Thursday, 15 May 2025
SPECIAL

‘ไบเดน’ โวเปิดศักราชใหม่ สัมพันธ์สหรัฐฯ-อาเซียน จ่อยกระดับเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ที่ ‘ครอบคลุมทุกด้าน’

ประธานาธิบดี โจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ เป็นประธานในการประชุมสุดยอดผู้นำสหรัฐฯ และสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) สมัยพิเศษ ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อวันศุกร์ (13 พ.ค.) โดยระบุว่าการพบกันครั้งนี้ถือเป็นการ “เปิดศักราชใหม่” ในความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับทั้ง 10 ประเทศ

ในคำแถลงร่วมภายหลังการประชุม สหรัฐฯ และอาเซียนต่างให้คำมั่นสัญญาว่าจะยกระดับความสัมพันธ์สู่ความเป็นหุ้นส่วนในเชิงยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมทุกด้าน (comprehensive strategic partnership) ภายในเดือน พ.ย.

สหรัฐฯ และอาเซียนยังประกาศ “จะเคารพในอธิปไตย ความเป็นอิสระทางการเมือง และบูรณภาพแห่งดินแดน” ของยูเครน ซึ่งผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าเป็นการเลือกใช้ถ้อยคำที่ “หนักแน่น” กว่าคำแถลงก่อนๆ ของอาเซียน แม้จะไม่ถึงขั้นประณามรัสเซียที่ส่งทหารบุกยูเครนเมื่อวันที่ 24 ก.พ. ก็ตาม

การประชุมสุดยอดครั้งนี้ยังถือเป็นครั้งแรกที่สหรัฐฯ เปิดทำเนียบขาวต้อนรับบรรดาผู้นำอาเซียน และเป็นซัมมิตกับอาเซียนที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นเจ้าภาพครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2016

รัฐบาล ไบเดน หวังที่จะใช้เวทีประชุมคราวนี้แสดงให้เห็นว่าสหรัฐฯ ยังคงให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อกิจการในอินโด-แปซิฟิก รวมไปถึงการสกัดกั้นอิทธิพล “จีน” ซึ่งวอชิงตันถือว่าเป็นคู่แข่งเบอร์ 1 ในภูมิภาค นอกจากนี้ยังหวังที่จะกล่อมผู้นำอาเซียนให้ประกาศจุดยืนแข็งกร้าวมากขึ้นต่อการที่รัสเซียรุกรานยูเครน

“ประวัติศาสตร์โลกในอีก 50 ปีนับจากนี้จะถูกเขียนขึ้นในภูมิภาคอาเซียน และความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับอาเซียนคืออนาคตที่กำลังจะมาถึงในอีกหลายปี และหลายสิบปีข้างหน้า” ไบเดน กล่าว

ผู้นำสหรัฐฯ ย้ำด้วยว่า ความเป็นหุ้นส่วนกับอาเซียนนั้น “สำคัญยิ่งยวด” และ “เรากำลังจะเปิดศักราชใหม่ในความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับอาเซียน”

ไบเดน ได้เป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารค่ำแก่บรรดาผู้นำอาเซียนที่ทำเนียบขาวเมื่อวันพฤหัสบดี (12) พร้อมประกาศจะทุ่มเม็ดเงินลงทุน 150 ล้านดอลลาร์ (ราว 5,200 ล้านบาท) เพื่อช่วยพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน สนับสนุนด้านความมั่นคง การเตรียมพร้อมรับมือโรคระบาด และพลังงานสะอาดในภูมิภาค นอกจากนี้ยังจะส่งเรือยามฝั่งเข้ามายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อช่วยรับมือ “การทำประมงผิดกฎหมายของจีน”

ไบเดน ประกาศแต่งตั้ง โยฮันเนส อบราฮัม (Johannes Abraham) ประธานคณะเจ้าหน้าที่สภาความมั่นคงแห่งชาติของทำเนียบขาว เป็นเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำภูมิภาคอาเซียน ซึ่งตำแหน่งนี้ได้ว่างลงนับตั้งแต่อดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เข้าบริหารประเทศในปี 2017

ชีวิตเปลี่ยนเพราะ “คดีน้องชมพู่” จากนักข่าวสายลุย ตามฝันสู่ผู้ประกาศข่าวเต็มตัว

🎤 สัมภาษณ์พิเศษ : ไอซ์ สารวัตร ผู้ประกาศข่าว อมรินทร์ทีวี

ชีวิตเปลี่ยนเพราะ “คดีน้องชมพู่” จากนักข่าวสายลุย ตามฝันสู่ผู้ประกาศข่าวเต็มตัว

นักข่าวขวัญใจชาวไทย มากความสามารถ ยอมรับชีวิตเปลี่ยนเพราะ “คดีน้องชมพู่”

1.) "ไอซ์ สารวัตร" ในวงการผู้สื่อข่าว ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้

ไอซ์ สารวัตร : เริ่มฝึกงานจากช่อง 3 ซึ่งตอนเรียนจบ ก็ได้มาทำงานอยู่ที่ อัมรินทร์ทีวี อยู่ที่แรกรายการ “โต๊ะข่าวบันเทิง” อยู่ A-POP บันเทิง ได้สักครึ่งปีและก็ขยับตัวเองหรือได้รับโอกาสจากคุณพุทธ พุทธอภิวรรณ (ผู้ประกาศข่าวทุบโต๊ะข่าวบันเทิง) ปรับมาเป็นผู้สื่อข่าวของ รายการทุบโต๊ะข่าว จากนั้นก็เป็นผู้สื่อข่าวเรื่อยๆ มา ทำอยู่ได้สัก 2 ปี ก็ได้มาอ่านข่าวที่ “ข่าวเที่ยงอัมรินทร์” อีก 2 ปี แล้วก็พัฒนามาเรื่อยๆ เก็บประสบการณ์โอกาสจากผู้ใหญ่ ได้รับความไว้วางใจให้มาอ่านในรายการ “ทุบโต๊ะข่าว” ทั้งช่วงที่ 1 และ ช่วงที่ 2 อาจจะมีการปรับในช่วงเวลา วันเวลาในการอ่านแล้วบ้าง จนมาถึงช่วงนี้ ได้มาเป็นผู้ประกาศข่าวเต็มตัวแล้วครับ อย่างที่เคยฝันเอาไว้

2.) ย้อนไปเล่าถึงเหตุการณ์ ช่วงการทำงาน คดีลุงพล ถือเป็นคดีแจ้งเกิด "ไอซ์ สารวัตร" ตอนนั้นรู้สึกอย่างไร?

ไอซ์ สารวัตร : ถ้าเล่าย้อนไปคดีลุงพลจริงๆ ต้องบอกว่าเป็นคดีข่าวเป็นการหายตัวไปน้องชมพู่ แต่คนอาจจะไปติดปากในคดีนั้น ก็ต้องยอมรับครับว่าเป็นคดีแจ้งเกิดของตัวไอซ์เอง เนื่องจากว่าเป็นที่รู้จักมากขึ้น ถือว่ามันฟีเวอร์มากที่สุดในช่วงเวลานั้น ก็คนจำเราได้มากขึ้น ไปที่ไหนก็มีคนทักทายโดยเฉพาะแถบ ภาคอีสานหรือตามต่างจังหวัด ก็จะได้รับกระแสตอบรับที่ดี

ส่วนตัวผม ยอมรับว่ามันทำให้รู้สึกเราแปลกใหม่ และก็ถือว่าเป็นสีสันของการทำข่าว มันก็ทำให้มีข้อดีและข้อเสีย ข้อดีก็คือว่า เรามีคนรู้จักมากขึ้น เข้าถึงแหล่งข่าวได้ง่ายขึ้นแต่ว่าที่สิ่งยากหน่อย คือ 1.ในเรื่องของวางตัว 2.การไปทำข่าวในเชิงสืบสวนสอบสวนที่เราทำอยู่ มันอาจจะทำให้แหล่งข่าวที่เราไปบางทีเขาอาจจะจำเราได้ว่าเราเป็นนักข่าว ซึ่งบางครั้งเราก็ไม่ได้อยากเข้าไปในฐานะนักข่าว เราอยากไปเป็นแบบชาวบ้านทั่วไป เพื่อจะให้ได้ข่าวจริงๆ ออกมา ซึ่งเป็นก็มีข้อดีข้อเสียต่างกัน แต่เราก็ดีใจที่มีคนจำเราได้และก็รู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่คาดฝันว่าจะมีคนจดจำได้

3.) ใช้อะไรเป็นสิ่งขับเคลื่อน ในชีวิต?

ไอซ์ สารวัตร : ต้องยอมรับว่าเป็นกำลังใจ เพราะการใช้ชีวิตโดยที่ไม่ได้คาดหวัง ผมเป็นคนที่มีกำลังใจในทุกๆ วัน และก็ไม่ได้คาดหวัง มองโลกในแง่ดี ไม่ชอบคิดอะไรที่มันลบๆ หรือว่าคิดร้ายไปทั้งหมด เวลาเราเจออะไรที่เข้ามาตอนการทำข่าว ทำงาน แม้กระทั่งเจอเพื่อนร่วมงาน บางทีเราต้องรับอารมณ์หรือรับความหงุดหงิดตรงนั้น แม้ตอนลงพื้นที่ เราต้องเจอผู้คนมากหน้าหลายตา ซึ่งรวมถึงอารมณ์ตัวเราด้วย ที่ต้องคุมอารมณ์ตัวเองไว้ แต่สิ่งหนึ่งถ้าเราไม่ได้มองโลกในแง่ลบ ทุกอย่างก็จะกลายเป็นบวกไปหมด ก็เลยใช้วิธีคิดนี้มาตั้งแต่สมัยเรียนจนกระทั่งมาถึงปัจจุบัน ยกตัวอย่างเช่น ผมเป็นคนไม่ได้คาดหวัง มันก็ทำให้เราไม่ผิดหวัง ผมเป็นคนคิดอะไรแบบนั้น

4.) อยากเห็นสื่อไทย เป็นอย่างไรบ้าง?

ไอซ์ สารวัตร : จริงๆ ไม่ได้คาดหวังว่าจะให้เป็นยังไง แต่แค่อยากจะให้นำเสนอด้วยความเป็นจริง จริงที่ว่าบางครั้งเราจะเห็นในโลกยุคปัจจุบัน ผมไม่ได้โทษสื่อไหน มันอาจจะเป็นด้วยตัวแปรอะไรต่างๆ ไม่ได้ จะเป็นกลุ่มคนดู หรือว่าความต้องการของในหน่วยงาน แต่สิ่งที่อยากเห็นที่สุดก็คือความจริง ไม่อยากให้เกิดการโจมตีกัน อยากให้เป็นการสร้างสรรค์ซึ่งกันและกัน ทุกสื่อให้ความร่วมมือกัน รักในวิชาชีพสื่อด้วยกัน และทำงานแข่งขันกัน แต่ไม่ได้เชิงฆ่ากันด้วยวิธีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการตัดโอกาส การเสี้ยมอะไรแบบนี้

คือไม่รู้ว่ามีหรือเปล่า แต่สิ่งนี้เราไม่อยากให้เจอขึ้น ก็หวังว่าสื่อไทยจะร่วมมือ ในการสร้างสรรค์งานสื่อออกมาในรูปแบบของความจริง และแข่งขันกันในรูปแบบของความจริงทั้งหมดก็น่าจะเป็นสิ่งที่อยากเห็น

5.) นิสัยส่วนตัวที่คนส่วนใหญ่ยังไม่รู้?

ไอซ์ สารวัตร : จริงๆ เป็นคนขี้อาย เป็นคนเขิน เป็นคนที่เวลาใครทักก็จะเขินหน่อยแต่ว่าลึกๆ ก็ดีใจ คนส่วนใหญ่อาจจะไม่รู้ นึกว่าเราเป็นคนกล้าแสดงออกเพราะว่าออกหน้าจอ แต่จริงๆ แล้วเป็นคนขี้เขินหรือถ้าเกิดทำอะไรที่ไม่ค่อยชินหรืออะไรที่มันแปลกใหม่ อย่างเช่นเราทำข่าว ผู้ประกาศข่าว หรือพิธีกร มันอาจจะชินกับเราไปทั้งหมด แต่ถ้าเราข้ามสายไปทำอย่างอื่น เช่น การไปร้องเพลง เล่นละคร หรือว่าแสดงอะไรสักอย่าง จะเกิดความประมาทขึ้นได้ เพราะว่าลึกๆ แล้วเป็นที่พูดน้อยเสียงเบาตั้งแต่เด็กๆ มีมาเริ่มเสียงดังก็ตอนมาเริ่มทำงานพิธีกร เริ่มพูดต่อหน้าคนอื่น พยายามฝืนตัวเอง จนกระทั่งมันกลายเป็นตัวเราในวันนี้ หลายๆ คนส่วนใหญ่อาจจะไม่รู้เพราะคิดว่าเด็กๆ น่าจะเป็นคนที่พูดมาก

6.) ทำไมถึงตอบตกลงไปรายการ ร้องข้ามกำแพง รู้สึกอย่างไร?

ไอซ์ สารวัตร : ตอนนั้นลึกๆ ไม่คิดว่าจะมีทีมงานติดต่อเข้ามาเพราะว่าเอาจริงๆ เป็นรายการที่เราชื่นชอบและก็ชอบดูอยู่แล้ว สนุก ดูย้อนหลังตลอด และพอมีติดต่อเข้ามาก็ตอบรับ แต่จริงๆ ใจก็อยากจะตอบรับทันทีอยู่แล้ว แต่ก็ต้องบอกว่าขอปรึกษาทางช่องก่อน จนสรุปทางช่องโอเค สนับสนุนให้เราไปออกรายการได้

เราก็คิดว่าอย่างน้อยเป็นโอกาส ให้เราไปลองเปิดโลกใหม่ ที่เราไม่เคยได้ทำคือการไปร้องเพลงต่อหน้าคนเยอะๆ ยิ่งถ้าหากไปร้องกับคู่กับศิลปินอย่างพี่บุ๋ม ปนัดดา ก็รู้สึกว่า เราได้ยินเสียงร้องอันทรงพลังของพี่แก มาตั้งแต่เด็กๆ แล้วมีวันหนึ่งเรามีโอกาสได้ร้องคู่ในรายการที่มีคนดูจำนวนมาก รู้สึกว่าเป็นสิ่งใหม่และก็ท้าทาย ก็ดีใจว่ามีโอกาสได้ออกไปรายการนั้นและก็ไม่ผิดหวังที่ได้ตอบตกลง

เจ้าคณะตำบล แนะ นักข่าวช่องดัง กลับมาขอขมา ‘หลวงปู่แสง’ ใหม่ หลังพบใช้พานเทียนแพอวมงคล ที่ใช้ในงานศพ เชื่อ จะทำให้ชีวิตกลับมาดีขึ้น

จากกรณีที่ ผู้สื่อข่าวหญิงช่องดัง โร่ขอขมากราบรูป “หลวงปู่แสง ญาณวโร” ที่หน้าประตูวัดทางเข้าวัดหลวงปู่ ท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาอย่างไม่ขาดสาย รับสารภาพผิดที่ล่วงเกินหลวงปู่ขณะทำข่าวร่วมกับหมอปลาที่ผ่านมา ยอมรับว่าสิ่งที่ทำนั้น ไม่ถูกต้อง พร้อมแจงว่า คำพูดที่พูดไป ต้องการสะท้อนไปถึงพระเลขาที่ไม่ให้เกียรติ ไม่ได้ตั้งใจที่จะล่วงเกินหลวงปู่แสงแต่อย่างใด จากนั้นลูกศิษย์หลวงปู่แสง ได้ส่งตัวแทนเข้ามารับทราบเรื่องที่เกิดขึ้น ระบุว่าจะเรียนให้หลวงปู่พิจารณาให้อภัย ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ล่าสุดเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม พระครูกมลวัฒนาทร (มนู ประชานันท์) เจ้าคณะตำบลโพนเมืองน้อย (ธ) มีเขตดูแล 9 ตำบล เจ้าอาวาสวัดป่าทองสมรรัตนาราม ต.รัตนวารี อ.หัวตะพาน จ.อำนาจเจริญ กล่าวว่า จากการที่โยมนักข่าวผู้หญิงช่องดัง ช่องหนึ่ง ได้นำพานขอขมาไปขอขมาหลวงปู่แสง ที่วัดหลวงปู่แสงวัดอรัญญาวิเวก ที่บ้านไก่คำ ตำบลไก่คำ อำเภอเมือง จังหวัดอำนาจเจริญ หลังใช้วาจาและพฤติกรรมที่ไม่ดีกับหลวงปู่แสง ในขณะที่ไปร่วมทำข่าวกับคณะของหมอปลา ที่อำเภอป่าติ้ว จังหวัดยโสธร ที่ผ่านมานั้น

โยมนักข่าวหญิงคนนี้ นำพานเทียนมาขอขมา มาขอขมาหลวงปู่แสงไม่ถูกต้อง คือนำพานเทียนที่ไปขอขมาในงานศพ หรือผีตาย ซึ่งเขาเรียกว่า พานเทียนแพอวมงคล “ดูง่ายๆจะมีเทียนวางไว้บนธูป ซึ่งเอาไว้ในการนำไปขอขมาศพที่ตายแล้ว ส่วนที่ถูกต้องนั้น ต้องใช้พานเทียนแพที่จัดวางธูปไว้บนเทียน ซึ่งเป็นของที่ใช้ในงานมงคลทั่วไปทุกงาน

‘ศรายุทธ ตันเถียร’ ผู้พลิกฟื้นอุทยานทางทะเล หัวหน้าอุทยานคนแรก ที่ใช้เวลาเพียง 2 ปี แต่เก็บรายได้เข้ารัฐกว่า 2 พันล้านบาท

เพจ Open Up ได้เล่าเรื่องราวของชายคนหนึ่งที่มีชื่อว่า ‘ศรายุทธ ตันเถียร’ หัวหน้าอุทยานคนแรกที่สามารถทำรายได้เข้าประเทศไทยมากถึง 2 พันล้านบาท เปลี่ยนประวัติศาสตร์ของวงการอุทยานแห่งชาติไทยไปตลอดกาล โดยระบุว่า 

เรื่องราวนี้เริ่มขึ้นเมื่อ เดือนกรกฎาคม 2558 หัวหน้าอุทยานคนหนึ่ง ถูกย้ายมาปฏิบัติหน้าที่ในอุทยานทางทะเลที่ได้ชื่อว่าโหดหินที่สุด มีปัญหาไปหมดทุกอย่าง และเป็นอุทยานที่เก็บเงินรายได้ ได้น้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนนักท่องเที่ยว ซึ่งหัวหน้าอุทยานที่ต้องแก้ไขปัญหาก็คือ ‘ศรายุทธ ตันเถียร’

เพื่อน ๆ เชื่อมั้ยครับว่าในวันแรกที่ ‘ศรายุทธ ตันเถียร’ ถูกย้ายมาปฏิบัติหน้าที่ มีเรือยาง 1 ลำ มีทุ่นจอดเรือ 8 ลูก มีเรือขออนุญาตในระบบเพียง 90 ลำ แต่ผู้ชายคนนี้ต้องการเพียงแค่ เรือยาง 1 ลำ ในการพลิกฟื้นทะเลกระบี่ จับกุมผู้กระทำผิดอย่างต่อเนื่อง เช่น การจับสัตว์น้ำผิดกฎหมาย ผู้ประกอบการทำผิดกฎ นักท่องเที่ยวทำร้ายธรรมชาติ ฯลฯ จนจำนวนสถิติพุ่งถึง 1 พันครั้ง

‘อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์’ ย้ำชัด เชื่อผลสำรวจจาก ‘นิด้าโพลล์’ เท่านั้น ชี้ เป็นการสำรวจที่ใช้การสุ่มตัวอย่างที่มีมาตรฐาน

ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า Strategic vote ผมไม่ได้ฟังเสียงใคร ผมฟังผลโพลล์ เพียงอันเดียวคือนิด้าโพลล์ ซึ่งใช้การสุ่มตัวอย่างที่มีมาตรฐานคือ random digit dial สร้าง master sample แล้วสุ่มอย่างง่ายจาก master sample อีกครั้งแล้วโทรเข้าโทรศัพท์มือถือ สำรวจข้อมูล โพลล์อื่นผมไม่คิดว่ามี sampling plan ที่ดีเท่านี้

นายกฯ กล่าวถ้อยแถลง ย้ำการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน สนับสนุนการสร้าง “อาเซียนสีเขียว” อย่างยั่งยืนและสมดุล ลั่น “เราหมดเวลาสำหรับความล้มเหลวแล้ว”

เมื่อวันที่ 14 พ.ค. 65 ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงข่าวว่า เมื่อวันที่ 13 พ.ค.65 เวลา 13.30 น. ตามเวลาท้องถิ่นประเทศสหรัฐอเมริกา ณ กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ร่วมกล่าวถ้อยแถลงในการหารือระหว่างผู้นำอาเซียนกับนางคามาลา เดวี แฮร์ริส รองประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา และและผู้แทนระดับสูงสหรัฐฯ ได้แก่ นายจอห์น เคอร์รี (John Kerry) ผู้แทนพิเศษของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมสหรัฐฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ และผู้อำนวยการสำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมสหรัฐฯ ในประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด และโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน 
 
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ยินดีที่ได้มีโอกาสร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพื่อย้ำความมุ่งมั่นร่วมกันของอาเซียนกับสหรัฐฯ ในการดำเนินการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นภารกิจที่ต้องร่วมกันทำให้สำเร็จเพื่อโลกใบนี้และอนาคตของลูกหลานของทุกคน โดยอาเซียนเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่มีความเปราะบางสูงต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จึงต้องพยายามอย่างเต็มที่ในการส่งเสริมความร่วมมือเพื่อนำไปสู่การมีสภาพภูมิอากาศที่ยั่งยืน และชุมชนที่มีภูมิต้านทาน โดยกำหนดเป้าหมายร่วมกันต่าง ๆ อาทิ การเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน เป็นร้อยละ 23 ภายในปี ค.ศ. 2025 และเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการแสดงถึงการสนับสนุนความมุ่งมั่นของภูมิภาค และของโลกในเรื่องดังกล่าว ไทยได้ประกาศเป้าหมายในการประชุม COP26 ที่เมืองกลาสโกว์ จะบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี ค.ศ. 2050 และบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี ค.ศ. 2065 หรือก่อนหน้านั้น ซึ่งจะพลิกโฉมประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างแท้จริง

ว่าด้วย...กำลังทหารของญี่ปุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ตามมาตรา 9 ของรัฐธรรมนูญแห่งญี่ปุ่น

หลังจากการเยือนราชอาณาจักรไทยของนายคิชิดะ ฟูมิโอะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 1-2 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 ที่ผ่านมา ก็มีคนไทยบางคนอ่านข่าวไม่ทันจบหรือไม่ทันได้ทำความเข้าใจในประเด็นต่างๆ ได้ออกมาโวยว่า...

ครั้งนี้รัฐบาลไทยไปทำความตกลงกับญี่ปุ่นสารพัดเรื่อง ทั้งๆ ที่การทำความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลต่างประเทศ จำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อน รัฐบาลไทยจึงจะไปทำความตกลงกับรัฐบาลต่างประเทศได้ ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ประเด็นหารือจึงใช้คำว่า ‘การเสริมสร้าง’

รัฐธรรมนูญ (ฉบับใหม่) ของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2490

โดยเฉพาะเรื่องของความมั่นคง ที่รัฐบาลญี่ปุ่นเองก็มีข้อจำกัดในเรื่องของการทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์ตามหมวด 2 (ตามรัฐธรรมนูญ (ฉบับใหม่) ของประเทศญี่ปุ่น) ‘การสละสิทธิ์สงคราม’ มาตรา 9 ซึ่งได้ระบุเอาไว้ว่า...ความมุ่งประสงค์อย่างแท้จริงในสันติภาพระหว่างชาติ โดยมีความยุติธรรมและความสงบเรียบร้อยเป็นพื้นฐาน ชนชาวญี่ปุ่นยอมสละจากสงครามไปตลอดกาลนาน ซึ่งให้ถือเป็นสิทธิสูงสุดแห่งชาติ ทั้งสละจากการคุกคามหรือการใช้กำลังเพื่อแก้ไขข้อพิพาทระหว่างชาติ เพื่อบรรลุความมุ่งประสงค์ในวรรคก่อน...จะไม่มีการธำรงไว้ซึ่งกองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ กับทั้งศักยภาพอื่นๆ ในทางสงคราม รวมถึงไม่มีการรับรองสิทธิในการเป็นพันธมิตรในสงคราม

ชาวญี่ปุ่นเพียง 27% เห็นด้วยกับการแก้มาตรา 9 ของรัฐธรรมนูญ ยินยอมให้ญี่ปุ่นกลับมามีกองทัพอย่างเป็นทางการ และสามารถประกาศสงครามได้ โดยมีผู้ไม่เห็นด้วยถึง 67%

มาตรา 9 ของรัฐธรรมนูญแห่งญี่ปุ่น เป็นบทในรัฐธรรมนูญแห่งญี่ปุ่นที่ห้ามพฤติการณ์แห่งสงครามโดยรัฐ รัฐธรรมนูญดังกล่าวมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2490 หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ในข้อความนี้ รัฐสละสิทธิอธิปไตยในสงครามและห้ามการระงับข้อพิพาทระหว่างประเทศผ่านการใช้กำลัง มาตรานี้ยังแถลงว่า เพื่อบรรลุเป้าประสงค์เหล่านี้ จะไม่มีการธำรงกองทัพที่มีศักย์สงคราม แต่ญี่ปุ่นยังคงธำรงกองทัพอยู่โดยพฤตินัยนั้น คือ กองกำลังป้องกันตนเองญี่ปุ่น

นายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นในขณะนั้นได้หลีกเลี่ยงกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 9 ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด โดยได้อนุมัติการตีความ มาตรา 9 ซึ่งรัฐธรรมนูญอันสละสิทธิ์สงครามขึ้นใหม่

รัฐธรรมนูญ (ฉบับใหม่) ของประเทศญี่ปุ่นซึ่งมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2490 ร่างขึ้นภายใต้การยึดครองของฝ่ายสัมพันธมิตรให้หลังสงครามโลกครั้งที่สอง และตั้งใจแทนที่ ‘ระบบแสนยนิยม’ (Militarism: แนวคิดนิยมทหาร) และสมบูรณาญาสิทธิราชย์เดิมของประเทศญี่ปุ่นด้วยประชาธิปไตยเสรีนิยมรูปแบบหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันเป็นรัฐธรรมนูญที่แก้ไขได้ยากมาก จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีการแก้ไขเพิ่มเติมใดๆ นับแต่มีมติเห็นชอบ

แม้ว่าในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2557 รัฐบาลญี่ปุ่นได้อนุมัติการตีความ มาตรา 9 ซึ่งรัฐธรรมนูญอันสละสิทธิ์สงครามใหม่ ที่อาจสร้างความกังวลและความไม่เห็นด้วยจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งอนุญาตให้ใช้กำลังทหารเพื่อโจมตีประเทศอื่นและเข้าสู่สงคราม รวมถึงการใช้กำลังทหารเพื่อการนี้ถูกพิจารณาว่ามิชอบด้วยกฎหมายและเป็นอันตรายร้ายแรงต่อประชาธิปไตยของญี่ปุ่น

แต่นายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นในขณะนั้น ได้หลีกเลี่ยงกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด และทำให้มีการเปลี่ยนแปลงมูลวิวัฒต่อความหมายของหลักการมูลฐานในรัฐธรรมนูญโดยคำสั่งของคณะรัฐมนตรี โดยปราศจากการอภิปรายหรือลงมติของสภาไดเอต (สภาผู้แทนราษฎร) และยังไม่ได้ผ่านประชามติความเห็นชอบจากสาธารณะเลย

กองกำลังป้องกันตนเองญี่ปุ่น (Japan Self Defend Force : JSDF หรือ JSF หรือ SDF) 

กองกำลังป้องกันตนเองญี่ปุ่น (Japan Self Defense Force : JSDF หรือ JSF หรือ SDF) เป็นกำลังทหารของญี่ปุ่นซึ่งถูกจัดตั้งขึ้นภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลงเพื่อแทนที่กองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นที่ถูกยุบเลิก และฝ่ายสัมพันธมิตรได้เข้ามาทำการยึดครองญี่ปุ่นในช่วงหลังสงคราม

โดยกองกำลังป้องกันตนเองญี่ปุ่นถูกใช้งานในเฉพาะภายในประเทศมีหน้าที่ในการป้องกันประเทศอธิปไตยชาติเพียงอย่างเดียวและไม่ได้รับอนุญาตให้ปฏิบัติภารกิจในต่างประเทศ ยกเว้นในสถานการณ์ที่ถือว่า เป็นการป้องกันตนเองภายในขอบเขตที่จำกัดเท่านั้น แม้อาจมีภารกิจในต่างประเทศอาทิ การปฏิบัติการรักษาสันติภาพ

กองกำลังป้องกันตนเองทางทะเลญี่ปุ่นขณะสวนสนาม

แต่ในวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 คณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นได้ตีความรัฐธรรมนูญมาตรา 9 ตามรัฐธรรมนูญแห่งญี่ปุ่นใหม่ และสรุปได้ว่า ญี่ปุ่นจะสามารถส่งทหารสังกัดกองกำลังป้องกันตนเองไปปฏิบัติภารกิจการป้องกันตนเองร่วมได้ (Collective Self Defense) ตามมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเพื่อปกป้องชาติหนึ่งชาติใดจากการถูกรุกรานได้ และญี่ปุ่นจะสามารถส่งกำลังทหารไปช่วยเหลือชาติพันธมิตรใกล้ชิดที่ถูกโจมตีได้ หากการโจมตีนั้นเป็นภัยคุกคามต่อการดำรงอยู่ของญี่ปุ่นและไม่มีวิธีอื่นในการปกป้องชีวิตของชาวญี่ปุ่น

แม้จะผลิตเองจะต้องจ่ายแพงกว่าการซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์สำเร็จรูปจากต่างประเทศ แต่ญี่ปุ่นก็เต็มใจจ่าย

ในด้านการพัฒนาอาวุธ รัฐธรรมนูญของญี่ปุ่นได้กำหนดห้ามการพัฒนาอาวุธในเชิงรุก ขณะที่การห้ามส่งออกอาวุธยุทโธปกรณ์นั้น แม้ญี่ปุ่นจะเป็นผู้กำหนดขึ้นเองเมื่อปี พ.ศ. 2510 แต่ในวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2557 ญี่ปุ่นได้ผ่อนคลายกฎห้ามส่งออกอาวุธยุทโธปกรณ์ โดยสามารถส่งออกอาวุธยุทโธปกรณ์ และสามารถมีส่วนร่วมในการผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ กับนานาชาติได้ แต่ญี่ปุ่นจะไม่ส่งออกอาวุธยุทโธปกรณ์ให้แก่ประเทศที่ตกอยู่ท่ามกลางความขัดแย้ง หรืออาจเป็นภัยคุกคามต่อสันติภาพและความมั่นคงของนานาชาติ

ผู้ว่าฯหนองคาย เซ็นหนังสือยกเลิกคำสั่งห้ามเดินรถยนต์ข้ามประเทศลาว หลังต้องปิดช่วงโควิดระบาดหนัก 3 ปี เริ่ม 8 พ.ค.นี้  ขณะที่รัฐบาลลาวอนุญาตให้คนไทยและคนต่างชาติเข้าประเทศได้ 9 พ.ค.

8 พ.ค.2565 – นายมนต์สิทธิ์ ไพศาลธนวัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย ได้ลงนามในประกาศจังหวัดหนองคาย เรื่องเปิดจุดผ่านแดนถาวร ณ ช่องทางเข้าออกระหว่างประเทศทางบกจังหวัดหนองคายและยกเลิกประกาศการระงับการเดินทางเข้าออกของบุคคล ยานพาหนะ และสิ่งของ ณ จุดผ่านแดนถาวรสะพานมิตรภาพไทย-ลาว 1 จุดผ่านแดนถาวรท่าเรือหนองคาย และด่านตรวจคนเข้าเมืองสถานีรถไฟหนองคาย

ทั้งนี้ นับตั้งแต่วันที่ 20 มี.ค.2563 จ.หนองคายได้ประกาศการระงับการเดินทางเข้าออกประเทศทั้งบุคคลและยานพาหนะเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด- 19 จนกว่าสถานการณ์จะกลับมาเข้าสู่ภาวะปกติ ซึ่งขณะนี้ในพื้นที่ จ.หนองคาย แม้ว่าจะมีการพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ทุกวัน แต่ประชาชนมากกว่าร้อยละ 90 ได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว ประกอบกับมีความต้องการให้เปิดด่านพรมแดนถาวรเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวในจังหวัดหนองคาย โดยก่อนหน้านี้มีการอนุญาตให้เฉพาะรถบรรทุกสินค้าเข้าออกประเทศเท่านั้น ดังนั้นเมื่อทุกฝ่ายมีความพร้อม ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคายจึงได้ยกเลิกคำสั่งห้ามเดินทางเข้าออก อนุญาตให้บุคคล ยานพาหนะ และสิ่งของ เข้าออกประเทศทางบกที่ด่านพรมแดนสะพานมิตรภาพไทย – ลาว 1 อ.เมืองหนองคาย, จุดผ่านแดนถาวรท่าเรือหนองคาย และด่านตรวจคนเข้าเมืองสถานีรถไฟหนองคาย เริ่มตั้งแต่วันที่ 8 พ.ค.65 เป็นต้นไป

‘อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร’ หัวหน้าครอบครับเพื่อไทย ลงพื้นที่ตลาดคลองลัดมะยม หาเสียงช่วยส.ก.พรรคเพื่อไทยเป็นครั้งแรก อ้อนคนกรุงขอโอกาสส.ก.ของพรรคเข้าไปผลักดันนโยบาย ปลื้มคนทัก “ไม่เจอพ่อ เจอลูกก็ยังดี”

เมื่อเวลา 14.05น. วันที่ 8 พ.ค. ที่ตลาดคลองลัดมะยม เขตตลิ่งชัน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ประธานที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม และหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ลงพื้นที่เพื่อพบปะประชาชน และช่วยผู้สมัครหาเสียง สนามเลือกตั้ง กทม. โดยมีพ่อค้าแม่ค้าและประชาชนมาขอถ่ายรูปกับน.ส.แพทองธาร เป็นจำนวนมาก ขณะที่แม่ค้าพ่อค้าแม่ค้าบางคน ทักทายว่า “ไม่เจอพ่อ เจอลูกก็ยังดี” ทำให้บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก

โดย น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า การลงพื้นที่ครั้งแรกรู้สึกตื่นเต้นมาก ได้รับการต้อนรับอย่างดี ในการเลือกตั้งครั้งนี้ทุกคนของพรรคเพื่อไทยตั้งใจทำงาน เราพยายามที่จะถามทุกข์สุขของประชาชนให้มากที่สุด แต่สุดท้ายแล้วอยู่ที่ประชาชนจะให้โอกาสมากน้อยแค่ไหน ที่ตนมาพบประชาชนวันนี้ก็อยากขอโอกาสชาวกรุงเทพฯ ให้เลือกส.ก.ของพรรคเพื่อไทย เข้ามารับใช้พี่น้องประชาชน เราจะได้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เเละยืนยัน ส.ก.ของพรรคเพื่อไทย ทำงานได้กับทุกคนที่จะมาเป็นผู้ว่าฯ กทม. เพื่อไทยก็เคารพอยู่แล้ว ไม่ว่าใครจะมาเป็น แต่เราอยากได้ส.ก.จำนวนมาก เพราะจะได้ผลักดันนโยบายต่างๆของพรรคเพื่อไทยให้เป็นจริงตามที่จะเสนอออกมา

เมื่อถามว่าหลังจากนี้จะได้เห็นน.ส.แพทองธาร ลงพื้นที่หาเสียงอีกหรือไม่ น.ส.แพรทองธาร กล่าวว่า ตนอยากลงพื้นที่ให้ได้เยอะที่สุด เพราะเมื่อไปแต่ละที่ก็มีความอบอุ่นจากพี่น้องประชาชนที่ให้กำลังใจ และถ้ามีโอกาสก็อยากจะลงพื้นที่อีก

เมื่อถามว่าก่อนหน้านี้เดินตาม นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯหาเสียง วันนี้ต้องมาเดินหาเสียงเองรู้สึกอย่างไร น.ส.แพรทองธาร กล่าวว่า เป็นความคุ้นเคย คุ้นชิน ตนเคยทำมาบ่อยมากๆช่วงหนึ่งในพื้นที่ต่างจังหวัดโดยคุณพ่อพาไป ตนจำบรรยากาศเดิมๆได้ แต่รอบนี้เราคนเป็นเดินเอง

เมื่อถามถึงกรณีเดินทางไปพบนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯช่วงเทศกาลสงกรานต์ ได้รับคำแนะนำอะไรบ้าง น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า “คุณพ่อให้คำปรึกษามาตลอด ตอนแรกก็แนะนำเรื่องเรียน แต่ตอนนี้แนะนำให้เรามั่นใจกับสิ่งที่เราทำไม่ว่าจะทำอะไร ถ้าเราคิดดีทำดีก็ขอให้เราประสบความสำเร็จ โดยคุณพ่อจะให้กำลังใจและบอกแนวทางว่าให้เราเข้มแข็งในจุดยืนของเรา ไม่ว่าเหตุการณ์จะเป็นอย่างไรเราก็จะไม่เสียหลักของเรา”

เมื่อถามว่าช่วงโค้งสุดท้ายการเลือกตั้ง ผู้สมัคร ส.ก.พรรคเพื่อไทยจะมีไม้เด็ดอะไรออกมา น.ส.แพทองธาร ตอบว่า มีมุขอีกเยอะที่เก็บไว้โชว์ แต่สิ่งที่แน่นอนและจริงจังที่เราตั้งใจคิดและทำเป็นนโยบายขึ้นมาก็เพื่อพี่น้องประชาชน เป็นสิ่งที่แน่นอนและมั่นคง

‘ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์’ เตือนรัฐบาลระวังอิทธิฤทธิ์พรรคเล็ก ชี้ หากคุมเสียงไม่ดี มีสิทธิ์พัง

8 พ.ค.2565-นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตหัวหน้าพรรครักประเทศไทย โพสต์เฟซบุ๊ก เรื่อง ‘อิทธิฤทธิ์พรรคเล็ก’ โดยระบุว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้สนับสนุนให้เกิดพรรคเล็กขึ้นมามากมาย บางพรรคมีคนเดียว บางพรรคมี 3-4 คน ถึงแม้จะเป็นพรรคการเมือง แต่การบริหารจัดการตกอยู่กับคนที่เป็น ส.ส. ในสภาเท่านั้น คุณค่าของพรรคเล็กขึ้นอยู่กับ ‘คะแนนของรัฐบาล’ ว่า หากมีเสียงมากเกินครึ่ง จะต้องไปพึ่งเสียงนกเสียงกา เล็กๆ น้อยๆ ทำไม? เพราะไม่มีผลสั่นสะเทือนใดๆ ต่อสถานะรัฐบาล

ในยุคสมัยก่อน คะแนนของ ส.ส. ซีกรัฐบาลมีเสียงเกินครึ่งไปมาก พรรคเล็กจึงไม่มีความหมาย แต่เมื่อคะแนนฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายค้านไม่ได้ห่างกันมากในยุคนี้ พรรคเล็กพรรคจิ๋วจึงรวบรวมกำลัง ผนึกจับมือกัน ทำให้มีพลังต่อรองขึ้นมามากทันที

ความปวดเศียรเวียนเกล้ากับการบริหารจัดการพรรคเล็ก จึงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะ 1. ต่างคนต่างมา พรรคละ 1-4 คน ทุกคนจึงใหญ่หมด คุมกันไม่ได้ 2. ทิศทางการเมืองไม่แน่นอน อุดมการณ์ไม่มี แต่ขึ้นอยู่กับปัจจัยมากน้อย 3. ส.ส. แต่ละคนในพรรคเล็ก บางคนคิดว่าไหนๆ ก็ได้เป็น ส.ส. แค่สมัยเดียวแล้ว ต้องได้คุ้มก่อนจาก  4. การตัดสินใจไม่ได้ขึ้นอยู่กับกรรมการบริหารพรรค หรือนโยบายพรรค แต่ขึ้นอยู่กับความพอใจของตนเองเป็นหลัก ยิ่งเป็น ส.ส. สมัยแรกยิ่งหนัก 5. ไม่สนใจการเลือกตั้งครั้งหน้า จึงไม่พะวงกับคะแนน จะทำอะไรก็ไม่แคร์สายตาประชาชน เพราะเป็น ส.ส. ครั้งนี้ครั้งเดียว

ทั้งผสมโรงจาก ส.ส. ที่ฟลุ๊คได้มาในบางพรรคใหญ่ แล้วแปรสภาพกลายเป็น ‘งูเห่า’ ย้ายพรรคจนจำไม่ได้ หรือการโหวตสวนกับมติพรรคตลอด ชื่ออยู่พรรคหนึ่ง แต่ใจไปอยู่อีกพรรค เป็น ‘ชู้’ กันให้เห็นไม่เกรงใจ ‘รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ’ หากคุมไม่ดี หรือพรรคเล็กทำท่าทีเข้าข้างฝ่ายค้าน มีโอกาสล้มรัฐบาลได้ รัฐบาลจึงต้องโอ๋สุดๆ ได้โก่งราคากันสุดโต่ง ยิ่งใกล้หมดเวลา ยิ่งได้เห็นอิทธิฤทธิ์ของพรรคเล็กชัดเจนขึ้น ใครว่าใกล้หมดเวลาไม่มีราคาให้ ผมกลับเห็นว่ายิ่งต้องจ่ายไม่อั้น เพราะมีผลถึงการเลือกตั้งครั้งหน้า ว่าจะมีโอกาสกลับมาหรือไม่ ?

หม่อมเจ้าอุทัยกัญญา ภาณุพันธุ์ พระราชปนัดดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงกรุณาเสด็จบำเพ็ญกุศลส่วนพระองค์ ณ วัดจำปาสะเอิง  ตำบลโพนครก อำเภอท่าตูม

วันนี้ (8 พฤษภาคม 2565) เวลา 10.00 น. หม่อมเจ้าอุทัยกัญญา ภาณุพันธุ์ พระราชปนัดดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงกรุณาเสด็จบำเพ็ญกุศลส่วนพระองค์ ณ วัดจำปาสะเอิง  ตำบลโพนครก อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์ โดยมีนายอำเภอท่าตูม ผู้กำกับ สภ.อ.ท่าตูม หัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่สำนักงาน ข้าราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และประชาชน เฝ้ารับเสด็จ ร่วมสมทบทำบุญถวายจตุปัจจัยสร้างวิหารหลวงพระพุทธจักพรรดิ์ ทรงกล่าวถวายผ้าป่าบังสุกุล แล้วทรงกรุณาประทานให้ นายอำเภอท่าตูมเชิญพาดยังต้นผ้าป่า โดยมี พระครูปลัดสุธิเมธี ปิยสีโล เจ้าอาวาสวัดจำปาสะเอิง พิจารณาผ้าป่าบังสุกุล เจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดสุนทร์ ขอประทานอนุญาตเบิกผู้ร่วมทำบุญถวายเงินในการนี้ เมื่อเบิกผู้ร่วมทำบุญถวายเงินครบแล้ว ทรงกรุณาให้นายอำเภอท่าตูม เชิญเงินทั้งหมดประเคนถวายแด่ พระครูปลัดสุธิเมธี ปิยสีโล เจ้าอาวาสวัดจำปาสะเอิง จากนั้นเจ้าหน้าที่ฯ ขอประทานอนุญาต เบิกผู้ทำคุณประโยชน์แด่วัดจำปาสะเอิง เข้ารับมอบประทานเหรียญพระประจำองค์ จำนวน 50 คน และชาวบ้านผู้นำของพื้นเมืองเข้าถวายของที่ระลึก ตามลำดับ ทรงทอดเนตรชมนางรำถวายต่อหน้าพระพักตร์ในชุดนาคบารมี ตรีชาติพันธุ์ ทรงกรุณาให้ร่วมฉายพระรูป เสร็จแล้วเสด็จกลับโดยรถยนต์ที่นั่ง
นายยุทธพงษ์ เอี้ยงอ้าย เลขานุการในองค์หม่อมเจ้าอุทัยกัญญา ภาณุพันธุ์ กล่าวประวัติวัดจำปาสะเอิง ตั้งอยู่เลขที่ ๑ หมู่ ๕ ตำบลโพนครก อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์ สืบเนื่องเมื่อประมาณ ๑๕๐ ปีก่อน ดินแดนแห่งนี้เป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่าไม้พืชพันธุ์ และเป็นพื้นที่ราบลุ่มเหมาะสมสำหรับการทำการเกษตร ประกอบกับมีบึงน้ำกุดมะโนเป็นแหล่งน้ำสาขาใหญ่ที่เชื่อมต่อกับแม่น้ำมูล ซึ่งเป็นแม่น้ำสายสำคัญของอีสานใต้ ความสมบูรณ์ของผืนดินและแหล่งน้ำเหมาะแก่การบริโภคอุปโภค ทำให้มีคนสามกลุ่มเข้ามาจับจองพื้นที่อยู่อาศัย สร้างบ้านเรือน และทำมาหากิน ประกอบด้วย

กลุ่มแรก นำโดยหลวงอุดม ไตรโสม อพยพจากอำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์ ผู้สืบเชื้อสายเขมร

กลุ่มที่สอง นำโดยพระอธิการสุภา อพยพจากอำเภออาจสามารถ จังหวัดร้อยเอ็ด สืบเชื้อสายจากลาว

กลุ่มที่สาม นำโดยพ่อพัด หมื่นฤทธิ์ อพยพมาจาก อำเภอรัตนบุรี จังหวัดสุรินทร์ ผู้สืบเชื้อสายลาว

ต่อมาปี พ.ศ. ๒๔๓๓ พระอธิการสุภา หลวงอุดม ไตรโสม และพ่อพัด หมื่นฤทธิ์ ได้ร่วมกันสร้างวัดจำปาสะเอิง และได้ร่วมกันก่อสร้างอุโบสถขึ้น โดยนำเอาดินแถบทุ่งกุลา อำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด เรียกว่า ขี้นกอินทรีย์ ซึ่งเป็นวัสดุที่มีส่วนผสมของเปลือกหอยทะเลด้วย นำมาตำผสมกับดินในพื้นที่บ้านสะเอิง ทำเป็นอิฐดินเผา เพื่อเป็นเครื่องก่ออุโบสถ

เมื่อครั้งที่เริ่มสร้างวัด มีเนื้อที่ ๑๒ ไร่ และปัจจุบันได้ขยายเนื้อที่เพิ่มอีก ๑๓ ไร่ รวมเป็นเนื้อที่ ๒๕ ไร่ โดยการดำเนินการของ พระครูปลัดสุธิเมธี ปิยสีโล (เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน) และด้วยศรัทธาของชาวบ้านในหมู่บ้านและประชาชนทั่วไปได้ร่วมกันสร้างเสนาสนะภายในวัดเพิ่มเติมจากเดิมดังที่เห็นได้ในปัจจุบัน

สหรัฐฯ ใช้โอกาสสถานการณ์ทหารในยูเครนเร่งยอดขายอาวุธตัวเองให้ไต้หวัน เพื่อป้องกันการรุกรานจากจีน 

หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์สรายงานวานนี้ (7 พ.ค.) ว่า สหรัฐฯ กดดันให้ไต้หวันเพื่อสั่งซื้ออาวุธอเมริกันเพิ่มอีกล็อตใหญ่ อ้างอิงจากแหล่งข่าวอดีตและปัจจุบันเจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐฯ และไต้หวัน 9 คนที่รู้ในเรื่องนี้ โดยระบุว่า อาวุธล็อตใหม่มีเพื่อทำให้มั่นใจว่าไต้หวันจะสามารถมีศักยภาพขับไล่การรุกรานทางทะเลจากจีนได้

ในรายงานกล่าวว่า ประธานาธิบดีไต้หวัน ไช่ อิง-เหวิน พยายามที่จะทำการปรับปรุงยุทโธปกรณ์ของตัวเองเพื่อให้สามารถใช้ได้กับสถานการณ์สู้รบแบบอสมมาตร (asymmetrical warfare ) จากข้าศึกที่ใช้ในกรณีที่ขนาดกำลังและความสามารถของ 2 ฝ่ายแตกต่างกันมาก

ไช่ได้มองไปที่สหรัฐฯ เพื่อต้องการสั่งซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ที่มีความสามารถการทำลายล้างและเคลื่อนที่ได้เป็นจำนวนมาก

นิวยอร์กไทม์สรายงานว่า นับตั้งแต่สงครามยูเครนเริ่มต้นเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ ล่าสุด สหรัฐฯ ได้เพิ่มความพยายามในการปรับปรุงการป้องกันประเทศให้แก่ไทเปอย่างรีบด่วนเพราะสหรัฐฯ และไทเปถูกทำให้เชื่อว่าสงครามยูเครนที่กำลังดำเนินอยู่ในเวลานี้อาจเกิดขึ้นกับไต้หวันโดยฝีมือปักกิ่งในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านั้นกลายเป็นภัยคุกคามสำคัญ และเชื่อว่าสงครามที่เล็กกว่าพร้อมกับอาวุธที่เหมาะสมถูกใช้ในยุทธศาสตร์การทำสงครามแบบอสมมาตร ซึ่งตั้งเป้าไปที่ความสามารถในการเคลื่อนที่สูงและการโจมตีแบบแม่นยำนั้นจะมีความสามารถต้านกลับไปกองกำลังข้าศึกที่มีกำลังมากกว่าได้สำเร็จ และในรายงานระบุว่า เฮลิคอปเตอร์ ซีฮอว์ก MH-60R (MH-60R Seahawk) ของบริษัท ไชกอร์สกี แอร์คราฟ (Sikorsky Aircraft) ที่เกี่ยวข้องกับบริษัทล็อกฮีดมาร์ตินโดยที่ระบุว่าไม่มีความเหมาะสมในสถานการณ์รบกับการรุกรานจีน

ซึ่งการศึกระหว่างจีนและไต้หวันนั้นคาดว่าจะแตกต่างจากสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน และเชื่อว่าจะเป็นสงครามที่มีความยากลำบากมากกว่า ซึ่งคำสั่งซื้อจากไต้หวันเมื่อไม่นานมานี้นั้นสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การรบแบบอสมมาตร แต่ทว่ามีผู้เชื่ยวชาญทางการทหารในไต้หวันบางส่วนไม่เห็นด้วยและต้องการให้ไทเปเตรียมพร้อมทางการทหารสำหรับการรบแบบปกติมากกว่าซึ่งเป็นการเตรียมพร้อมที่ใช้กับ "จีน" เช่นกัน

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ผงาดนั่งนายกสมาคมชาวปักษ์ใต้ในพระบรมราชูปถัมภ์ ประกาศ 3 แนวทางขับเคลื่อนนำพาชาวใต้เทิดทูนสถาบันกษัตริย์

วันนี้ 8 พ.ค.65  เวลา 09.30 น. ทางสมาคมชาวปักษ์ใต้ได้จัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2565 ที่สมาคมชาวปักษ์ใต้ในพระบรมราชูปถัมภ์ เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร มีพล.ต.อ.สุนทร ซ้ายขวัญ นายกสมาคมชาวปักษ์ใต้เป็นประธาน เพื่อสรุปแนวทางการทำงานตลอดหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งไม่สามารถจัดประชุมได้เนื่องจากติดสถานการณ์ โควิด-19

นอกจากการจัดประชุมตามข้อบังคับว่าด้วยการประชุมใหญ่ ตามมาตรา 29 ในวันนี้ยังจัดให้มีการเลือกตั้งนายกสมาคมคนใหม่เนื่องจากครบวาระ โดยคณะกรรมการมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วย ผบ.ตร. ดำรงตำแหน่งเป็นนายกสมาคมชาวปักษ์ใต้ คนใหม่ เพื่อขับเคลื่อนสมาคมไปสู่ความเข้มแข็ง และความสามัคคีในกลุ่มชาวปักษ์ใต้ซึ่งมีอยู่ทั่วประเทศ

ภาคธุรกิจกลางคืน ชง 7 ข้อให้ ‘บิ๊กตู่’ เร่งเปิดสถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะ ขอเริ่มนำร่อง 26 จังหวัดท่องเที่ยว 1 มิ.ย. ก่อนเปิดทั่วประเทศ 1 ก.ค.

นายสง่า เรืองวัฒนกุล นายกสมาคมผู้ประกอบธุรกิจถนนข้าวสาร เปิดเผยว่า กลุ่มผู้ประกอบการสถานบริการ สถานบันเทิง ร้านค้า ร้านอาหาร และธุรกิจท่องเที่ยวและบริการ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ได้รวบรวมปัญหาและข้อเสนอการฟื้นฟูและพัฒนาภาคการท่องเที่ยว รวมถึงแนวทางของภาคเอกชนหลังการเปิดประเทศ ต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในฐานะ ผอ.ศบค.ในวันที่ 9 พฤษภาคมนี้ เพื่อให้นำไปพิจารณาในการประชุมศบค.ชุดใหญ่

หนังสือที่ภาคธุรกิจกลางคืน จะเสนอนายกรัฐมนตรี ระบุว่า การแพร่ระบาดโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง จากการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคของรัฐอย่างเคร่งครัด ทำให้ผู้ประกอบการจำนวนมากปิดกิจการถาวร เนื่องจากการขาดรายได้และขาดสภาพคล่อง รวมถึงกระทบต่อภาคแรงงาน อีกทั้งอยากให้รัฐเร่งทบทวนอุปสรรคต่อการค้าและการฟื้นตัวด้านกิจกรรม จึงได้จัดทำข้อเสนอต่อรัฐบาลและหาทางออกร่วมกัน เพื่อฟื้นฟูและส่งเสริมศักยภาพการแข่งขันการท่องเที่ยวระดับภูมิภาค รวม 7 ประเด็น ประกอบด้วย

'จอห์น ลี' อดีตผู้บัญชาการฝ่ายความมั่นคง ได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้นำคนใหม่ของฮ่องกง ภายหลังจากที่มีการเลือกตั้งผู้บริหารเขตปกครองพิเศษฮ่องกงในวันนี้ และมีเพียงนายลีเท่านั้นที่เป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งดังกล่าว

นายจอห์น ลี อดีตผู้บัญชาการฝ่ายความมั่นคง อายุ 64 ปี ซึ่งเป็นผู้ที่มีจุดยืนในการสนับสนุนรัฐบาลจีน ได้รับการคัดเลือกจากคณะกรรมการการเลือกตั้งฮ่องกง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้จงรักภักดีต่อรัฐบาลจีน ผลการเลือกตั้งครั้งนี้ชี้ให้เห็นถึงความต้องการที่จะควบคุมฮ่องกงอย่างเข้มงวดของรัฐบาลจีน และจะได้ขึ้นดำรงดำแหน่งผู้ว่าการเขตบริหารพิเศษฮ่องกง (Chief Executive of the Hong Kong Special Administrative Region) คนใหม่แทนที่นางแคร์รี่ ลัม ที่กำลังจะสิ้นสุดวาระดำรงตำแหน่ง

เหตุที่การเลือกตั้งผู้ว่าฮ่องกงรอบนี้มีแคนดิเดตเพียงหนึ่งเดียวเนื่องจาก บุคคลที่จะลงชิงสมัครผู้ว่าฮ่องกจะต้องได้รับความไว้วางใจจาก “คณะกรรมการเลือกตั้ง” ซึ่งประกอบด้วยสมาชิก 1,463 คน ที่ล้วนแต่มีแนวคิดสนับสนุนรัฐบาลปักกิ่ง หลังจากที่ฮ่องกงเผชิญความไม่สงบทางการเมืองจากเหตุการณ์ประท้วงม็อบร่มเหลือง ต่อเนื่องถึงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่กระทบต่อระบบสาธารณสุขและความเชื่อมั่นของชาวฮ่องกงต่อรัฐบาลภายใต้การนำของนางแคร์รี่ ลัม
อย่างไรก็ตาม แม้นายลีซึ่งเป็นแคนดิเดตเพียงหนึ่งเดียว แต่เขายังจำเป็นต้องได้รับคะแนนเสียงข้างมากในสภาแม้จะไม่มีผู้สมัครคู่แข่งก็ตาม ซึ่งหลายฝ่ายมั่นใจว่า นายลีจะได้รับเลือกเป็นผู้บริหารสูงสุดเขตปกครองฮ่องกงอย่างแน่นอน
ล่าสุด นายลี ได้รับคะแนนโหวตในสภาฮ่องกงเกินครึ่งหนึ่ง จากคะแนนเสียทั้งหมด 750 เสียง ในเวลาเพียง 3 นาที หลังเปิดโหวต ส่งผลให้ขึ้นแท่นเป็นผู้ว่าฮ่องกงคนใหม่อย่างเป็นทางการ

สำหรับประวัติความเป็นมาของจอห์น ลี ถือว่าแตกต่างจากแคร์รี่ ลัม ผู้บริหารเขตปกครองพิเศษฮ่องกงคนปัจจุบันที่กำลังจะพ้นจากตำแหน่ง นายลีไม่ได้มีสายสัมพันธ์กับภาคธุรกิจหรือข้าราชการมาก่อน เนื่องจากภูมิหลังของลีอยู่ในวงการตำรวจ โดยจอห์น ลี ได้เข้ามาทำงานในวงการตำรวจเมื่อปี 2520 ในขณะที่มีอายุได้ 20 ปี

ที่ผ่านมา ลีเป็นที่รู้กันถึงจุดยืนในการสนับสนุนรัฐบาลจีนอย่างแรงกล้า ดังนั้น คะแนนนิยมของลีจึงอยู่ที่เพียง 34.8 จุด จาก 100 ในผลการสำรวจความนิยมครั้งล่าสุด


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top