ้านาย' vs 'ผู้นำ'

คุณเคยลาออกเพราะเจ้านายบ้างไหม? 

หากเจ้านายคือเหตุผลที่คุณลาออกจากงาน นั่นแสดงว่าคุณอาจโชคไม่ดี!!

เพราะคุณกำลังทำงานภายใต้การควบคุมของ ‘เจ้านาย’ มิใช่ทำงานกับ ‘ผู้นำ’ หรือคนที่จะพาคุณก้าวไปข้างหน้า 

ที่กล่าวเช่นนี้ เพราะคำว่า “เจ้านาย” และ “ผู้นำ” อาจฟังดูคล้ายคลึงกันแต่ว่าความหมายแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว

ข้อแรก เจ้านายบ้าอำนาจ แต่ ผู้นำกระจายอำนาจ 

เมื่อลูกน้องและงานอยู่ภายใต้การควบคุมของ เจ้านาย คนเป็นนายจะทำตัวแบบผู้มีสิทธิขาดในทุกเรื่อง เพราะถือว่ากุมอำนาจการตัดสินใจ แม้เขาจะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในงานนั้น ๆ หรือเป็นผู้ลงมือทำงานด้วยตนเอง 

หนึ่งในความสามารถที่โดดเด่นของเจ้านายในมิตินี้ คือ การทำหูทวนลม เมื่อลูกน้องแย้งหรือออกความเห็น เพราะมองว่าตนเองเหนือกว่าผู้อื่นในฐานะเจ้านาย ความเห็นของลูกน้อง จึงไม่มีค่าเท่าความคิดของผู้เป็นนาย 

นอกจากนี้เจ้านายยังหวงสิทธ์และชื่อเสียงที่ได้มาจากตำแหน่งของตนเอง ลูกน้องที่โดดเด่น อาจโชคร้าย เพราะถูกเพ่งเล็ง 

ในทางตรงกันข้ามกัน หากเป็น ‘ผู้นำ’ บทบาทนี้จะต่างกันโดยสิ้นเชิง เพราะผู้นำจะรู้จักกระจายอำนาจและแบ่งงานให้บุคคลที่เหมาะสมกับงานนั้น ๆ มีดุลยพินิจที่เฉียบคมและสามารถมอบอำนาจให้ลูกน้องที่ตนเห็นว่ามีศักยภาพทำงานให้สำเร็จได้โดยมิได้กังวลว่าลูกน้องจะโดดเด่นกว่าตนเอง ลูกน้องที่ทำงานกับผู้นำ จึงได้รับทั้งโอกาสแสดงผลงาน ได้ปลดปล่อยอิสระทางความคิดมากกว่าลูกน้องที่อยู่ใต้ ‘เจ้านาย’

ข้อสอง เจ้านาย คือ หัวหน้า แต่ ผู้นำ คือ ผู้ร่วมทีม 

เจ้านายจะทำเพียงสั่งงาน ตรวจงานลูกน้อง ว่ากล่าวลูกน้องเมื่องานพลาด และรับคำชมเอาหน้าเมื่องานสำเร็จเท่านั้น อาจมีหลายกรณีที่ลูกน้องเห็นหน้าเจ้านายในวันแรกของการสั่งงานและวันสุดท้ายของการส่งงาน ซึ่งนั่นหมายความว่างานที่สำเร็จหรือไม่สำเร็จขึ้นอยู่กับทักษะและความสามารถของลูกน้องทั้งสิ้น 

แต่น่าขันที่ชะตาของลูกน้องกลับต้องขึ้นอยู่กับเจ้านายผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพัฒนาการของลูกน้องเลย 

ในขณะเดียวกัน ‘ผู้นำ’ เปรียบเสมือนผู้ร่วมทีมที่พร้อมจะร่วมหอลงโรงไปกับลูกน้อง ผู้นำมีความรับผิดชอบในการนำทางและดูแลลูกน้อง ไม่ว่าจะเรื่องทักษะการทำงานหรือความรู้สึกของลูกน้องในทีม ไม่เพียงแต่คำสั่งที่หลุดจากปากผู้นำ แต่ยังมีคำชม กำลังใจ และคำแนะนำเพื่อให้ลูกน้องเข้มแข็งทั้งเรื่องงานและจิตใจ 

เมื่องานผิดพลาดผู้นำจะรับผิดเนื่องจากบริหารไม่ดีเท่าที่ควร แต่ผู้นำจะยกความดีความชอบให้ลูกน้องที่ตนบริหารอยู่ เมื่องานสำเร็จ ลูกน้องในทีมผู้นำ ก็จะได้รับคุณค่าจากผลงานที่ได้ทำอย่างเต็มที่ เพราะว่าผู้นำเห็นลูกน้องเป็นส่วนสำคัญของงาน ต่างจากเจ้านายที่ไม่เห็นค่าของลูกน้อง เรียกได้ว่าเจ้านายเป็นนักสั่งงานตัวยง แต่ผู้นำเป็นผู้บริหารชั้นนำก็ไม่ผิด

ข้อสุดท้าย อำนาจของเจ้านายมาจากตำแหน่ง แต่อำนาจของผู้นำนั้นมาจากความสามารถ 

หากลูกน้องอยู่ภายใต้เจ้านาย ไม่เพียงแต่บุคลากรที่จะทุกข์กายและใจ แต่บริษัทรวมถึงงานพาลจะวิบัติกันไปหมด 

ตัวอย่างใกล้ตัวที่สุด อาจเป็นประเทศกำลังพัฒนาที่ไม่พัฒนาเสียที บางประเทศที่ผู้บริหารประเทศนั้นเป็นได้เพียง ‘เจ้านาย’ แต่ไม่ใช่ ‘ผู้นำ’

แน่นอนว่าทุกวันนี้ในสังคมไทย มีความหลากระดับของสายพันธุ์มนุษย์ ตั้งแต่บนสุดของแท่งพีระมิด มาจนถึงกลาง-ล่างของฐานพีระมิด ที่ล้วนเต็มไปด้วย ‘เจ้านาย’ และ ‘ผู้นำ’ คละเคล้ากันไป ซึ่งในโลกของความจริง เราก็ยากที่จะเลือก ‘เจ้านาย’ หรือเลือก ‘ผู้นำ’ ได้ตามใจอยาก 

แต่สิ่งที่เราพอเลือกได้ คือ หากวันใดเราได้ก้าวผ่านจากสภาวะของ ‘ผู้ตาม’ เราจะเลือกปฏิบัติตนเป็น ‘ผู้นำ’ ที่ดีตามอุดมคติที่ฝันใฝ่ไว้ หรือเราก็เป็นได้แค่ ‘เจ้านาย’ ที่เราเคยแอบบ่น (ด่า) เมื่อถึงเวลาก้าวขึ้นสู่บังเหียน 

ต้องแยกแยะให้เป็นแต่เนิ่นๆ

ส่องสูตร ‘ผู้ว่าฯ หมูป่า’ ฝ่าทุกวิกฤต เพราะผู้นำเชิงรุก ต้องเล่นเกมบุกในทุกสถานการณ์

ย้อนกลับไปเกือบเมื่อ 3 ปีที่แล้ว เหตุการณ์เด็ก 12 คน และครูฝึกฟุตบอลทีมหมูป่า 1 คน หรือเรียกกันว่า ‘13 หมูป่า’ นั้น ได้ติดอยู่ในถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน จังหวัดเชียงราย 

เหตุการณ์นี้สร้างปรากฏการณ์ในแบบที่ทั่วโลกต่างระดมความช่วยเหลือมาที่ประเทศไทย จนสุดท้ายทั้ง 13 คน ได้รับความช่วยเหลือออกมาจากถ้ำได้สำเร็จ นับเป็นความสำเร็จของยอดฝีมือทั่วโลก ในการแก้ไขภาวะวิกฤตครั้งนั้นจนสำเร็จ 

แต่เบื้องหลังความสำเร็จโดยแท้ อยู่ภายใต้ผู้บัญชาการหลักในสถานการณ์วิกฤตในครั้งนั้น…

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย!!

ใช่แล้ว!! นายณรงศักดิ์ โอสถธนากร หรือ หลายคนคุ้นกับคำว่า ‘ผู้ว่าฯ หมูป่า’ ในช่วงเวลานั้นดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย สามารถบริหารจัดการสถานการณ์วิกฤตดังกล่าวได้อย่างน่าประทับใจ 

“ความเป็นความตายมันห่างกันแค่เส้นบาง ๆ นิดเดียว ถ้าเราตัดสินใจผิด ก้าวผิด จะทำให้เราหลุดเข้าไปสู่ในเส้นที่เราไม่ได้อยากเข้าไปในนั้น” นายณรงศักดิ์ เคยให้สัมภาษณ์ถึงการตัดสินใจครั้งนั้น ไว้ในบทสัมภาษณ์กับสื่อ ๆ หนึ่ง 

จากวันนั้นถึงวันนี้ วันที่วิกฤตโรคระบาดโควิด-19 ทำทั่วโลกผวา การช่วยเหลือกันระหว่างประเทศ อาจจะบางตาลง เพราะทุกคนเจอสภาพเดียวกัน นั่นหมายความว่า ทุกคน ทุกประเทศ ต้องหาทางดิ้นรนตามเส้นทางของตนเองให้ได้ 

จุดนี้ก็เป็นอีกบทพิสูจน์ ที่ตอกย้ำความเป็น ‘ผู้นำ’ ของ ผู้ว่าฯ ณรงค์ศักดิ์อีกครั้ง ภายใต้การบริหารจัดการสถานการณ์วิกฤตโรคระบาดในจังหวัดลำปาง ที่ท่านได้มารั้งตำแหน่งผู้ว่าฯ ของเมืองนี้ โดยมีเสียงสะท้อนจากสังคมดังระงมว่า ‘ลำปางรอดตาย’ เพราะท่านเป็นผู้นำโคตรเก่ง

เหตุเกิดจากการบริหารสถานการณ์วิกฤตในสไตล์แบบผู้นำเชิงรุก บุกเข้าไปจับทุกปัญหา แล้วแก้แบบไม่ให้เกิดการเสียเวลา ซึ่งเรื่องนี้สะท้อนผ่านเหตุการณ์เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม ถึงความคืบหน้าการฉีดวัคซีนของคนลำปาง ที่ได้รับการเปิดเผยโดยสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดลำปาง (สสจ.) นายประเสริฐ กิจสุวรรณรัตน์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดลำปางว่า…

“มีผู้ประสงค์จองการฉีดวีคซีน 2.3 แสนคน โดยประชากรในจังหวัดลำปางซึ่งมีประมาณ 7 แสนคนนั้น หากสามารถฉีดวัคซีนได้ครบ 5 แสนคน จะเกิดภูมิคุ้มกันหมู่มากพอ ที่จะทำให้คนลำปางถอดหน้ากากกินข้าวด้วยกันได้” นายแพทย์ประเสริฐ กล่าว

เกิดอะไรขึ้น? ทำไมจำนวนคนลำปางที่พร้อมใจกันลงทะเบียนฉีดวัคซีนถึงมากมายเป็นรองเพียงกรุงเทพฯ เท่านั้น 

นั่นก็เพราะคนลำปางให้ความไว้เนื้อเชื่อใจแก่ผู้นำของเขา!!

แล้วผู้นำของเขามีอะไรให้น่าเชื่อใจ?

การบริหารสถานการณ์วิกฤตโรคระบาดของผู้ว่าฯ ณรงค์ศักดิ์ เป็นหลักการบริหารงานแบบมืออาชีพ ตั้งแต่การสื่อสารกับประชาชนในพื้นที่ในมิติต่าง ๆ ของเรื่องวัคซีน จนประชาชนเกิดความมั่นใจ ซึ่งกระบวนการเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงข้ามวัน แต่ต้องใช้ระยะเวลาในการบ่มเพาะแบบข้ามคืน

แผนงานของ ผู้ว่าฯ ณรงค์ศักดิ์ หากกางออกมาแล้วจะพบว่า มีทั้งการตั้งเป้าหมาย เขียนแผน และมีการดำเนินงานไปตามแผนอย่างลงรายละเอียด หลังจากนั้นก็มีการสร้างทีม โดยกระจายทีมออกเป็น 3 ทีม ด้วยเหตุผลรองรับว่า หากมีทีมใดทีมหนึ่งเกิดติดเชื้อโควิด-19 จากการปฏิบัติงาน อีก 2 ทีม ก็สามารถทดแทนกันได้

นอกจากนี้ผู้ว่าฯ ณรงค์ศักดิ์ ยังใช้กลไกระดับท้องถิ่นของระบบสาธารณสุข ซึ่งก็คือ อสม. หรืออาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน เคาะประตูทุกบ้าน เพื่อไปช่วยเหลือให้ชาวบ้านเข้าถึงการลงทะเบียนฉีดวัคซีนได้ไว เพราะเข้าใจถึงสภาพความจริงว่าคนเถ้าคนแก่ หรือคนต่างจังหวัดบางส่วน ยังเข้าไม่ถึงเทคโนโลยี อย่างเช่น การลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน ‘หมอพร้อม’ ตามที่สาธารณสุขกลางให้ลงทะเบียนนั้น มีหลายคนไม่มีโทรศัพท์มือถือ ก็ทำไม่ได้ เป็นต้น

ยิ่งไปกว่านั้น ทางจังหวัดลำปางยังได้สร้างแอปพลิเคชัน ‘ลำปางพร้อม’ เพื่อรวบรวมข้อมูลของประชาชนในพื้นที่เชื่อมต่อกับแอปพลิเคชัน ‘หมอพร้อม’ ระบบใหญ่อีกต่างหาก เพื่อป้องกันปัญหาคอขวด ข้อมูลไม่ครบ โดยเจ้าหน้าที่ของทางจังหวัดและอสม. จะเก็บรายงานทั้งหมด และอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนเอง เยี่ยมไปเลยใช่ไหมล่ะ!!

อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่เหนือยิ่งกว่าระบบการบริหารจัดการเชิงรุก ก็คือ การสื่อสารอย่างจริงใจและมีจิตวิทยาของผู้นำ คือ ไม่ปกปิดข้อเท็จจริง ลุยงานด้วยตัวเอง และใช้วาทะที่ว่า “หากใครไม่ร่วมลงทะเบียนฉีดวัคซีน จะกลายเป็นคนนอกคอกนะ” การสื่อสารเช่นนี้ ก็ถือเป็นจิตวิทยาที่น่าสนใจ สุดท้ายลำปางจึงกลายเป็นจังหวัดที่เปอร์เซ็นต์ผู้ลงทะเบียนฉีดวัคซีนต่อประชากรสูงที่สุดในประเทศในช่วงนั้น

สถานการณ์สร้าง ‘วีรบุรุษ’ ฉันใด ในภาวะวิกฤตสงครามก็มักจะสร้าง ‘ผู้นำ’ ที่ยอดเยี่ยมฉันนั้น!!

2 เหตุการณ์วิกฤตใหญ่ระดับโลก กับ 1 ผู้นำที่ชื่อว่า ณรงศักดิ์ โอสถธนากร คงพอจะทำให้เราได้รู้แล้วว่า…

ผู้นำที่ดี ที่ประชาชนเขาอยากได้ มันเป็นแบบนี้นี่เอง!!

 

เราไม่ทิ้งกัน! “กลุ่มเพื่อนเฉลิมชัย” มอบเงินและหน้ากากสนับสนุนโรงพยาบาลสนามจังหวัดสุราษฎร์ฯ​ สู้ภัยโควิด

วันนี้ (22 พ.ค. 2564) เวลา 09:30 น. ณ บริเวณด้านหน้าตึก OPD โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี นายวิชวุทย์ จินโต ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี  ร่วมเป็นเกียรติในการรับมอบเงินสนับสนุนโรงพยาบาลสนามมหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี และหน้ากากอนามัย N95 จากกลุ่มเพื่อนเฉลิมชัย (ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์​ / รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์) โดยมี ส.ส.ธีรภัทร พริ้งศุลกะ และ ส.ส.ภาณุ ศรีบุศยกาญจน์ พรรคประชาธิปัตย์ เป็นผู้แทนมอบ และมี นพ.ศักดิ์ชัย ตั้งจิตวิทยา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี เป็นผู้รับมอบ  

โดยกิจกรรมดังกล่าว สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาธิปัตย์ ในนามกลุ่มเพื่อนเฉลิมชัย (ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์​ / รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์) มีความประสงค์ที่จะมอบเงินสนับสนุนการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามทั่วประเทศ  จึงได้มอบหมายให้ ส.ส.ธีรภัทร พริ้งศุลกะ และ ส.ส.ภาณุ ศรีบุศยกาญจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ นำเงินมามอบให้โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานีเพื่อใช้ในการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามมหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี จำนวน 200,000 บาท พร้อมทั้งได้มอบหน้ากากอนามัย N95 จำนวน 1 ลัง เพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์ใช้ในการปฏิบัติงานด้วย

โดยก่อนหน้านี้กลุ่มเพื่อนเฉลิมชัยได้มอบเงินสนับสนุนโรงพยาบาลสนามที่จันทบุรี กับ เชียงใหม่จังหวัดละ​ 2​ แสนบาท


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top