Wednesday, 22 January 2025
SPECIAL

‘กรณ์’ ปราศรัยชุมพร ช่วย ‘ทนายลิขิต’ หาเสียงโค้งสุดท้าย อ้อนชาวใต้ เลือก ‘ชพก.’ เข้าสภาฯ เป็นกระบอกเสียงให้ ปชช.

(11 พ.ค.66) นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า เดินทางไปยังจังหวัดชุมพร เพื่อร่วมเวทีปราศรัยหาเสียงให้กับทนายลิขิต ศรีชาติ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 2 เบอร์ 6 ที่อำเภอท่าแซะ โดยทนายลิขิต เปิดใจว่า พรรคชาติพัฒนากล้า เป็นพรรคที่มีหัวหน้าพรรคคุณภาพที่สุด เพราะมีนายกรณ์ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจเป็นหัวหน้าพรรค เพราะตลอดช่วง 8 ปีที่ผ่านมา พี่น้องประชาชนประสบกับปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ ได้รับความเดือดร้อนกันทุกหย่อมหญ้า ค่าน้ำมัน ค่าไฟ ซึ่งเป็นต้นทุนค่าครองชีพของประชาชนสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ผู้แทนของจังหวัดชุมพร ไม่เคยมีใครนำปัญหาของพี่น้องประชาชนเข้าไปพูดในสภาฯ เลยนับสิบปี ถ้าอยากเห็นปัญหาของพี่น้องของประชาชนถูกนำเสนอในสภาฯ และได้รับการแก้ไข 14 พฤษภาคม เลือกทนายลิขิต เบอร์ 6 เขต 2 ชุมพร เปลี่ยนแปลงแน่นอน

ด้านนายกรณ์ กล่าวว่า ในช่วงท้ายของการหาเสียง หากจะวัดว่ากระแสของผู้สมัครยังดีอยู่หรือไม่ ให้ดูความกระตือรือร้นของทีม จากเส้นทางคาราวานภาคใต้ที่ตนได้เดินสายมาตลอดหลายวันที่ผ่านมา ทีมงานของผู้สมัคร แต่ละจังหวัดยังแข็งขัน แรงไม่ตก และโดยเฉพาะที่ จ.ชุมพร แข็งแรงมาก และก็อยากบอกให้ทุกคนมีกำลังใจคือกระแสของพรรคดีวันดีคืน เพราะตนได้รับของฝากมาจากทุกจังหวัด ของฝากที่ว่าคือ ประชาชนฝากปัญหาความเดือดร้อน ทั้งหนี้สิน ค่าครองชีพ ตลอดจนโอกาสในการทำมาหากิน ซึ่งของฝากเหล่านั้นตนไม่ถือว่าเป็นภาระ แต่เป็นกำลังใจที่ประชาชนยังเชื่อมั่น ศรัทธา ที่จะฝากความหวังไว้กับเรา ไม่มีใครถามว่า เราอยู่ฝ่ายไหน เขาไม่ได้ชอบวิธีการสาดโคลนกันไปมา โดยที่ประชาชนไม่ได้อะไรเลย

นายกรณ์ กล่าวว่า ตนอยู่ในวงการการเมืองมา 18 ปี เส้นทางเต็มไปด้วยความขัดแย้ง นักการเมือง ต้องมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบที่สร้างมันขึ้นมา เพราะเป็นอุปสรรคปัญหาต่อการดำรงชีวิตของประชาชน พอกันทีความขัดแย้ง พรรคเรามีแนววิธีการหาเสียงไม่ใส่ร้ายใคร แต่มีวิธีการหาเสียงที่ชัดเจนว่าเราจะแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน พี่น้องหลายคนยังลังเล ว่าถ้าเลือกไปจะชนะไหม เพราะไม่ได้อยู่ในพรรคกระแสหลัก เข้าไปจะทำอะไรได้

ขอบอกว่า ความใหญ่ เล็ก ของพรรคการเมือง ไม่สำคัญเท่ากับขนาดของหัวใจ ว่าจะกล้าแก้ปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนได้หรือไม่ เลือกพรรคใหญ่เข้าไป ไม่ทำอะไรทั้งที่มีอำนาจอยู่ในมือ เพราะถูกอำนาจผูกขาดครอบงำ พรรคยิ่งใหญ่ ก็ยิ่งต้องใช้เงินมากขึ้น และวงจรอุบาทว์มันก็จะวนเวียนไม่รู้จักจบสิ้น และนี่คือสาเหตุที่พวกเราทุกคนเลือกที่จะอยู่พรรคชาติพัฒนากล้า ไม่ต้องใช้เงิน ยุทธศาสตร์หาเสียงของเราเป็นแนวทางใสสะอาด ขยัน ยกมือกราบไหว้ จุดยืนของเราไม่ขัดแย้งกับใคร ไม่เป็นศัตรูกับใครตราบใดที่เขาเห็นตรงกับเราคือปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชน และกล้าชนกับทุนผูกขาด และเราก็พร้อมร่วมกับรัฐบาลเสียงข้างมากโดยไม่ต้องอาศัยเสียง สว.

“ถ้าประชาชนเลือกคนของพรรคชาติพัฒนากล้าเข้าไปเป็นผู้แทน ไม่ว่าจะเป็นทนายลิขิต ศรีชาติ จาก จ.ชุมพร, จูรี นุ่มแก้ว จ.สงขลา, เทมส์ ไกรทัศน์, อรทัย เกิดทรัพย์ จ.ภูเก็ต และ อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี จากกรุงเทพฯ รับรอง ว่าคนพวกนี้จะเป็นปากเป็นเสียง กล้าพูด และกล้าชนกับทุนผูกขาด ได้อย่างแน่นอน” นายกรณ์ กล่าว

นายกรณ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า “เราเลือกทนายลิขิต เพราะเราเชื่อและศรัทธา เพราะฉะนั้น วันที่ 14 พฤษภาคม ไม่ต้องลังเล กาเบอร์ 6 เพื่อให้ทนายลิขิต ไปทำหน้าที่ในสภาฯ เป็นผู้แทนของชาวชุมพร เขต 2”

‘ศิลัมพา’ ยก ‘บิ๊กตู่’ ตัวจริงวางรากฐานประเทศ แนะ ‘คนรุ่นใหม่’ ศึกษาข้อมูลให้ถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจ

(11 พ.ค.66) นางสาวศิลัมพา เลิศนุวัฒน์ ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กรุงเทพมหานคร เขต 24 เบอร์ 7 กล่าวถึงกรณีที่พรรคการเมืองบางพรรค หาเสียงด้วยการเน้นโปรโมตนโยบายที่จะทำเพื่อคนรุ่นใหม่ โดยระบุว่า...

พรรคการเมืองที่หาเสียงด้วยการเคลมว่า เป็นพรรคของคนรุ่นใหม่ และพร้อมจะดำเนินนโยบายเพื่อคนรุ่นใหม่นั้น ถือเป็นการขายสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น และเมื่อมองย้อนกลับไปดูผลงานของรัฐบาล ที่นำโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะเห็นว่า โครงการต่าง ๆ ที่ได้ดำเนินการมานั้น ล้วนทำเพื่อคนไทยทุกกลุ่ม และยังได้วางรากฐานไว้เพื่อเด็กเยาวชนคนรุ่นใหม่ด้วย

ยกตัวอย่างโครงการที่ดำเนินการไปแล้ว ที่จะเกิดประโยชน์กับคนรุ่นใหม่ เช่น โครงการเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ ‘อีอีซี’ ที่จะสร้างตำแหน่งงานนับแสนตำแหน่ง, การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล และการสนับสนุนอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมเป้าหมาย ที่จะเป็น New S Curve ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยในอนาคต

ขณะเดียวกัน รัฐบาลที่ผ่านมายังได้วางโรดแมปในการพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมสำคัญของประเทศไทย โดยเปลี่ยนจากรถยนต์สันดาป มุ่งสู่อุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ EV ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้ประเทศไทยตกขบวน และสูญเสียตลาดไปให้กับประเทศคู่แข่ง

รวมไปถึงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ โดยเฉพาะรถไฟฟ้าสายต่างในกรุงเทพมหานคร ซึ่งในปีนี้จะเริ่มเปิดทดลอง 2 สาย คือสายสีเหลืองและสายสีชมพู และในอนาคตอันใกล้ จะเชื่อมโยงสายสีต่างให้สามารถเดินทางได้สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม แม้ที่ผ่านมา ภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ ได้ผลักดันโครงการต่าง ๆ สำเร็จไปแล้วจำนวนมาก แต่ก็ยังมีอีกหลายส่วนที่ยังต้องผลักดันต่อ อาทิ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย ตั้งระเบียงเศรษฐกิจใหม่ 4 ภาค รวมถึงสร้างโอกาสให้คนตัวเล็กด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล และยังมีอีกหลายนโยบายที่จะต้องทำต่อ เพื่อให้ชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนและเศรษฐกิจของประเทศไทยดีขึ้น

“ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง เราเริ่มเห็นพรรคการเมืองบางพรรคการ ชูนโยบายมุ่งเจาะฐานเสียงคนรุ่นใหม่ด้วยวาทกรรมต่าง ๆ รวมถึงการขายฝันโครงการที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แต่อยากจะฝากถึงเยาวชนคนรุ่นใหม่พิจารณาข้อมูลให้ถี่ถ้วนว่า โครงการที่นำมาหาเสียงนั้นจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ ในขณะที่พลเอกประยุทธ์ ได้ลงมือทำให้เห็นเป็นรูปธรรมจับต้องได้อย่างชัดเจนมาแล้ว ไม่ใช่แค่การสรรหาวาทกรรมที่สวยหรูมาหาเสียงเท่านั้น และสุดท้ายปลายทางสิ่งที่พลเอกประยุทธ์ได้ทำมานั้น ล้วนเกิดประโยชน์กับคนไทยทุกคน” น.ส.ศิลัมพา กล่าว

‘ภูมิธรรม’ ปลุก ปชช. กา ‘พท.’ อย่าปล่อยโอกาสหลุดมือ ลั่น!! หากได้ ส.ส. เกิน 300 เสียง ประเทศไทยเปลี่ยนแน่

(11 พ.ค. 66) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) โพสต์เฟซบุ๊กว่า อย่าให้โอกาสในการเปลี่ยนแปลงประเทศต้องเป็นหมัน ไล่ระบอบประยุทธ์ออกไป เลือกเพื่อไทยเป็นรัฐบาล

การเลือกตั้งในวันที่ 14 พ.ค.นี้ มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสังคมไทย เพราะเป็นการเลือกตั้งที่จะนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับอำนาจในการตัดสินใจของพี่น้องประชาชน โดยยังคงมีกลไก รธน.ที่กำหนดให้ สว. 250 คน มีสิทธิ์โหวตเลือกนายกฯ อันเป็นแต้มต่อที่สำคัญในการสืบทอดอำนาจต่อเนื่องของระบอบประยุทธ์ นั่นหมายความว่าหากพรรคร่วมรัฐบาลเดิมสามารถจับมือรวมกันแค่ 126 เสียง ก็สามารถชนะการโหวตเลือกนายกฯ ได้แล้ว และประเทศไทยก็จะมีนายกฯ ในแบบเดิมที่ทำให้พี่น้องประชาชนต้องทนทุกข์ทรมานมานานถึง 8-9 ปี

นายภูมิธรรม ระบุว่า แต่หากจะสร้างการเปลี่ยนแปลงได้จริง จะตั้งรัฐบาลได้จริง จำเป็นต้องใช้คะแนนเสียงของ ส.ส. ให้ได้มากเกิน 250 คน และจะมั่นใจมากกว่าหากได้ ส.ส. มากถึง 300 คน ซึ่งพรรคการเมืองที่มีโอกาสจะทำให้เป็นรูปธรรมได้จริง ๆ คือ พรรคเพื่อไทย แม้ว่าในช่วงหลังหลายโพลจากหลายสำนักระบุว่า บางพรรคมาแรงแซงพรรคเพื่อไทย ก็ตาม แต่หากดูจากข้อมูลในพื้นที่ซึ่งเป็นคะแนนจริง ๆ ไม่ใช่คะแนนในอากาศ ซึ่งเราติดตามอย่างใกล้ชิด ยังบ่งชี้ว่าพรรคเพื่อไทยยังคงได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชนมาเป็นอันดับหนึ่ง

ทำไมถึงมั่นใจอย่างนั้น จริงอยู่กระแสอาจมีผลต่อการตัดสินใจในการเลือกของพื้นที่ กทม.ปริมณฑลและเขตเมืองใหญ่ แต่ในจำนวนเขตเลือกตั้ง 400 เขตนั้น 300 กว่าเขตเป็นพื้นที่ อบต. เทศบาลตำบล กระแสไม่มีผลมากเท่ากับความผูกพันและการช่วยเหลือเกื้อกูลระหว่าง ส.ส.กับ ประชาชนในพื้นที่นั้น ๆ จำนวน ส.ส.เขตพื้นที่จึงเป็นดัชนีชี้วัดสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลง และต่อการจัดตั้งรัฐบาล ในพื้นที่ที่มีการแข่งขันซึ่งจะทำให้เกิดการตัดคะแนนกันเอง ปล่อยให้ตาอยู่อย่างลุงและเครือข่ายชนะไปย่อมไม่เกิดผลดี

“ผมไม่อยากให้ความหวังในการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลของพี่น้องประชาชนต้อง กลายเป็นคะแนนตกน้ำและตาอยู่ได้ชัยชนะไป นั่นจะเป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจมากถ้าความหวั่นเกรงของผมเป็นจริง บรรยากาศที่เอื้อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้มิได้เกิดขึ้นง่ายนัก หากการตัดสินใจเลือกที่จะกาบัตรนั้นทำให้ความหวังที่จะให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกลายเป็นหมันอย่างน่าเสียดาย เราจะได้ระบอบประยุทธ์กลับมา และต้องทนอยู่ต่อไปอีก 4 ปี

ผมเชื่อมั่นว่าพรรคเพื่อไทย คือคำตอบที่เป็นจริงในการเปลี่ยนความฝันให้กลายเป็นความหวัง เกิดการแก้ไขปัญหา การเปลี่ยนแปลงของชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนที่เป็นจริง เพราะปัญหาของประเทศวันนี้อยู่ในขั้นวิกฤติระดับ โคม่า ต้องการทีมมืออาชีพเข้ามาแก้ไข ซึ่งพรรคเพื่อไทยเคยพิสูจน์ให้เห็นเป็นผลงานเชิงประจักษ์มาแล้ว วันนี้พรรค เพื่อไทย มีทั้งผู้นำที่พร้อม มีนโยบายที่พร้อม และมีทีมทำงานที่พร้อม 14 พ.ค.กาพรรคเพื่อไทยทั้งสองใบ ประเทศไทยเปลี่ยนทันที” นายภูมิธรรม ระบุ

‘ดร.หิมาลัย’ ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดกับเด็กรุ่นใหม่ ย้ำชัด!! ควรหยุดวาทกรรม ‘ชังชาติ’ ก่อนทำสังคมแตกแยก

(11 พ.ค.66) ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้ประสานงานพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ร่วมเวทีเสวนา : คนรุ่นใหม่ชังชาติจริงหรือไม่? ซึ่งจัดโดยเครือข่ายแรงใจ โดยมีนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) เข้าร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นจำนวนมาก 

พร้อมกันนี้ ดร.หิมาลัย ได้ให้ความเห็นว่า ในบริบทของสังคมไทยในปัจจุบัน โดยส่วนตัวแล้วไม่อยากให้ใช้คำว่า ‘ชังชาติ’ ไม่ว่ากับคนกลุ่มใด เพราะความรักชาติของคนแต่ละช่วงวัยนั้นไม่เหมือนกัน และอาจแสดงออกแตกต่างกัน เพราะฉะนั้น จะต้องเปิดใจรับฟังซึ่งกันและกัน

เพราะคนที่ถูกตราหน้าว่า ‘ชังชาติ’ นั้น แท้จริงแล้วเขาอาจจะรักชาติในมุมของเขาก็ได้ และแสดงออกในแบบที่เขาเชื่อว่าถูกต้องจนสุดโต่ง ส่วนคนที่บอกว่าตนเองรักชาตินั้น บางครั้งอาจจะเลยไปถึงขั้นชาตินิยม และจะไม่ยอมรับความเห็นต่างจากคนอื่น ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องนัก เนื่องจากในบริบทของสังคมทุกสังคม จะต้องยอมรับความเห็นและให้เกียรติซึ่งกันและกัน แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของกรอบกฎหมาย

ดร.หิมาลัย ย้ำว่า สังคมไทยกำลังถูกวาทกรรมและความคิดของคนต่างวัยบ่อนทำลาย เพราะฉะนั้น อยากให้ผู้ใหญ่รับฟังความคิดเด็ก ๆ คนรุ่นใหม่โดยไม่ปิดกั้น เพราะความคิดของเด็กก็ไม่ใช่ว่าจะผิดทุกครั้ง และเช่นเดียวกัน ความคิดของผู้ใหญ่ก็ใช่ว่าจะถูกต้องเสมอไป เรื่องบางเรื่องผู้ใหญ่ควรเรียนรู้จากเด็ก

“อยากจะยกตัวอย่างสิ่งที่ผู้ใหญ่ควรเรียนรู้จากเด็กรุ่นใหม่ จากสิ่งที่เพิ่งประสบมาล่าสุด จากการที่ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรครวมไทยสร้างชาติบางคน ที่ออกมาเรียกร้องค่าใช้จ่ายในการหาเสียงจากทางพรรค ซึ่งเป็นนักการเมืองรุ่นเก่า ตนได้ชี้แจงไปว่า พรรคเราทำการเมืองตามอุดมการณ์ ใช้งบประมาณตามที่ได้รับบริจาคมา ซึ่งไม่มีมากนัก แต่เมื่อย้อนกลับไปดูผู้สมัครที่เป็นคนรุ่นใหม่ ทั้งที่อยู่ในพรรคของเราเอง และพรรคอื่น ๆ ที่มีความตั้งใจทำงานการเมืองอย่างที่อยากทำ กลับไม่มีการเรียกร้อง แต่ใช้การบริหารงบประมาณได้รับ และหาวิธีหาเสียงกับกลุ่มเป้าหมายโดยไม่ย่อท้อ ซึ่งตรงนี้ต้องขอยกย่องและเป็นสิ่งที่นักการเมืองรุ่นเก่าหรือผู้ใหญ่จะต้องเรียนรู้และปรับตัว”

ขณะที่ ส่วนประเด็นที่หลายคนกล่าวหาว่า พรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นพรรคเผด็จการนั้น ดร.หิมาลัย ชี้แจงว่า จากการที่ได้ทำงานร่วมกับ พล.อ.ประยุทธ์อย่างใกล้ชิด และท่านได้ตัดสินใจทำการเมืองต่อ ไม่ใช่เพราะการอยากจะสืบต่ออำนาจแต่อย่างใด เพียงแต่ท่านเห็นว่ายังมีสิ่งที่ยังน่ากังวล และต้องการทำสิ่งที่เริ่มต้นมาแล้วให้สำเร็จลุล่วง แต่ในขณะเดียวกันท่านได้ย้ำเสมอว่า การจะได้ทำต่อหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพี่น้องประชาชน ถ้าประชาชนเห็นว่าสิ่งที่ท่านทำมาตลอดนั้นมีประโยชน์ต่อชาติบ้านเมือง ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่ถ้าประชาชนไม่ให้ไปต่อ ก็ต้องยอมรับ เพราะท่านยึดหลักในระบอบประชาธิปไตย อำนาจอยู่ที่ปลายปากกาของประชาชน และไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาเช่นไรท่านก็พร้อมจะยอมรับ

‘ศุภชัย’ จวก ‘กก.อิสลาม’ กระบี่ ปมออกจดหมายหนุนบางพรรค จี้!! กกต.เร่งตรวจสอบด่วน ชี้ เข้าข่ายผิดกฎหมายเลือกตั้ง

‘ศุภชัย’ จี้!! กกต.ตรวจสอบ ปม กก.อิสลาม กระบี่ ออกจดหมาย ให้สนับสนุนพรรคประชาชาติ ชี้ผิดกฎหมายเลือกตั้ง ระบุไม่ควรนำ เรื่องการเมืองไปแปดเปื้อน ขอให้ยุติการกระทำ

(11 พ.ค. 66) นายศุภชัย ใจสมุทร นายทะเบียนพรรคภูมิใจไทย (ภท.) โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว โดยนำภาพเอกสารของ สำนักงานคณะกรรมการอิสลาม จังหวัดกระบี่ ที่ กอจ.กบ.072/2566 ลงวันที่ 9 พ.ค.66 ลงนามโดย อัสนาวี มุคุระ ประธานคณะกรรมการอิสลาม ประจำจังหวัดกระบี่ เรื่องแจ้งเพื่อทราบ โดยส่งไปที่อิหม่ามทุกมัสยิดในพื้นที่จังหวัดกระบี่ พร้อมแนบเอกสารคุตะบะฮ์ วันศุกร์ เรื่องข้อพึงสังวรการเลือกตั้งในมิติอิสลาม 1 ฉบับ

มีข้อความว่า เพื่อให้สัปปุรุษทุกท่านที่มีอายุครบ 18 ปีขึ้นไป ได้ปฏิบัติตามกฎหมายไปใช้สิทธิ์กันอย่างทั่วถึงทุกคน และให้หลีกเลี่ยงการซื้อสิทธิ์ขายเสียงโดยเด็ดขาด และขอความร่วมมือทุกคนสนับสนุนพรรคการเมืองมุสลิม คือพรรคประชาชาติ หมายเลข 11 อย่างพร้อมเพรียงกัน จึงเรียนมาเพื่อทราบและปฏิบัติไปในทิศทางเดียวกัน

นายศุภชัย ระบุว่า วันนี้ตนได้รับข้อมูลตามเอกสารที่โพสต์แล้ว น่าตกใจยิ่ง เพราะหากเป็นจริง การกระทำของท่านย่อมทำให้เสื่อมเสียเกียรติยศที่ท่านได้รับในตำแหน่งโดยเฉพาะ และการกระทำของท่าน เป็นการกระทำที่ผิดหน้าที่อำนาจตามกฎหมาย และประการสำคัญท่านกำลังทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส.และมัสยิดใดไปดำเนินการดังกล่าว ย่อมสุ่มเสี่ยงที่จะผิดกฎหมายเช่นกัน จึงขอคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เร่งตรวจสอบเรื่องนี้โดยเร็ว

“ผมขอเรียกร้องมายังทุกจังหวัดที่มีคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด ที่จะกระทำผิดในลักษณะนี้ขอจงยุติการกระทำเสีย การเทศนาธรรมของมุสลิมในการละหมาดวันศุกร์เป็นช่วงเวลาที่ทรงคุณค่าต่อมุสลิมที่ไปร่วมกันละหมาด จึงไม่ควรนำเรื่องการเมืองไปแปดเปื้อน อันมิใช่หลักการอิสลามที่จะกระทำ” นายศุภชัย ระบุ

‘ตร.’ จับมือ ‘กรมปศุสัตว์’ บุกค้น 16 โกดัง ซุกซ่อนหมูเถื่อน หวั่นนำ ‘โรคอหิวาต์’ จากแอฟริกามาแพร่ระบาดในไทย

(11 พ.ค. 66) ตามที่รัฐบาลมีนโยบายปราบปรามการลักลอบนำเข้าเนื้อสุกรจากต่างประเทศ และเข้ากระบวนการต่าง ๆ เพื่อนำออกสู่ท้องตลาด โดยมิได้ผ่านการตรวจสอบจากหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง ทำให้ประชาชนผู้บริโภคได้รับสินค้าอันไม่ถูกสุขลักษณะ รวมถึงอาจนำโรคระบาดชนิดอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (African Swine Fever : ASF) มาแพร่ระบาด ทำให้ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการผลิตเนื้อสุกรภายในประเทศ และเกิดผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม ซึ่งเข้าข่ายเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ.2558 พระราชบัญญัติควบคุมการฆ่าสัตว์เพื่อการจำหน่ายเนื้อสัตว์ พ.ศ.2559, พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2560 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง 

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร., พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผบ.ตร.และ พล.ต.ท. สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. โดย กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองบริโภค (บก.ปคบ.) ตำรวจภูธรภาค 1, 5 และ 7 ร่วมกับ กรมปศุสัตว์เข้าตรวจสอบสถานที่ต้องสงสัยทั้งหมด 16 แห่ง ในพื้นที่ภาคกลางและภาคเหนือ

จากการตรวจสอบ โดยเจ้าหน้าที่นำหมายค้นของศาลอาญาทำการตรวจค้น 16 แห่ง พบว่า จังหวัดนครปฐม 1 จุด สามารถอายัดเนื้อสุกรแช่แข็งรวม 4,070 กิโลกรัมและ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 1 จุด สามารถอายัดเนี้อสุกรแช่แข็งรวม 11,100 กิโลกรัม ซึ่งเข้าข่ายเป็นความผิด พ.ร.บ.โรคระบาดสัตว์ พ.ศ.2558 พ.ร.บ.ควบคุมการฆ่าสัตว์เพื่อการจำหน่ายเนื้อสัตว์ พ.ศ.2559 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องทั้งนี้

สำนักงานตำรวจแห่งชาติขอฝากเตือนพี่น้องประชาชน โปรดระมัดระวังในการบริโภคเนื้อสุกร ที่ไม่ทราบแหล่งที่มาหรือไม่ได้มาตรฐาน และขอความร่วมมือกรณีหากมีเบาะแส / เรื่องร้องเรียนลักษณะดังกล่าว สามารถแจ้งเรื่องร้องเรียน / เบาะแสโดยตรงได้ที่สายด่วน กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) โทร.1135 หรือ สายด่วนฉุกเฉิน 191 และสามารถแจ้งผ่านช่องทาง แอปพลิเคชัน DLD 4.0 ของกรมปศุสัตว์

ร่างมติวุฒิสภาสหรัฐฯ ที่ 114 และร่างมติสภาผู้แทนสหรัฐฯ ที่ 369 จี้ รบ.ไทย ‘ปกป้อง-สนับสนุน’ ประชาธิปไตย เสรีภาพการชุมนุม-แสดงออก

ร่างมติวุฒิสภาสหรัฐฯ ที่ 114 และ ร่างมติสภาผู้แทนสหรัฐฯ ที่ 369 เรียกร้องหรือแทรกแซง ให้รัฐบาลไทยปกป้อง-สนับสนุนประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน-เสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ-เสรีภาพในการแสดงออก

 

Edward Markey วุฒิสมาชิกมลรัฐ Massachusetts พรรค Democratic 
ผู้ซึ่งเคลื่อนไหวเพื่อที่จะออกมติวุฒิสภาสหรัฐฯ ที่ 114

จากเอกสารที่คนไทยกลุ่มหนึ่งได้กล่าวหาให้ร้ายประเทศไทย โดยส่งถึงรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐอเมริกา และวุฒิสมาชิก (Edward Markey วุฒิสมาชิกมลรัฐ Massachusetts พรรค Democratic) และส.ส. (Susan Wild ส.ส. มลรัฐ Pennsylvania พรรค Democratic) ของสหรัฐฯ ซึ่งได้มีการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องที่จะออกมติวุฒิสภาสหรัฐฯ ที่ 114 และมติสภาผู้แทนสหรัฐฯ ที่ 369 อันมีเนื้อหาเป็นการกล่าวหาและมีลักษณะเป็นการแทรกแซงกิจการภายในของประเทศไทยนั้น 

Susan Wild ส.ส. มลรัฐ Pennsylvania พรรค Democratic
ผู้ซึ่งเคลื่อนไหวเพื่อที่จะออกมติสภาผู้แทนสหรัฐฯ ที่ 369

รัฐบาลไทยโดยกระทรวงการต่างประเทศไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้มอบให้เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน ประสานกับทั้งสำนักงานของวุฒิสมาชิก Ed Markey และ ส.ส. Susan Wild โดยตรงแล้ว และอยู่ระหว่างชี้แจงประเด็นที่วิพากษ์วิจารณ์ไทยด้วยข้อเท็จจริง ร่างข้อมติทั้งสอง (วุฒิสภาที่ 114 และสภาผู้แทนที่ 369) ซึ่งมีถ้อยคำคล้ายคลึงกันมาก ยังคงเป็นเพียงร่างข้อมติที่รอการพิจารณาของคณะกรรมาธิการต่างประเทศของวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งขึ้นอยู่กับประธานของคณะกรรมาธิการฯ จะยกขึ้นพิจารณาหรือไม่ จึงยังไม่มีการเสนอไปที่วุฒิสภาหรือสภาผู้แทนฯ แต่อย่างใด และวุฒิสมาชิกและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฯ ที่กระทรวงการต่างประเทศถือว่าเป็น “มิตรแท้ของไทย” ยังไม่มีผู้ใดร่วมอุปถัมภ์ (Sponsor) ร่างข้อมติแต่อย่างใด ทั้งนี้รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กระทรวงการต่างประเทศกำลังมีหนังสือไปถึงวุฒิสมาชิก Markey โดยตรงแล้ว และความพยายามในการขับเคลื่อนเพื่อให้วุฒิสภาและสภาผู้แทนสหรัฐฯเชื่อว่า มีการดำเนินการผ่าน Lobbyist อย่างแน่นอน

เนื้อหาเต็มของร่างมติวุฒิสภาที่ 114 ดังกล่าว มีใจความดังนี้ :
ร่างมติเรียกร้องให้รัฐบาลไทยปกป้องและสนับสนุนประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน หลักนิติธรรม สิทธิในเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและเสรีภาพในการแสดงออก และเพื่อวัตถุประสงค์อื่น

(ร่างมติวุฒิสภาสหรัฐฯ ที่ 114) เร่งเร้าให้รัฐบาลไทยปกป้องและสนับสนุนระบอบประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน หลักนิติธรรม สิทธิในเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและเสรีภาพในการแสดงออก และเพื่อวัตถุประสงค์อื่น ๆ ในวุฒิสภาของสหรัฐอเมริกา นาย MARKEY (สำหรับตัวเขาเองและนาย DURBIN) ได้ยื่นมติดังต่อไปนี้ ซึ่งได้อ้างถึงคณะกรรมาธิการมติ เรียกร้องให้รัฐบาลไทยปกป้องและผดุงไว้ซึ่งประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน หลักนิติธรรม สิทธิในเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและเสรีภาพในการแสดงออก และเพื่อวัตถุประสงค์อื่น ๆ โดยที่ราชอาณาจักรไทย (ครั้งหนึ่งรู้จักกันทั่วไปในชื่อ ‘ราชอาณาจักรสยาม’) และสหรัฐอเมริกาได้สถาปนาความสัมพันธ์กันครั้งแรกในปี พ.ศ. 2361 และได้ทำสนธิสัญญาทางไมตรีและการค้า ซึ่งลงนามเมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2376 ซึ่งได้ลงนามอย่างเป็นทางการ ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่าง 2 ประเทศ; โดยที่ไทยเป็นพันธมิตรตามสนธิสัญญารายแรกของสหรัฐฯ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก มีความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ ค่านิยมสากล และยังคงเป็นมิตรที่มั่นคงของสหรัฐอเมริกา 

ในขณะที่ผ่านสนธิสัญญาป้องกันร่วมกันแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งทำ ณ กรุงมะนิลา เมื่อวันที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2497 (หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า ‘สนธิสัญญามะนิลา’) สหรัฐอเมริกาและไทยแสดงความปรารถนาร่วมกันที่จะ ''เสริมสร้างโครงสร้างแห่งสันติภาพและเสรีภาพและเพื่อ ยึดมั่นในหลักการของประชาธิปไตย เสรีภาพส่วนบุคคล และหลักนิติธรรม'' โดยที่ในปี พ.ศ. 2505 สหรัฐอเมริกาและไทยได้ลงนามในแถลงการณ์ Thanat-Rusk โดยสหรัฐฯ ให้คำมั่นว่าจะให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศไทยหากต้องเผชิญกับการรุกรานจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยผ่านสนธิสัญญาไมตรีและความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างราชอาณาจักรไทยและสหรัฐอเมริกา ซึ่งทำ ณ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2509 พร้อมกับความสัมพันธ์ทางการค้าที่หลากหลายและเพิ่มมากขึ้น 

สหรัฐอเมริกาและประเทศไทยได้พัฒนาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่แน่นแฟ้น โดยที่สหรัฐอเมริการับรองประเทศไทยในฐานะสมาชิกผู้ก่อตั้งสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยที่เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565 ประธานาธิบดี Joseph R. Biden และผู้นำอาเซียนได้ยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกากับอาเซียนให้เป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุม เพื่อเปิดขอบเขตความร่วมมือใหม่ที่สำคัญต่อความเจริญรุ่งเรืองและความมั่นคงในอนาคตของสหรัฐอเมริกาและประเทศสมาชิกอาเซียน โดยที่ไทยประสบความสำเร็จในการเป็นเจ้าภาพการประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิกในปี 2565 (1) เพื่อฟื้นฟูการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ (2) เพื่อฟื้นฟูการเชื่อมต่อหลังจากการหยุดชะงักจากการระบาดของ COVID–19 และ (3) เพื่อบูรณาการวัตถุประสงค์ของการมีส่วนร่วมและความยั่งยืนควบคู่กับเป้าหมายทางเศรษฐกิจ ในขณะที่ไทยถูกกำหนดให้เป็นพันธมิตรหลักที่ไม่ใช่สมาชิก NATO ในปี พ.ศ. 2546 และเป็นหนึ่งในหุ้นส่วนด้านความมั่นคงที่แข็งแกร่งที่สุดของสหรัฐฯ 

ความสัมพันธ์ดังกล่าวยืนยันอีกครั้งโดยแถลงการณ์วิสัยทัศน์ร่วมปี พ.ศ. 2563 สำหรับพันธมิตรด้านการทหารระหว่างสหรัฐฯ-ไทย ในขณะที่รัฐบาลไทยและรัฐบาลสหรัฐอเมริกาจัดการฝึกซ้อมทางทหารร่วมกันหลายครั้ง รวมถึง Cobra Gold ซึ่งเป็นการฝึกซ้อมทางทหารระดับนานาชาติประจำปีที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอินโดแปซิฟิกที่มีประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ในขณะที่รัฐบาลไทยยังคงเป็นพันธมิตรในการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและผู้ลี้ภัย รวมถึงความพยายามในการบรรเทาทุกข์ข้ามชาติหลังจากเหตุการณ์สึนามิในมหาสมุทรอินเดียในปี พ.ศ. 2547 และแผ่นดินไหวในประเทศเนปาล พ.ศ. 2558 

โดยที่ประเทศไทยสิ้นสุดระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์และเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบอบรัฐธรรมนูญในปี พ.ศ. 2475 และได้แก้ไขรัฐธรรมนูญมาแล้ว 19 ครั้ง รวมทั้งรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2540 ซึ่งกำหนดให้มีผู้แทนจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยในสภาสองสภาและมีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาล โดยที่ในวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 กองทัพไทยได้ก่อการรัฐประหารโดยยกเลิกรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ประกาศกฎอัยการศึก และแทนที่รัฐบาลพลเรือนด้วยคณะทหาร ซึ่งเรียกว่าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคำสั่ง (ในคำนำนี้เรียกว่า ‘คสช.’) ซึ่งนำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก

โดยที่ในวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2559 คสช. ได้เผยแพร่ร่างรัฐธรรมนูญ และในวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2559 คสช. ได้จัดให้มีการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ซึ่งมีข้อบกพร่องอย่างมาก คือ เจตนาทำให้เอกสารถูกต้องตามกฎหมาย ในขณะที่การลงประชามติในปี พ.ศ. 2559 ถูกทำลายโดยการละเมิดสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก การสมาคม และการชุมนุมอย่างสงบอย่างกว้างขวาง ขณะที่ คสช. เมินเสียงเรียกร้องจำนวนมากจากสหประชาชาติและรัฐบาลต่างประเทศให้เคารพสิทธิของประชาชนในการแสดงความเห็นต่อร่างรัฐธรรมนูญอย่างเสรี และตัดทอนเสรีภาพอย่างรุนแรงในช่วงก่อนทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ดำเนินคดีกับนักข่าวและผู้วิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญ เซ็นเซอร์สื่อและป้องกันการชุมนุมในที่สาธารณะเกินห้าคน ในขณะที่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ซึ่งให้สัตยาบันเมื่อวันที่ 6 เมษายน 2017

(1) ยึดอำนาจโดยกองทัพไทยทำให้พลเรือนไม่สามารถควบคุมทางการเมือง
(2) บังคับเรียกร้องให้รัฐบาลและสมาชิกรัฐสภาชุดต่อมาปฏิบัติตาม ‘แผนปฏิรูป 20 ปี’ ที่ออกโดยรัฐบาลทหาร
(3) มีบทบัญญัติที่ทำให้สภาผู้แทนราษฎร 500 คนอ่อนแอ และมีการสงวนที่นั่งวุฒิสมาชิก 250 ที่นั่งในวุฒิสภาสำหรับสมาชิกวุฒิสภาที่ คสช.แต่งตั้ง และหัวหน้า คสช. รวมทั้งผู้นำสูงสุดของทหารและตำรวจ และ
(4) ให้อำนาจเกินขอบเขตแก่สมาชิกวุฒิสภาที่ได้รับเลือกโดยรัฐบาลทหารที่ไม่ได้รับเลือกในการเลือกนายกรัฐมนตรีคนต่อไป; 

โดยที่ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2562 ประเทศไทยจัดการเลือกตั้งโดย 
(1) กลุ่มตรวจสอบอิสระหลายกลุ่มที่อ้างว่ามีปัญหาทั้งกระบวนการและระบบ ประกาศว่า การเลือกตั้งไม่เสรีและยุติธรรมอย่างเต็มที่ และเอียงข้างอย่างหนักเพื่อเข้าข้างรัฐบาลทหาร และ
(2) ส่งผลให้พรรคการเมืองของ คสช. ซึ่งนำโดยประยุทธ์ จันทร์โอชา สามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่และแต่งตั้งประยุทธ์ให้เป็นนายกรัฐมนตรีอีก ขณะที่ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2563 พรรคอนาคตใหม่ฝ่ายค้านถูกยุบและถูกสั่งห้ามตามคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญ สืบเนื่องจากกระบวนการทางกฎหมายที่มีข้อบกพร่องจากการตั้งข้อหาเท็จ ขณะที่ศาลรัฐธรรมนูญยังวินิจฉัยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีไม่ได้ฝ่าฝืนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้อยู่ในตำแหน่ง 8 ปี ทั้งที่ยังคงอยู่ในอำนาจตั้งแต่การรัฐประหารในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2557

ในขณะที่รัฐบาลไทยยังไม่มีความคืบหน้าในการสืบสวนการโจมตีอย่างรุนแรงต่อนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยบางคน การลักพาตัวและสูญหาย และการสังหารผู้เห็นต่างทางการเมืองของไทยทั่วเอเชีย โดยที่ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 รัฐบาลไทยได้ชะลอการออกกฎหมายต่อต้านการทรมานที่สำคัญอีกครั้ง ซึ่งแม้ว่าจะมีข้อบกพร่อง แต่จะช่วยให้ทั้งความชัดเจนเกี่ยวกับความผิดทางอาญาของการทรมานและการป้องกันการทรมาน 

ขณะที่ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 ผู้ประท้วงหลายหมื่นคนทั่วประเทศไทย ซึ่งประกอบด้วยนักศึกษาและเยาวชนเป็นหลัก ได้เรียกร้องอย่างสันติให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย ปฏิรูปรัฐธรรมนูญ และเคารพสิทธิมนุษยชน ในขณะที่รัฐบาลไทยตอบโต้การประท้วงอย่างสันติเหล่านี้ด้วยมาตรการปราบปราม ซึ่งรวมถึงกลยุทธ์การข่มขู่ การใช้กำลังมากเกินไประหว่างการประท้วง การสอดแนม การคุกคาม การจับกุม การใช้ความรุนแรง และการจำคุก โดยที่ระหว่างปี พ.ศ. 2563 ถึง พ.ศ. 2566 หน่วยงานของรัฐบาลไทยได้ยื่นฟ้องคดีอาญาต่อกลุ่มนักเคลื่อนไหวกว่า 1,800 คนเข้าร่วมเดินขบวนและแสดงความคิดเห็น โดยมีเด็กกว่า 280 คน โดย 41 คนเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี 

ในขณะที่รายงานที่เผยแพร่ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2565 โดยองค์กรพัฒนาเอกชนพบว่า ทางการไทยใช้สปายแวร์ Pegasus กับนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยอย่างน้อย 30 คนและบุคคลที่เรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ และต่อต้านนักวิชาการและนักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลไทยอย่างเปิดเผย และในขณะที่รัฐบาลไทยยังคงพิจารณาร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการดำเนินงานขององค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร ซึ่งหากมีการประกาศใช้ (1) จะเป็นกฎหมายที่เข้มงวดที่สุดกฎหมายหนึ่งต่อองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรในเอเชีย และ (2) จะมีผลที่ไม่อาจย้อนกลับได้ต่อภาคประชาสังคมในประเทศไทยและทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยทั่วไป 

ดังนั้น บัดนี้ จึงมีมติว่าวุฒิสภา (1) ยืนยันความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่าง 2 สหรัฐอเมริกาและไทย ความสัมพันธ์บนพื้นฐานของค่านิยมประชาธิปไตยและผลประโยชน์เชิงกลยุทธ์ร่วมกัน 

(2) เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับประชาชนชาวไทย ในการแสวงหารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย การปฏิรูปการเมือง สันติภาพในระยะยาว และความเคารพ ต่อจุดยืนด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ

(3) เรียกร้องให้รัฐบาลไทยสนับสนุน 10 ประการและสนับสนุนประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน กฎ ของกฎหมายและสิทธิที่จะมีเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ 1 เสรีภาพในการแสดงออกและความเป็นส่วนตัว

(4) เรียกร้องให้รัฐบาลไทยสร้าง 3 เงื่อนไขสำหรับการเลือกตั้งที่น่าเชื่อถือและยุติธรรมในวันที่ 4 พฤษภาคม 2566 รวมถึง
(A) เปิดโอกาสให้พรรคฝ่ายค้านและผู้นำทางการเมือง สามารถดำเนินกิจกรรมได้โดยปราศจาก การแทรกแซงที่ไม่เหมาะสมจากรัฐ เจ้าหน้าที่
(B) ทำให้สื่อ นักข่าว และสมาชิกภาคประชาสังคมสามารถใช้เสรีภาพในการกดขี่ ชุมนุมโดยสงบ และการสมาคมได้ โดยปราศจากผลกระทบและความกลัวต่อการดำเนินคดี
(C) ทำให้มั่นใจว่าการนับคะแนนเสียงเป็นยุติธรรมและโปร่งใส

(5) เรียกร้องให้รัฐบาลไทยดำเนินการอย่างเข้มงวด ปล่อยตัวและยกเลิกข้อกล่าวหาอย่างไม่มีเงื่อนไขต่อนักเคลื่อนไหวทางการเมืองและงดเว้นจากการก่อกวน ข่มขู่หรือประหัตประหารผู้ที่มีส่วนร่วมในความสงบ การประท้วงเต็มรูปแบบและกิจกรรมของพลเมืองในวงกว้างมากขึ้น โดยการดูแลสิทธิและความเป็นอยู่ของเด็กและนักเรียนโดยเฉพาะ

(6) เรียกร้องให้รัฐบาลไทยยกเลิกการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการดำเนินงานขององค์กรไม่แสวงผลกำไรและการปฏิรูป กฎหมายและข้อบังคับอื่น ๆ ที่บ่อนทำลายการแสดงออกอย่างเสรีและการเข้าถึงข้อมูล

(7) เรียกร้องให้รัฐบาลไทยลงทุน ระงับและยุติการโจมตีด้วยสปายแวร์ที่มุ่งเป้าไปที่นักวิชาการ 4 คน นักปกป้องสิทธิมนุษยชน และหลักของกลุ่มสนับสนุนประชาธิปไตยต่าง ๆ

(8) เรียกร้องให้รัฐบาลไทยยกเลิกใหม่และยุติการประกาศใช้กฎหมายและกฤษฎีกาที่ใช้ในการเซ็นเซอร์เนื้อหาและคำพูดออนไลน์ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการเลือกตั้ง รวมถึงประเทศไทย
(A) ในต่างประเทศ และกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่คลุมเครือ
(B) พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
(C) กฎหมายยุยงปลุกปั่นในวงกว้าง

(9) สื่อสารไปยังรัฐบาลไทยว่ามีการละเมิดสิทธิอย่างต่อเนื่องต่อ ประชาชนชาวไทยที่จะอยู่อย่างสันติและเป็นประชาธิปไตย กำหนดอนาคตของพวกเขา ซึ่งจะเป็นไปไม่ได้ที่สหรัฐฯ จะยอมรับการเลือกตั้งทั่วไปครั้งต่อไปอย่างเสรีและเป็นธรรม โดยไม่คำนึงถึงผลลัพธ์

(10) กล่าวอย่างชัดเจนว่า การแทรกแซงทางทหารหรือราชวงศ์ทั้งทางตรงและทางอ้อมก่อน ระหว่าง หรือหลังการเลือกตั้งทั่วไปจะ
(A) บั่นทอนความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างสหรัฐอเมริกาและไทยเป็นอย่างมากและ
(B) เป็นอันตรายต่อความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจและความมั่นคงต่อประเทศไทยและการดำเนินการร่วมกันในระดับภูมิภาคและเศรษฐกิจ

ที่มา : https://www.markey.senate.gov/imo/media/doc/thailand_resolution_-_032023pdf.pdf

เหตุเกิดที่สถานีตำรวจนครบาลสำราญราษฏร์ เมื่อ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

กี่ครั้งกี่หนแล้วที่ม็อบสามนิ้วแสดงอำนาจบาตรใหญ่ ข่มขู่คุกคามเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยอ้างสิทธิเสรีภาพอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย กระทำการต่างๆ ด้วยความรุนแรง ซ้ำอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า การกระทำลักษณะนี้ในสหรัฐฯ จะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการอย่างเด็ดขาด ด้วยมาตรการที่รุนแรงที่สุด

เหตุเกิดที่สถานีตำรวจนครบาลสำราญราษฏร์ เมื่อ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

เหตุเกิดที่สถานีตำรวจนครบาลสำราญราษฏร์ เมื่อ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

เหตุเกิดที่สถานีตำรวจนครบาลสำราญราษฏร์ เมื่อ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

อันที่จริงแล้ว เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจนปานปลายเป็นความรุนแรงนั้น ล้วนแล้วแต่เกิดจากการกระทำของผู้ชุมนุมซึ่งอ้างสิทธิเสรีภาพ (อย่างไม่มีขอบเขต) ทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่ต่างไปจากเหตุจลาจลจนกลายเป็นความรุนแรงซึ่งเกิดขึ้นภายในรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อ 6 มกราคม ค.ศ. 2021 ทำให้มีผู้เสียชีวิตขณะเกิดเหตุ 5 ราย โดย 1 รายถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำรัฐสภาสหรัฐฯ ยิง 1 รายจากการใช้ยาเกินขนาด 3 รายจากสาเหตุธรรมชาติ และมีเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำรัฐสภา 4 รายเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายภายในเจ็ดเดือนหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว (ซึ่งเหตุการณ์วันที่ 6 มกราคม ค.ศ. 2021 นี้ ซึ่งเหตุการณ์นี้ไม่ได้ใช้คำว่า ‘ประท้วง(Protest)’ แต่กลับใช้คำว่าเป็นเหตุการณ์ ‘โจมตี(Attack)’) ซึ่ง ส.ส.และ สว.ของรัฐสภาไทยก็ไม่เคยออกมติแสดงความคิดเห็นที่เกี่ยวข้องแต่อย่างใด เพราะมีมารยาทด้วยเห็นว่าเป็นกิจการภายในของสหรัฐฯ เอง เช่นนี้แล้วจะไม่เรียกว่า ร่างมติทั้งสองร่างดังกล่าว เป็นการกล่าวหาและมีลักษณะเป็นการแทรกแซงกิจการภายในของประเทศไทย ได้อย่างไร!!!

เจ้าหน้าที่ตำรวจประจำรัฐสภาสหรัฐฯ ใช้อาวุธปืนสงครามจี้คุมตัวผู้ก่อเหตุประท้วงในรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อ 6 มกราคม ค.ศ. 2021

เรื่อง: ดร.ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล 
ที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการสมัยใหม่ อาจารย์พิเศษหลักสูตรปริญญาโทและเอก นักเล่าเรื่องมากมายในหลากหลายมิติ เป็นผู้ที่ชื่นชมสนใจในประวัติศาสตร์สงครามสมัยใหม่ตลอดจนอาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ

รู้จัก ‘พลเอกประวิตร’ ในมุมที่คาดไม่ถึง ‘ชีวิต-ความรัก-ความฝัน-ประเทศไทย’

เรียกได้ว่าเป็นช่วงโค้งสุดท้ายของการหาเสียงก็คงไม่ผิด สำหรับ ‘พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ’ หรือ ‘บิ๊กป้อม’ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี แห่งพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งล่าสุดได้เดินทางไปร่วมรายการ Woody FM Candidate เพื่อพูดคุยกับพิธีกรดังอย่าง ‘วู้ดดี้ วุฒิธร มิลินทจินดา’

สำหรับการพูดคุยในวันนี้ วู้ดดี้ ได้เริ่มบทสนทนาด้วยการถามถึงชุดที่ใส่มาสัมภาษณ์ ว่าใครเป็นผู้เลือกชุดให้? พลเอกประวิตร ตอบว่า “ผมเลือกเองนะ และปกติผมก็แต่งแบบนี้ตลอดในวันหยุด ส่วนวันนี้ก็ถือว่ามาพูดคุยแบบไม่ข้องแวะเรื่องของการเมือง ที่สำคัญก็อยากจะให้เข้ากับคนรุ่นใหม่ด้วย” โดย พลเอกประวิตร ยังพูดติ่งไว้อีกว่า “ผมอยากทำวันนี้ เพื่อให้ทั้งคนรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ ให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น” 

เมื่อถามว่า ในวันปกติ ‘ลุงป้อม’ มักจะทำอะไร? พลเอกประวิตร กล่าวว่า “เวลาว่างก็ไปคุยกับเพื่อน ไปสนามกอล์ฟบ้าง แต่ก็ไม่ได้ตีกอล์ฟ จะเน้นไปพบปะและพูดคุยกับเพื่อน และส่วนใหญ่ก็จะเน้นไปทางทานข้าวกับเพื่อน ส่วนเรื่องที่พูดคุยกัน ก็เน้นเรื่องเก่าๆ ประสบการณ์ชีวิตต่างๆ” 

เมื่อถามถึงประสบการณ์ชีวิตในวัยเด็ก ที่คิดว่าลืมไม่ลง? พลเอกประวิตร กล่าวว่า “ตอนเด็ก ผมเคยเดินข้ามถนน แล้วพอดีรถก็มา จังหวะที่ผมก็กำลังวิ่งกลับ รถก็เกือบจะชน แต่ก็โชคดีที่มีคนมาช่วย” 

เมื่อถามถึงอายุและสุขภาพ? พลเอกประวิตร กล่าวว่า “ตอนนี้ 78 ปีแล้วครับ สุขภาพก็สบายดี ไม่เป็นอะไร มีแต่ขาอย่างเดียวนั่นแหละ เนื่องจากว่าเลือดไปเลี้ยงเส้นประสาทไม่พอ ตอนช่วงประมาณอายุ 72 ปี แต่ผมก็วิ่งทุกวันนะ วันละ 6 กิโลเมตร วิ่งมาตั้งแต่อายุ 20 กว่าปี วิ่งทุกวัน ไม่มีวันหยุด เป็นความต้องการของผมที่อยากจะออกกำลังกายน่ะนะ วิ่งทุกวันจนขาไม่ไหว ตอนเกษียณก็ยังวิ่งอยู่” 

วู้ดดี้ ได้ถามต่อถึงเซอร์ไพรส์ที่ได้ลงมือทำผัดซีอิ๊ว ว่าเป็นคนชอบเข้าครัวงั้นหรือ? พลเอกประวิตร กล่าวว่า “ก็เห็นแม่ทำนะ ทำให้ครอบครัวทานทุกวัน” พร้อมทั้งเล่าต่อว่า “คุณแม่ผมเลี้ยงผมมาแบบพื้นๆ เลย เพราะว่าผมมีพี่น้อง 5 คน เป็นผู้ชายทั้ง 5 คนเลย แต่แม่อยากได้ผู้หญิง แม่ก็เลยเลี้ยงแบบธรรมดาเลย แม่อดทนมากนะครับที่เลี้ยงพวกผมมา” 

เมื่อถามถึงตอนที่ตัดสินใจเป็นทหาร คุณแม่ว่ายังไง? พลเอกประวิตร ตอบว่า “แม่ไม่ว่า ซึ่งตัวผมเองก็อยากเป็นทหารอยู่แล้ว อยากเป็นเหมือนพ่อ แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะอยู่นานนะ เพราะผมไปราชการสงครามตลอดเลย ตั้งแต่เป็นร้อยตรีถึงพลตรี ก็ไปทุกพื้นที่”

เมื่อถามถึงภาพจำของทหารที่มองไปแล้วรู้สึกว่า ‘ดุ’? พลเอกประวิตร บอกว่า “มันคือระเบียบของผู้บังคับบัญชาจากทางราชการที่จะออกมาให้ทุกคนได้ปฏิบัติตาม เพื่อให้กองทัพมีความเข้มแข็ง ในเชิงปฏิบัติก็ต้องเป็นแบบนี้”

เมื่อถามถึง ในชีวิตจริงลุงป้อมเป็นคนแบบไหน? พลเอกประวิตร กล่าวว่า “ผมก็เป็นอย่างนี้แหละ ก็คนธรรมดา ผมก็เป็นประชาชนคนหนึ่งที่มีอาชีพทหาร โดยผมจะเป็นคนที่ค่อนข้างเชื่อมั่นในผู้คนอย่างมาก นั่นจึงทำให้ใครก็ตามที่มีความจริงใจกับผม ผมก็พร้อมจริงใจกับทุกคน” 

เมื่อถามถึงนิสัยในการตัดสินใจกับเรื่องสำคัญๆ? พลเอกประวิตร ตอบทันทีเลยว่า “ทำเลย ทำทันที ถ้ามีข้อมูลพร้อม”

เมื่อถามถึงวิธีคิดในการแก้ปัญหาของลุงป้อม? พลเอกประวิตร กล่าวว่า “เวลามีปัญหา ผมจะคิดว่า หากเราตัดสินใจอะไรลงไป ใครจะได้ประโยชน์บ้าง ส่วนตัวผมต้องการที่จะให้ทุกคนได้ประโยชน์ด้วยกันทั้งนั้น เพื่อที่จะให้เกิดความยุติธรรมกับทุกฝ่าย และก็ต้องตัดสินใจให้ดี เพราะไม่อยากตัดสินใจอะไรที่ทำให้คนถูกลายเป็นคนผิด คนผิดกลายเป็นคนถูก ตรงนี้สำคัญมาก”

เมื่อถามถึง ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา มักจะมีข่าวคราวต่างๆ เกิดขึ้น แต่ลุงป้อมก็ไม่เคยออกมาโต้หรือเคลียร์ เป็นเพราะอะไร? พลเอกประวิตร กล่าวว่า “จริงๆ ก็ไม่ใช่ว่าปล่อยวางนะ แต่ที่ผมไม่ออกมาเพราะมันไม่ใช่ความจริง การที่มีคนโจมตีไปโจมตีมา แล้วผมมัวแต่ไปแก้ตัว ผมก็คงไม่ต้องทำอย่างอื่นกันพอดี เอาเป็นว่า คนจะเชื่อก็เชื่อ ไม่เชื่อก็ไม่เชื่อ แต่ให้รู้ว่าที่ผมมักไม่ออกมา คือ ไม่ใช่ความจริง” 

เมื่อถามถึงกรณีวงดนตรีมักนำคำว่า ‘ไม่รู้ ไม่รู้’ ของลุงป้อมไปทำเป็นเพลง ลุงป้อมได้ฟังหรือไม่? พลเอกประวิตร กล่าวว่า “ฟังแล้วๆ น่ารักดี แต่ยังไม่ได้ดูนะ ยังไม่ได้เต้น”

เมื่อถามว่า ทำไมลุงป้อมถึงชอบใช้คำว่า ‘ไม่รู้ ไม่รู้’ บ่อยมากๆ? พลเอกประวิตร กล่าวว่า “คือผมไม่รู้จริงๆ ถ้าผมรู้ ผมก็จะบอกว่าผมรู้เรื่องนี้ แค่นี้ แต่ว่าถ้าเป็นเรื่องของคนอื่น ก็ให้ไปถามคนอื่น อย่ามาถามผม เหมือนกับเรื่องการเมือง ที่คนชอบถามผมว่า พรรคการเมืองนี้จะได้เท่าไร ผมจะไปตอบได้ยังไง ต้องรอวันที่ 14 พ.ค. เช่นเดียวกันกับว่าเราจะไปรวมกับใคร ผมก็ไม่รู้จะตอบยังไง เพราะทั้งหมดก็ยังต้องดูผลการเลือกตั้งเท่านั้น และผมก็ไม่ชอบตอบว่า ‘ถ้า’ ด้วย เพราะมันไม่ใช่เรื่องจริง” 

แม้จะเป็นการพูดคุยแบบสบายๆ ที่พยายามออกห่างเรื่องการเมือง แต่ วู้ดดี้ ก็ได้ไปถึงเหตุผลของการเข้ามาเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของลุงป้อมด้วย โดย พลเอกประวิตร ตอบคำถามนี้ว่า “เดิมไม่เคยคิด แต่ที่ยอมรับ เพราะลูกพรรคให้การสนับสนุน ถ้าลูกพรรคไม่ให้การสนับสนุน ผมก็ไม่รับ ทุกอย่างแล้วแต่สมาชิกพรรค ว่าเขาลงคะแนนยังไง ว่าเป็นไง ส่วนที่ผมปฏิเสธมาตลอดหลายปี ก็ต้องบอกตรงๆ ว่าผมไม่อยากเป็น มันไม่ใช่ว่าเพราะอะไรซับซ้อนหรอก แต่ผมคิดว่ามีคนอื่นที่ทำได้ดีกว่าเรา คิดว่าอย่างงั้นจริงๆ แต่ว่าเพราะว่าลูกพรรคเขาเห็นว่าสมควรต้องมาเป็นแคนดิเดตฯ ผมก็เลยรับ ส่วนจะได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ไม่ได้หวังอะไร แค่ทำเต็มที่ ทำตามที่ลูกพรรคได้ให้”

เมื่อถามถึงคำคมล่าสุดอย่าง ‘ก้าวข้ามความขัดแย้ง’ วู้ดดี้ ได้ขอให้ลุงป้อมช่วยอธิบายภาพให้เห็นว่าหมายถึงอะไร? พลเอกประวิตร ตอบว่า “ก้าวข้ามความขัดแย้งเนี่ย คือผมเห็นว่าคนไทยทุกคน คนไทยจะต้องมีความเป็นหนึ่งเดียว จะต้องมีความรักใคร่ ความสามัคคีกลมเกลียวกัน แต่ว่าในเรื่องของทางการเมือง หรือทางด้านความคิด ทุกคนย่อมมีความคิดเป็นของตนเอง ผมคงไม่สามารถไปบังคับว่าจะให้คุณไปเลือกพรรคนู้นพรรคนี้ หรือว่าชอบพรรคนู้นพรรคนั้น แบบนี้ไม่ได้ คุณต้องเป็นคนตัดสินใจเอง เพียงแต่ผมมีความหวังที่จะให้ทุกคนนั้นได้ก้าวข้ามความขัดแย้ง ต้องนึกถึงว่าเราเป็นคนไทย จะร่วมกันทำงานเพื่อคนไทย เมื่อมีความสงบเกิดขึ้น เศรษฐกิจมันก็จะเดินได้ ท่องเที่ยวก็จะเดินได้ รัฐบาลก็ทำงานได้ การค้าขายก็จะเข้ากระเป๋ามากขึ้น เพราะฉะนั้นมันจะดีไปหมด ถ้าประเทศมีความสงบเกิดขึ้น” 

วู้ดดี้ สลับฉากไปยังเรื่องเบาๆ โดยถามลุงป้อมว่า เคยมีแฟนหรือไม่? พลเอกประวิตร ตอบว่า “เคยมีแฟนตั้งแต่เด็ก อยู่เตรียมทหารก็มีแล้ว แต่ก็คบกันเฉยๆ ซึ่งก็มีคุยกัน ไปดูหนังกันบ้าง โดยสมัยนั้นไปปิ๊งกันที่ลานพระรูป และการติดต่อกันก็ใช้วิธีการเขียนจดหมายเอา เพราะสมัยก่อนไม่มีแลกไลน์ โทรศัพท์ยังไม่มี”

เมื่อถามถึงการลงพื้นที่ในประเทศไทย ลุงป้อม เดินสายไปตามจังหวัดต่าง ๆ ครบหรือยัง? พลเอกประวิตร ตอบว่า “ครบหมดแล้วทั้ง 77 จังหวัด ในเวลากว่า 2 ปีมานี้ เพราะผมต้องจัดการเรื่องน้ำ เวลาลงไปพื้นที่ก็จะมีชาวบ้านมาบอกกล่าวถึงปัญหาต่าง ๆ เช่น ต้องการที่ดิน ต้องการน้ำ น้ำตรงนั้นท่วม ตรงนั้นน้ำแล้ง แล้วเขาก็มาหาแบบต่อว่าด้วยนะ ซึ่งผมก็รับฟัง และแก้ไขให้ทันทีเลย” 

เมื่อถามว่า ถ้าลุงป้อม ได้เป็นนายกฯ สิ่งแรกที่จัดการคืออะไร? พลเอกประวิตร ตอบว่า “ผมบอกไม่ได้ ให้ผมเป็นก่อนแล้วกันนะครับ ไปบอกก่อน มันก็ไม่มีความหมายอะไร ให้ผมได้เป็นก่อน เป็นก่อนแล้วเดี๋ยวจะจัดการเอง” 

วู้ดดี้ ถามถึงวันเกษียณ ว่าเคยวางเป้าไว้เมื่อไร? พลเอกประวิตร กล่าวว่า “ถ้าไม่มีคนเลือก ไม่มีคนให้ทำงาน ผมก็หยุด ไปเที่ยว ไปทำงานส่วนตัวของผม แต่ว่าคงไม่ไปทำงานอะไรที่ใหญ่โตอีกแล้ว พูดง่ายๆ ก็คือ ถ้าการเมืองหนนี้ไม่ได้ไปต่อ ก็เกษียณ”

พลเอกประวิตร เสริมด้วยว่า “แต่ถ้าจะให้บอกว่าเกษียณแล้ว ต้องไปเที่ยวไหน ผมก็ยังไม่รู้เลย แต่ถ้าที่อยากไปแล้วยังไม่เคยไป ก็คงเป็น ‘เซอร์เบีย’ เพราะมันสวยดี ประเทศมันมีทะเล สวยมาก ส่วนในเมืองไทยตอนนี้ก็ยอมรับว่าไปมาหมดแล้ว ส่วนตัวชอบทะเล นอนดูทะเลได้ทั้งวันเลย สบายมาก”

สุดท้ายนี้ พลเอกประวิตร ได้ฝากถึงทุกท่านที่รับชม Woody FM ด้วยว่า “อยากให้ประชาชนคนไทย เลือกคนดีคนเก่ง มาทำงานให้กับประเทศชาติ เพื่อที่จะให้ประชาชนของเราไม่ยากจนนะครับ”

‘ปชป.’ ปล่อยหมัดเด็ดโค้งสุดท้าย ชูแก้หนี้ครัวเรือน ทำได้ใน 90 วัน ยัน!! ไม่เพิ่มหนี้สาธารณะ แนะ ปชช.ดูนโยบายประกอบการตัดสินใจ

(11 พ.ค. 66) ที่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ทีมเศรษฐกิจพรรคประชาธิปัตย์ ร่วมกันแถลงข่าว ‘มาตรการแก้หนี้ ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ 90 วัน ทำได้จริง’ โดย นายพิสิฐ ลี้อาธรรม ประธานคณะกรรมการนโยบาย นายเกียรติ สิทธีอมร และ ม.ร.ว.ศศิพฤนท์ จันทรทัต ทีมเศรษฐกิจ

โดยนายพิสิฐ กล่าวว่า แก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน กับกลุ่มที่มีเงินเดือนและเกษตรกร ในกลุ่มที่มีเงินเดือนซึ่งถือเป็นปัญหา โดยเฉพาะกลุ่มข้าราชการครู ที่ถูกฟ้องเรียกหนี้ 50,000 ราย พรรคฯ มีแนวทางแก้ไข 6 ประการ แก้ได้ในระยเวลาอันสั้น ทำได้ใน 90 วัน คือ

1.) แก้หนี้ครัวเรือนโดยอัดฉีดเงิน 1 ล้านล้านบาท
2.) กำกับตรวจสอบการชักจูงให้ประชาชนก่อหนี้ได้ง่ายเกินไป
3.) ลดยอดหนี้โดยหักจากเงินเดือนไม่เกิน 4% เพื่อให้เหลือใช้
4.) ปลดล็อกนำเงินจากสหกรณ์ออมทรัพย์ กบข. และกองทุนสำรองเลี้ยงชี้พ เพื่อมาลดหนี้บ้าน
5.) แก้ไข พ.ร.บ.ล้มละลาย ให้ประชาชนฟื้นฟูหนี้ได้ และ แก้ พ.ร.บ.เช็ค ยกเลิกโทษจำคุก กรณีเช็คเด้ง ให้มีเฉพาะคดีทางแพ่ง
6.) ปรับโครงสร้างหนี้แก้ไขกฎหมายเช่าซื้อที่ไม่เป็นธรรม ที่ผ่านมาการเช่าซื้อรถยนต์และมอเตอร์ไซค์กรรมสิทธิ์ยังเป็นของผู้ขาย พรรคฯ จะทำให้ความเป็นเจ้าของเป็นของลูกหนี้ สามารถใช้เป็นหลักประกันได้

“เราเชื่อว่าถ้าดำเนิการตามที่พรรคประชาธิปัตย์เสนอ เราจะสามารถลดหนี้ครัวเรือนได้จากปัจจุบัน 87% ให้เหลือต่ำว่า 80% ของจีดีพี หรือลดได้ 1 ล้านล้านบาท โดยไม่สร้างหนี้สาธารณะ และเราสามารถแก้หนี้ได้โดยไม่ต้องใช้เงินงบประมาณเลย” นายพิสิฐ กล่าว

ด้านนายเกียรติ กล่าวว่า หากประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาลจะลดรายจ่ายใน 90 วัน ดังนี้

1.) ลดค่าไฟ 1-1.5 บาท ต่อหน่วย ยกเลิกค่าเอฟทีทั้งหมด
2.) ปรับราคาก๊าซป้อนโรงไฟฟ้าและค่าผ่านท่อให้เป็นธรรม
3.) กำหนดสัดส่วนการผลิตระหว่างฯ กับเอกชน แก้ปัญหากำลังการผลิตสำรองเกิน
4.) ทบทวนราคา สัญญารับซื้อไฟฟ้า และการนำเข้าจากต่างประเทศ ส่วนค่าน้ำมัน จะลดได้ 2-3 บาท ต่อลิตร โดยกำกับค่าการกลั่น ค่าการตลาดให้เป็นธรรม
5.) ทบทวนโครงสร้างราคาและภาษีให้สะท้อนต้นทุนจริง
6.) ทบทวนเงินเข้ากองทุน ทบทวนการกำหนดราคาไบโอดีเซล และแก๊สโซฮอล์

นายเกียรติ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ยังจะลดก๊าซหุงต้ม โดยลดลง 80-100 บาท ต่อถัง (15 กก.) ตรวจสอบปริมาณการผลิต นำเข้าและใช้ในประเทศจริง ตรวจสอบต้นทุนและปริมาณที่ผลิตในประเทศ ทบทวนสูตรคำนวณราคาทุกกลุ่มผู้ใช้ แก้ปัญหาการลักลอบส่งไปต่างประเทศ ยกเลิกสิทธิพิเศษกับทุกกลุ่มอุตสาหกรรม

“ใกล้เลือกตั้งแล้ว อยากฝากถึงประชาชนให้พิจารณาตัวนโยบายของพรรคต่าง ๆ เพราะสะท้อนถึงแนวคิดของพรรคนั้น ๆ ซึ่งนโยบายของประชาธิปัตย์จะทำให้ลดหนี้ครัวเรือนจาก 87% เหลือน้อยกว่า 80% ของจีดีพี โดยไม่สร้างหนี้สาธารณะ ไม่เป็นภาระลูกหลาน เราแก้หนี้ได้โดยไม่ต้องใช้งบประมาณใด ๆ เพราะเราดำเนินการโดยมาตรการทางกฎหมาย ซึ่งแตกต่างจากอีกหลายพรรค” นายเกียรติ กล่าว

ขณะที่ ม.ร.ว.ศศิพฤนท์ กล่าวว่า 3 มาตรการ ที่ประชาธิปัตย์ทำได้ทันทีเพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชน คือ 1.) ลดค่าใช้จ่าย 2.) ลดภาระหนี้สินประชาชน และ 3.) เพิ่มรายได้ โดยในส่วนของการเพิ่มรายได้ ภายใน 90 วัน เราสามารถหารายได้เพิ่มจากการค้าชายแดนและการรับนักท่องเที่ยวเข้ามา ซึ่งจากการลงพื้นที่ที่มีการค้าขายทั้งเข้า-ออกสามารถทำได้ดีขึ้น ถ้ามีการเชื่อมต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ประเทศมาเลเซีย และอินโดนีเซีย จะทำให้การค้าชายแดนภาคใต้เติบโตขึ้นอีกหลายเท่าตัว

ม.ร.ว.ศศิพฤนท์​กล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องการท่องเที่ยวนั้นต้องรีบเจรจา หารือกับกลุ่มบริษัททัวร์เอเจนซี โดยเฉพาะเน้นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อจำนวนมาก และมาพักเป็นเวลานาน ให้กลุ่มบริษัททัวร์เอเจนซีมีความพร้อมรองรับการท่องเที่ยวในช่องไฮซีซันที่กำลังจะมาถึง ซึ่งจะทำให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจไปสู่ฐานรากอย่างทั่วถึง รวมทั้งพ่อค้า แม่ค้า หาบเร่ แผงลอย จะต้องจัดให้กลุ่มนี้มีพื้นที่ในการค้าขาย ยกระดับคุณภาพให้เป็นที่ถูกใจนักท่องเที่ยวที่เข้ามา รวมไปถึงการปรับแก้เรื่องการเข้าเมือง เพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยว สามารถเดินทางระหว่างประเทศได้สะดวกมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจไทยอย่างมหาศาล สร้างงาน สร้างเงินในกระเป๋าให้กับประชาชน

‘นุ่น ยศยา’ ตอกย้ำจุดยืนสายมู นิมนต์พระเจิมป้ายเสริมสิริมงคล หวังคว้าชัย เข้าไปผลักดันนโยบาย ‘เศรษฐกิจสายมู’ ของ ‘ชพก.’

(11 พ.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงาน สีสันการเลือกตั้งช่วงโค้งสุดท้ายการหาเสียงของ ผู้สมัคร ส.ส.อย่างวันนี้ นางสาวยศยา ชิยาปภารักษ์ หรือนุ่น ผู้สมัคร ส.ส. เขตพระโขนง บางนา เบอร์ 2 จากพรรคชาติพัฒนากล้า ตอกย้ำจุดยืนความเป็นสาวสายมู นิมนต์พระเกจิอาจารย์มาเจิมและสวดมนต์เอาฤกษ์เอาชัยป้ายเพื่อความเป็นสิริมงคลให้แก่ป้ายประชาสัมพันธ์ตนเอง ทั่วเขตพระโขนง และเขตบางนา สร้างความฮือฮาแก่ผู้คนที่ละแวกนั้นไม่น้อย นับเป็นสีสันแห่งการทิ้งโค้งช่วงสุดท้ายที่สะท้อนให้เห็นถึงหลักความเชื่อ และศิลปะวัฒนธรรมของชาวไทย เชื้อสายพุทธที่มีมาช้านาน 

นางสาวยศยา กล่าวว่า ตนลงพื้นที่ พบปะพี่น้องประชาชนและขอคะแนนเสียง มาจนถึงวันนี้ มั่นใจเกินร้อยว่าจะได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชนส่ง ‘นุ่น ยศยา’ เบอร์ 2 เข้าไปทำงานในสภา เพื่อเข้าไปผลักดันนโยบายเศรษฐกิจสายมู สร้างแลนด์มาร์คเชิงศรัทธาทั่วไทย 77 จังหวัด เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว และเพื่อเป็นการสร้างงาน สร้างรายได้ใหม่ให้คนไทยทั้งประเทศ

นายสาวยศยา กล่าวว่า แม้จะเป็นผู้สมัครหน้าใหม่ แต่ให้จำสโลแกนที่ใช้หาเสียงมาตลอดคือ “สายมู พร้อมอยู่คู่ประชาชน” ตนพร้อมอาสาเข้ามาทำงานการเมือง หญิงแกร่งคนนี้จบการศึกษาปริญญาเอกสาขาบริหารธุรกิจ อาสามาทำงานการเมืองโดยมุ่งทุบทุนผูกขาด สร้างแหล่งรายได้ใหม่ให้คนไทยทุกคน เพื่อให้คนไทย “งานดี มีเงิน ของไม่แพง” ทั่วทั้งประเทศ ฝากพี่ ๆ น้อง ๆ เป็นกำลังใจให้น้องนุ่น ยศยา ชิยาปภารักษ์ ผู้สมัคร ส.ส. เขต เขตพระโขนง และเขตบางนา วันที่ 14 พฤษภาคม กาเบอร์ 2 เพื่อให้นุ่นได้เข้าไปทำงานในสภา และกาเบอร์ 14 เพื่อให้ทีมเศรษฐกิจจากพรรคชาติพัฒนากล้าเข้าไปแก้ไขปัญหาปากท้องให้พี่น้องประชาชน

วิเคราะห์ฉากทัศน์ ‘ทิศทางประเทศไทย’ ภายใต้ขั้วรัฐบาล ‘อนุรักษ์นิยม vs เสรีนิยม’

นับถอยหลังจากนี้เหลือเวลาเพียงไม่อีกกี่วันก็จะถึง 'การเลือกตั้งปี 2566' ที่จะมีขึ้นวันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม 2566 ขณะที่มีการประเมินว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ ประชาชนจะตื่นตัวออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งอย่างคึกคัก มากกว่าการเลือกตั้งเมื่อปี 2562  

ทั้งนี้ เห็นได้จากการเลือกตั้งนอกเขตเมื่อวันอาทิตย์ที่ 7 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา มีผู้ลงทะเบียนกว่า 2 ล้านคน และมีผู้ออกมาใช้สิทธิ์กว่า 90%

ขณะที่ ในสนามการเลือกตั้งต่างแข่งขันกันอย่างดุเดือด โดยในภาพใหญ่เป็นการแข่งขันกันระหว่าง 2 ขั้วที่เรียกว่า ฝ่ายอนุรักษ์นิยม หรือ พรรคฟากรัฐบาล ที่นำโดยพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) และพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กับฝ่ายเสรีนิยม หรือ ฟากฝ่ายค้าน ที่นำโดยพรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกล

เมื่อดูตามผลโพลของสำนักต่าง ๆ ที่ออกมาก่อนหน้านี้ พบว่าฝ่ายเสรีนิยมมีแนวโน้มที่จะได้รับความนิยมสูงกว่าฝ่ายอนุรักษ์นิยมค่อนข้างมาก โดยเฉพาะกระแสความนิยมในตัวนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกล ที่มีคะแนนนิยมพุ่งอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันฝ่ายเสรีนิยม 2 พรรคที่ได้รับความนิยมสูงสุดได้รับความนิยมรวมกันมากถึง 68-84%

แต่ทว่า การจัดตั้งรัฐบาลนั้น มีหลายปัจจัยที่ต้องพิจารณา เพราะพรรคที่ได้จำนวน ส.ส.มากเป็นอันดับ 1 อาจไม่ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลก็ได้ ซึ่งได้ปรากฏให้เห็นแล้วเมื่อครั้งเลือกตั้งปี 2562 ที่ผ่านมา 

ส่วนการฉากทัศน์หลังการเลือกตั้งในครั้งนี้ จะเปลี่ยนโฉมหน้าการเมืองประเทศไทยอย่างไร หากพรรคอย่างกระแสแรงอย่าง พรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกล ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

หากว่ากันตามระบอบประชาธิปไตย ที่เปิดโอกาสให้พรรคมีคะแนนเสียงมากเป็นอันดับ 1 เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ก็เป็นไปได้ที่ พรรคเพื่อไทย จะได้เป็นรัฐบาล แต่จากการประเมินกระแสล่าสุด แม้ว่า เพื่อไทยจะได้คะแนนเสียงเยอะที่สุด แต่ก็ยังไม่ถึงกับแลนด์สไลด์ตามเป้า 

ดังนั้น หากเพื่อไทย อยากเป็นรัฐบาล ต้องได้ ส.ส. 376 ขึ้นไป จึงจำเป็นต้องไปดึงพันธมิตรฝ่ายที่คุยกันรู้เรื่องมาก่อน ซึ่งก็น่าจะเป็น ‘ก้าวไกล’ เพราะอย่างน้อยเคยร่วมเป็นฝ่ายค้านมาถึง 4 ปี และถือว่าอยู่ในขั้วเสรีนิยมด้วยกัน รวมถึงพรรคเล็ก ๆ ในฝั่งเดียวกัน แต่หากเสียงยังไม่พอ อาจต้องถึงพรรคต่างขั้วมาร่วม เพราะมีพรรคที่พร้อมเข้าร่วมแต่ขอให้ได้เป็นรัฐบาล

ถ้าเสียงยังไม่พอ อาจจะต้องพึ่งเสียง สว.มาเพิ่มอีก เพื่อรวมเสียงทั้งหมดให้ได้ 376 ขึ้นไป แต่อย่างไรก็ดี หากเพื่อไทยได้เก้าอี้ ส.ส. ไม่เยอะจริง อาจจะถูกต่อรองเก้าอี้กระทรวงสำคัญ ไปถึงขั้นเก้าอี้ ‘นายกรัฐมนตรี’ และเป็นไปได้ที่เพื่อไทยอาจจะยอม เพราะต้องการเป็นรัฐบาลไว้ก่อน เนื่องจากห่างหายมานาน และยังมีเรื่องสำคัญคือ การพา ‘ทักษิณ ชินวัตร’ กลับบ้านมาเลี้ยงหลาน ซึ่งการเลือกตั้งครั้งนี้คือความหวังและอาจจะเป็นโอกาสครั้งสุดท้ายของทักษิณ หากเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล

ท้ายที่สุด ถ้าเพื่อไทย - ก้าวไกล และพรรคร่วมสามารถตกลงจัดสรรตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีได้อย่างลงตัว ในแง่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจ อาจจะทำได้ทันที ซึ่งจะส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ แต่ในขณะเดียวกัน อาจจะเกิดเหตุชุมนุมทางการเมืองขนาดเล็ก จากกลุ่มผู้สนับสนุนพรรคการเมืองฝั่งตรงข้ามบ้างในช่วงแรกของการเป็นรัฐบาล 

แต่ในกรณีที่ฝั่งอนุรักษ์นิยม นำโดยพรรครวมไทยสร้างชาติ และพรรคพลังประชารัฐ รวมถึงพรรคร่วมรัฐบาลเดิมรวมเสียงกันได้เกิน 126 เสียง บวกกับ สว.อีก 250 เสียง จัดตั้งรัฐบาลเหมือนเมื่อครั้งปี 2562 ในกรณีนี้ มีความเป็นไปได้ ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แคนดิเดตนายกฯ พรรครวมไทยสร้างชาติ จะได้เป็นนายกฯ ต่อไป เพราะมีแต้มต่ออยู่ที่ สว. เพียงแต่มีเงื่อนไขพรรครวมไทยสร้างชาติ ต้องได้ ส.ส. 25 เสียงขึ้นไป

ถ้าโฉมหน้าการเมืองหลังเลือกตั้งออกมาเช่นนี้ ในแง่การบริหารราชการแผ่นดินคงไม่ต่างไปจากเดิม แต่จะเกิดการต่อรองทางการเมืองสูง และเสถียรภาพของรัฐบาลจะไม่มั่นคง เพราะเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย การผลักดันกฎหมายจะทำได้ยาก มีความเป็นไปได้ว่ารัฐบาลจะอยู่ไม่ครบ 4 ปี แม้ว่าจะหลังจากตั้งรัฐบาลเสร็จ จะมี ส.ส.ย้ายพรรคมาร่วมด้วยก็ตาม 

และที่สำคัญต้องไม่ลืมว่า พลเอกประยุทธ์ จะเหลือวาระการดำรงตำแหน่งอีกเพียง 2 ปีเท่านั้น ยกเว้นจะไปแก้รัฐธรรมนูญ เมื่อครบวาระแล้ว หลังจากนั้นจะให้ใครขึ้นมานั่งเก้าอี้นายกฯ แทน ตรงนี้อาจจะต้องกำหนดให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมาในภายหลัง

แน่นอนว่า รัฐบาลจะมีความเปราะบางสูง เป็นต้นว่า หาก พ.ร.บ.งบประมาณประจำปีไม่ผ่าน ก็ความเสี่ยงที่จะต้องยุบสภาจัดการเลือกตั้งใหม่ อีกทั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีมีความเสี่ยงถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจสูง นอกจากนี้ ยังมีโอกาสเกิดการชุมนุมทางการเมืองขนาดใหญ่เหมือนที่เคยเกิดขึ้นแล้วในอดีต เพราะภาพความเป็นผู้นำที่มีความเด็ดขาดของพลเอกประยุทธ์ เชื่อว่าจะไม่ยอมเจรจากับฝ่ายใดง่าย ๆ และหากเกิดภาพเช่นนี้จริง จะยิ่งส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจประเทศไทย ที่อยู่ระหว่างการฟื้นตัว

แต่หากฝ่ายอนุรักษ์นิยม มองว่า พลเอกประยุทธ์ เหลือเวลาอีกเพียง 2 ปี ไม่เหมาะนั่งนายกฯต่อ หันมาสนับสนุนให้พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ แคนดิเดตนายกฯ พรรคพลังประชารัฐ ขึ้นมานั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีแทน ก็จะเป็นการวนไปสู่ภาพของรัฐบาลชุดที่ผ่านมา ที่มีพรรคพลังประชารัฐเป็นแกนนำ แต่จะต่างกันที่ในครั้งนี้ฐานเสียงไม่แน่นเหมือนครั้งที่ผ่านมา เพราะอดีต ส.ส. จำนวนหนึ่งได้ย้ายออกไปสังกัดพรรคอื่นแล้ว 

เพราะฉะนั้น สิ่งที่จะเกิดขึ้น คือ การต่อรองทางการเมืองที่สูงมาก เสถียรภาพรัฐบาลไม่มั่นคง และอาจจะมีการชุมนุมใหญ่ทางการเมืองตามมา แต่ความรุนแรงอาจจะแตกต่างกัน เพราะด้วยบุคลิกของพลเอกประวิตร ที่มีความประนีประนอมมากกว่านั่นเอง  

แต่อย่างไรก็ตาม ผลสรุปของการเมืองหลังการเลือกตั้งวันที่ 14 พฤษภาคมนี้ และโฉมหน้ารัฐบาลจะออกมาอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลหน้าใหม่ หรือหน้าเก่า อำนาจส่วนหนึ่งอยู่ที่ปลายปากกาของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่จะเป็นส่วนสำคัญร่วมกำหนดทิศทางของประเทศ

‘กรณ์’ ลุยภาคใต้ 2 สัปดาห์ติด มั่นใจกระแสดี ปักธงใต้อย่างน้อย 5 คน การันตี!! ผู้สมัคร ‘ชพก.’ เน้นลงมือทำ-แก้ปัญหา พาใต้สู่ยุครุ่งเรืองได้

(11 พ.ค. 66) นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า ยังคงปักหลักอยู่ที่ จ.ภูเก็ต เพื่อช่วย 2 ผู้สมัคร นายเทมส์ ไกรทัศน์ เขต 2 เบอร์ 7 และนางสาวอรทัย เกิดทรัพย์ เขต 3 เบอร์ 1 ขอเสียงประชาชนในช่วงท้ายของการหาเสียงเลือกตั้ง

โดยช่วงเช้า นายกรณ์ได้ขึ้นรถแห่พร้อมด้วยนายเทมส์ ไปยัง ต.ฉลอง ต.ราไวย์ อ.เมือง เพื่อขอเสียงสนับสนุนจากพี่น้องประชาชนที่สัญจรไปมา ตลอดจนผู้ประกอบการร้านค้าสองข้างทาง และหมู่บ้านต่างๆ โดยมีเสียงตอบรับและให้กำลังใจเป็นจำนวนมาก พร้อมทั้งชูมือสัญลักษณ์เลข 7 ตลอดเส้นทาง โดยนายกรณ์ ได้ฝากนายเทมส์ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ ที่มีความรู้ความสามารถ มีจิตสาธารณะ เป็นคนที่เราใฝ่หาคนแบบนี้มาตลอด ทำให้มั่นใจว่าเขาจะเป็นส.ส.ที่ดีให้กับชาวภูเก็ตได้อย่างแน่นอน ขณะที่นายเทมส์ ก็ได้เสริมว่า เพื่ออนาคตของภูเก็ต ถ้าได้เทมน์ ไกรทัศน์ เบอร์ 7 ท่านจะได้ ส.ส.เด็ดๆ ได้ภูเก็ตที่ดีกว่า ได้คนทำงาน ได้คนกล้า เข้าไปแก้ปัญหาให้พี่น้องประชาชน    

จากนั้นนายกรณ์ ได้ให้สัมภาษณ์ กับผู้สื่อข่าวว่า วันนี้มั่นใจว่า ผู้สมัครทั้ง 2 คนที่พรรคชาติพัฒนากล้า ส่งลงจะได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน เพราะประชาชนต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลง วันนี้ภูเก็ตจะมีนักท่องเที่ยวกลับเข้ามามาก แต่เราไม่ได้มองแค่ตัวเลขนักท่องเที่ยวหรือ หรือ ตัวเลขจีดีพีที่เพิ่มขึ้น แต่เราต้องไปดูในระดับประชาชนว่าเขาได้รับความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างไร ภูเก็ตควรมีโอกาสบริหารตัวเอง การจัดสรรงบประมาณต้องเป็นธรรม เราพูดแต่แรกว่า ภูเก็ตจะเป็นเมืองระดับโลกที่แท้จริงได้ สาธารณูปโภคต้องอยู่ในระดับมาตรฐานของโลกด้วย และตัวของ ส.ส.ที่จะเข้ามาเป็นตัวแทนของชาวภูเก็ต นอกจากจะพึ่งพาได้แล้ว ยังต้องเป็นคนที่คนภูเก็ตภาคภูมิใจ ว่าเขาเป็นตัวแทนในระดับสากลได้ด้วย นอกจากนี้เรื่องค่าครองชีพที่สูงขึ้น ซึ่งมีสาเหตุเหตุมาจากต้นทุนพลังงาน และค่าไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น เราต่อสู้มาโดยตลอด นอกจากนี้ในช่วง 2 ปี ที่ภูเก็ตซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยว ต้องหยุดชะงักเพราะสถานการณ์โควิด หนี้สินภาคครัวเรือนที่พุ่งสูงขึ้น เราจะเข้ามาช่วยคนตัวเล็กให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนในอัตราดอกเบี้ยที่เป็นธรรม 

นายกรณ์ กล่าวว่า กระแสของพรรคชาติพัฒนากล้าในภาคใต้ดีวันดีคืน ตนมาอยู่ที่ภาคใต้ตลอดสองสัปดาห์ ตระเวณช่วยผู้สมัคร ปราศรัยหาเสียง ตั้งแต่ ภูเก็ต สงขลา หาดใหญ่ พัทลุง นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี ชุมพร ฯลฯ แม้เราจะไม่ได้ส่งผู้สมัครครบทุกเขต แต่คะแนนของผู้สมัครเราอย่าในระดับดี ประชาชนให้การยอมรับในท่าทีของเราที่ไม่ขัดแย้งกับใคร เรายึดความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนเป็นหลัก เพราะการลงพื้นที่ไม่เคยมีใครถามว่า เราจะอยู่ฝ่ายไหน มีแต่สะท้อนปัญหาความเดือดร้อนให้เราช่วยผลักดันแก้ไข เราจึงส่งผู้สมัครคนรุ่นใหม่ที่มีความตั้งใจเปลี่ยนแปลงการเมือง เพราะเชื่อว่าบ้านเมืองเปลี่ยนไม่ได้ ถ้าการเมืองไม่เปลี่ยน เพราะปัจจุบันการผูกขาดมันมากขึ้นเรื่อยๆ และครอบงำการเมืองระดับประเทศ พรรคเราเป็นพรรคเล็กที่ปราศจากทุนผูกขาดอุปถัมภ์ เราสู้แบบไม่ต้องเกรงใจใคร และผู้สมัครทุกคนก็มีอิสระทางความคิดของตนเอง 

“ภาคใต้เราส่งผู้สมัคร 19 คน ผมมั่นใจเข้ามาได้อย่างน้อย 5 คน ซึ่งถือว่าเป็นสัดส่วนที่สูงสำหรับพรรคขนาดเล็กของเรา และหากเข้ามาได้ จะมีผลต่อการสร้างความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของภาคใต้ ที่จะกลับไปสู่จุดเดิม ผมเป็นคน กทม.เคยอยู่พรรคประชาธิปัตย์มาก่อน มีความชื่นชมการเมืองภาคใต้ตลอด รู้สึกว่าการเมืองภาคใต้ เป็นผู้นำทางความคิด และผู้นำในระดับประเทศ แต่ช่วงนี้มันหายไป เราไม่เห็นบุคคลที่โดดเด่นทางความคิดในทางปฏิบัติ เหมือนในอดีต ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย ผมเชื่อว่าชาวใต้เองก็โหยหา ในส่วนของคนรุ่นใหม่พรรคชาติพัฒนากล้าครั้งแรกผมก็ไม่ได้มั่นใจนัก แต่พอเขาแสดงตน มีหลายคนที่จะสามารถนำพาการเมืองกลับไปสู่เหมือนเดิมได้ เพราะมีอุดมการณ์ที่ชัดเจนคือ ไม่ซื้อเสียง นำความคิด เน้นเรื่องลงมือทำ เน้นการแก้ปัญหา ทั้งเทมส์ – อรทัย ภูเก็ต, จูรี หาดใหญ่ สงขลา, ทนายลิขิต ชุมพร, นายหัวสิทธิ ชะอวด นครศรีธรรมราช คนพวกนี้จะเข้าไปเป็นเชื้อการเมืองที่ดี แนวสร้างสรรค์ นำมาการเมืองภาคใต้ไปอยู่ยุครุ่งเรืองเหมือนในอดีตได้ ผมเชื่อแบบนั้น” หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าว  

ด้านนายเทมส์ กล่าวว่า การเลือก ส.ส.เขต คือเลือกตัวบุคคล โดยส่วนตัวไม่อยากให้การเมืองใหญ่มาเป็นปัจจัยในการลงคะแนน หยิบปากกาให้มั่น เลือกคนที่คุณมั่นใจจริง ๆ เราไม่ได้เลือกแล้วมีผลต่อการตั้งรัฐบาลทันที แต่สิ่งที่สำคัญคือ ชีวิตประจำวันของพี่น้องประชาชน อย่าเลือกด้วยความกลัวว่าใครจะกลับมาหรือใครจะอยู่ต่ออีกกี่ปี แต่อยากให้เลือกด้วยความหวัง ว่าเศรษฐกิจหลังจากนี้จะดีขึ้น ปากท้องดีขึ้น เงินต้องมี สินค้าต้องไม่แพง เราต้องเลือกด้วยความหวังว่า คนไหนที่จะมาแก้ปัญหาให้เราได้ และ ส.ส.เขตคนไหนที่เราพึ่งได้จริงๆ ว่าเขาจะแก้ไขปัญหาให้เราได้ พูดแทนเราได้จริง การเมืองไทยจะดีขึ้น 14 พฤษภาคม เลือกเทมส์ ไกรทัศน์ เบอร์ 7 ไม่ผิดหวังแน่นอน

‘บิ๊กตู่’ ชวนคนไทยออกไปใช้สิทธิ 14 พ.ค. เลือกกา ‘รทสช.’ สานต่อ แก้ปัญหา คลายทุกข์ให้ ปชช.

(11 พ.ค. 66) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานคณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์พรรค และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้ออกมาเชิญชวนพี่น้องชาวไทยออกมาใช้สิทธิเลือกตั้ง 14 พ.ค. นี้ โดยระบุว่า…

“สวัสดีครับพ่อแม่พี่น้องประชาชนชาวไทยทั้งประเทศ ผมขอเชิญชวนออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งในวันที่ 14 พ.ค. 2566 นี้ อย่างพร้อมเพรียงกัน และอย่าลืมบัตรสีม่วง เลือกผู้สมัครส.ส.พรรครวมไทยสร้างชาติ ทั้ง 400 เขต และบัตรสีเขียวเลือก ‘ลุงตู่’ หมายเลข 22 เพื่อให้พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้เข้าไปทำงานต่อ เพราะเรายังมีงานที่ต้องสานต่อ ทำต่อ อยู่ต่อ อีกมาก ตามที่ตั้งใจไว้ว่าเราจะทำไว้ ทำอยู่ ผมมั่นใจในนโยบายของพรรคจะสามารถแก้ปัญหาให้แก่พี่น้องประชาชนได้อย่างแน่นอน อย่าลืมนะครับ วันที่ 14 เลือก 2 ใบนะครับ” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

เปิดสตอรี่ ‘เก่งลายพราง’ อดีตคนคุกกลับใจกับชีวิตกินหรูอยู่สบาย หรือแท้จริง ‘ธุรกิจหมึกย่าง’ เป็นแค่ฉากบังหน้าเพื่อไว้ฟอกเงิน

เมื่อวันที่ 10 พ.ค. 66 รายการ ‘ถอนหมุดข่าว’ เผยแพร่ทางแอปพลิเคชั่น SONDHI APP สถานีโทรทัศน์ NEWS1 ช่องยูทูป NEWS1 และเฟซบุ๊กแฟนเพจ NEWS1 วันพุธที่ 10 พฤษภาคม 2566 นำเสนอรายงานพิเศษ เปิดลับ เก่ง ลายพราง ฟอกเงินจากเว็บพนัน ผ่านสตอรี่หมึกย่างอำพราง

‘เก่ง ลายพราง’ นายจิรายุ ยิ้มอำไพ อินฟลูเอนเซอร์ดัง ที่ขายลุค ‘คนคุก’ ได้เวลากลับเข้าคุกอีกรอบแล้ว หลังโดนตำรวจไซเบอร์จับข้อหาชักชวนคนเล่นการพนัน จากการโฆษณาเชิญชวนคนไปเข้าเว็บพนันออนไลน์ อย่างโจ๋งครึ่ม ทั้งแปะลิงก์ ทั้งพูดโต้งๆ ออกไลฟ์สด พอถูกจับก็อ้างว่า เพราะธุรกิจ “หมึกย่างลายพราง” ของตัว ที่เคยขายดีทำรายได้วันละเป็นแสนบาท ตอนนี้ยอดตกหนัก เหลือแค่วันละ 6 พันบาท เงินไม่พอยาไส้ จำต้องมารับจ้างดึงคนไปเล่นพนัน มีรายได้เดือนละ 300,000 บาท

หากพิจารณาเรื่องราวของ ‘เก่ง ลายพราง’ ตั้งแต่ต้น สามารถฟันธงได้เลยว่า มันล้วนเป็น ‘สตอรี่’ ที่เขาจงใจสร้างมา ให้มีความดรามาเรียกคนติดตาม

เขาขายสตอรี่คนคุกที่ออกมาสร้างครอบครัวใหม่อย่างสุจริต โอ้โห ช่างโดนใจสายโซเชียล สังคมไทยเป็นนักให้โอกาสคนอยู่แล้ว

‘หมึกย่างลายพราง’ ไม้ละ 120 บาท ของ ‘เก่ง ลายพราง’ เลยดังเปรี้ยงปร้าง ขายดีจนเจ้าตัวออกอาการคึก ประกาศจะขยายสาขา แต่สตอรี่จริงๆ ที่ซ่อนไว้เนียนๆ ก็คือ ธุรกิจหมึกย่างของเขา มันก็มีไว้เพื่อฟอกเงินกลายๆ เพื่อจะตอบสังคมได้ว่า ทำไมเขาถึงใช้ชีวิตแบบกินหรูอยู่สบาย มีทั้งบ้านหลังใหญ่ รถแพงๆ หลายคัน เที่ยวนอนรีสอร์ท พลูวิลล่าแพงๆ เอามาอวดให้ FC ฮือฮาตลอด เขาเบี่ยงเบน ให้คนเข้าใจไปว่าเขารวยจาก ‘หมึกย่างลายพราง’ ทั้งที่เขารวยจากเว็บพนันต่างหาก

‘หมึกย่างลายพราง’ จึงมีสถานะก็แค่ ‘หมึกย่างอำพราง’ ธุรกิจทำเงินจริงๆ ของเขา คือเว็บพนัน จากที่อ้างว่าได้เงินจากแอดมินแค่เดือนละ 300,000 บาท ก็ไม่น่าจะเป็นคำให้การตามจริง เนื่องจากทุกวันนี้ ธุรกิจเว็บพนันเจอปัญหาใหญ่ คือ ขาดแคลนอินฟลูเอนเซอร์ ที่จะมาชักชวนเด็กๆ เยาวชน มาเป็นเหยื่อ เพราะหลายรายถูกจับเข้าตะรางไปแล้ว หลายรายก็เริ่มไหวตัว ขืนทำต่อละก็คุกแน่นอน เลยชิงวางมือกันไปหมด เหลือแต่อินฟลูเอนเซอร์ ที่วอนนอนคุกอย่าง ‘เก่ง ลายพราง’ ที่ยังวาดลวดลายอย่างไม่แคร์สื่อ

ซึ่งภาวะที่วงการขาดแคลน ‘คนชั่วที่ใจกล้า’ นี่เอง ประกอบกับเขาทำงานแบบเกินร้อย ชักชวนคนเล่นพนันต่อหน้ากล้องอย่างชัดเจน ในสไตล์คล้ายกับ ‘เสี่ยโป้’ เคยทำมาก่อน

ราคาค่าตัวของ ‘เก่ง ลายพราง’ น่าจะไม่ใช่แค่ 300,000 ต่อเดือน อย่างที่เขาอ้างกับตำรวจ แต่น่าจะเป็นเงินถึงหลักล้าน สอดคล้องกับชีวิตกินหรูอยู่สบาย หรือแม้แต่พูดอวดว่า เขายังติดการพนัน แค่เจียดเงินบางส่วนมาเล่น ก็ยังเล่นเสียไปถึง 3 ล้านบาท รายได้แค่ 300,000 บาทต่อเดือน จากเว็บพนัน คงไม่มากพอที่จะทำเช่นนั้นได้

เรื่องนี้จึงเป็นบทเรียนของสังคมไทย อย่าหลงเชื่อสตอรี่ดราม่าอะไรง่ายๆ และก็อย่าโลกสวย เชื่อว่าคนบางคนจะกลับตัวกลับใจ ทำมาหากินสุจริตได้

'สนธิรัตน์' ได้ใจเมืองคอน หลังชู 3 นโยบายเด็ดเสริมแรงผู้สมัครฯ 'เมืองอุตฯ น้ำมันเจ็ต - ดันราคาปาล์ม - แปลง สปก. เป็นโฉนด'

พรรคพลังประชารัฐ เปิดปราศรัยใหญ่โค้งสุดท้ายที่หลังสถานีรถไฟชะอวด นครศรีธรรมราช ประกาศนโยบายเด็ด นครศรีฯ เมืองอุตสาหกรรมน้ำมันเจ็ต ใช้น้ำมันปาล์มผลิตน้ำมันเครื่องบิน ย้อนสูตร B-10 ปุ๋ยราคาถูก ดันปาล์มสูงกว่า 10 บาทแน่นอน ด้าน 'อาญาสิทธิ์' ดัน สปก. เป็นโฉนด 

เมื่อวันที่ 10 พ.ค.66 ที่หลังสถานีรถไฟชะอวด จ.นครศรีธรรมราช นายอาญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ เปิดปราศรัยใหญ่ รณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ส.ส.เขต 4 นครศรีธรรมราช โดยมีนายสนธิรัตน์ สนธิจีรวงศ์ ประธานยุทธศาสตร์ของพรรคและทีมงานมาช่วยปราศรัย มีชาวบ้านในพื้นที่เดินทางมาฟังการปราศรัยเกอบ 10,000 คน 

นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า ตั้งแต่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จนมาถึงรมว.พลังงาน มีแนวทางในการแก้ไขปัญหาราคาปาล์มน้ำมันตกต่ำ ในสมัยเป็นรมว.พาณิชย์ ทำได้แค่ราคา 3-4 บาท แต่พอเป็นรมว.พลังงาน นำน้ำมันปาล์มเป็นส่วนผสมบี 10 ราคาปาล์ม จึงขยับเป็นกว่า 10 บาทต่อกิโลกรัม ต่อมาตนไม่ได้ดำรงตำแหน่งนโยบายนี้ ก็ไม่ได้ดำเนินการ ราคาปาล์มจึงลดลงในปัจจุบัน 

"พรรคพลังประชารัฐมีนโยบายที่จะช่วยให้พี่น้องชาวสวนปาล์มได้มีโอกาสร่ำรวยอีกครั้ง และเป็นการร่ำรวยที่ยั่งยืน ขอประกาศณ ที่นี้ว่า จะพัฒนาเองนครฯ เป็นนิคมอุตสาหกรรมน้ำมันเจ็ต นำน้ำมันปาล์มมาเป็นส่วนผสมของน้ำมันเครื่องบิน เป็นนโยบายที่ทีมงานคิดค้นขึ้นมา รับประกันว่า ทำได้แน่ เพราะในอนาคตตั๋วเครื่องบินที่เติมน้ำมันสะอาด จะมีราคาถูกกว่า ซึ่งจะทำให้น้ำมนปาล์มไม่เพียงพอแน่นอน เพราะปัจจุบันเราผลิตได้ 3,000 ล้านตัน แต่โรงงานผลิตน้ำมันเครื่องบินเจ็ต จะใช้ปีละเปนหมื่นล้านตัน ราคาปาล์ม จะไม่ต่ำกว่า 10 บาทแน่นอน นโยบายนี้ประกาศที่นครศรีฯ ที่ชะอวดเป็นที่แรก ชาวสวนปาล์ม จะร่ำรวยแน่นอน และจะลดค่าใช้จ่ายโดยมีนโยบายปุ๋ยคนละครึ่ง พลังประชารัฐจะผลักดันปุ๋ยราคาถูก" ประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ กล่าว 

ขณะที่ด้านนายอาญาสิทธิ์ ศรีสุรรณ ผู้สมัครส.ส.เขต 4 หมายเลข 6 ได้พูดถึงนโยบายของพรรคพลังประชารัฐ ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ โดยจะลดค่าครองชีพ ลดราคาก๊าซหุงต้ม ลดราคาน้ำมัน ลดค่าไฟฟ้า และจะเพิ่มสวัสดิการแห่งรัฐ สวัสดิการผู้สูงอายุ 3,000-5,000 บาท นโยบายมารดาประชารัฐ จะมีสวัสดิการ แม่ท้องแก่ เด็กแรกเกิด เป็นสิ่งที่พรรคพลังประชารัฐจะช่วยเหลือพี่น้องผู้ด้อยโอกาส เป็นนโยบายที่พรรคเน้นสร้างคนให้เป็นบุคลากรที่มีคุณภาพของชาติ

"พรรคมีนโยบายที่จะสร้างที่ดินทำกินที่ยั่งยืนให้พี่น้องเกษตรกร โดยจะแปลงเอกสารสิทธิ์ที่ดินสปก.4-01 เป็นโฉนด ขายได้ จำนองได้ แปลงเป็นทุนได้ พี่น้องจะได้หลุดพ้นเงื่อนไขเดิมๆ จะได้มีฐานะมีอาชีพและฐานะที่มั่นคง" นายอาญาสิทธิ์ กล่าว 

"จากที่เห็นพี่น้องมาฟังการปราศรัยในวันนี้ มีความมั่นใจว่า จะสามารถปักธงพลังประชารัฐ ที่เขต 4 นครศรีธรรมราชอีกครั้ง" อาญาสิทธิ์ กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top