Friday, 27 June 2025
NEWS FEED

นครพนม-รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม นบ.ยส.24 บูรณาการ 'Seal Stop Safe' เพื่อป้องกันยาเสพติดเข้าสู่ประเทศ 

เมื่อวันที่ (28 เม.ย.68) เวลา 1330 น. ที่ค่ายพระยอดเมืองขวาง ตำบลกุรุคุ อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และคณะ ลงพื้นที่ติดตามการปฏิบัติงานในพื้นที่ จังหวัดนครพนมตรวจเยี่ยมหน่วยบัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติดสารตั้งต้น และเคมีภัณฑ์ชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อติดตามปฏิบัติการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด “Seal Stop Safe” ผนึกกำลัง อำเภอชายแดน เพื่อมอบนโยบายในการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติดตามแนวชายแดน เร่งรัดการดำเนินงานสกัดกั้น ยาเสพติดตามแนวชายแดนให้เห็นผลเป็นรูปธรรม ตามที่นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีได้มอบนโยบาย เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2568 ที่ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล โดยมี พลเอก สนิธชนก สังขจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม พลตำรวจเอก ไกรบุญ ทรวดทรง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พลตำรวจโท ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด                              

พลโทบุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ในฐานะผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติดสารตั้งต้น และเคมีภัณฑ์ชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พร้อมหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ ให้การต้อนรับและเข้าร่วมประชุม โดยได้รับฟังบรรยายสรุปสถิติและการปฏิบัติที่สำคัญแต่ละมาตรการตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2567 จนถึงปัจจุบัน ตัวชี้วัดประสิทธิภาพการแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่เป้าหมาย แนวโน้มสถานการณ์ยาเสพติด กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งมอบนโยบาย ข้อสั่งการ และข้อเน้นย้ำ แนวทางการปฏิบัติงาน ตามที่รัฐบาลได้ออกประกาศเรื่องกำหนดพื้นที่ที่มีความจำเป็นเร่งด่วนและผู้รับผิดชอบเพื่อป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ปีงบประมาณ 2568 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 

มีพื้นที่อำเภอชายแดนเป็นพื้นที่ที่มีความจำเป็นเร่งด่วนใน 7 จังหวัด 25 อำเภอชายแดน มีหน่วยบัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด สารตั้งต้น และเคมีภัณฑ์ชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (นบ.ยส.24) เป็นหน่วยรับผิดชอบ มีภารกิจวางแผนบูรณาการอำนวยการประสานงาน ในการสกัดกั้นการลักลอบนำเข้ายาเสพติดสารตั้งต้น และเคมีภัณฑ์ ปราบปรามเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติด บำบัดผู้ป่วยจิตเวช ยาเสพติด จัดตั้งหมู่บ้านชุมชนเข้มแข็งเอาชนะยาเสพติด ประสานความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน และแก้ไขปัญหายาเสพติดด้านอื่นๆในพื้นที่ชายแดน โดยได้ดำเนินการตาม 6 มาตรการหลัก ได้แก่ มาตรการสกัดกั้น มาตรการปราบปราม มาตรการป้องกัน มาตรการบำบัดรักษา มาตรการบูรณาการ มาตรการประสานความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน  

รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวว่าการมาตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจผู้ที่ปฏิบัติงานของหน่วยบัญชาการสกัดกั้นและปรามปรามยาเสพติดสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือในวันนี้  ถือว่าเป็นหน่วยที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการแก้ไขปัญหาสำคัญหลักของชาติ โดยเฉพาะปัญหาด้านยาเสพติด ซึ่งเป็นปัญหาที่มีมาอย่างยาวนาน และรัฐบาลนี้ก็ให้ความสนใจให้ทุ่มเทในการแก้ปัญหาดังกล่าวนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประเทศชาติ มีความมั่นคงปลอดภัย และนับว่าเป็นโอกาสอันดี ที่ผมและทีมงาน ได้เข้ามารับทราบผลการปฏิบัติงานรวมถึงรับทราบปัญหา ข้อขัดข้องเพื่อจะได้เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยแก้ไขปัญหา และเพื่อเป็นการ​ เพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานให้ดียิ่งขึ้น ขอชื่นชมในความทุ่มเท เสียสละ และความมุ่งมั่นของทุกท่านในการปฏิบัติหน้าที่ป้องกันประเทศ และดูแลความสงบเรียบร้อยของประชาชนโดยเฉพาะในภารกิจด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด 

ซึ่งถือเป็นภัยคุกคามด้านความมั่นคงที่ส่งผลกระทบอย่างมากต่อสังคมไทยจากการรับฟังบรรยายสรุป เห็นถึงความเข้มแข็ง และความร่วมมือของทุกภาคส่วนในการดำเนินการสกัดกั้น ลำเลียง ปราบปราม ตลอดจนบำบัดและฟื้นฟูผู้ที่ได้รับผลกระทบจากยาเสพติด ซึ่งมีผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรม ทั้งในพื้นที่ชายแดนและตอนใน โดยเฉพาะการจัดตั้งหน่วยบัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติดชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือ นบ.ยส.24 รวมถึงการขับเคลื่อน “ธวัชบุรีโมเดล” 

ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดีของการบูรณาการและสร้างความยั่งยืนในการแก้ไขปัญหา และขอให้หน่วยดำเนินการดำรงความเข้มแข็งในการปฏิบัติงานเชิงรุก โดยใช้การข่าวและการลาดตระเวนเชิงลึก ควบคู่กับเทคโนโลยี เพื่อสกัดกั้นยาเสพติดไม่ให้เข้ามาในประเทศได้ตั้งแต่แนวหน้า ส่งเสริมการประสานความร่วมมือข้ามหน่วยงานและข้ามพรมแดน เพื่อเสริมสร้างระบบความมั่นคงแนวชายแดน โดยเฉพาะการมีจุดประสานงานร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านที่มีประสิทธิภาพและต่อเนื่อง ให้ความสำคัญกับการพัฒนาหมู่บ้านและชุมชนเข้มแข็ง เป็นปราการด่านหน้าในการเอาชนะยาเสพติด และเป็นกลไกในการดูแล พี่น้องประชาชนอย่างใกล้ชิด สนับสนุนภารกิจการฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด ให้สามารถกลับมาใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างมีศักดิ์ศรี ควบคู่กับการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังเพื่อปราบปรามกลุ่มผู้กระทำผิด เร่งรัดการผลักดันโครงการที่จำเป็นเร่งด่วน และการของบประมาณสนับสนุนจากกองทุนที่เกี่ยวข้อง เพื่อเสริมศักยภาพและขีดความสามารถในการปฏิบัติภารกิจ ผมมีความเชื่อมั่นในศักยภาพของกำลังพลทุกนายว่า จะสามารถปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ เพื่อปกป้องประชาชนและประเทศชาติให้ปลอดภัยจากภัยยาเสพติด และสร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชนได้อย่างยั่งยืน  

เชียงใหม่-ผบช.ภ.5 แถลงผลการจับกุมคดียาเสพติดของกลางยาบ้า 6 ล้านเม็ด ไอซ์ 20 กก.

ตำรวจภูธรภาค 5 แถลงผลการจับกุมคดียาเสพติดรายสำคัญ ของสภ.ห้วยไร่ จว.แพร่ จับกุมผู้ต้องหาพร้อมของกลางยาบ้าจำนวน 6,000,000 เม็ดและไอซ์ จำนวน 20 กิโลกรัม

เมื่อวันที่ (29 เม.ย.68) เวลา 11.00 น. พล.ต.ท. กฤตธาพล ยี่สาคร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 เป็นประธานการแถลงผลการสืบสวนจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติด รายสําคัญ ของสภ.ห้วยไร่ จัวหวัดแพร่ จับกุมผู้ต้องหา 1 คน พร้อมของกลางยาบ้าจํานวน 6,000,000 เม็ด และไอซ์ จำนวน 20 กิโลกรัม ณ ด่านตรวจห้วยไร่ จว.แพร่ เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2568

โดยมี  พล.ต.ต.พรพิทักษ์ รู้ยืนยง รอง ผบช.ภ.5, นายชัยสิทธิ์ ชัยสัมฤทธิ์ผล รอง ผวจ.แพร่, พล.ต.ต.พงษ์เดช คำใจสู้ ผบก.ภ.จว.แพร่, รอง ผบก.สส.ภ.5, รอง เสธ.นบ.ยส.35, ผู้แทน ปปส.ภ.5 และ สวญ.สภ.ห้วยไร่ ร่วมแถลงผลการจับกุม ณ ลานแถลงข่าว อาคารกองบังคับการสืบสวนสอบสวน ตำรวจภูธรภาค 5 อ.เมืองเชียงใหม่ จว.เชียงใหม่

สืบเนื่องจากวันที่ 24 เมษายน 2568 เวลาประมาณ 08.00 น. ร.ต.อ.อาลักษณ์ วรรณา รอง สวป.(ชส) สภ.ห้วยไร่ พร้อมชุดปฏิบัติการ ได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้ตั้งจุดตรวจสกัดกั้นยาเสพติด ณ ด่านตรวจห้วยไร่ต.ห้วยไร่ อ.เด่นชัย จว.แพร่ และได้รับแจ้งจากสายลับ (ไม่ประสงค์ออกนามประสงค์รับเงินรางวัลยาเสพติด)  แจ้งมีกลุ่มลำเลียงยาเสพติดใช้รถยนต์บรรทุกหกล้อ มีลักษณะลักลอบลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ จว.เชียงราย เข้าสู่พื้นที่ตอนใน โดยใช้รถยนต์หกล้อบรรทุกสินค้าปะปนอยู่ในท้ายบรรทุก ผู้บังคับบัญชาจึงสั่งการให้ชุดปฏิบัติการเข้มข้นในการคัดกรองรถยนต์บรรทุกหกล้อ  

ต่อมาเวลาประมาณ 13.54 น. (24 เมษายน 2568) พบรถยนต์บรรทุกหกล้อ หมายเลขทะเบียน 71-2199 เชียงใหม่ ขับขี่เข้าด่านตรวจห้วยไร่ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ให้สัญญาณหยุดรถและได้เรียกเข้าจุดตรวจค้น โดยมีนายสุดใจ เป็นผู้ขับขี่ โดยบรรทุกสินค้าเป็นผ้าอัดกระสอบ โดยได้คุมผ้าใบปิดบังมิดชิด แจ้งว่ามาจากพื้นที่ จว.เชียงราย ไปส่งปลายทางที่ จว.สมุทรสาคร จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ให้นายสุดใจ นำรถยนต์บรรทุก ไปทำการ X-RAY ที่ด่านตรวจยาเสพติดห้วยไร่(X-RAY) ผลการ X-RAY พบวัตถุต้องสงสัยมีลักษณะคล้ายยาเสพติด ซึ่งมีกระสอบผ้าอัดก้อนปิดทับไว้เป็นชั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้ทำการตรวจสอบกระสอบผ้าอัดก้อนดังกล่าว 

พบยาเสพติดให้โทษประเภท1 (ยาบ้าหรือเมทแอมเฟตามีน) จำนวน 30 กระสอบ จำนวน 6,000,000 เม็ด และ ไอซ์จำนวน 20 กิโลกรัม จากนั้นได้ทำการตรวจปัสสาวะเบื้องต้นของนายสุดใจ ผลการตรวจเบื้องต้นเป็นลบ จึงได้จับกุมและแจ้งข้อกล่าวหาให้นายสุดใจทราบ และทำการจับกุมผู้ต้องหาพร้อมของกลางยาเสพติด นำส่งพนักงานสอบสวน สภ.ห้วยไร่ จว.แพร่ ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ตำรวจภูธรภาค 5 บูรณาการร่วมกับหน่วยงานทุกภาค ส่วน ทั้ง ฝ่ายทหาร ฝ่ายปกครองสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และนำบัญชาข้อสั่งการของรัฐบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดไม่ให้เข้าไปสู่พื้นที่ตอนในอย่างเข้มข้นและจริงจัง และนำไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม

สรุปผลการจับกุมยาเสพติด ของ ตำรวจฎธรภาค 5 ห้วงตั้งแต่ 1 ต.ค.67 - 25 เม.ย.68  จับกุมคดียาเสพติด จำนวน 12,684 คดี คดียาเสพติดรายสำคัญ 122 คดี ตรวจยึดของกลางยาเสพติด ยาบ้า 122 ล้านเม็ดเศษ ไอซ์ 8,120 กิโลกรัมเศษ เฮโรอีน 148 กิโลกรัม เคตามีน 993 กิโลกรัมเศษ ฝิ่น 60 กิโลกรัมเศษ ตรวจยึดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับยาเสพติด มูลค่าทรัพย์สินประมาณ 377 ล้านบาทเศษ

นราธิวาส-แม่ทัพภาคที่ 4 เปิดกิจกรรม 'Open House เปิดประตูสู่สถาบันศึกษาปอเนาะ' ยกย่องเป็นต้นแบบการศึกษา สานพลังสร้างสันติสุขชายแดนใต้

เมื่อวานนี้ (30 เม.ย.68) เวลา 11.00 น. ที่สถาบันศึกษาปอเนาะแสงอรุณศาสตร์ หมู่ที่ 3 ตำบลฆอเลาะ อำเภอแว้ง จังหวัดนราธิวาส พลโท ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4/ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรม “Open House เปิดประตูสู่สถาบันศึกษาปอเนาะ” ภายใต้โครงการ “ปอเนาะสานใจ สู่การพัฒนา” โดยมีผู้นำภาครัฐ ภาคศาสนา และภาคประชาชนเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนรับรู้บทบาทของสถาบันศึกษาปอเนาะในการส่งเสริมการเรียนรู้ ศาสนา วัฒนธรรม และการอยู่ร่วมกันอย่างสันติในสังคมพหุวัฒนธรรม ตลอดจนเป็นเวทีให้เยาวชนและผู้เรียนได้แสดงความสามารถและศักยภาพ โดยมีผู้เข้าร่วมกว่า 200 คน จากสถาบันศึกษาปอเนาะในอำเภอแว้ง และพื้นที่ใกล้เคียง

นายภิญญา รัตนวรชาติ ผู้อำนวยการสำนักงานการศึกษาเอกชนจังหวัดนราธิวาส กล่าวว่า สถาบันศึกษาปอเนาะแสงอรุณศาสตร์เป็นแบบอย่างของการจัดการศึกษาคุณภาพ มีบทบาทเด่นทั้งด้านการเรียนการสอนและการพัฒนาท้องถิ่น ได้รับรางวัลหลายรายการ และได้รับการคัดเลือกเป็นสถาบันนำร่องภายใต้โครงการ “ปอเนาะสานใจ สู่การพัฒนา” โดยกิจกรรม Open House ครั้งนี้ถือเป็นการสื่อสารและสร้างความเข้าใจในบทบาทของสถาบันปอเนาะในสังคมร่วมสมัย โดยภายในงานมีการจัดนิทรรศการจากหน่วยงานราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคเอกชนที่ร่วมกันสนับสนุนการจัดการศึกษา การสร้างอาชีพ และโอกาสในอนาคตให้แก่ผู้เรียน

ด้าน พลโท ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4 กล่าวว่า รู้สึกประทับใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้มาเยี่ยมเยียนและพบปะโต๊ะครูของสถาบันแห่งนี้ พร้อมยกย่องสถาบันศึกษาปอเนาะแสงอรุณศาสตร์ว่าเป็นปอเนาะต้นแบบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม และส่งเสริมการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข

“กิจกรรม Open House ครั้งนี้ เป็นโอกาสอันดีในการเปิดบ้านแห่งการเรียนรู้ เสริมสร้างความเข้าใจระหว่างสถาบันการศึกษากับชุมชน และขอยืนยันว่า กองทัพบก โดยเฉพาะแม่ทัพภาคที่ 4 จะสนับสนุนและเสริมสร้างพลังให้กับภาคประชาชน ภาคการศึกษา และภาคศาสนา เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนสังคมชายแดนใต้ไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน” พลโท ไพศาล ฯ กล่าว

'กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน' จับมือเอกชน ปั้นช่างเชื่อมโกอินเตอร์ รายได้ทะลุ 70,000 บาทต่อเดือน

เมื่อวานนี้ (30 เม.ย.68) กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ร่วมกับ สมาคมนายจ้างส่งเสริมแรงงานไทย พิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยการพัฒนาฝีมือแรงงาน ระหว่างนายเดชา พฤกษ์พัฒนรักษ์ อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน นางสาวอรัญญา สกุลโกศล ประธานสมาคมนายจ้างส่งเสริมแรงงานไทย นางเบญจรงค์ สุระพันธ์ กรรมการสมาคมนายจ้างส่งเสริมแรงงานไทย โดยมีนายโกเมศ ปิยะพันธุ์ ผู้ตรวจราชการกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และนางเบญจรงค์ สุระพันธ์ กรรมการสมาคมนายจ้างส่งเสริมแรงงานไทย ร่วมเป็นสักขีพยาน ณ ห้องประชุมอาคารครัวไทย สู่ครัวโลก สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 3 ชลบุรี จังหวัดชลบุรี นอกจากนี้ยังเยี่ยมชมและให้กำลังใจผู้เข้ารับการฝึกอบรมหลักสูตรการเชื่อม FCAW 3G และ GTAW 6G(FCAW 3G and GTAW 6G WELDING) อีกด้วย

นายเดชา พฤกษ์พัฒนรักษ์ อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เปิดเผยหลังเสร็จสิ้นพิธีลงนามว่า อุตสาหกรรมอู่ต่อเรือเป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญอย่างมากทั้งในด้านเศรษฐกิจ การคมนาคม และความมั่นคงของประเทศ อีกทั้งสถานประกอบกิจการที่ดำเนินธุรกิจด้านอู่ต่อเรือมีความต้องการแรงงานไทยที่มีทักษะฝีมือจำนวนมาก โดยเฉพาะช่างเชื่อมจะต้องมีทักษะเฉพาะ จึงต้องเร่งยกระดับช่างเชื่อมไทยให้มีมาตรฐานและมีประสิทธิภาพ เพื่อรองรับอุตสาหกรรมต่อเรือ และการจ้างงานทั้งในประเทศและต่างประเทศ สอดคล้องกับภารกิจของกรมในการพัฒนาฝีมือแรงงานเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่ตลาดแรงงาน และพัฒนาแรงงานที่อยู่ในตลาดแรงงานให้มีทักษะฝีมือสูงขึ้น เดิมในปี 2567 กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน  บูรณาการร่วมกับบริษัท HD Hyundai Heavy Industries Co., Ltd. (HHI) ในการผลิตแรงงานช่างเชื่อมสำหรับอุตสาหกรรมอู่ต่อเรือ จำนวน 108 คน และส่งแรงงานไทยเข้าทำงานกับบริษัท HD Hyundai Heavy Industries Co., Ltd. (HHI) ที่ประเทศสาธารณรัฐเกาหลีไปแล้ว จำนวน 73 คน ในครั้งนั้น 

กรมได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งกับสมาคมนายจ้างส่งเสริมแรงงานไทย ซึ่งเป็นผู้ประสานและได้รับอนุญาตในการจัดหางานจากกรมการจัดหางานและประสานข้อมูลความต้องการแรงงาน เพื่อไปทำงานต่างประเทศ และการลงนามความร่วมมือกับสมาคมนายจ้างส่งเสริมแรงงานไทยในครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อยกระดับกลไกการทำงานร่วมกัน โดยทั้ง 2 หน่วยงานจะร่วมกันจัดฝึกอบรมหลักสูตรการเชื่อม FCAW 3G GTAW 6G จำนวน 29 คน ณ สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 3 ชลบุรี ผู้ผ่านการฝึกอบรมทั้ง 29 คนจะได้เข้าทำงานกับบริษัท HD Hyundai Heavy Industries Co., Ltd. (HHI) ที่ประเทศสาธารณรัฐเกาหลี มีรายได้เฉลี่ยคนละ 70,000 บาทต่อเดือน นอกจากนี้ยังมีแผนและเป้าหมายดำเนินการผลิตช่างเชื่อมสำหรับอุตสาหกรรมอู่ต่อเรือขยายไปยังจังหวัดอื่น ๆ จำนวน 500 คน และในอนาคตจะร่วมกันพัฒนาทักษะกลุ่มช่างก่อสร้าง และขยายตลาดไปยังประเทศอิสราเอล เพื่อสร้างโอกาสการมีงานทำให้แก่กำลังแรงงานต่อไป

ด้านนางสาวอรัญญา สกุลโกศล ประธานสมาคมนายจ้างส่งเสริมแรงงานไทย กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัท HD Hyundai Heavy Industries Co., Ltd. (HHI) มีความต้องการช่างฝีมือสำหรับอุตสาหกรรมอู่ต่อเรือ จำนวน 500 คน มีรายได้เฉลี่ยคนละ 70,000 บาทต่อเดือน รวมไปถึงประเทศอิสราเอล มีความต้องการช่างฝีมือกลุ่มช่างก่อสร้างที่มีความเชี่ยวชาญด้านวิชาชีพหลายด้าน (Multi Skills) ได้แก่ ช่างเชื่อม ช่างปูน ช่างไม้ ช่างเหล็ก เป็นต้น จำนวน 8,000 คน มีรายได้เฉลี่ยคนละ 77,000 บาทต่อเดือน สมาคมนายจ้างส่งเสริมแรงงานไทย ในนามของภาคเอกชน พร้อมร่วมขับเคลื่อนนโยบายของนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เพื่อดำเนินการผลิตและส่งออกแรงงานในตลาดแรงงาน ทั้งเปิดตลาดใหม่ และขยายตลาดต่อไป ซึ่งความร่วมมือนี้ใช้สถานที่ของสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานชลบุรี และสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานสมุทรปราการ เป็นหน่วยฝึกอบรมเตรียมความพร้อมก่อนไปทำงาน โดยทางบริษัทฮุนไดส่งครูฝึกจากเกาหลีพร้อมอุปกรณ์การฝึกนำเข้ามาฝึกในไทยมูลค่า 40 ล้านบาท และฝึกอบรมภาษาเกาหลีเพื่อการทำงาน มีเบี้ยเลี้ยงให้วันละ 700 บาท ค่าอาหารวันละ 150 บาท รวมวันละ 850 บาทต่อคน นอกจากนี้จะมอบเครื่องมืออีกราว 100 เครื่อง เพื่อเตรียมพร้อมรองรับผู้สนใจเข้ามาเรียนอย่างเพียงพอในการจัดส่งไปทำงานโดยเร็วที่สุด ผู้ฝึกอบรมจะได้เข้าทำงานกับบริษัทฮุนได ในอุสหกรรมอู๋ต่อเรือของเกาหลีใต้ ไปทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ด้วยวีซ่า E-7 (วีซ่าแรงงานมีทักษะฝีมือ) วีซ่าทำงาน 4 ปี ต่ออายุได้อีก 1 ปี

ผู้สนใจฝึกอบรมต้องมีคุณสมบัติเป็นช่างที่มีประสบการณ์งานเชื่อม ผ่านการทดสอบฝีมือ โดยสามารถติดต่อสอบถามได้ที่สมาคมนายจ้างส่งเสริมแรงงานไทย หมายเลขโทรศัพท์ 06-2091-6783 ไอดีไลน์ : @wm.visa (มี@นำหน้า) หรือติอต่อบริษัทจัดหางาน เวิล์ด แม็ป จำกัด หรือติดต่อทางสำนักงานหรือสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัดทั่วประเทศ

(สุรินทร์) มทบ.25 และ ร.23 พัน.3 จัดพิธีอำลาธงชัยเฉลิมพล และอำลาผู้บังคับบัญชา ทหารกองประจำการ รุ่นปี 2566 ผลัดที่ 1

เมื่อวานนี้ (30 เม.ย.68)สโมสรค่ายวีรวัฒน์โยธิน พลตรี ไชยนคร กิจคณะ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 25 เป็นประธานมอบใบเกียรติบัตร แก่ทหารกองประจำการปลดประจำการ รุ่นปี 2566 ผลัดที่ 1 เป็นประธานพิธีสวนสนามอำลาธงชัยเฉลิมพล และอำลาผู้บังคับบัญชา จำนวน 2 กองร้อย ที่ครบกำหนดปลดประจำการเป็นกองหนุนในวันที่ 1 พฤษภาคม 2568 เพื่อเป็นเกียรติ และความภาคภูมิใจให้กับทหารกองประจำการทุกนาย ที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความวิริยะ อุตสาหะ ตลอดระยะเวลาที่รับราชการ พร้อมกล่าวให้โอวาท และขอบคุณกำลังพลที่ได้ปฏิบัติหน้าที่รับใช้ชาติ อย่างสมเกียรติ สมศักดิ์ศรี และให้นำสิ่งที่กองทัพบกมอบให้ไปพัฒนาตนเอง ตามนโยบายของกองทัพบก ซึ่งสามารถนำไปต่อยอดและใช้ประโยชน์ ในการประกอบอาชีพเลี้ยงดูตนเองและครอบครัว ภายหลังจากปลดประจำการ พร้อมทั้งความมีระเบียบวินัยจากการเป็นทหาร ให้นำไปใช้เป็นตัวอย่างที่ดี และเป็นพลเมืองที่ดีของสังคม เป็นกำลังที่จะพัฒนาประเทศชาติต่อไป 

ผู้ว่า สตง. แจงปมเก้าอี้ตัวละ 9 หมื่น ยันมีแค่ระดับชุดผู้บริหาร เจ้าหน้าที่นั่งหมื่นต้นๆ

(30 เม.ย. 68) นายมณเฑียร เจริญผล ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ชี้แจงกรณีที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถูกวิจารณ์เรื่องการใช้เฟอร์นิเจอร์ราคาแพงในการก่อสร้างสำนักงานใหม่ ที่ถล่มจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว โดยระบุว่าโครงการยังอยู่ในขั้นตอนออกแบบ ซึ่งการระบุราคาครุภัณฑ์เป็นการประเมินเบื้องต้น ไม่ใช่การจัดซื้อจริง และสามารถปรับลดราคาได้ตามความเหมาะสม

กรณีเก้าอี้ราคาตัวละ 90,000 บาทนั้น นายมณเฑียรยืนยันว่า เป็นเพียงเก้าอี้สำหรับประธานและกรรมการในห้องประชุมผู้บริหาร ส่วนเจ้าหน้าที่ทั่วไปกว่า 80% ใช้เก้าอี้ราคาปกติหมื่นต้น ๆ และไม่มีการจัดซื้อเก้าอี้ราคาแพงสำหรับทุกคนในองค์กรตามที่ถูกเข้าใจผิด

ในเรื่องฝักบัวราคาแพง ผู้ว่า สตง. ชี้แจงว่าเกิดจากการรวมแบบฝักบัวสองรูปแบบเข้าด้วยกันในระหว่างขั้นตอนการออกแบบ ซึ่งอาจทำให้ราคาดูสูง แต่ยังไม่ใช่ราคาที่จะนำไปจัดซื้อจริง ทั้งนี้ สตง.มีหน้าที่ตรวจสอบความเหมาะสมของราคาและแหล่งอ้างอิง ไม่ใช่เป็นผู้ดำเนินการจัดซื้อโดยตรง

สำหรับข้อวิจารณ์เรื่องห้องฉายภาพยนตร์ในอาคาร สตง. นายมณเฑียรระบุว่า เป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อน เพราะห้องที่กล่าวถึงเป็นห้องประชุมที่ออกแบบในรูปแบบ 'classroom' และ 'theater' ซึ่งเป็นเพียงชื่อเรียกลักษณะการจัดวางที่นั่ง ไม่ใช่ห้องสำหรับฉายภาพยนตร์แต่อย่างใด

สุดท้าย ผู้ว่า สตง. ยืนยันว่าโครงการยังสามารถปรับแบบและงบประมาณได้ตามหลักเกณฑ์ของราชการ พร้อมเปิดเผยว่าระดับผู้บริหารของ สตง. มีสถานะเทียบเท่ารัฐมนตรี จึงมีการออกแบบอุปกรณ์สำนักงานให้สอดคล้องกับตำแหน่งตามที่กฎหมายกำหนด

‘ภูมิธรรม’ แจงชัดนโยบาย ‘ฟรีวีซ่า’ ไม่ใช่ช่องโหว่อาชญากรรม ปัดข่าวไทยปล่อยปละละเลย ชี้นักท่องเที่ยวทำผิดเป็นเพียงส่วนน้อย

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวภายหลังประชุมสภากลาโหม ถึงกรณีที่นโยบายฟรีวีซ่าถูกโยงกับอาชญากรรมในไทยว่า ต้องพิจารณาตามข้อเท็จจริง ไม่ได้เป็นผลจากความไม่ปลอดภัยในประเทศ แต่เป็นการกระทำของบุคคลเฉพาะกลุ่ม ยืนยันว่าไทยยังคงดำเนินการตามกฎหมายอย่างเข้มงวด

กรณีชายแต่งตัวคล้ายสารวัตรทหารร่วมงานจีน นายภูมิธรรมเผยว่า ทราบเรื่องแล้ว และได้สั่งการให้ตรวจสอบ พบว่าเหตุเกิดตั้งแต่ ธ.ค. 2567 แต่เพิ่งถูกเผยแพร่ทางสื่อสังคม ขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบว่าบุคคลดังกล่าวกระทำในนามส่วนตัวหรือไม่ เพราะหากไม่มีคำสั่งทางราชการถือว่าผิดระเบียบ และหากเป็นการเลียนแบบเครื่องแบบทหาร ก็ผิดกฎหมายอาญา

เมื่อถูกตั้งข้อสังเกตว่าไทยอาจปล่อยให้กลุ่มจีนใช้เป็นฐานดำเนินธุรกิจผิดกฎหมาย เช่น หลอกขายตรงหรือแฝงตัวในรูปเจ้าหน้าที่ นายภูมิธรรมยืนยันว่า ทางการไม่ได้ละเลย แต่เพิ่งทราบเมื่อมีการเผยแพร่ในโซเชียล และเมื่อรับรู้ก็มีการดำเนินการอย่างจริงจังทันที

ในประเด็นที่ฟรีวีซ่าอาจเป็นช่องโหว่ให้บุคคลไม่หวังดีเข้ามา นายภูมิธรรมระบุว่า ฟรีวีซ่าเป็นมาตรการส่งเสริมเศรษฐกิจที่จำเป็น ยอมรับว่าทุกนโยบายมีทั้งข้อดีและข้อเสีย แต่เมื่อมีคดีเกิดขึ้น ก็จัดการตามกฎหมายอย่างไม่ละเว้น พร้อมย้ำว่ากลุ่มนักท่องเที่ยวที่กระทำผิดมีเพียงส่วนน้อย

สุดท้าย นายภูมิธรรมกล่าวว่า รัฐบาลไม่ได้เพิกเฉยต่อปัญหา พร้อมดำเนินการแก้ไขอย่างเต็มที่ และเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ในหลายประเทศ ส่วนข้อเสนอให้ลดระยะเวลาฟรีวีซ่าจาก 60 วันนั้น จะนำไปให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาต่อไป

มูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ (มสส.)จัดประชุมเสวนา เรื่อง “สรุปบทเรียนและก้าวต่อไปของกฎหมายควบคุมแอลกอฮอล์และกาสิโน”

วงเสวนา สรุปบทเรียนควบคุมแอลกอฮอล์และผลักดันตั้งกาสิโน แฉภาคธุรกิจและคนขายเหล้าเอาเปรียบ ย้ำชัดกฎหมายผ่านสภาผู้แทนฯแต่ยังไม่ผ่านวุฒิสภาเจ้าหน้าที่ต้องบังคับใช้กฎหมาย เผยประชาชน 8 กลุ่มต้านกาสิโน เพราะกระทบ สังคม เศรษฐกิจ การเมือง ยืนยันเดินหน้าคัดค้านหาพลังหนุนจากคนรุ่นใหม่ ส่วน บอร์ด สสส.ชี้ อาจส่งผลคนดื่มเหล้ามากขึ้น ภาคีต้องปรับกลยุทธ์ในการทำงานและร่วมมือกันมากขึ้น สื่อมวลชนพร้อมให้ปัญญากับสังคม            

(30 เม.ย.68) ณ ห้อง บุษบงกช บี ชั้น 2 โรงแรมรอยัลริเวอร์  เขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร มูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ (มสส.) , เครือข่ายสื่อมวลชนขับเคลื่อนสุขภาวะเพื่อสังคมไทยยั่งยืน (สสสย.) โดยการสนับสนุนของ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)  จัดประชุมเสวนา เรื่อง “สรุปบทเรียนและก้าวต่อไปของกฎหมายควบคุมแอลกอฮอล์และกาสิโน” โดยมี นายจิระ ห้องสำเริง สื่อมวลชนอาวุโส เป็นผู้ดำเนินรายการ

นายวิเชษฐ์ พิชัยรัตน์ กรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ด้านการสื่อสารมวลชน  กล่าวเปิดการเสวนาว่า ช่วงนี้ถือเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญของภาคีภาคประชาสังคมที่ทำงานรณรงค์และขับเคลื่อนผลักดันนโยบายและกฎหมายที่มีผลกระทบต่อสุขภาพและสังคม การที่ฝ่ายการเมืองเร่งรัดผลักดันแก้ไขพ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แก้ไขเนื้อหาหลายประเด็นจะทำให้ความชุกในการดื่มของประชาชนมากขึ้น ส่งผลให้ภาคีต้องปรับแนวทางในการทำงานใหม่ เช่นเดียวกับการที่รัฐบาลพยายามผลักดันเสนอกฎหมายการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจรที่มีกาสิโนรวมอยู่ด้วยนั้นได้เกิดปรากฎการณ์ที่ไม่ค่อยได้เห็นมากนักที่ทุกฝ่ายในสังคมได้แสดงพลังคัดค้านแม้แต่พรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคก็แสดงจุดยืนไม่เห็นด้วยจนทำให้รัฐบาลต้องประกาศถอยชั่วคราว แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเลิกเสนอกฎหมายฉบับนี้เพราะคนในรัฐบาลยังยืนยันว่าจะต้องอธิบายสื่อสารให้คนเข้าใจมากขึ้นก่อน ดังนั้นภาคีปัจจัยเสี่ยงทั้งแอลกอฮอล์ การพนัน จำเป็นต้องร่วมมือกับสื่อสารมวลชนในการให้ความรู้สร้างปัญญาให้กับสังคมและสะท้อนความเห็นของผู้คนทั้งประเทศให้ผู้กำหนดนโยบายได้รับรู้  

นายชูวิทย์ จันทรส ผู้ประสานงานเครือข่ายรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์ กล่าวว่า  ร่างแก้ไขพระราชบัญญัติ ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 สภาผู้แทนราษฎรแล้วขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญของวุฒิสภา คาดว่าจะกลับเข้ามาพิจารณาในวาระ 2-3 ของ สว.ในสมัยประชุมหน้าซึ่งแนวโน้มอาจไม่มีการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาในร่างที่ผ่านสภาผู้แทนฯ แล้ว เช่น กำหนดให้มีผู้แทนผู้ผลิต นำเข้า ขาย เครื่องดื่มแอลกอฮอล์หนึ่งคนเป็นกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์  แต่หากมีวาระพิจารณาที่มีส่วนได้เสียต้องออกจากที่ประชุม 

ซึ่งจุดนี้ในกฎหมายเดิมไม่มี  ส่วนคณะกรรมการควบคุมฯ จังหวัดและกทม.มีการเพิ่มผู้แทนสภาเด็กและเยาวชนและเพิ่มนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นรองประธานคณะกรรมการจังหวัดด้วย นอกจากนี้มีการผ่อนปรนให้ขายและดื่มได้ในสถานที่ราชการได้ กรณีจัดกิจกรรมพิเศษโดยต้องขออนุญาตเป็นครั้งคราว มีการยกเลิกประกาศคณะปฎิวัติ ฉบันที่ 253 เรื่องกำหนดเวลาขายสองช่วงเวลา คือ 11.00-14.00  และ 17.00-24.00 น. แม้จะยกเลิกประกาศฉบับนี้ไปแล้วแต่ประกาศสำนักนายกฯที่กำหนดเวลาขายไว้สองช่วงเวลาเช่นกันยังคงอยู่ เรื่องนี้เป็นการเข้าใจผิดคิดว่ายกเลิกแล้ว ส่วนการห้ามขายให้เด็กอายุต่ำกว่า 20 ปีและคนเมา มีการตรวจบัตร  ตรวจอาการคนเมา  และเพิ่มความรับผิดของผู้ขายหากรู้ว่าเป็นเด็กหรือคนเมาแล้วยังขายให้จนไปเกิดความเสียหายต่อชีวิตร่างกายทรัพย์สินผู้อื่นผู้ขายต้องรับผิดทางแพ่งด้วย เพิ่มโทษปรับที่หนักขึ้นจาก 20,000 เป็น 100,000 บาทอีกด้วย  

ผู้ประสานงานเครือข่ายรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์กล่าวอีกว่า มีการเพิ่มเติมให้ขายโดยเครื่องขายอัตโนมัติได้ ตามหลักเกณฑ์วิธีการที่กำหนดเช่น ตรวจอายุผู้ซื้อ ช่วงเวลา สถานที่ตั้ง และดูอาการเมาของผู้ซื้อด้วย ส่วนในเรื่องการโฆษณาโดยหลักการบุคคลทั่วไปสามารถแสดงผลิตภัณฑ์ได้หากไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ทางการค้า การโฆษณาทำได้แค่ให้ความรู้ข่าวสาร ประชาสัมพันธ์ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดเท่านั้น ไม่ใช่โฆษณาอะไรก็ได้ เรื่องนี้ต้องไปออกกฎหมายลูกอีกว่าจะคุมเข้มแค่ไหน ส่วนเรื่องตราเสมือนที่เคยใช้กันเพื่อหลบเลี่ยงกฏหมาย เช่นน้ำดื่ม โซดา มีการห้ามการโฆษณาที่ทำให้เข้าใจหรือสื่อไปถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ต้องโฆษณาแบบตรงไปตรงมาเท่านั้น เพิ่มอำนาจตักเตือนให้พนักงานเจ้าหน้าที่ในความผิดครั้งแรกที่ไม่ร้ายแรง มีการปรับเป็นพินัย กรณีความผิดเล็กน้อย รวมถึงการเพิ่มอำนาจให้ปิดสถานที่ ระงับการเผยแพร่สื่อโฆษณา พักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาตขายหากพบความผิดตามกฎหมายนี้ ในช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมาพบว่า มีธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ร้านเหล้าผับบาร์ ฉวยโอกาสทำผิดกฎหมาย ซี่งเราได้รวบรวมข้อมูลเตรียมไปร้องเรียนต่อคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จึงขอย้ำว่ากฎหมายฉบับเดิมยังบังคับใช้อยู่ เจ้าหน้าที่รัฐต้องบังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่ให้จริงจัง หลังจากนี้ ภายในระยะเวลา 1 ปี หากฎหมายบังคับใช้แล้ว จะต้องไปจัดทำกฎหมายระดับรองอีกจำนวน 38 ฉบับ

นายธนากร คมกฤส เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน (มรพ.) กล่าวความคืบหน้าการคัดค้านร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร ที่มีกาสิโนรวมอยู่ด้วยว่าสิ่งที่ทั้งรัฐบาลและประชาชนต่างต้องเรียนรู้และตระหนักในช่วงเหตุการณ์ที่ผ่านมาคือคนที่ออกมาค้านจำนวนไม่น้อยเป็นพลังเงียบที่มีอยู่จริง และจะแสดงพลังเมื่อถึงเวลาอันสมควร สรุปได้ว่ามีประมาณ 8 กลุ่ม คือ 1. กลุ่มคปท. ศปปส. กองทัพธรรม ซึ่งถูกมองว่าเป็นกลุ่มที่ต้องการขับไล่รัฐบาล 2. เครือข่ายภาคประชาสังคม นำโดยมูลนิธิรณรงค์หยุดพนันและ 100 องค์กร ซึ่งมีมูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะรวมอยู่ด้วย มีจุดยืนคือให้มีมาตรการและกลไกที่ชัดเจนในการควบคุม แก้ปัญหาปัญหาและลดผลกระทบทางสังคม   3.กลุ่มแพทย์และบุคลากรสาธารณสุข เช่น ชมรมแพทย์อาวุโสและบุคลากรทางการแพทย์ ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์ กลุ่มแพทย์จากมหาวิทยาลัยต่างๆ  

4. คณาจารย์และศิษย์เก่ามหาวิทยาลัย เช่น 99 นักวิชาการที่เคยคัดค้านเรื่องนี้เมื่อปีที่แล้ว 5.องค์กรด้านการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมเช่นสภาการศึกษาคาทอลิคแห่งประเทศไทย  สภาคริสตจักรในประเทศไทย พุทธสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ สมาคมสถาบันศึกษาปอเนาะจังหวัดชายแดนใต้ กับเครือข่ายสภาวัฒนธรรมทั่วประเทศ 6. ภาคธุรกิจ สมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวบางจังหวัด 7.เครือข่ายแรงงาน   สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ สมาพันธ์สมานฉันท์แรงงานไทย และ 8.กลุ่มด้านนิติบัญญัติ อดีตสมาชิกวุฒิสภา 189 คน อดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) 102 คน ชมรมสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) 2550 ที่สำคัญหลายพรรคการเมืองแสดงจุดยืนชัดเจน เช่น พรรคไทยสร้างไทย พลังประชารัฐ ประชาชาติ ส่วนพรรคประชาชน ภูมิใจไทยยังไม่แสดงท่าทีชัดเจน ที่น่าสนใจคือวุฒิสภาจำนวนมากเริ่มมีท่าทีคัดค้านมากขึ้น

เลขาธิการมรพ.กล่าวต่อว่าเหตุผลผู้ที่คัดค้านเพราะเห็นผลกระทบ 3 ด้านคือด้านสังคม เช่น ปัญหาอาชญากรรม ธุรกิจสีเทา และความปลอดภัยในสังคม ผลกระทบทางสุขภาพจากการเสพติดพนัน ความเครียด ผลกระทบต่อกลุ่มเปราะบางโดยเฉพาะเด็กและเยาวชน ด้านเศรษฐกิจเห็นว่าไม่มีความไม่จำเป็นต้องมีกาสิโนเพราะประเทศไทยมีสิ่งดีๆอยู่มากมาย ความไม่คุ้มค่าของการลงทุน เป็นการเอื้อประโยชน์กลุ่มทุนทำให้ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจขยายวงกว้างมากขึ้น ด้านการเมือง เช่นไม่ได้อยู่ในนโยบายที่หาเสียงในช่วงเลือกตั้ง ร่างกฎหมายขาดความรัดกุม ความไม่เชื่อมั่นในการบังคับใช้กฎหมายและการทุจริตคอรัปชั่น ที่ผ่านมาภาคประชาชนพยายามสื่อสารให้ข้อมูลมาตลอดทั้งบทเรียนจากต่างประเทศ ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการมีกาสิโน  

อย่างไรก็ตามพบว่าข้อมูลข่าวสารยังคงกระจุกตัวอยู่ที่ส่วนกลางประชาชนในต่างจังหวัดยังรับรู้เรื่องนี้มากนัก คนที่ออกมาคัดค้านก็เป็นคนรุ่นเก่าเป็นหลักส่วนเยาวชนคนรุ่นใหม่ยังออกมาไม่มากนัก สิ่งที่จะทำต่อไปของภาคประชาชนคือ เรียกร้องให้ทำประชามติ ขณะนี้มีรายชื่อสนับสนุนแล้วประมาณ 55,000 รายชื่อ การเปิดพื้นที่สานเสวนารับฟังความเห็นคนรุ่นใหม่ การสานพลังทุกกลุ่มที่ออกมาคัดค้านในเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการศึกษาช่องทางในการฟ้องร้องตามกฎหมาย หากรัฐบาลดึงดันที่จะเดินหน้ากฎหมายฉบับนี้ต่อ

ด้านสื่อมวลชนที่เข้าร่วมการเสวนา เห็นด้วยว่า จะต้องเผยแพร่ข้อมูลความคืบหน้าของทั้งสองประเด็นให้สังคมส่วนใหญ่ได้รับทราบอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการสื่อสารและหาเสียงสนับสนุนจากคนรุ่นใหม่ ให้แสดงบทบาทและมีส่วนร่วมในการคัดค้านและสะท้อนความคิดเห็นไปสู่รัฐบาลได้มากขึ้น ส่วนนายอภิวัชร เกตุทัต ประธานมูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ (มสส.) ได้สรุปว่า ทาง มสส. และ สสสย. พร้อมที่จะมีบทบาทในการสนับสนุนการทำงานของภาคีแอลกอฮอล์ และการพนันในการขับเคลื่อนเรื่องนี้อย่างต่อเนื่องต่อไป

‘ศิษย์เก่า มธ.’ ถาม อธิการบดี มธ. ทำอะไรอยู่ รู้หรือไม่! คนบางกลุ่มกำลังจะใช้พื้นที่ด้อยค่าประเทศ

นายสมภพ พอดี นิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และศิษย์เก่าปริญญาโท คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กถึงกรณีจะมีการจัดงานปาฐกถา เรือง ‘โจรสยาม ปะทะ เคลมโบเดีย : ปัญหาทะเลาะกันที่ไม่มีวันรู้จบ’ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ในวันที่ 2 พ.ค. นี้ โดยระบุว่า ...

30 เมษายน พ.ศ. 2568
เรียนอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ผม นายสมภพ พอดี อดีตนักศึกษาปริญญาโท คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี ปี พ.ศ. 2534 ขอเรียนถามท่านดังต่อไปนี้

1. ท่านทราบหรือไม่ว่าจะมีการใช้พื้นที่ของมหาวิทยาลัยในความดูแลของท่านจัดงานปาฐกถา ที่ตั้งชื่อว่า
โจรสยาม ปะทะ เคลมโบเดีย : ปัญหาทะเลาะกันที่ไม่มีวันรู้จบ 

ในวันศุกร์ที่ ๒ พ.ค. ๒๕๖๘ เวลา ๑๓:๐๐ - ๑๖:๐๐ น. ที่ห้องอดุล วิเชียรเจริญ (ศศ. ๒๐๑) คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์

2. ท่านทราบหรือไม่ว่าคำว่า โจรสยาม หมายความว่าอะไร มีนัยยะของการดูถูก ดูแคลน เหยียดหยาม ด้อยค่า สยามซึ่งคือชื่อเดิมของประเทศไทยอย่างไร

3. หากท่านรับทราบแล้วทั้งข้อ 1 และ 2 ท่านยังจะอนุญาตให้มีการใช้พื้นที่ของมหาวิทยาลัยในความรับผิดชอบของท่านจัดงานเพื่อดูถูก ดูแคลน เหยียดหยาม ด้อยค่า สยามซึ่งคือชื่อเดิมของประเทศไทย ต่อไปตามกำหนดการหรือไม่ หรือว่าจะยับยั้งการกระทำดังกล่าว

หากท่านคิดและเชื่อว่า มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในความรับผิดชอบของท่านสมควรจัดงานดังกล่าว ผมขอให้ท่านเพิกถอนปริญญาบัตรของผมด้วย เพราะผมละอายที่จะมีความเกี่ยวข้องและเกี่ยวพันใดกับสถาบันการศึกษาที่สร้างและดำเนินการจากภาษีของประเทศไทย แต่ปล่อยให้มีคนบางกลุ่ม บางคนใช้สถานที่เพื่อดูถูก ดูแคลน เหยียดหยาม ด้อยค่า สยามซึ่งคือชื่อเดิมของประเทศไทย

จึงเรียนมาเพื่อทราบและดำเนินการตามหน้าที่และความรับผิดชอบของท่าน
ขอแสดงความนับถือ
สมภพ พอดี

‘หวังอี้’ พบ รมว.ต่างประเทศไทย ย้ำสัมพันธ์จีน-ไทยแน่นแฟ้น พร้อมหนุนเข้าร่วม BRICS ดันโครงการรถไฟ-วิจัย-ต้านอาชญากรรม

(30 เม.ย. 68) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า หวังอี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีน แสดงจุดยืนระหว่างพบปะกับนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีต่างประเทศของไทย ว่าจีนให้ความสำคัญระดับสูงกับความสัมพันธ์จีน-ไทยในฐานะประเทศเพื่อนบ้าน และพร้อมส่งเสริมความร่วมมือด้านต่างๆ เพื่อสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค

นอกจากนี้ จีนยังสนับสนุนไทยเข้าร่วมกลุ่มประเทศ BRICS โดยหวังอี้ระบุว่า จีนยินดีต้อนรับบทบาทของไทยในฐานะประเทศหุ้นส่วน และสนับสนุนการมีส่วนร่วมในความร่วมมือที่หลากหลาย

ด้าน รมว.มาริษของไทยเห็นว่า การพัฒนาของจีนคือโอกาสสำคัญของไทย และแสดงความตั้งใจเข้าร่วมกลุ่ม BRICS อย่างเต็มที่ เพื่อเสริมความร่วมมือกับประเทศกำลังพัฒนา และปกป้องผลประโยชน์ร่วมกันของประเทศโลกใต้ พร้อมทั้งเห็นพ้องร่วมกับจีนในการผลักดันความร่วมมือ เช่น รถไฟจีน-ไทย การวิจัยแพนด้า การต่อต้านอาชญากรรมข้ามพรมแดน และการพัฒนา FTA จีน-อาเซียน รุ่น 3.0

หวังอี้ยังกล่าวถึงบทบาทของสหรัฐว่า เน้นผลประโยชน์ตนเองมากเกินไป ใช้ภาษีศุลกากรเป็นเครื่องมือกดดันประเทศอื่น พร้อมเตือนว่าการประนีประนอมกับพฤติกรรมล้ำเส้นจะยิ่งเปิดทางให้ 'คนพาล' กลั่นแกล้งมากขึ้น จึงเรียกร้องให้กลุ่ม BRICS ร่วมต้านการกีดกันทางการค้า และสนับสนุนระบบการค้าพหุภาคีที่ยึด WTO เป็นศูนย์กลางอย่างเข้มแข็ง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top