Saturday, 10 May 2025
SPECIAL

‘อุ๊งอิ๊ง’ ยัน ‘เพื่อไทย’ พร้อมลุยสนามเลือกตั้ง ลั่น!! คนไทยต้องกลับมามีศักดิ์ศรี - อนาคตสดใส

‘อุ๊งอิ๊ง’ ยัน ‘เพื่อไทย’ พร้อมเลือกตั้ง ลั่น ปชช. ต้องกลับมามีเกียรติ ศักดิ์ศรี อนาคตที่สดใส วางแผนอนาคตตัวเองได้อย่างมั่นคง

(9 ม.ค. 66) ที่โถงอาคารสำนักงาน บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ว่า การเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงนี้ พรรคเพื่อไทย (พท.) ก็พร้อมทั้งในเรื่องของนโยบายและตัวบุคคล เราทำงานกันมาอย่างหนักในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เพื่ออยากให้พี่น้องประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น การที่ประชาชนเป็นหนี้มาอย่างยาวนาน ก็อยากให้นโยบายของเราแก้ปัญหาอย่างตรงจุด ประชาชนทุกคน ทุกกลุ่ม ทุกช่วงอายุ มีอนาคตที่สดใส อนาคตที่มองเห็น อนาคตที่สามารถคาดการณ์และแพลนได้ว่าเราอยากจะมีชีวิตของเราอย่างไร ประชาชนต้องกลับมามีเกียรติ มีศักดิ์ศรี สามารถลืมตาอ้าปาก และสามารถวางแผนอนาคตของตนเองได้อย่างมั่นคง

รวบผู้ต้องหาต่างด้าวหนีคดีฉ้อโกงประชาชน มูลค่าความเสียหายร่วม 600 ล้านบาท

ตามที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง พิจารณาดำเนินการกับนายจง (นามสมมติ) คนต่างด้าวซึ่งเป็นบุคคลที่เจ้าหน้าที่รัฐบาลต่างประเทศได้ออกหมายจับและต้องการตัวไปดำเนินคดี ในความผิดฐาน ฉ้อโกงประชาชน โดยมีพฤติการณ์กระทำผิด คือ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2559 เป็นต้นมา นายจง ได้ร่วมกับเพื่อนเปิดบริษัทและจ้างพนักงานมาทำหน้าที่โทรศัพท์หาลูกค้าเพื่อหลอกให้มาร่วมลงทุน โดยอ้างว่าบริษัทเป็นบริษัทที่สามารถทำบัตรเครดิตได้จำนวนมาก มีผู้เสียหายตกเป็นเหยื่อกว่า 500 ราย มูลค่าความเสียหายรวมประมาณ 600 ล้านบาท และนายจงได้หลบหนีมายังประเทศไทย กก.1 บก.สส.สตม. ได้สืบสวนและตรวจสอบข้อมูลในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ตม. พบว่า 

นายจง ได้เดินทางเข้ามาในประเทศไทย ทางด่าน ตม.ทอ.สุวรรณภูมิ บก.ตม.2 เมื่อวันที่ 16 ก.ย. 2562 ได้รับการตรวจลงตราประเภทนักท่องเที่ยว 60 วัน และได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวต่อไปถึงวันที่ 20 ก.ย. 2566 จึงได้เสนอขอเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรของนายจง

'ก้าวไกล' โว นโยบายก้าวไกลแก้ทุจริต กำจัดปัญหาได้ หลัง ปชช.ร้อง ถูก ขรก.กองทัพ ชิ่งเงินฝากเข้าราชการ

ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ลาดพร้าวก้าวไกล เผยประชาชนร้องเรียน ถูกข้าราชการกองทัพเรือหลอกเอาเงิน อ้างฝากเข้าราชการ ก่อนเบี้ยวเชิดเงินหนี เชื่อ มีหลายคนตกเป็นเหยื่อ พร้อมยกนโยบายก้าวไกลแก้ทุจริต กำจัดปัญหาได้

(9 ม.ค. 66) ธนเดช เพ็งสุข ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กรุงเทพฯ เขตลาดพร้าว-วังทองหลาง พรรคก้าวไกล เปิดเผยกรณีได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนที่ตกเป็นเหยื่อขบวนการฉ้อโกง โดยมีข้าราชการกองทัพเรือที่ใช้ยศ ‘ว่าที่นาวาตรี’ คนหนึ่ง เรียกรับเงินโดยอ้างว่าสามารถฝากให้คนเข้าทำงานหรือสอบเข้าราชการได้ ต่อมาเมื่อไม่สามารถทำตามที่สัญญา ก็ไม่ยอมจ่ายเงินคืน

ธนเดช กล่าวว่า สำหรับรายละเอียดข้อร้องเรียน กรณีแรก เป็นของบุคคลชื่อ ว. (นามสมมุติ) ซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2562 ต้องการสมัครเข้าทำงานที่การไฟฟ้านครหลวง ต่อมามีคนชักชวนว่าสามารถช่วยให้เข้าทำงานดังกล่าวได้ ก่อนพาไปรู้จักกับว่าที่นาวาตรีคนนี้ ซึ่งได้ขอเรียกเงินค่าดำเนินการ 230,000 บาท พร้อมกับทำสัญญากู้ยืมเงิน จนผ่านไปหนึ่งเดือน เมื่อคนชื่อ ว. ทวงถามถึงการพาไปสมัครงาน ก็ถูกว่าที่นาวาตรีคนดังกล่าวบ่ายเบี่ยงเลื่อนนัดมาเรื่อย ๆ จนรู้ตัวว่าถูกโกงเงินเข้าแล้ว และได้ติดต่อไปขอเงินคืน แต่ว่าที่นาวาตรีคนดังกล่าวเลื่อนบ่ายเบี่ยง จนถึงวันนี้ก็ยังไม่ได้เงินคืนแม้แต่บาทเดียว

ธนเดช กล่าวต่อว่า กรณีที่สอง เป็นของบุคคลชื่อ ท. (นามสมมุติ) ซึ่งได้พาหลานชายไปสมัครสอบเข้านักเรียนจ่าทหารเรือเมื่อปี 2564 ระหว่างที่รอสอบอยู่ ว่าที่นาวาตรีคนเดียวกันได้เข้ามาชักจูงว่ามีเส้นสาย สามารถช่วยให้สอบผ่านการคัดเลือกได้ จึงได้ทำสัญญากู้ยืมเงินพร้อมนำเงินสดจำนวน 500,000 บาทมามอบให้ โดยฝ่ายว่าที่นาวาตรีได้ขอเลขประจำตัวผู้เข้าสอบของหลานชายไป อ้างว่าจะดำเนินการให้ แต่เมื่อผลการสอบออกมา ปรากฏว่าหลานชายไม่ผ่านการสอบรอบแรก จึงได้ติดต่อขอเงินคืนจากว่าที่นาวาตรีคนนั้น แต่ถูกบ่ายเบี่ยงทุกครั้งที่ทวงถามจนถึงทุกวันนี้

‘ว่าที่ผู้สมัครก้าวไกล’ ควงนักปั้นคำฮิตให้ ‘ชัชชาติ’ ออกสำรวจปัญหา ‘คูคต-ลำสามแก้ว-รังสิต’

‘เชตวัน’ ก้าวไกล ปทุมฯ ควง ‘ประกิต’ ครีเอทีฟผู้คิดคำ ‘ทำงาน ทำงาน ทำงาน’ ลุยพื้นที่สำรวจปัญหาคูคต-ลำสามแก้ว-รังสิต 

(9 ม.ค. 66) เชตวัน เตือประโคน ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พรรคก้าวไกล จ.ปทุมธานี พร้อมด้วย ประกิต กอบกิจวัฒนา ครีเอทีฟผู้คิดคำว่า ‘ทำงาน ทำงาน ทำงาน’ ที่ใช้ในการรณรงค์เลือกตั้งให้กับ ‘ชัชชาติ สิทธิพันธุ์’ ชนะการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ลุยพื้นที่สำรวจปัญหาในพื้นที่ ต.คูคต อ.ลำลูกกา และ ต.ประชาธิปัตย์ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี 

เชตวัน กล่าวว่า วันนี้ตั้งใจที่จะพาพี่แมว ประกิต มาดูปัญหาในพื้นที่ที่ตัวเองเป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.โดยใช้เวลาช่วงบ่ายของวันนี้ ราว 3 ชั่วโมง ไปยังจุดต่าง ๆ ซึ่งแทบจะเรียกได้ว่าครอบคลุมถนนเส้นหลัก พร้อมกันนี้ก็ได้บอกเล่าแนวนโยบายที่อยากจะทำให้เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็น เพิ่มทางเลือกในการขนส่งสาธารณะ, การแก้ปัญหา ถ.เสมาฟ้าคราม, การขอสนามกอล์ฟของกองทัพมาเป็นพื้นที่สาธารณะให้ประชาชน เป็นต้น และถัดจากนี้ จะเขียนแนวนโยบายเหล่านี้ออกมาและส่งให้คิดเรื่องของแคมเปญการสื่อสารต่อไป 

"สำหรับการทำงานในพื้นที่ ในฐานะว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พรรคก้าวไกล ของผม ขณะนี้ถือว่าเข้าสู่เฟสที่ 2 สิ่งที่กำลังจะทำในเฟสนี้มี 2-3 เรื่องใหญ่ ๆ ได้แก่ การเดินแบบปูพรมในพื้นที่ การจัดกิจกรรมระดมทุน และการทำป้ายประชาสัมพันธ์ให้คนรู้จัก ซึ่งในเรื่องสุดท้ายนี้ ก็ได้พี่แมว ประกิต มาช่วยกันออกแบบและทำงาน ในฐานะที่เป็นครีเอทีฟ และเป็นผู้ที่คิดคำว่า 'ทำงาน ทำงาน ทำงาน' ให้กับ อ.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ชนะเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ก็มั่นใจว่า พี่แมว ประกิตจะมาช่วยทำให้ชาวปทุมธานี ได้รู้จักกับเชตวันพร้อมทั้งการสื่อสารแคมเปญดี ๆ และทำให้ชนะเลือกตั้ง" เชตวัน กล่าว

ส่องความเคลื่อนไหว สมรภูมิเลือกตั้ง ‘ภูเก็ต’ เวทีนี้ไม่มีหน้า ‘เก่า-ใหม่’ วัดใจที่นโยบายล้วนๆ

สมรภูมิแข่งขันทางการเมืองที่ดุเดือดอีกสนามหนึ่งทางภาคใต้ คงหนีไม่พ้นจังหวัดภูเก็ต ที่แต่เดิมมีเขตเลือกตั้ง เพียง 2 เขต และในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2566 นี้ภูเก็ตจะมี 3 เขต จากการแบ่งเขตเลือกตั้งใหม่ของ กกต. ให้แข่งขันกันอย่างดุเดือดในปี พ.ศ. 2566 

ทั้งนี้ หากย้อนกลับไปดูสถิติของการเลือกตั้งจังหวัดภูเก็ตทั้ง 2 ครั้ง จะพบรายละเอียดดังนี้...

>> จังหวัดภูเก็ต เขต 1 
(3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554)
- นางอัญชลี เทพบุตร พรรคประชาธิปัตย์ ได้คะแนนไป 52,921 คะแนน
- นายวิสิษฐ์ ใจอาจ พรรคเพื่อไทย ได้คะแนนไป 16,573 คะแนน
- วีรศักดิ์ วรเนติวงศ์ พรรคแทนคุณแผ่นดิน ได้คะแนนไป 281

(24 มีนาคม พ.ศ. 2562) 
- นายสุทา ประทีป ณ ถลาง พรรคพลังประชารัฐ ได้คะแนนไป 32,338 คะแนน
- นายเรวัติ อารีรอบ พรรคประชาธิปัตย์ ได้คะแนนไป 25,194 คะแนน
- นายวิศิษฐ์ อนันต์ศิริภัณฑ์ พรรคอนาคตใหม่ ได้คะแนนไป 22,599 คะแนน

(ที่มา : สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง. ข้อมูลสถิติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2554 และ พ.ศ. 2562 )

>> จังหวัดภูเก็ต เขต 2
(3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554)
- นายเรวัติ อารีรอบ พรรคประชาธิปัตย์ ได้คะแนนไป 52,585 คะแนน
- นายจิรายุส ทรงยศ พรรคภูมิใจไทย ได้คะแนนไป 28,252 คะแนน
- นายสมาน เก็บทรัพย์ พรรคเพื่อไทย ได้คะแนนไป 8,206 คะแนน

(24 มีนาคม พ.ศ. 2562)
- นายนัทธี ถิ่นสาคู พรรคพลังประชารัฐ ได้คะแนนไป 27,267 คะแนน
- นายชัยยศ ปัญญาไวย พรรคประชาธิปัตย์ ได้คะแนนไป 23,958 คะแนน
- นายศุภณัฐ เลื่องลือ พรรคอนาคตใหม่ ได้คะแนนไป 19,963 คะแนน

(ที่มา: สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง. ข้อมูลสถิติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2554 และ พ.ศ. 2562)

จะเห็นว่าเมื่อการเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2554 พรรคที่ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. แบบแบ่งเขต ทั้งเขต 1 และ เขต 2 เป็นที่นั่งของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งมีคะแนนทิ้งห่างจากลำดับที่ 2 อยู่หลายหมื่นคะแนน ส่วนการเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2562 พรรคประชาธิปัตย์ได้ส่ง ส.ส.เดิม คือ นายเรวัติ อารีรอบ จากเขต 2 แต่ไปลงชิงคะแนนในเขต 1 ซึ่งก็แพ้คะแนนให้กับ นายสุทา ประทีป ณ ถลาง จาก พลังประชารัฐ ไปหลายพันคะแนน ส่วนเขต 2 พรรคประชาธิปัตย์ได้ส่งนายชัยยศ ปัญญาไวย ท้าชิงกับนายนัทธี ถิ่นสาคู จากพลังประชารัฐ คะแนนของนายชัยยศตามหลังห่างกันเพียง 3,000 กว่าคะแนนเท่านั้น ทำให้พลังประชารัฐยึดที่นั่ง ส.ส.ภูเก็ตได้สำเร็จ แต่ที่น่าสังเกตในการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2562 คือ พรรคพลังประชารัฐเป็นพรรคเกิดใหม่ แต่ชูลุงตู่เป็นนายกรัฐมนตรี อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้กลุ่มอนุรักษ์นิยมในภูเก็ตเทคะแนนให้แบบหมดหน้าตัก 

ด้านพรรคอนาคตใหม่ในขณะนั้นก็สร้างปรากฎการณ์แลนด์สไลด์ โดยได้รับคะแนนนิยมมาเป็นอันดับที่ 3 ของทั้ง 2 เขต ซึ่งคะแนนห่างจากลำดับที่ 2 ไม่กี่พันคะแนนซึ่งเป็นพรรคเกิดใหม่โดยคนรุ่นใหม่ และถ้ามาพิจารณาคะแนนของผู้ที่ได้ลำดับหนึ่งในการเลือกตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2554 มีคะแนนสูงถึง 5 หมื่นกว่าคะแนน เนื่องจากมีพรรคที่ลงแข่งไม่มาก ประมาณ 3-4 พรรคที่รับคะแนนเสียงเลือกตั้งเท่านั้น 

ส่วนในปี พ.ศ. 2562 คะแนนของผู้ที่เป็นลำดับหนึ่งลดน้อยลงไป เนื่องจากมีพรรคการเมืองลงแข่งขันจำนวนมากกว่า 26 พรรค ทำให้คะแนนถูกกระจายไปยังพรรคอื่นๆ ซึ่งต้องมาพิจารณากันว่าในปี พ.ศ. 2566 จะมีพรรคการเมืองลงแข่งขันกันมากน้อยขนาดไหนและคะแนนจะเป็นอย่างไร ส่วนการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2566 จากข้อมูลสถิติข้างต้น สามารถบอกได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นหน้าใหม่หรือหน้าเก่า ก็สามารถแทรกตัวเป็น ส.ส. อันดับหนึ่งได้ อยู่ที่นโยบายของพรรค แคมเปญที่สามารถครองใจชาวภูเก็ตได้ หรือมีการลงพื้นที่อย่างต่อเนื่องจนชาวบ้านไว้วางใจ เรามาดูว่ามีพรรคการเมืองไหนได้เปิดตัวว่าผู้สมัครลงรับเลือกตั้ง ส.ส. ภูเก็ต เป็นใครกันบ้าง ดังนี้...

>> พรรคประชาธิปัตย์ 
- เปิดตัวเมื่อวันที่ 14 ส.ค. 2565 จ.สงขลา 
- ภายใต้แนวทางรวมพลัง 30 เลือดใหม่ ทวงปักษ์ใต้คืน (สร้างเงิน สร้างคน สร้างชาติ) 
- โดยมีว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ดังนี้ เขต 1 นายกวี ตันสุคตานนท์, เขต 2 นายชัยยศ ปัญญาไวย, เขต 3 นางสาวพลอยทะเล ลักษมีแสงจันทร์

>> ก้าวไกล 
- เปิดตัวเมื่อวันที่ 21 ส.ค. 2565 จ.ภูเก็ต 
- ภายใต้แนวทางก้าวไกล Next x ปักษ์ใต้ 
- โดยมีว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ดังนี้ เขต 1 ว่าที่ ร.ต. สมชาติ เตชถาวรเจริญ, เขต 2 นายฐิติกันต์ ฐิติพฤฒิกุล, เขต 3 รอการประกาศที่ชัดเจนจาก กกต.

>> ไทยสร้างไทย 
- เปิดตัวเมื่อวันที่ 26 ก.ย. 2565 จ.ภูเก็ต 
- ภายใต้แนวทางคนใต้ต้องกินดีอยู่ดี สร้างรายได้ ปลดหนี้ มีบำนาญ 
- โดยมีว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ดังนี้ เขต 1 ยังไม่ส่งผู้สมัครในขณะนี้, เขต 2 มณีรัตน์ วิชัยดิษฐ-สุขยิรัญ, เขต 3 ยังไม่ส่งผู้สมัครในขณะนี้

>> ชาติพัฒนากล้า 
- เปิดตัวเมื่อวันที่ 14 พ.ย. 2565 จ.ภูเก็ต 
- ภายใต้แนวทางคนรุ่นใหม่ รู้ลึกพื้นที่ รู้จริงปัญหาภูเก็ต 
- โดยมีว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ดังนี้ เขต 1 ยังไม่ส่งผู้สมัครในขณะนี้, เขต 2 นางสาวอรทัย เกิดทรัพย์, เขต 3 นายเทมส์ ไกรทัศน์

>> พลังประชารัฐ 
- เปิดตัวเมื่อวันที่ 28 พ.ย. 65 กรุงเทพมหานคร 
- ภายใต้แนวทางเราคือพลังประชารัฐ เคียงข้างชาวใต้ 
- โดยมีว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ดังนี้ เขต 1 นายจิรายุส ทรงยศ, เขต 2 นายนัทธี ถิ่นสาคู, เขต 3 นายสุธา ประทีป ณ ถลาง

>> ภูมิใจไทย
- เปิดตัวเมื่อวันที่ 3 ธ.ค. 65 จ.ภูเก็ต 
- ภายใต้แนวทางภูเก็ตต้องผลัดใบ ภูมิใจไทย พูดแล้วทำ 
- โดยมีว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ดังนี้ เขต 1 นายนิพนธ์ เอกวานิช, เขต 2 นายวิวัฒน์ จินดาพล, เขต 3 นายวงศกร ชนะกิจ

>> เพื่อไทย 
- เปิดตัวเมื่อวันที่ 11 ธ.ค. 65 จ.นครศรีธรรมราช 
- ภายใต้แนวทางครอบครัวเพื่อไทย แหลงจริง ทำได้ คนใต้หรอยแรง 
- โดยมีว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ดังนี้ เขต 1 นายวัชรพงษ์ อนันตกูล, เขต 2 นายสนธยา หลาวหล้าง, เขต 3 นายอาวุธ หนูเซต

(ข้อมูล ณ วันที่ 8 ม.ค.2566 ส่วนพรรครวมไทยสร้างชาติ ยังไม่เปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ภูเก็ต)

ในส่วนของยุทธศาสตร์ของแต่ละพรรคมีความแตกต่างกัน เริ่มที่พรรคประชาธิปัตย์ เปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ภาคใต้ภายใต้แคมเปญ รวมพลัง 30 เลือดใหม่ ทวงปักษ์ใต้คืน โดยจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ น้ำตาซึมอ้อนชาวใต้บอกว่าเป็นพรรคของคนใต้อย่างแท้จริง เชื่อว่าการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงชาวใต้คงให้โอกาสผู้สมัครของพรรคให้ได้มากกว่า 35 ที่นั่ง ส่วนเลขาธิการพรรค เฉลิมชัย ศรีอ่อน ประกาศว่าถ้าได้ ส.ส. น้อยกว่าครั้งก่อนคือ 52 ที่นั่ง จะขอเลิกเล่นการเมืองตลอดชีวิต ส่วนยุทธศาสตร์สำคัญของพรรค คือ สร้างเงิน สร้างคน สร้างชาติ ทุกจังหวัดในภาคใต้ต้องรวมกันเป็นหนึ่งเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย

กระจายอำนาจท้องถิ่นในแบบ ‘ปชป.’ ยืนหยัด ต้องให้จังหวัดจัดการตนเอง

ประชาธิปัตย์กับการกระจายอำนาจ ; จังหวัดจัดการตนเอง

ถ้าย้อนกลับไปพิจารณาเจตนารมณ์ อุดมการณ์ ตั้งแต่ต้นของพรรคประชาธิปัตย์ โดย 'ควง อภัยวงค์' ผู้ก่อตั้งพรรค จะพบเจตนารมณ์ 10 ข้อ ที่ประกาศต่อสาธารณะ และถือเป็นเจตนารมณ์-อุดมการณ์ ที่ยังทันสมัย และใช้ได้ หนึ่งในนั้น คือเรื่องการกระจายอำนาจ ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการบริหาร จัดการในระดับพื้นที่ที่เล็กลงไป โดยยึดถือหลักว่า คนในพื้นที่คือคนที่รู้ปัญหา รู้ความต้องการของประชาชนมากที่สุด รู้ว่าในแต่ละพื้นที่มีทรัพยากรธรรมชาติอะไรที่จะมาบริหารจัดการ ให้บริการสาธารณะอย่างไร

แต่เจตนารมณ์-อุดมการณ์ ประชาธิปัตย์ เดินผ่านช่วงเวลามาร่วม 70 ปี บางอย่างสำเร็จแล้ว บางอย่างอยู่ระหว่างการผลักดันให้เกิดผลเป็นรูปธรรม และยังจะเดินหน้าให้เกิดการกระจายอำนาจเกิดขึ้นอย่างแท้จริง แต่ปัญหาใหญ่คือ 'ห่วงอำนาจ' รัฐบาลกลางยังไม่จริงจัง จริงใจกับการกนะจายอำนาจ เพราะกลับ 'สูญเสียอำนาจ' โดยเฉพาะกระทรวงใหม่ สายอำมาตย์ อย่างกระทรวงมหาดไทย ยังกวดอำนาจไว้อย่างเหนียวแน่น ไม่ยอมปล่อย

นี้คืออุปสรรคใหญ่ของการกระจายอำนาจ ในยุคที่ 'นิพนธ์ บุญญามณี' เข้าไปนั่งเป็นรัฐมนตรีช่วยมหาดไทย และถือว่าเป็นผู้รู้เรื่องกระจายอำนาจ รู้เรื่องการปกครองส่วนท้องถิ่นมากที่สุดคนหนึ่ง ก็ยังถูกกีดกันไม่ให้กำกับ-ดูแล กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น รัฐมนตรีว่าการฯกอดอำนาจไว้แน่น

ผลักให้นิพนธ์ไปดูกรมที่ดิน กรมป้องกันบรรเทาสาธารณภัย แต่คำว่านักการเมือง ไม่ว่าอยู่ตรงไหนก็สามารถคิดงานคิดการขึ้นมาได้ 'นิพนธ์' จึงเป็นที่ยอมรับในผลงานในช่วงสามปีกว่า ๆ ในกระทรวงมหาดไทย

หากย้อนกลับไปดูเรื่องการ กระจายอำนาจจะพบผลงานมากมายของพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าจะเป็นการผลักดันให้ออกพระราชบัญญัติระเบียบบริหารองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) จากเดิมที่บริหาร-ดูแล โดยกำนัน เป็นนายกฯอบต.โดยตำแหน่ง ทำงานทั้งการพัฒนา และความสงบเรียบร้อย แม้ช่วงแรก ๆ จะมีอุปสรรค มีปัญหา มีข้อครหา แต่เวลาผ่านพ้นไป จะเป็นบทพิสูจน์ และกลั่นกรองคนเข้าสู่ระบบผ่านการเลือกตั้ง วันนี้ อบต.เริ่มก้าวข้ามคำว่า ผู้บริหารมาจากผู้รับเหมา มาจากผู้มีอิทธิพล เริ่มมีคนรุ่นใหม่ มีการศึกษาสูง กลับบ้านไปรับใช้บ้านเกิดมากขึ้น เกิดโครงการ เกิดนวัตกรรมใหม่ๆขึ้นมากมาย แต่คำว่า อบต.ก็ยังต้องปรับตัว ปรับเปลี่ยนต่อไปอีกมาก เพื่อก้าวผ่านข้อครหา 'กินหัวคิว-กินเปอร์เซ็นต์' ไปให้ได้ แล้วเราจะเห็นแสงสว่างสดใสมากขึ้น รัฐบาลเองก็มีหน้าที่ในการส่งเสริม สนับสนุนให้องค์กรท้องถิ่นเข้มแข็ง 

การยกฐานะสุขาภิบาลมาเป็นเทศบาลทั่วประเทศ การให้นายกฯอบจ.มาจากการเลือกตั้ง โดยตรงของประชาชน แทนที่จะให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสวมหมวกสองใบ หรือให้สมาชิกซาวเสียงกันเองเลือกนายกฯอบจ.

ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่ต้องมาจากการเลือกตั้ง ก็เป็นผลงานการผลักดันของพรรคประชาธิปัตย์ ด้วยการยกร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร ที่กำหนดให้ผู้ว่าฯต้องมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน มีสภาฯกทม.(สก.) เป็นฝ่ายนิติบัญญัติ มีสมาชิกสภาเขต (สข.)เป็นที่ปรึกษาของ ผอ.เขต ผ่านการเลือกตั้งผู้ว่าฯมาแล้วหลายคน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนจากพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าจะเป็น 'อภิรักษ์ โกษะโยธิน' หรือ มรว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร แม้การเลือกตั้งครั้งล่าสุด ประชาธิปัตย์ โดย ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ จะพ่ายให้กับ 'ชัชชาติ สิทธิพันธุ์' แต่คะแนนก็ไม่ได้น่าเกลียดอะไร ไล่มาอยู่ลำดับ 2 

ถามว่าการจายอำนาจจะเดินไปถึงจุดไหน พรรคการเมืองบางพรรค อย่างพรรคก้าวไกล เสนอแบบสุดขั้ว ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมาจากการเลือกตั้งทั้งหมด ยกเลิกนายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ยกเลิกราชการส่วนภูมิภาคด้วย พรรคประชาธิปัตย์ก็เคยเสนอเป็นนโยบายให้เลือกตั้งผู้ว่าราชจังหวัดทุกจังหวัดในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา แต่มาคราวนี้น่าจะเสนอในรูปแบบของ 'จังหวัดจัดการตนเอง' จังหวัดไหนพร้อมก็ยกฐานะขึ้นมา เช่น ภูเก็ต-เมืองท่องเที่ยว เหมือนกับพัทยา และเชียงใหม่-น่าน สมุทรปราการ เมืองอุตสาหกรรม-เมืองการบิน ระยอง-เมืองอุตสาหกรรม-ท่องเที่ยว เหล่านี้เป็นต้น เป็นการทดลองการจัดการตนเอง อันเป็นแนวคิดค่อยเป็นค่อยไป

การเลือกตั้งครั้งปี 2562 พรรคภูมิใจไทย เสนอแนวคิด 'ลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน' ก็ยังแค่เสนอให้ลดจำนวนกระทรวง ทบวง กรม ลง ส่วนเพิ่มอำนาจประชาชนจะทำอย่างไร ยังอธิบายไม่ชัด

ก้าวไกลเสนอเลือกตั้งนายกจังหวัด (26 พ.ย. 65)
เพื่อไทยเสนอเลือกตั้งผู้ว่าฯ ในทุกจังหวัดที่พร้อม (6 ธ.ค. 65)
รูปธรรมกว่านั้นคือ ในปี 2570 เพื่อไทยตั้งเป้ากระจายอำนาจจากโรงพยาบาลของรัฐไปยังท้องถิ่นในรูปแบบองค์การมหาชน หรือกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นจัดการ ส่วนก้าวไกลมีนโยบายจัดทำประชามติภายใน 1 ปี เพื่อถามประชาชนว่าเห็นด้วยหรือไม่กับการยกเลิกราชการส่วนภูมิภาค และภายใน 4 ปีจะเพิ่มสัดส่วนรายได้ที่ส่วนกลางต้องแบ่งสรรให้ท้องถิ่นจากไม่เกิน 30% เป็นไม่น้อยกว่า 35% เป็นต้น

น่าเสียดายพรรคพลังท้องถิ่นไทย มี ส.ส.ในสภา มีอาจารย์ที่เชี่ยวชาญด้านการเมืองท้องถิ่น มี ส.ส.ที่มาจากการเมืองท้องถิ่น แต่ไม่ได้ขับเคลื่อนจริงจังกับการกระจายอำนาจ

นึกย้อนไปในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อ 13 กันยายน 2535 ซึ่งเป็นการเลือกตั้งครั้งแรกหลังเหตุการณ์ ‘พฤษภาทมิฬ’ ตอนนั้นมีอย่างน้อย 4 พรรคการเมืองที่เสนอนโยบายให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดในจังหวัดที่มีความพร้อม ได้แก่ พรรคประชาธิปัตย์, พรรคพลังธรรม, พรรคความหวังใหม่ และพรรคเอกภาพ ส่วนหนึ่งเสนอในเชิงยุทธการวิธีหาเสียง เพราะเชื่อว่าประชาชนจะให้การสนับสนุน ทว่า เมื่อทั้ง 4 พรรคมาร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลผสมแล้ว นโยบายนี้ก็หายไปจากนโยบายของรัฐบาล โดยพรรคแกนนำอย่างพรรคประชาธิปัตย์และพรรคความหวังใหม่เห็นว่านั่นเป็นเพียงนโยบายพรรคการเมือง ไม่ใช่นโยบายรัฐบาล

อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งท้องถิ่นที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องนับแต่ช่วงปลายปี 2563 มาจนถึงกลางปี 2565 ไล่ตั้งแต่ อบจ. เทศบาล อบต. มาจนถึงเมืองพัทยา และ กทม. ผู้บริหารท้องถิ่นที่ได้รับการเลือกตั้งเข้าไปไม่สามารถนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆ โดยเฉพาะในเชิงของการพัฒนาพื้นที่ได้ ใช่ว่าผู้บริหารท้องถิ่นเหล่านี้ไม่มีศักยภาพ แต่เป็นเพราะบทบาทอำนาจท้องถิ่นมีจำกัด งานสำคัญๆ ยังคงถูกรวมศูนย์ไว้ที่ส่วนกลาง แม้แต่ กทม.เองที่ได้ชื่อว่าเป็นท้องถิ่นรูปแบบพิเศษก็ยังทำอะไรได้น้อยมากเมื่อเทียบกับเมืองหลวงของประเทศอื่น ถ้าเห็นว่าประชาชนเริ่มตระหนักและเข้าใจถึงปัญหากันมากขึ้น การกระจายอำนาจกลายเป็นประเด็นที่ขายได้ และมีคนพร้อมซื้อ พรรคการเมืองจึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องแสดงท่าทีของตนออกมา ซึ่งต้องตรงไปตรงมากว่าการเลือกตั้งหนก่อน

ซ้อนแผนรวบแฟ้มเมืองทองลูกจ้างสุดแสบลักพระพุทธรูปเก่าแล้วนำของปลอมมาวางตบตาเจ้าของ

พล.ต.อ.ชินภัทร สารสิน รอง ผบ.ตร. / ผอ.ศอ.ปส.ตร. (ศูนย์ป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ) ส่งทีมแกะรอยจับกุม แฟ้มเมืองทอง มือขโมยพระพุทธรูปปรางนาคปรกเก่า ก่อนนำไปขายในโลกโซเชียล หลังได้รับเบาะแสจากประชาชนว่ามีคนร้ายนำพระพุทธรูปสมบัติเก่า และทรัพย์สินอีกหลายรายการมาขายในโลกโซเชี่ยลดังกล่าว จึงมอบหมายให้ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น /หัวหน้าชุดปฏิบัติการที่ 5 ศอ.ปส.ตร. จัดชุดลาดตระเวนในโลกออนไลน์สืบสวนจับกุมคนร้าย

เมื่อวันที่ (8 ม.ค. 66) เวลาประมาณ 17.00 น. พล.ต.อ.ชินภัทร สารสิน รอง ผบ.ตร. /ผอ.ศอ.ปส.ตร. ได้สั่งการให้ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. พล.ต.ต.โชคชัย งามวงศ์ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. พ.ต.อ.ธนากร อ่อนทองคำ ผกก.สส.4 บก.สส.บช.น. , พ.ต.อ.กฤติเดช จันทร์เพชร ผกก.สน.ธรรมศาลา , พ.ต.อ.วรพจน์ รุ่งกระจ่าง ผกก.ฯปฏิบัติหน้าที่ ศอ.ปส.ตร.  พ.ต.ท.นรามินทร์ เทพจักรินทร์ , พ.ต.ท.ปรีชา ใยมะเดื่อ , พ.ต.ต.ชัยวัฒน์ จงเจริญ ร.ต.อ.ธัญพีรสิษฐ์ จุลพิภพ , ร.ต.อ.ศิวัช ยังอุ่น , ร.ต.อ.วุฒินันท์ คงดี , ร.ต.อ.ปรมา ปราณี ร่วมกับเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ศอ.ปส.ตร.ชุดปฏิบัติการที่ 5 ชุดสืบสวนนครบาล (บก.สส.บช.น.) และฝ่ายสืบสวน สน.ธรรมศาลา นำกำลังสืบสวนติดตามจับกุมตัว

นายสันติชัย คำบอนพิทักษ์หรือ แฟ้ม อายุ 25 ปี อยู่บ้านเลขที่ 124/3 ม.3 ต.เขาน้อย อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยกล่าวหาว่า 'ลักทรัพย์ที่เป็นของนายจ้าง'
ตรวจยึดของกลางกว่า 5 รายการ ดังนี้
1. พระพุทธรูปปรางนาคปรก สีดำฐานกว้าง 6 นิ้ว สูง 9 นิ้ว 1 องค์
2. พระพุทธรูปปรางลีลา สีทอง ฐานกว้าง 4 นิ้ว สูง 20 นิ้ว 1 องค์
3. โทรศัพท์มือถือยี่ห้อไอโฟน 8 พลัส สีทอง 1 เครื่อง
4. พระเครื่องจำนวน 7 องค์
5. สมุดบัญชีธนาคารธนชาตทหารไทย เลขที่ 308-7-17xxxx

โดยจับกุมตัวได้ที่ ลานจอดรถT10 ถ.ป๊อปปูล่า ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี 

กองหนุน 'บิ๊กตู่' พรึ่บ!! เปิดชื่อ บิ๊กเนม! ร่วมซบ รทสช. จ่อร่วมกิจกรรม เปิดตัว บิ๊กตู่ 9 ม.ค.นี้ ล๊อตแรกกว่า 30 คน รอเวลาเหมาะสมอีก 10 คน

ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวของพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่เตรียมจัดกิจกรรมเปิดตัวพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เข้าร่วมงานกับพรรค ในวันที่ 9 ม.ค. นี้ ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยหลังจากนี้จะมีส.ส.จากพรรคต่างๆ และผู้บริหารท้องถิ่น ทยอยเข้ามาสมทบตามพล.อ.ประยุทธ์ จำนวนมาก 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในส่วนของนายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน เตรียมนำส.ส.พลังประชารัฐ หลายคน มาร่วมงานกับพรรครวมไทยสร้างชาติ  ได้แก่ น.ส.ไพลิน เทียนสุวรรณ ส.ส.สมุทรปราการ , ร.ต.อ.ฐนภัทร กิตติวงศา ส.ส.จันทบุรี , นายสมพงษ์ โสภณ ส.ส.ระยอง , นายรณเทพ อนุวัฒน์ ส.ส.ชลบุรี , นายชัยวัฒน์ เป้าเปี่ยมทรัพย์ ส.ส.ฉะเชิงเทรา , น.ส.กุลวลี นพอมรบดี ส.ส.ราชบุรี , นายสาธิต อุ๋ยตระกูล ส.ส.เพชรบุรี , นายสมบัติ อำนาคะ ส.ส.สระบุรี , นายประสิทธิ์ มะหะหมัด ส.ส.กทม. รวมถึง นายอนุมัติ ซูสารอ ส.ส.ปัตตานี พรรคประชาชาติ 

ขณะที่ ส.ส.พลังประชารัฐ ในสายของเสธหิ หรือหิมาลัย ผิวพรรณ ที่ประกาศตัวชัดเจนว่าพร้อมสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ ก็เตรียมมาร่วมงานด้วยได้แก่ นายสุรชาติ ศรีบุศกร ส.ส.พิจิตร นายสัญญา นิลสุพรรณ ส.ส.นครสววรค์ นายมานัส อ่อนอ้าย ส.ส.พิษณุโลก ที่เตรียมส่งลูกชายลงสมัครส.ส.แทน 

นอกจากนี้ยังมี น.ส.ฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ ส.ส.กทม. นายสายัณห์ ยุติธรรม ส.ส.นครศรีธรรมราช  , นายธนกร วังบุญคงชนะ รมต.ประจำสำนักนายกฯ และส.ส.บัญชีรายชื่อ , นายศาสตรา ศรีปาน ส.ส.สงขลา , นายพยม พรหมเพชร ส.ส. สงขลา , ร.ต.อ.อรุณ สวัสดี ส.ส.สงขลา และนางพิชชารัตน์ เลาหพงศ์ชนะ ที่ลาออกจากพปชร.ก่อนหน้า ต่างก็เตรียมย้ายมาสังกัดพรรครวมไทยสร้างชาติ 

สำหรับ ส.ส. จากพรรคประชาธิปัตย์ ได้แก่ น.ส.รังสิมา รอดรัศมี ส.ส.สมุทรสงคราม , พ.ท.สินธพ แก้วพิจิตร ส.ส.นครปฐม , น.ส.พิมภัทรา วิชัยกุลส.ส.นครศรีธรรมราช , น.ส.วชิราภรณ์ กาญจนะ ส.ส.สุราษฎร์ธานี , นายเจือ ราชสีห์ ส.ส. บัญชีรายชื่อ , นางศิริวรรณ ปราศจากศัตรู ส.ส. บัญชีรายชื่อ รวมถึงนายสุพล จุลใส ส.ส.ชุมพร พรรครวมพลัง ด้วยส่วน ส.ส. จากพรรคพลังท้องถิ่นไทย ประกอบด้วย นายชัชวาลล์ คงอุดม ส.ส.บัญชีรายชื่อ , นายโกวิทย์ พวงงาม ส.ส.บัญชีรายชื่อ , นายนพดล แก้วสุพัฒน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ , นายจารึก ศรีอ่อน ส.ส. จันทบุรี และน.ส.กวินนาถ ตาคีย์ ส.ส. ชลบุรี

ขณะเดียวกันจะมีการเปิดตัวทีมนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ซึ่งจะมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนการเลือกตั้ง ประกอบด้วย นายพงษ์ศักดิ์ จ่าแก้ว นายก อบจ.สุราษฎร์ธานี นายกวิสุทธิ์ ธรรมเพชร นายก อบจ.พัทลุง นายนพพร อุสิทธิ์ นายก อบจ. ชุมพร นายชัยยะ อังค์กินันท์ นายก อบจ. เพชรบุรี นายกิตติ เป้าเปี่ยมทรัพย์ นายก อบจ. ฉะเชิงเทรา เป็นต้น 

รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับ ส.ส. ที่จะมาร่วมเปิดตัวในวันที่ 9 ม.ค. นับรวมแล้วมีมากกว่า 30 คน อย่างไรก็ตามยังมี ส.ส. อีกกว่า 10 คน ที่ยังไม่ขอเปิดตัวในวันที่ 9 ม.ค. เนื่องจากต้องการรอจังหวะทางการเมืองที่เหมาะสมมากกว่านี้ ทำให้มี ส.ส. ที่จะเข้าร่วมงานกับพรรครวมไทยสร้างชาติแล้วกว่า 40 คนด้วยกัน

ชัดเจน! ‘บี พุทธิพงษ์’ ร่วมทัพ ‘ภูมิใจไทย’ แน่ ด้าน ‘อนุทิน’ ขอบคุณ ชี้ ช่วยเสริมแกร่ง สู่พรรคระดับประเทศ ให้ความสำคัญกับเมืองหลวง ย้ำ แนวทางพรรคไม่ทะเลาะกับใคร มุ่งทำงาน

ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวล่าสุดในการเข้าร่วมพรรคภูมิใจไทย ของนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ระบุว่า

นายพุทธิพงษ์ จะเข้ามาร่วมงานกับพรรคภูมิใจไทยแน่นอน หลังจากที่มีนักการเมืองในเครือข่ายนายพุทธิพงษ์ได้ต่อสายพูดคุยกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ถึงจุดยืนทางการเมือง 

ก่อนได้คำตอบจากนายอนุทิน ว่า รู้สึกยินดีที่พรรคได้นายพุทธิพงษ์ และทีมงานเข้ามาร่วมทำงานด้วย เป็นการสะท้อนว่า พรรคให้ความสำคัญกับเมืองหลวง ชัดเจนว่า ภูมิใจไทย กำลังขยับเป็นพรรคระดับชาติ ไม่ใช่พรรคเฉพาะท้องถิ่น เหมือนที่บางคนเชื่อเช่นนั้น

นายพุทธิพงษ์ จะช่วยเราในพื้นที่ กทม.และเราก็จะช่วยให้นายพุทธิพงษ์ มองเห็นโอกาสของคน กทม.ในพื้นที่ต่างจังหวัด การทำงานร่วมกันจะเป็นประโยชน์ของประชาชนแน่นอน

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 8 มกราคม 2566 : หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ

ทำดีได้ความดี ทำชั่วได้ความชั่ว
ทำเหตุให้เกิดทุกข์ ก็ได้ความทุกข์
ทำเหตุให้เกิดสุข ก็ได้ความสุข
ทำเหตุให้เกิดความเสื่อม เราก็ได้ความเสื่อม
ทำเหตุให้เกิดความเจริญ เราก็ได้ความเจริญ
เราหนีจากผลที่เราทำไว้ไม่ได้

'ตม.เชียงราย' สกัดจับรถขนแรงงานต่างด้าว หลบหนีเข้าเมืองผิดกฎหมายจากชายแดนแม่สาย

(7 ม.ค. 66) พ.ต.อ.เขมชาติ วัฒนนภาเกษม ผู้กำกับตำรวจตรวจคนเข้าเมืองเชียงรายรับรายงานว่าจะมีขบวนการขนแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองผิดกฎหมายจากชายแดนแม่สายไปส่งจังหวัดเชียงใหม่จึงสั่งการให้ พ.ต.ท.กิตติธร นาคเกลี้ยง รองผู้กำกับตรวจคนเข้าเมืองเชียงราย, พ.ต.ท.มนตรี อินเปรี้ยว สารวัตรตรวจคนเข้าเมืองเชียงราย, ร.ต.อ.รัชภูมิ ฤทธิศร รองสารวัตรตรวจคนเข้าเมืองเชียงราย นำกำลังชุดสืบสวนตรวจคนเข้าเมืองเชียงรายร่วมกับสืบสวนตรวจคนเข้าเมือง 5 ติดตามไปถึงบริเวณถนนหมายเลข 1063 ตำบลแม่ข้าวต้ม อำเภอเมือง พบรถปิกอัป 3 คันขับตามกันมามุ่งหน้าไปทางอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย จึงขับรถไล่สกัดบังคับรถทั้ง 3 คันให้จอดเพื่อทำการตรวจค้น

.

คันแรกเป็นรถปิกอัปโตโยต้าวีโร่สีดำ ทะเบียนเชียงใหม่โดยมีนายใจเป็นคนขับรถนำทางคอยดูต้นทาง

.

คันที่ 2 รถปิกอัปโตโยต้าวีโก้ทะเบียนเชียงใหม่ โดยมีนายวันเป็นคนขับรถขนแรงงานชาวเมียนมามา 10 คน เป็นชาย 6 หญิง 2 เด็ก 2 คน 

ปชป. กางยุทธศาสตร์ 3 ส. 'สร้างเงิน สร้างคน สร้างชาติ' ย้ำ!! เจตนารมณ์พรรค 70 ปี มุ่งทำงานเพื่อชาติเป็นหลัก

ช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา พรรคประชาธิปัตย์ประกาศความพร้อมแบบ 'เต็มอัตราศึก' พร้อมลุยทุกสนามเลือกตั้ง ในทุกกระบวนท่า พร้อมทั้งในแง่นโยบาย ในแง่บุคลากร โดยจะส่งสมาชิกลงสมัครรับเลือกตั้งในทุกเขต 400 เขต และบัญชีรายชื่อ 100 คน ครบ 500 คน

การประกาศความพร้อมในครั้งนี้ ทำให้ได้เห็นความพยายามในการขับเคลื่อนในระดับพื้นที่ การคิดนโยบายใหม่ ๆ เพื่อสนองตอบต่อปัญหาของประชาชน

นอกจากนี้ พรรคประชาธิปัตย์ยังได้ติดตั้งป้ายประชาสัมพันธ์ทั่วประเทศ อันเป็นการ 'ปูพรม' กับการเปิดยุทธศาสตร์ 3 ส. คือ สร้างเงิน สร้างคน สร้างชาติ

โดยนายนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และผู้อำนวยการเตรียมการเลือกตั้ง อธิบายขยายความกับเกี่ยวกับยุทธศาสตร์ 3 ส. ว่า นอกจากการเตรียมผู้สมัครในแต่ละเขตแล้ว เรื่องนโยบายที่ใช้หาเสียงก็เป็นเรื่องที่พรรคให้ความสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ เช่นกัน ซึ่งการจัดทำนโยบายของพรรคนั้นต้องพิจารณาอย่างรอบคอบในทุก ๆ ด้าน ทั้งเรื่องความเป็นไปได้ในการปฏิบัติ กรอบงบประมาณที่ต้องใช้ภายใต้นโยบายที่จัดทำ ระยะเวลาที่ต้องปฏิบัติ โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดที่จะเกิดต่อประชาชน และประเทศชาติ ทั้งด้านการพัฒนาประเทศ และคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ต้องดีขึ้น 

ซึ่งขณะนี้ หลักคิดเชิงยุทธศาสตร์ ซึ่งจะเป็นทั้ง มาสเตอร์แพลน (Master plan) หรือแผนแม่บทของพรรคในการวางอนาคตของประเทศชาติและประชาชน ที่จะใช้เป็นนโยบายในการหาเสียงครั้งนี้คือ สร้างเงิน สร้างคน สร้างชาติ โดยมีแนวทางที่สำคัญของทั้ง 3 ส. ดังนี้  

1.สร้างเงิน โดยการแยะเป็นสองส่วนใหญ่ ๆ คือ สร้างเงินให้ประเทศ และสร้างเงินให้ประชาชน

2.การสร้างคน ที่พรรคจะสนับสนุนและส่งเสริมดูแลคนตั้งแต่ในครรภ์มารดา จนส่งสู่เชิงตะกอน ทั้งสร้างสวัสดิการเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่มั่นคงขึ้น เพราะพรรคเชื่อว่าเมื่อเราสร้างคนให้มีความความรู้และความมั่นคงในชีวิต จะแปรเปลี่ยนพลังของประชาชนให้เป็นพลังในการสร้างประเทศชาติได้อย่างมั่นคง 

3.สร้างชาติ ด้วยระบบประชาธิปไตย ที่สุจริต ควบคู่ไปกับการกระจายอำนาจมุ่งสู่สร้างเมืองมหานคร พร้อมกับโครงสร้างพื้นฐานด้าน คมนาคมเพื่อเชื่อมประเทศไทยกับโลก ซึ่งทั้งหมดนี้ มีความคืบหน้าจนเสร็จสมบูรณ์แล้ว ซึ่งท่านหัวหน้าพรรค 'จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์' และท่านเลขาฯ จะแถลงเปิดนโยบายฯ อย่างเป็นทางการในช่วงเดือนมกราคมนี้ และในขณะนี้พรรคได้เตรียมความพร้อมในทุกด้านแล้ว

'กรณ์' ชูนโยบาย 'ยกเลิกแบล็กลิสต์-รื้อระบบสินเชื่อ' หวังช่วยผู้ประกอบการรายย่อย-SME ให้เดินหน้าธุรกิจต่อได้

(7 ม.ค.66) นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กเกี่ยวกับเรื่อง 'แก้หนี้ ให้ชีวิตเดินหน้า' โดยระบุว่า ตนในฐานะหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตระหนักดีว่าคำว่า 'หนี้' ไม่มีใครอยากเป็น แต่เวลาเป็นแล้ว ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหลุดจากวงจรนี้ ซึ่งนอกจากนโยบายหาเงินให้คนไทยแล้ว การแก้หนี้คือความเร่งรีบอันดับต้น ๆ ที่ตนต้องการแก้ และเคยทำมาแล้วในอดีต ไม่ว่าจะเป็น ปี 2552 แก้หนี้นอกระบบ 5 แสนราย ปี 2553 ปรับโครงสร้างหนี้กองทุนฟื้นฟู-เกษตรกร ปี 2554 ออกกฎหมาย 'กองทุนการออมแห่งชาติ' (กอช.) ปี 2559 ก่อตั้ง Refinn ช่วยคนไทยแก้หนี้ที่อยู่อาศัย ปี 2565 โครงการ 'กล้าปลดหนี้' ช่วยคนไทยเข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ และ ปี 2566 นโยบาย 'ยกเลิกแบล็กลิสต์' เสนอระบบ Credit Score

ส่วนกรณีที่มีบางคนระบุว่า คนที่เป็นหนี้คือคนที่ไม่มีวินัยทางการเงิน หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวว่า อาจถูกส่วนหนึ่ง แต่ก็ไม่เป็นความจริงเสมอไป ในหลาย ๆ ครั้งเกิดจากวิกฤตที่เราควบคุมไม่ได้ เช่น วิกฤตโควิด ที่ทำให้ผู้ประกอบการและ SME เป็นจำนวนมาก ชักหน้าไม่ถึงหลัง และการกู้ยืมในระบบทำได้ยาก ตนในฐานะนักการเงินไม่อยากให้เกิดที่สุด คือ การกู้หนี้นอกระบบ การช่วยเหลือและออกนโยบายต่าง ๆ ก็เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสิ่งนี้ เพราะอย่างที่รู้ ๆ กันว่าดอกเบี้ยโหดมาก และยากที่จะคืนเงินต้นได้ การติดแบล็กลิสต์ก็เช่นกัน ต่อให้ใช้หนี้ครบแล้วยังขึ้นจากเหวนี้ไม่ง่าย ตนจึงเสนอนโยบายปลดแบล็กลิสต์ แล้วใช้ระบบ Credit Scoring แทน ใครเครดิตดีก็กู้ได้มาก เครดิตไม่ดีก็กู้ได้น้อย นี่ก็เป็นวินัยทางการกู้รูปแบบหนึ่ง ที่ช่วยให้คนเป็นหนี้ขึ้นมาจากเหวได้ 

'พิธา' เปิดตัว 'หมิว สิริลภัส' ว่าที่ผู้สมัครส.ส. บางกะปิ พร้อมตั้งเป้า!! เลือกตั้งหนนี้ กรุงเทพฯ เป็นสีส้มทุกพื้นที่

(7 ม.ค. 66) เมื่อเวลา 08.30 น. ที่ตลาดเคหะคลองจั่น นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล นายธีรัจชัย พันธุมาศ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ลงพื้นที่เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ โดยได้พูดคุยทักทายประชาชนที่มาออกกำลังกายในตอนเช้า บริเวณสนามกีฬาคลองจั่น รวมถึงประชาชนและผู้ค้าขายในตลาดเช้าเคหะคลองจั่น พร้อมทั้งแจกแผ่นพับแนะนำนโยบายและว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กรุงเทพฯ เขตบางกะปิ คือ นางสาวสิริลภัส กองตระการ หรือ 'หมิว' รวมถึงว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กรุงเทพฯ พื้นที่ใกล้เคียง ได้แก่ นายเฉลิมชัย กุลาเลิศ หรือ 'หมอออย' ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. เขตห้วยขวาง-วังทองหลาง, นายธนเดช เพ็งสุข หรือ 'ภูมิ' ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. เขตลาดพร้าว-วังทองหลาง, นางสาว สุภกร ตันติไพบูลย์ธนะ หรือ 'กิ๊ฟ' ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. เขตสวนหลวง-ประเวศ และ นายณัฐพงศ์ เปรมพูลสวัสดิ์ หรือ 'คุง' ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. เขตประเวศ-สะพานสูง 

โดยนายพิธา กล่าวถึงความพร้อมของพรรคก้าวไกล ในการเลือกตั้ง ส.ส. พื้นที่กรุงเทพฯ ว่า การลงพื้นที่วันนี้เพื่อถือโอกาสสวัสดีปีใหม่ประชาชน และแนะนำ นางสาวสิริลภัส ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขตบางกะปิ ซึ่งเป็นที่รู้จักของสังคมจากการเป็นอดีตนักแสดงและเป็นกระบอกเสียงของประชาชนมาตลอด 2 ปี ในช่วงโควิด วันนี้ตัดสินใจลงสมัครเป็นผู้แทนราษฎรในนามพรรคก้าวไกล 

คนร้ายบุกแทงนักเรียนหญิงชั้น ม.2 ในร้อยเอ็ดดับ หลังลงจากรถตู้รับ-ส่ง ลั่น!! "จะฆ่าล้างหมดชั่วโคตร"

เกิดเหตุระทึกขวัญ คนร้ายถือมีดบุกกระซวกแทงนักเรียนหญิงชั้น ม.2 โรงเรียนบ้านเล้าวิทยาคารขณะกำลังจะลงจากรถตู้รับ-ส่ง ครูชายต้องช่วยกันล็อกตัว หวั่นคลุ้มคลั่งทำร้ายคนอื่นต่อ ด้านนักเรียนหญิงอาการสาหัสไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาล เผยชายคนร้ายเป็นญาติกับนักเรียนที่ถูกแทงและเพิ่งออกจากคุกมาได้แค่ 3 วัน

เมื่อช่วงเช้าของวันที่ ( 6 ม.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้เกิดเหตุการณ์ระทึกขวัญ คนร้ายเป็นชายไม่ทราบชื่อถือมีดบุกแทงนักเรียนในโรงเรียนบ้านเล้าวิทยาคาร ตำบลหนองกองแก้ว อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด ก่อนเข้าแถวเคารพธงชาติ สร้างความหวาดผวาแก่นักเรียนและบุคลากรในโรงเรียนเป็นอย่างมาก

หลังเกิดเหตุ ดร.ลัดดาวัลย์ สืบจิต ผู้อำนวยการโรงเรียน เปิดเผยต่อผู้สื่อข่าวว่า เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเร็วมาก ผู้ก่อเหตุเป็นผู้ชาย ช่วงเกิดเหตุ คือเวลาที่ครูเวรกำลังยืนรอรับเด็กนักเรียนที่กำลังลงจากรถรับ-ส่งของโรงเรียน พอรถจอด เด็กนักเรียนกำลังจะทยอยลงรถ ปรากฏว่า ชายคนร้ายที่ขี่รถจักรยานยนต์ตามมา ได้จอดรถแล้ววิ่งปรี่เข้าไปที่รถรับส่งนักเรียน แล้วจับเด็กนักเรียนหญิงชั้น ม.2 ไปแทง 1 คน ครูเห็นเหตุการณ์จึงรีบไปขอความช่วยเหลือจากคนในชุมชน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top