Monday, 7 July 2025
NEWS FEED

กองทัพเรือจัดแสดงนิทรรศการเทิดพระเกียรติเนื่องในโอกาสครบรอบวันสิ้นพระชนม์ 100 ปี “เสด็จเตี่ย” ณ อาคารอเนกประสงค์ พิพิธภัณท์ทหารเรือ (อาคาร Utility Hall) พร้อมให้ข้าราชการทหารเรือและประชาชนที่สนใจเข้าชม

วันที่ 11 พ.ค.66 พล.ร.อ.สุวิน  แจ้งยอดสุข ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือในฐานะประธานกรรมการจัดงานครบรอบวันสิ้นพระชนม์ 100 ปี พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ติดตามความพร้อมในการจัดแสดงนิทรรศการเทิดพระเกียรติเนื่องในโอกาสครบรอบวันสิ้นพระชนม์  100 ปีฯ เพื่อเปิดให้ข้าราชการทหารเรือ และประชาชนเข้าชมได้ในวันจันทร์ - วันศุกร์ ตั้งแต่ 12 พ.ค.66 เวลา 09.00 - 15.00 น. ณ อาคารอเนกประสงค์ พิพิธภัณท์ทหารเรือ (อาคาร Utility Hall) ถ.อรุณอมรินทร์ แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร

การจัดแสดงนิทรรศการดังกล่าวดำเนินการโดยคณะอนุกรรมการจัดทำหนังสือที่ระลึกและการจัดกิจกรรมด้านวิชาการ การจัดงานครบรอบวันสิ้นพระชนม์ 100 ปีฯ ได้กำหนดกรอบและนำวัตถุพิพิธภัณฑ์ที่สำคัญจัดแสดงนิทรรศการฯ เพื่อเทิดพระเกียรติ “เสด็จเตี่ย” ที่ทรงวางรากฐานให้กองทัพเรือเป็นปึกแผ่นตราบจนปัจจุบัน ณ ห้องโถงชั้นล่างของอาคารอเนกประสงค์ (Utility Hall) ดังนี้

- ส่วนที่ 1 พระประวัติ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ องค์บิดาของทหารเรือไทย คุณูปการที่ทรงมีต่อกองทัพเรือ และของใช้ส่วนพระองค์
- ส่วนที่ 2 ประวัติ ร.ล.พระร่วง เรือหลวงลำแรกและลำเดียวในประวัติศาสตร์ไทยที่เกิดจากการรวบรวมเงินจากประชาชนที่มอบให้กองทัพเรือ
- ส่วนที่ 3 เรือพระที่นั่งมหาจักรี เรือแห่งศักดิ์ศรีและความภูมิใจของชาวสยาม
- ส่วนที่ 4 พระประวัติเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ที่ทรงมีคุณูปการต่อกองทัพเรือ และประวัติพลเรือโทพระยาชลยุทธโยธินทร์ นายทหารเรือต่างชาติท่านเดียวที่ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกรมทหารเรือสยาม 
             

- ส่วนที่ 5 วีรชนทหารเรือ ในประวัติศาสตร์การรบของกองทัพเรือ
- ส่วนที่ 6 ศิลป์และศาสตร์แห่งการเดินเรือ 
- ส่วนที่ 7 การพัฒนากำลังทางเรือสู่การพึ่งพาตนเอง
- ส่วนที่ 8 วัฒนธรรมสายน้ำกับราชนาวี เรือพระราชพิธีจำลองในขบวนพยุหยาตราทางชลมารค

ทั้งนี้เป็นไปตามแนวทางของกองทัพเรือในการจัดตั้งอาคารอเนกประสงค์ พิพิธภัณท์ทหารเรือ (อาคาร Utility Hall) โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อแสดงและรวบรวม สงวนรักษาวัตถุพิพิธภัณฑ์ เรื่องราว ประวัติความเป็นมาของกองทัพเรือ เพื่อใช้ประกอบการศึกษาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์ทหาร และพัฒนาการทางทะเล ให้ข้าราชการของกองทัพเรือ ตลอดจนประชาชนได้เข้าชม ศึกษา เรียนรู้ และได้รับความเพลิดเพลินในโอกาสเดียวกัน

จึงขอเชิญชวนข้าราชการทหารเรือ ตลอดจนประชาชนที่สนใจเข้าชมนิทรรศการฯ ในช่วงวันและเวลาข้างต้น

ผบ.ตร. เป็นประธานปิดการแข่งขัน Royal Thai Police SWAT Challenge 2023  มอบรางวัลทีม Commando ที่ผงาดคว้าแชมป์  ชื่นชมศักยภาพชุดปฏิบัติการพิเศษตำรวจไทย สั่งพัฒนาต่อเนื่องเพื่อก้าวสู่ระดับโลก สร้างความเชื่อมั่นประชาชน 

วันนี้ (12 พ.ค 66) พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. เดินทางไปเป็นประธานพิธีปิดการแข่งขัน Royal Thai Police SWAT Challenge 2023 กองบังคับการสนับสนุนทางอากาศ อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี  โดยมี พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. , พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.ณัฐ สิงห์อุดม ผบช.ตชด. , พล.ต.ท.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ ผบช.ภ.7 , พล.ต.ท.สุรพงษ์ ถนอมจิตร ผบช.ภ.8  และพล.ต.ต.วันชนะ ธรรมเสมา ผบก.สอ.บช.ตชด. พร้อมเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องให้การต้อนรับ

การแข่งขันในครั้งนี้อยู่ภายใต้โครงการฝึกอบรมเตรียมความพร้อมหน่วยปฏิบัติการพิเศษ ระดับกองบัญชาการ ประจำปี 2566 โดยการแข่งขันเริ่มตั้งแต่วันที่ 8-12 พ.ค.66 เพื่อค้นหาสุดยอดทีมปฏิบัติการพิเศษ เป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมแข่งขัน UAE SWAT Challenge ณ เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ช่วงสิ้นปีนี้ มีทีมเข้าร่วมการแข่งขันจากกองบัญชาการตำรวจต่างๆทั่วประเทศเข้าร่วม 17 ทีม แบ่งเป็น 5 Stage คือ Stage 1 HOSTAGE RESCUE ภารกิจช่วยเหลือตัวประกัน , Stage 2 ASSAULT EVENT ภารกิจจู่โจม , Stage 3  Officer Rescue ภารกิจปฏิบัติการกู้ภัย , Stage 4 TOWER ASSAULT ภารกิจโจมตีหอคอย และ Stage 5  OBSTACLE COURSE ภารกิจสิ่งกีดขวาง 

ผบ.ตร.ได้มอบรางวัลให้หน่วยปฏิบัติการพิเศษในการการแข่งขัน  Royal Thai Police SWAT Challenge 2023  ผลคะแนนรวม overall ดังนี้ 
- รางวัลชนะเลิศได้แก่ ทีม Commando (กองบังคับการปฏิบัติการพิเศษ)
- รองชนะเลิศอันดับ 1 ทีมหนุมาน (กองบังคับการปราบปราม) 
- รองชนะเลิศอันดับ 2 ทีมแดนไทย 54 (ตำรวจภูธรภาค 9)

สำหรับ การแข่งขัน RTP SWAT Challenge 2023 นอกจากการใช้พละกำลังทางร่างกาย  พลังใจ สมาธิ และการวางแผนที่ดีแล้ว ต้องคำนึงถึงยุทธวิถี และเทคนิคการใช้อาวุธที่ถูกต้อง ซึ่งเป็นปัจจัยที่มีความจําเป็นต่อการปฏิบัติ เพื่อเตรียมพร้อมและต่อยอดกับการปฏิบัติภารกิจจริง คณะจัดการแข่งขันได้นำวิธีการตรวจนับคะแนน และการตัดแต้ม ตลอดจนวิธีการตัดสินต่างๆมาจากแบบแผนสากลที่ใช้ในการแข่งขันระดับโลกที่ดูไบ 

ผลงานจากปีที่ผ่านมาทีมหน่วยปฏิบัติพิเศษ (SWAT) จากประเทศไทย ติด Top5 ระดับโลก ในการแข่งขัน UAE SWAT Challenge 2023 ซึ่งในปีนี้คณะทำงานจัดการแข่งขันได้พยายามอย่างเต็มที่ในการจัดการแข่งขัน เพื่อที่จะพัฒนาศักยภาพ จิตวิญญาณ ค่านิยม และความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของหน่วยปฏิบัติการพิเศษทั้งประเทศ และค้นหาสุดยอดทีม หน่วยปฏิบัติพิเศษ (SWAT) เป็นตัวแทนประเทศไทยไปแข่ง UAE SWAT Challenge ณ เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ช่วงสิ้นปีนี้ โดยตั้งเป้าหมายในปีนี้ก้าวขึ้นสู่ top3 ระดับโลก
  
ผบ.ตร. กล่าวว่า “ เราได้พัฒนาหน่วยปฏิบัติการพิเศษมาต่อเนื่อง นำไปแข่งขันระดับโลกที่เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ช่วงที่ผ่านมา จนได้รับรางวัล TOP5 ซึ่งดีที่สุดตั้งแต่เคยแข่งมา ซึ่งการแข่งขันครั้งนี้ส่วนหนึ่งเพื่อค้นหาทีมที่จะร่วมแข่งขันยุทธวิธีระดับโลก ซึ่งเชื่อว่าปีนี้จะทำได้ดีกว่าเดิม นอกจากนี้ ครูฝึกผู้เข้าแข่งขันได้นำเอาประสบการณ์ มาต่อยอดฝึกต่อให้ชุดปฏิบัติการพิเศษของกองบัญชาการต่างๆทั่วประเทศ เพื่อใช้ปฏิบัติหน้าที่ ซักซ้อมตามสถานการณ์ต่างๆ ตามหลักยุทธวิธี ประกอบการใช้กำลัง ตลอดจนถ่ายทอดลงไปสู่ระดับสถานีตำรวจ ให้มีชุดปฏิบัติพิเศษระดับสถานีคอยระงับเหตุในเบื้องต้นได้ทันท่วงที ซึ่งจะมีการพัฒนาต่อเนื่องไป เพื่อดูแลความสงบเรียบร้อย ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินประชาชน อีกทั้งจะนำชุดปฏิบัติการพิเศษไปใช้คอยสนับสนุน ควบคุมสถานการณ์ช่วงเลือกตั้งที่กำลังจะถึงนี้ด้วย ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย
นอกจากนี้ ขอแสดงความยินดีกับหน่วยที่ได้รับรางวัล และให้กำลังใจทุกหน่วยที่ร่วมแข่งขัน แสดงให้เห็นถึงความพร้อม ศักยภาพ การพัฒนาความรู้ ทักษะการชำนาญในการปฏิบัติหน้าที่ จนสามารถวิเคราะห์เหตุการณ์ เตรียมการวางแผน ประสานการปฏิบัติภายใต้สถานการณ์วิกฤติ ซึ่งในสถานการณ์จริงจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน การร่วมซักซ้อม จะทำให้เข้าใจบทบาท ปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถรักษาความสงบเรียบร้อย ความปลอดภัย จนนำความเชื่อมั่นมาสู่ประชาชนได้เป็นอย่างดี”

ตำรวจ PCT รวบโจรออนไลน์ในตำนาน ชุด PCT 1 เปิดปฏิบัติการตามล่า 18 มงกุฏ ผู้ต้องหา 10 หมายจับ

ภายใต้อำนวยการของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร., พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศปอส.ตร., พล.ต.ท. สมพงษ์ ชิงดวง ผู้ช่วย ผบ.ตร., พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญช่วย ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม./หัวหน้า ชุด PCT 1 พล.ต.ต.ธนิต ไทยวัชรามาศ ผบก.สส.สตม., พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3, พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชย พานะกิจ ผกก.(สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม.

ได้สั่งการให้  เจ้าหน้าที่ตำรวจ ชุด PCT 1 นำโดย พ.ต.ต.ภูริศ คำหมื่น สว. กก.2 บก.สส. สตม. พ.ต.ต. โกเมน วรรณบวน สว. (สอบสวน) กก.สส. บก.ตม. 4  ร.ต.อ.ณัฐพงษ์ มาเม่น นว(สบ1) ผบก.สอท.3 , ร.ต.ท.นันทวัฒน์ สนแจ้ง รอง สว.กก.3 บก.สส.สตม. ทำการจับกุมตัว นายวิวัฒน์ พรหมปากดี หรือ เอ๊ดดี้ อายุ  30 ปี 

ภายหลังจากที่ ได้ทำการสืบสวนคดี พบว่าคนร้ายโพสขายสินค้าออนไลน์ ในเพจขายสินค้ากลุ่มต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นวัตถุมงคล เช่น พระเครื่อง โดยใช้กลอุบาย คือ คนร้ายจะไปสั่งสินค้าชนิดอื่นจากร้านค้าออนไลน์อื่นในราคาถูก และส่งให้เหยื่อ และให้เหยื่อโอนเงินให้กับร้านค้าออนไลน์ของจริง แต่จะเป็นยอดเงินสูงกว่ายอดเงินที่แท้จริง จากนั้น ก็ให้ร้านค้าออนไลน์ดังกล่าว โอนเงินส่วนเกินให้กับคนร้าย ซึ่งจากการสืบสวนพบว่า ผู้กระทำความผิดในคดีนี้ คือ นายวิวัฒน์ พรหมปากดี และจากการตรวจสอบในระบบสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(Crimes) พบว่าเป็นบุคคลตามหมายจับกว่า 13 หมายจับ(มีผลบังคับใช้ 10 หมายจับ)และพบข้อมูลในโซเชี่ยลมีเดียว่าฉ้อโกงบุคคลอื่นและยังหลบหนีซ่อนตัวอยู่  และก่อเหตุ มาเป็น เวลา หลายปี แล้ว มีผู้เสียหายเป็นจำนวนมาก  
  
ต่อมาวันที่ 11 พ.ค. 2566 เวลาประมาณ 13.00 น. สืบสวนทราบว่านายวิวัฒน์ พรหมปากดี หลบหนีซ่อนตัวพักอาศัยอยู่ที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ใน อ.เมือง จ. อุดรธานี จึงได้เข้าทำการตรวจสอบ ปรากฎว่าพบนายวิวัฒน์ฯ นั่งอยู่บริเวณหน้าโรงแรม จึงได้แสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าทำการจับกุมตัว จากนั้นได้นำตัวเข้าตรวจค้นภายในห้องพักอาศัย เนื่องจากมีอาการพิรุธน่าสงสัย จากการตรวจค้นพบ เครื่องกระสุนปืน ขนาด 9 มม. ยี่ห้อ ไทยอาร์ม จำนวน 50 นัด , ยี่ห้อ Warrior จำนวน 50 นัด ซุกซ่อนภายในกระเป๋าเดินทางของนายวิวัฒน์ฯ  จึงได้จับกุมตัว นายวิวัฒน์ฯ ดำเนินคดีในข้อหา มีเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และจับกุมตัวตามหมายจับจำนวน 10 หมายจับ ในข้อหา “นำเข้าสู้ระบบคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จฯ และ ฉ้อโกงประชาชน” จากนั้นควบคุมตัวนำส่ง พนักงานสอบสวน สภ.เมืองอุดรธานี ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

และ ขอฝากประชาสัมพันธ์ ให้ พี่น้องประชาชาชน ที่ตกเป็นเหยื่อ เนื่องจากตัว ผู้ต้องหา นี้ ใช้ วิธีการ ปลอม เฟสบุ๊ค หลายบัญชี เช่น “หจก.วัสดุภัณฑ์จำกัด” , “Ajarn Wattharungsilp” , “Ajarn Subthawee” , “ทรัพย์ การค้า” , “คนสีเทา แต่ใจอบอุ่น” หากได้รับความเสียหาย โปรดแจ้งสถานีตำรวจใกล้บ้านท่าน หรือแจ้งความ ในระบบแจ้งความออนไลน์ เพื่อดำเนินคดี กับผู้ต้องหารายนี้ ต่อไป

‘ภาษาอังกฤษ’ เป็นเครื่องมือไว้สำหรับสื่อสาร ไม่ใช่เครื่องวัดความฉลาด

(12 พ.ค. 66) เพจเฟซบุ๊ก ‘สมเกียรติ โอสถสภา’ ได้โพสต์ข้อความมระบุว่า…

บันทึกลับจากเกาะปีนัง 

แวะมาพูดคุยกับพรรคพวกชาวมาเลย์ที่ปีนังได้สามวันแล้วครับ

บรรยากาศสบายๆ ช่วงกลางวันรถไม่ติด แต่ตอนเย็นติดเอาเรื่อง

อาหารหลากหลายเชื้อชาติ มาเล อินเดีย จีน

ค่าใช้จ่ายไม่แพง ส่วนนึงเพราะค่าเงินริงกิตอ่อนลงเยอะ จากเดิม 10 บาทต่อ 1 ริงกิต เดี๋ยวนี้เหลือ 7.5 บาทต่อ 1 ริงกิต

อากาศเมืองที่เป็นเกาะ รับลมทะเลเต็มๆ สดชื่นอยู่แล้วครับ

เดิมปีนังเป็นที่ๆ คนไทยส่งลูกหลานมาเรียน ‘เมืองนอก’

ต่อมาอีกยุค เป็นที่ ๆ หนึ่ง ที่คนไทยมาจับจ่ายซื้อของนำเข้าจากตะวันตก

แต่มาคราวนี้ มีแต่คนปีนังบอกว่าชอบไปเที่ยวเมืองไทย

บางคนขับรถห้าชั่วโมงไปหาดใหญ่ แทบทุกเดือน

บอกว่าติดใจต้มยำกุ้ง 

แต่ดู ๆ แล้วน่าจะมีกิ๊กมากกว่า

คุยไปคุยมา สัมผัสได้ว่า คนมาเลไม่ได้ภูมิใจกับการเคยเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ

คนมาเลสื่อสารภาษาอังกฤษได้ แต่ไม่ได้พูดภาษาอังกฤษคล่องทุกคน แม้ประเทศจะเคยเป็นเมืองขึ้น

ภาษาอังกฤษ ใช้วัดความสามารถในการสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษ

ไม่ได้ใช้วัดความฉลาดของคน 

หลาย ๆ ชาติในอาเซียน แอบแหยงประเทศไทย ที่อยู่เป็นเอกราชมาได้ ตลอดยุคล่าอาณานิคม

เค้าอาจไม่ยอมรับตรงๆ แต่คุยแล้วสัมผัสได้ 

เป็นบันทึก 007 สั้น ๆ จากเกาะปีนัง 

ก่อนจะกลับไปลงคะแนนเลือกตั้งครับ

แต่เที่ยงวันนี้ คงต้องแวะไปร้านชาร์กั๋วเตี๋ยวอีกซักรอบ

เรื่องปากท้องเป็นเรื่องใหญ่เสมอครับ

“อภิสิทธิ์”ลุยเพชรบุรี ชูประชาธิปไตยสุจริต ขอคนเพชรเลือก”อลงกรณ์-กัมพล-อภิชาติ”ผู้สมัคร ส.ส.เพชรบุรีเบอร์7ทั้ง3เขตและพรรคประชาธิปัตย์ เบอร์ 26

วันนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และอดีตนายกรัฐมนตรี นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ อดีตรองผู้ว่ากทม. และนายอรรถพร พลบุตร ผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ เบอร์26ได้เดินทางลงพื้นที่อำเภอชะอำ อำเภอท่ายาง อำเภอเมืองและอำเภอบ้านแหลมในจังหวัดเพชรบุรี เพื่อหาเสียงช่วยผู้สมัครของพรรคประชาธิปัตย์ ได้แก่นายอลงกรณ์ พลบุตร อดีตรัฐมนตรีและอดีต ส.ส.หมายเลข 7 เขต 1 นายกัมพล สุภาแพ่ง อดีต ส.ส.เขต 2 หมายเลข 7 และนายอภิชาติ สุภาแพ่ง อดีต ส.ส.เขต 3 หมายเลข 7 มีประชาชนโบกมือต้อนรับและมอบพวงมาลัยดอกไม้ให้กำลังใจตลอดเส้นทางโดยนายอภิสิทธิ ได้กล่าวปราศรัยกับประชาชนที่ตลาดเทศบาลเมืองเพชรบุรีว่า เจอกับอลงกรณ์ พลบุตร ตั้งแต่ปี พ.ศ.2535 ในฐานะผู้สมัครหน้าใหม่ของพรรคประชาธิปัตย์ด้วยกัน เราทำงานมาด้วยกัน เชื่อมั่นว่า อลงกรณ์เป็นคนมีผลงาน มีอุดมการณ์ และฝากฝีมือการทำงานไว้คนเพชรบุรีคงจำกันได้ดี เช่นเดียวกับอดีต ส.ส.อภิชาติ อดีต ส.ส.กัมพลและอดีต ส.ส.อรรถพร คราวนี้ตนลงพื้นที่ทั่วประเทศ หนักมาก ต้องต่อสู้ทุกรูปแบบ เรายึดมั่นอุดมการณ์ประชาธิปไตยสุจริต ขอพี่น้องช่วยกันสนับสนุน อลงกรณ์และผู้สมัครประชาธิปัตย์เพชรบุรีทัึ้งสามเขต หมายเลข 7 และพรรคประชาธิปัตย์ หมายเลข 26 .

ตำรวจไซเบอร์ระดมกวาดล้างกลุ่มผู้มีอิทธิพล มือปืนรับจ้างและอาวุธสงคราม ห้วงก่อนวันเลือกตั้ง 14 พ.ค.66

ตามนโยบายของรัฐบาล โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร., พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. ในด้านการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีในทุกรูปแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงใกล้วันเลือกตั้งซึ่งจะมีขึ้น ในวันที่ 14 พ.ค.66 โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีหนังสือสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการกวาดล้างกลุ่มผู้มีอิทธิพล มือปืนรับจ้างและอาวุธสงคราม ก่อนวันเลือกตั้ง ในห้วงระหว่างวันที่ 4 – 10 พ.ค.66 ซึ่งเชื่อได้ว่าเป็นช่วงที่กลุ่มการเมือง  ผู้มีอิทธิพลต่างๆ อาจจะก่ออาชญากรรมกำจัดศัตรูทางการเมือง หรือ หัวคะแนนของฝั่งตรงข้าม

กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) โดย พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้ให้ความสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าว โดยที่ผ่านมาได้กำชับสั่งการให้ทุกกองบังคับการในสังกัดเร่งดำเนินการบังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำผิดอย่างต่อเนื่อง และจริงจัง ให้มีผลการปฏิบัติเป็นรูปธรรม

วันนี้ (12 พ.ค.66) พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท., พล.ต.ต.วิวัฒน์ คําชํานาญ รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.นิเวศน์ อาภาวศิน รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.ฐายุฏฐ์ จันทร์ถาวร รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.ไพโรจน์ สุขรวยธนโชติ รอง ผบช.สอท. พล.ต.ต.ออมสิน ตรารุ่งเรือง รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.อำนาจ ไตรพจน์  รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง   ผบก.สอท.1, พล.ต.ต.ณัฐกร  ประภายนต์ ผบก.สอท.2, พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3, พล.ต.ต.ฐิตวัฒน์ สุริยฉาย ผบก.สอท.4, พล.ต.ต.ชรินทร์ โกพัฒน์ตา ผบก.สอท.5 ,พล.ต.ต.ชูศักดิ์ ขนาดนิด ผบก.ตอท. และ พล.ต.ต.สมภพ คูหาวิชานันท์ ผบก.อก.บช.สอท. พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องร่วมกันแถลงข่าวกรณี ดำเนินการกวาดล้างกลุ่มผู้มีอิทธิพลมือปืนรับจ้างและอาวุธสงคราม จำนวนทั้งสิ้น 60 จุด ได้ผู้ต้องหา 50 คน ของกลางอาวุธปืน 77 กระบอก เครื่องกระสุนปืนชนิดต่างๆ รวม 2,440 นัด  

พฤติการณ์ สืบเนื่องจาก บก.สอท.2 ได้ทำการสืบสวนขยายผล ภายหลังการจับกุมตัว ผู้ต้องหารายสำคัญ เมื่อช่วงต้นเดือน ก.พ. 66  ซึ่งมีพฤติการณ์จำหน่ายอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนในระบบออนไลน์ โดยกลุ่มลูกค้าจะเป็นกลุ่มผู้มีอิทธิพล และซุ้มมือปืน โดยการขยายผลพบรายละเอียดของการสั่งซื้ออาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนจำนวนมาก จึงนำไปสู่การปิดล้อมตรวจค้นบุคคลและสถานที่เป้าหมาย และจับกุมผู้ต้องหา พร้อมอาวุธปืน และเครื่องกระสุนปืนจำนวนมาก ในห้วงวันเวลา ดังกล่าว

ในการปฏิบัติการของ (บช.สอท.) มุ่งเน้นที่จะสนองนโยบายของรัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ บังคับใช้กฎหมายอย่างต่อเนื่องและจริงจัง คำนึงถึงความเดือดร้อนของประชาชน การอำนวยความยุติธรรมให้ประชาชนเป็นสำคัญ และยังคงเดินหน้าปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ในทุกรูปแบบอย่างต่อเนื่องต่อไป

โซเชียลยกย่อง!! หนุ่มวิ่งบนถนน ตากแดดร้อนๆ เปิดทางให้รถมูลนิธิ นำส่งผู้ป่วยเคสฉุกเฉิน

(12 พ.ค. 66) ‘มูลนิธิสว่างสำเร็จเชียงใหม่’ แชร์คลิปผ่าน TikTok ซึ่งภายในคลิปเป็นภาพหนุ่มคนหนึ่ง วิ่งกลางถนน เพื่อเปิดทางให้รถกู้ภัยนำส่งผู้ป่วย ท่ามแดดช่วงกลางวัน และอากาศร้อนสุดๆ 

โดยโพสต์ข้อความระบุว่า “คนมีน้ำใจที่มีให้รถกู้ภัยครับ#จิตอาสา #มูลนิธิสว่างสว่างสำเร็จเชียงใหม่ #กู้ภัยสว่าง #เชียงใหม่ #ดันขึ้นฟีดที #กู้ชีพกู้ภัย #กู้ภัยสว่าง”

นอกจากนี้ในคลิปยังมีข้อความระบุด้วยว่า “น้ำใจบนท้องถนน พี่ชายใจดี วิ่งเปิดทางรถกู้ภัย เคส ICU แดดร้อนเรื่องเล็ก นับถือหัวใจ”

หลังจากโพสต์คลิปได้ไม่นาน มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก เช่น

“กราบหัวใจ ที่มีจิตอาสา ขอบคุณมาก ๆ นะคะ ขอให้พี่เจอแต่สิ่งที่ดี ๆ ๆ เจริญ ๆ”

“ฮีโร่ไม่ต้องมีอะไรพิเศษกว่าคนอื่นมากหรอกครับมีแค่จิตสำนึกที่ดีงามมันก็มีค่ามากพอเสมอมา”

“สิ่งเล็กๆ❤️ที่เขาเรียกว่าน้ำใจ”

“ใจพี่เขายิ่งใหญ่ หมดคำพูด”

“หัวใจหล่อมากน้องชายสุดยอด” เป็นต้น

“ขอชื่นชมน้ำใจที่มีให้กันครับ สังคมไทยจะน่าอยู่มากขึ้นถ้ามีคนแบบนี้เยอะๆๆ🥰🥰🥰”

‘ทนายอนันต์ชัย’ พบ ‘กลุ่มมาเฟีย’ เก็บค่าเช่า-ออกตั๋วผี หน้าพระธาตุพนม สั่งรื้อแผงลอยเช่าขายของทั้งแถบ พร้อมปลด ‘กรรมการวัด’ ที่มีส่วนรู้เห็น

เมื่อวันที่ 11 พ.ค. 66 นครพนม ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายกองทัพธรรม ไวยาวัชรกรวัดพระธาตุพนม สั่งรื้อหมดทั้งแถบ แผงลอยเช่าขายของเรียกเก็บค่าเช่าตั๋วผี พร้อมปลดทั้งชุดกรรมการวัด ตั้งชุดใหม่บริหารงานจัดระเบียบ พระเทพวรมุนี เจ้าอาวาส ตั้งทนาย อนันต์ชัย ไชยเดช เป็นประธานฝ่ายประสานงาน ดูแลวัด ทุกภาคส่วน เตือนใครฝ่าฝืนมติวัดดำเนินคดีทันที เดินหน้าขึ้นทะเบียนมรดกโลก ด้านแม่ค้า พ่อค้า ยอมถอยเข้าพื้นที่จัดระเบียบ

จากกรณีมีคำสั่งจัดระเบียบพื้นที่ขายของ หน้าวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร อ.ธาตุพนม จ.นครพนม จนกระทั่งมีข้อพิพาท ระหว่าง ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช ประธานมูลนิธิกองทัพธรรม ในฐานะไวยาวัชกรวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร อีกทั้งเป็นประธานบริหารดูแลผลประโยชน์ทั้งภายนอกภายในวัด เพื่อให้เป็นไปตามระเบียบสำนักงานพระพุทธศาสนา และหน่วยงานเกี่ยวข้อง ในการเสนอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก จนกระทั่งภายหลัง บรรดา พ่อค้า แม่ค้า กลุ่มผู้ค้าดอกไม้เร่ ลอตเตอรี่แผงลอย ที่ออกมาประท้วงวางของขายปิดทางเข้าประตูวัดยอมถอย เนื่องจากทางวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร มีการออกกฎเหล็กสั่งดำเนินคดี ขั้นเด็ดขาดหากฝ่าฝืน ทำให้บรรดาพ่อค้า แม่ค้า ยอมถอยเข้าไปขายในพื้นที่จัดระเบียบชั่วคราว รอการสร้างพื้นที่ขายของถาวร เพื่อสร้างภาพลักษณ์การท่องเที่ยว ให้เกิดความสวยงาม เป็นระเบียบ

เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ จ.นครพนม ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช ประธานมูลนิธิกองทัพธรรม ในฐานะไวยาวัชกรวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร ได้สั่งรื้อแผงลอยเช่าขายของ บริเวณหน้าวัด ที่มีกลุ่มมาเฟีย ที่แอบแฝงผลประโยชน์ อ้างเป็นกรรมการวัด ฉวยโอกาสมาตั้งแผงลอย ให้บรรดา พ่อค้า แม่ค่าเช่า เพื่อเรียกเก็บค่าเช่า แผงละ 500 บาท ต่อเดือน โดยมีการเรียกเก็บมาตั้งแต่งานนมัสการองค์พระธาตุพนม ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2566 และฉวยโอกาสเก็บค่าเช่าต่อ และออกใบเสร็จเป็นตั๋วผี อ้างนำเงินเข้าวัด จนกระทั่งมีการตรวจสอบข้อเท็จจริง พบมีกรรมการวัดบางกลุ่มรู้เห็น จึงมีการสั่งรื้อแผงลอยเช่า ทั้งหมด เพื่อแก้ไขปัญหา และเป็นการจัดระเบียบ นอกจากนี้ยังได้ มีคำสั่งปลดกรรมการวัดทั้งชุดเดิม

ทั้งชุด และออกคำสั่งแต่ตั้งใหม่ เพื่อล้างระบบมาเฟีย และป้องกันการฉวยโอกาส แสวงผลประโยชน์จากวัด ทั้งนี้ทาง พระเทพวรมุนี เจ้าอาวาสวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 10 ได้มีคำสั่งแต่งตั้ง ให้ ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช ประธานมูลนิธิกองทัพธรรม ในฐานะไวยาวัชกรวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร เป็นประธานฝ่ายประสานงานกิจการคณะสงฆ์วัดพระธาตุพนม เพื่อประสานงานกับทุกภาคส่วนแทนวัดพระธาตุพนม ให้เป็นไปตามระเบียบขอมหาเถรสมาคม และ พ.ร.บ.คณะสงฆ์

ขณะเดียวกันจากการสอบถามบรรดาพ่อค้า แม่ค้า ผู้ประกอบการ ในพื้นที่จัดระเบียบ ยอมรับว่า ทำการค้าขายมานานหลาย 10 ปี เมื่อมีการจัดระเบียบ ช่วงแรกยังมีปัญหาความไม่เข้าใจ แต่มีการพูดคุยเจรจาหารือตกลง เกี่ยวกับการจัดสรรพื้นที่เหมาะสมให้ จึงยอมรับในคำสั่งของมติวัดพระธาตุพนม และยอมขายของในพื้นที่จัดระเบียบ แต่เพียงต้องการความชัดเจน และเหมาะสม เนื่องจารกที่ผ่านมายังไม่มีความชัดเจน ในการจัดระเบียบ บางรายยังฉวยโอกาสเข้าไปขายในพื้นที่หวงห้าม ไม่มีมาตรฐาน ฝากถึงคณะกรรมการวัดขอให้มีมาตรฐานในการจัดระเบียบ ทางพ่อค้า แม่ค้า ยินดีที่จะให้ความร่วมมือ และให้มีการตรวจสอบสำหรับกลุ่มคนที่ยังฉวยโอกาสแสวงประโยชน์กับทางวัด

ตำรวจ ปส.(NSB) ทลาย 8 เครือข่ายยาเสพติด ยึดไอซ์มโหฬาร 1,300 กก. ยาบ้า 17 ล้านเม็ด คีตามีน 2 กก. มูลค่ามหาศาล

เมื่อวันที่ 12 พ.ค.66 เวลาประมาณ 10.00 น. พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร., พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ปส., พล.ต.ต.พลัฏฐ์ วิเศษสิงห์ ผบก.สกส., พล.ต.ต.สมกิต พุ่มวารี ผบก.ขส., พล.ต.ต.ปิยะวัฒน์ บุญยืนอนนต์ ผบก.ปส.1, พล.ต.ต.ธนรัชน์ สอนกล้า ผบก.ปส.2, พล.ต.ต.คมสิทธิ์ รังไสย์ ผบก.ปส.3, พล.ต.ต.พรศักดิ์ สุรสิทธิ์ ผบก.ปส.4 พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. และ กอ.รมน. ร่วมแถลงผลการจับกุมเครือข่ายยาเสพติดตามนโยบาย ตร. ในการระดมกวาดล้างอาชญากรรมก่อนการเลือกตั้งปี 2566 ประกอบกับการเดินหน้าทำลายเครือข่ายยาเสพติดรายใหญ่และรายย่อยตามนโยบายเร่งด่วนของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. อย่างเข้มข้นล่าสุดตำรวจ ปส.(NSB) สามารถทลาย 8 เครือข่าย

ผู้ต้องหา 24 คน พร้อมของกลางไอซ์ 1,300 กก., ยาบ้า 17 ล้านเม็ด และ คีตามีน 2 กก.

คดีที่ 1 เมื่อวันที่ 19 เม.ย.66 เวลาประมาณ 23.30 น.ตำรวจ บก.ปส.3 ได้ทำการจับกุมผู้ต้องหา 2 คน ได้แก่ นายเกรียงไกร และ นายอะสะพะ พร้อมด้วยของกลางยาบ้าประมาณ 8.7 ล้านเม็ด ได้ที่บริเวณหน้ารีสอร์ตในพื้นที่ ต.กึ๊ดช้าง อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ โดย ตำรวจ ปส.3 ได้สืบสวนติดตามพฤติการณ์ของเครือข่ายยาเสพติด

นายเกรียงไกร และนายอะสะพะ ซึ่งลักลอบลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ชายแดนติดทางด้าน อ.เวียงแหง จ.เชียงใหม่ เพื่อส่งต่อให้ผู้ลำเลียงใน จ.เชียงใหม่ ต่อมาเมื่อวันที่ 19 เม.ย.66 ขณะที่ตำรวจ ปส.3 กำลังเฝ้าติดตามเครือข่าย  ยาเสพติดดังกล่าว พบรถกระบะเป้าหมายวิ่งไปถึง อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ จึงได้สกัดรถไว้ได้ที่บริเวณถนนหน้ารีสอร์ต แห่งหนึ่ง ต.กึ๊ดช้าง อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ มีนายเกรียงไกร เป็นผู้ขับขี่ และมีนายอะสะพะ นั่งข้างคนขับ จากการตรวจค้นรถ พบยาบ้า จำนวน 6 กระสอบ จำนวน 1.5 ล้านเม็ด อยู่ภายในห้องโดยสารของรถยนต์ และพบยาบ้า จำนวน 26 กระสอบ หรือ 7.2 ล้านเม็ด อยู่ภายในกระบะท้าย รวมยาบ้า 8.7 ล้านเม็ด  จึงยึดเป็นของกลางและจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 2 คน ดำเนินคดี และสืบสวนขยายผลถึงผู้สั่งการต่อไป
คดีที่ 2 เมื่อ 25 เม.ย.66 ตำรวจ บก.สกส., ขส. และ ปส.3 ได้ร่วมทำการจับกุม ผู้ต้องหา 4 คน ได้แก่   1.นายชรินทร์, 2.น.ส.เกตพิกุล, 3.นายซามูดิน และ 4.นายอับดุลเล๊าะ พร้อมด้วยของกลางไอซ์ประมาณ 251 กก. ได้ที่ด่านตรวจยานพาหนะพยุหะคีรี ต่อเนื่อง บริเวณลานจอดรถห้างสรรพสินค้าเทสโก้โลตัส สาขาบางปะอิน ก่อนการจับกุมสืบทราบว่าเครือข่ายนี้จะลำเลียงยาเสพติดจากภาคเหนือ มาส่งให้ลูกค้าใน จ.ปทุมธานี โดยจะใช้รถยนต์แบบตู้ทึบ ลักษณะขนส่งสินค้าเอกชนซุกซ่อนและลำเลียงยาเสพติด ตำรวจ ปส. จึงเฝ้าติดตามตลอดเส้นทางจากบ้านกะเหรี่ยงรวมมิตร ต.แม่ยาว อ.เมืองเชียงราย จนถึง จ.นครสวรรค์ และสามารถจับกุม 2 ผู้ต้องหาคือ นายชรินทร์,น.ส.เกตพิกุล   ได้ที่บริเวณด่านตรวจยานพาหนะพยุหะคีรี พบไอซ์ถูกซุกซ่อนในรถยนต์ 234 กก. สอบสวนนายชรินทร์ ระบุมีไอซ์    อีก 17 กก. ซุกซ่อนในห้องเช่าใน ต.รอบเวียง อ.เมือง จ.เชียงราย หลังเช่าไว้สำหรับพักยาเสพติดเพื่อรอส่งมอบให้กับลูกค้า จึงตรวจยึดและจับกุมผู้ร่วมขบวนการอีก 2 คน คือ นายซามูดิน และ นายอับดุลเล๊าะ ดำเนินคดี

 คดีที่ 3 เมื่อวันที่ 1 พ.ค.66 ตำรวจ ปส.3 ได้ทำการจับกุมผู้ต้องหา 2 คน ได้แก่ นายกิตติ มิ่งลดาพร และ นายเสกสรร อ่ำส้ม พร้อมด้วยของกลาง ยาบ้า จำนวน 2 ล้านเม็ด ได้ที่ บริเวณปั๊มน้ำมัน ปตท.แม่อาย จ.เชียงใหม่ จากการสืบสวนขยายผลทราบว่า นายกิตติ และ นายเสกสรร มีพฤติการณ์ลักลอบลำเลียงยาเสพติดจากแนวชายแดนด้าน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ส่งเข้าสู่พื้นที่ตอนในของประเทศอย่างต่อเนื่อง กระทั่ง 30 เม.ย.66 ผู้ต้องหาทั้ง 2 คน   ได้ลักลอบลำเลียงยาเสพติดอีกครั้ง กระทั่งกลางดึกวันเดียวกัน ผู้ต้องหาได้ขับรถออกมาจากบ้านห้วยปู โดยรถมีการบรรทุกสิ่งของในลักษณะที่มีน้ำหนักมากและขับรถจอดเป็นระยะๆ และเลี้ยวเข้าไปในปั๊มน้ำมัน ปตท.แม่อาย  จ.เชียงใหม่ ตำรวจ ปส.3 จึงเข้าตรวจค้นพบยาบ้าอยู่ภายในห้องโดยสารและท้ายรถ รวม 2 ล้านเม็ด จึงยึดเป็นของกลางและจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 2 คน ดำเนินคดี

คดีที่ 4 เมื่อวันที่ 6 พ.ค.66 ตำรวจ ปส.2 ได้ทำการจับกุมนายสหรัถ พร้อมของกลางไอซ์ประมาณ 450 กก. ได้ที่บริเวณสี่แยกไฟแดงบ้านธาตุ ต.ธาตุนาเวง อ.เมือง จ.สกลนคร โดยตำรวจ ปส.2 สืบสวนทราบว่านายสหรัถ จะลักลอบลำเลียงยาเสพติดจาก จ.บึงกาฬ ไปส่งให้กับลูกค้าใน กทม. จึงวางกำลังตามเส้นทางเพื่อจับกุม กระทั่งเมื่อวันที่ 5 พ.ค.66 ตำรวจ ปส.2 พบรถเป้าหมายขับมาในเส้นทาง อ.อากาศอำนวย จ.สกลนคร โดยมีรถนำสำรวจเส้นทาง ชุดจับกุมจึงนำกำลังสกัดกั้นได้บริเวณสี่แยกไฟแดงบ้านธาตุ อ.เมือง จ.สกลนคร พบนายสหรัถ เป็นผู้ขับขี่รถกระบะ จากการตรวจสอบภายในห้องโดยสาร พบไอซ์ 450 กก. บรรจุในกระสอบ 9 กระสอบ สอบถามผู้ต้องหา  รับสารภาพว่า รับยาเสพติดจากชายแดนแม่น้ำโขง จ.บึงกาฬ โดยจะมีกลุ่มนักบินภาคใต้มารอรับอีกทอดหนึ่ง

คดีที่ 5 เมื่อวันที่ 8 พ.ค.66 ตำรวจ ปส.1 ได้ทำการจับกุมผู้ต้องหา 2 คน ได้แก่นายอดุลย์หรือบังเลาะห์ และ นายธนกฤติ  ได้ที่บ้านพักย่านลำลูกกา บ้านพักย่านสรงประภา และตรวจยึดยาบ้า 1.6 ล้านเม็ด, คีตามีน 2 กก. ได้ที่ศูนย์กระจายสินค้าเอกชน ต.นาดี อ.เมือง จ.สมุทรสาคร โดย ตำรวจ ปส.1 ได้สืบสวนและเฝ้าติดตามพฤติการณ์ของผู้ต้องหาทั้ง 2 คน ซึ่งลักลอบส่งยาเสพติดทางไปรษณีย์ และได้ประสานความร่วมมือกับบริษัทขนส่งพัสดุภัณฑ์ เพื่อติดตามพัสดุที่ผู้ต้องหาส่ง จนกระทั่งทราบว่าพัสดุดังกล่าว กำลังขนส่งไปถึง จ.สมุทรสาคร จึงทำการตรวจสอบพัสดุดังกล่าวร่วมกับบริษัทขนส่งพัสดุ พบยาบ้า 1.6 ล้านเม็ด และ คีตามีน 2 กิโลกรัม บรรจุในกล่องพัสดุ 16 กล่อง จึงได้ยึดเป็นของกลางและติดตามไปจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 2 คนมาดำเนินคดี และตรวจยึดรถยนต์ 3 คัน, สร้อยคอทองคำ 8 บาท และแหวนเพชร 1 วง  รวมมูลค่าทรัพย์สินกว่า 3 ล้านบาท

คดีที่ 6 เมื่อวันที่ 8 พ.ค.66 ตำรวจ บก.สกส. ร่วมกับ บก.ขส. ได้ทำการจับกุมผู้ต้องหา 7 คน ได้แก่ 1.นายธงไชย, 2.นายวิทยา, 3.นายสมชาย, 4.นายธรรมนูญ, 5.นายภาคภูมิ, 6.น.ส.สุธาดา และ 7.นายบัญฑิตย์ พร้อมของกลางยาบ้า 4.4 ล้านเม็ด ได้ที่บริเวณริมถนนตาก-พิษณุโลก(หมายเลข 12) ต.ไกรนอก อ.กงไกรลาส จ.สุโขทัย โดยชุดจับกุมสืบสวนทราบว่าในห้วงวันที่ 6–8 พ.ค.66 จะมีเครือข่ายค้ายาเสพติดจากภาคเหนือนำไปส่งให้ลูกค้าในพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา โดยใช้รถยนต์ 3 คัน ในการลำเลียงยาเสพติดและนำทาง ตำรวจ ปส.ชุดจับกุม จึงวางกำลังตามเส้นทางบ้านกะเหรี่ยงรวมมิตร ต.แม่ยาว อ.เมือง จ.เชียงราย จนถึง จ.สุโขทัย กระทั่งจับกุม 7 ผู้ต้องหา ได้บริเวณริมถนนตาก–พิษณุโลก จ.สุโขทัย ตรวจสอบรถที่ใช้ก่อเหตุพบยาบ้าประมาณ 4.4 ล้านเม็ด และตรวจยึดรถยนต์ที่ใช้ขนยาเสพติด 3 คันดังกล่าว เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

คดีที่ 7 เมื่อวันที่ 8 พ.ค.66 ตำรวจ ปส.4 ร่วมกับ บก.ขส. ได้ร่วมทำการจับกุมผู้ต้องหาจำนวน 4 คน ได้แก่   1.นายกฤษณ์, 2.น.ส.สิรารมย์, 3.นายธนิสร และ 4.น.ส.วรัญธิญา ได้ที่ด่านตรวจยาเสพติด (บ้านควนมีด) อ.จะนะ จ.สงขลา ต่อเนื่องบริเวณจุดสกัดป้อมตำรวจโคกกอก ต.ท่ามิหรำ อ.เมือง จว.พัทลุง พร้อมของกลางไอซ์ประมาณ 300 กก. จากการสืบสวนขยายผลการจับกุมผู้ต้องหาพร้อมของกลาง ไอซ์ 688 กก. เมื่อต้นปีที่ผ่านมา พบว่าเครือข่ายดังกล่าวจะลักลอบขนยาเสพติดจากภาคกลางซุกซ่อนมากับรถ 2 คัน เพื่อส่งให้ลูกค้าในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ จึงเฝ้าติดตามพฤติการณ์ ต่อมาวันที่ 9 พ.ค.66 พบรถ 2 คัน มุ่งหน้าลงใต้ในลักษณะเป็นรถนำ-รถตาม ตำรวจ ปส.4 จึงประสานด่านตรวจยาเสพติดบ้านควนมีด จ.สงขลา ให้เตรียมเรียกตรวจรถ แต่รถดังกล่าวได้จอดหลบข้างทางก่อนถึงด่านตรวจ 3 กม. ตำรวจ ปส.4 จึงแสดงตัวเข้าตรวจค้นรถ พบนายกฤษณ์ และ น.ส.สิรารมย์ให้การมีพิรุธ จึงเชิญทั้ง 2 คน เข้าด่านตรวจยาเสพติด พร้อมนำรถยนต์เข้าตรวจเอกซเรย์พบวัตถุต้องสงสัยคล้ายยาเสพติด จึงทำการตรวจค้น พบไอซ์ 300 กก. ถูกซุกซ่อนมากับพืชผลทางการเกษตร จากนั้นได้ติดตามจับกุมรถสำรวจเส้นทาง มีนายธนิสร เป็นผู้ขับขี่และ น.ส.วรัญธิญา นั่งไปด้วย ขณะนี้ ตำรวจ ปส.4 อยู่ระหว่างสืบสวนขยายผลเพื่อจับกุมผู้ร่วมขบวนการต่อไป

คดีที่ 8 เมื่อวันที่ 10 พ.ค.66 ตำรวจ ปส.3 ได้ทำการจับกุมผู้ต้องหา 2 คน ได้แก่ 1.นายบรรยงค์ และ  2.นายยิ่งคุณ พร้อมด้วยของกลางไอซ์ประมาณ 300 กก. ได้ที่ บริเวณถนนหมายเลข 1063 ต่อเนื่องบริเวณถนนหมายเลข 1209 หน้าบ้านเลขที่ 205 หมู่ 15 ต.แม่ข้าวต้ม อ.เมือง จ.เชียงราย โดยตำรวจ ปส.3 ได้สืบสวนติดตามพฤติการณ์ของกลุ่มเครือข่ายยาเสพติดตามแนวชายแดนด้าน อ.แม่สาย จ.เชียงราย ทราบว่าจะมีการขนยาเสพติดเข้าสู่พื้นที่ตอนในด้วยรถกระบะ จึงเฝ้าสืบสวนติดตาม จนกระทั่งเมื่อวันที่ 10 พ.ค.66 พบรถยนต์ต้องสงสัยขับตามกันมาจึงเข้าตรวจสอบรถทั้ง 2 คัน ได้ขับขี่หลบหนี แต่ตำรวจ ปส.3 สามารถสกัดจับกุมได้ ตรวจสอบรถคันที่นายบรรยงค์เป็นผู้ขับขี่พบไอซ์ 300 กก. อยู่ภายในรถ โดยมีนายยิ่งคุณ ขับขี่รถนำทางอีกคัน ซึ่งตำรวจ ปส.อยู่ระหว่างสืบสวนขยายผลถึงผู้สั่งการต่อไป

‘เปิ้ล ไอริณ’ เปิดใจถึงประเด็นแช่ง ‘ใบเตย’ ในอดีต เผย ถ้าย้อนกลับไปจะไม่พูด ปัจจุบันไม่ขอซ้ำเติมใคร

เมื่อวันที่ 11 พ.ค. 66 ตอนนี้ชาวเน็ตพากันขุดคลิปเก่าที่ ‘เปิ้ล ไอริณ’ พูดถึง ‘ใบเตย สุธีวัน’ ครั้งทั้งคู่มีปัญหากันเมื่อ 9 ปีก่อน และเปิ้ลออกมาบอกว่า “ถ้าไม่ยอมขอโทษ ได้ไปนอนหนุนแอร์เมสในตารางแน่นอน ฝากไปบอกเขาด้วย” บางคนถึงกับบอกว่าปากของเธอศักดิ์สิทธิ์ และคำสาปเป็นจริงแล้ว

เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ‘เปิ้ล ไอริณ’ ให้สัมภาษณ์ว่า ถ้าย้อนกลับไปได้ก็จะไม่พูดประโยคดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ตอนนั้นเหมือนกับจิตใจค่อนข้างจะอ่อนแอ เพราะเจอหลายเรื่องมาก ทั้งโดนแคนเซิลงาน ทั้งโดนผู้ใหญ่ต่อว่า โดนเยอะแยะ ทั้งๆที่ไม่ได้ทำอะไรผิด

“เปิ้ลเป็นคนให้เกียรติคนอย่างที่สุด แล้วชั่วโมงนั้นรู้สึกเหมือนโดนหยามเกียรติ ยอมรับว่าด้วยความที่มันหลายเรื่อง และใจตอนนั้นก็ค่อนข้างบางๆ อาจจะพูดไปโดยที่โมโหอยู่ แต่หลายปีผ่านไป ย้อนไปดู เรื่องเกียรติยศ หรือศักดิ์ศรีมันก็คืออัตตา ตัวตน เราไปยึดก็หนัก ตอนนี้ถ้าย้อนกลับไปได้ก็ไม่คิดพูด ไม่สาปแช่งใคร อยากส่งคลื่นพลังงานดีๆให้คนมากกว่า”

เธอยังบอกด้วยว่า เธอคงไม่อวดอ้างว่าตัวเองพูดอะไรไปแล้วศักดิ์สิทธิ์ ที่บอกได้คือเป็นคนเชื่อหลักฟิสิกส์ ควอนตัม เชื่อในกฎวิทยาศาสตร์

“อะไรก็ตามที่พูดจากใจ ด้วยพลังงานที่มันเพียว มันก็จะแอทแทคให้ให้เป็นเรื่องจริง บวกกับเราเป็นคนค่อนข้างรักษาศีล พยายามไม่มุสา แล้วก็ใช้ปากในการสวดมนต์ทุกคืนตั้งแต่จำความได้ ตั้งแต่เด็ก เหมือนกับเราใช้ปากในการท่องคาถามั้ง แล้วพยายามไม่พูดคำหยาบ ก็เลยคิดว่าอาจจะมีส่วนที่เวลาพูดอะไรมันก็เลยมีพลัง เชื่อเรื่องพลังมากกว่าเชื่อเรื่องงมงายค่ะ”

เธอยังบอกด้วยว่า หลายคนอาจไม่ทราบว่ากรณีความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในตอนนั้นอีกฝ่ายได้ฝากคำขอโทษโดนนัยมากับผู้จัดการของเธอแล้ว

“เขาฝากขอบคุณมากับผู้จัดการเปิ้ล บอกถ้าไม่ได้พี่เปิ้ลช่วงนั้นเขาอาจจะไม่เปรี้ยงก็ได้ เขาฝากผู้จัดการเปิ้ลมาพูด เปิ้ลเองก็ไม่ได้คิดอะไรแล้วจริงๆ แล้วตัวเปิ้ลเองไม่ชอบเห็นใครโดนซ้ำเติม แล้วตัวเองก็จะไม่ทำอย่างนั้นกับใครด้วยค่ะ”

“เอาเป็นว่าตอนนี้เปิ้ลไม่มีอะไรกับใคร ใฝ่หาความสงบ แล้วอยากจะเดินหน้าทำงานต่อไป ทำอะไรให้สังคม อยากเป็นตัวอย่างมายด์เซ็ตที่ดีให้กับผู้คน ไม่อยากส่งอะไรให้คนทุกข์ คิดว่าตอนนี้ทุกคนต้องการกำลังใจ อยากส่งกำลังใจให้ทุกคนมากกว่าค่ะ”

“ถ้าย้อนกลับไปได้ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นเลยค่ะ”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top