Thursday, 3 July 2025
NEWS FEED

กรุงเทพมหานคร กำลังจะมีปอดใหญ่ใจกลางกรุงแห่งใหม่ จาก ‘อดีตสนามม้านางเลิ้ง’ ที่กำลังจะถูกเปลี่ยนเป็น ‘สวนสาธารณะ’ ที่จะเพิ่มพื้นที่สีเขียว 216 ไร่ พร้อมเปิดปี 2565

เพจเฟซบุ๊ก ‘โบราณนานมา’ ได้เปิดเผยภาพ ‘อดีตสนามม้านางเลิ้ง’ ที่กำลังจะถูกเปลี่ยนเป็น ‘สวนสาธารณะ’ ขนาดใหญ่ พร้อมระบุว่า

จาก “สนามม้านางเลิ้ง” สู่ “สวนสาธารณะ ๒๑๖ ไร่”

“ราชตฤณมัยสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์” หรือที่รู้จักกันว่า “สนามม้านางเลิ้ง” ก่อตั้งโดย “พระยาประดิพัทธภูบาล” และ “พระยาอรรถการประสิทธิ์” ทำหนังสือขึ้นทูลเกล้าฯ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต ก่อตั้ง “สโมสรสนามม้าแข่งเพื่อบำรุงพันธุ์ม้า” โดยถวายที่ดินของ “กรมอัศวราช” เป็นสถานที่แข่งขัน ซึ่งต่อมามีพระบรมราชานุญาตพร้อมพระราชทานนามว่า “ราชตฤณมัยสมาคมแห่งกรุงสยาม

อีกทั้ง ทรงรับไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ เมื่อ ๑๘ ธันวาคม ๒๔๕๙ รวมไปถึงพระองค์ยังทรงส่งม้าในคอกของพระองค์เข้าร่วมแข่งอีกด้วย สมาคมฯ ทำหน้าที่ในการดำเนินกิจการแข่งม้า จัดทำทะเบียนประวัติม้า เจ้าของและผู้ที่เกี่ยวข้อง ส่วนการแข่งขันจะจัดขึ้นในวันอาทิตย์เว้นอาทิตย์ สลับกันกับ “ราชกรีฑาสโมสร”

ปัจจุบันสัญญาเช่าได้ครบกำหนดอายุสัญญาเช่ามานานแล้ว สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ จำเป็นต้องใช้ที่ดินและอาคารดังกล่าว จึงไม่สามารถให้เช่าได้อีกต่อไป ซึ่งสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ได้ประสานและแจ้งบอกเลิกสัญญาเช่า “สนามม้านางเลิ้ง” และขอให้ส่งมอบสถานที่เช่าคืน และในเดือนมีนาคม ๒๕๖๒ ได้ทำการรื้อถอน “สนามม้านางเลิ้ง”

โดยหลังจากนี้ “อดีตสนามม้านางเลิ้ง” จะถูกเปลี่ยนเป็น “สวนสาธารณะ” ที่จะเพิ่มพื้นที่สีเขียวในกรุงเทพมหานคร ในโครงการนี้มี

๑. สวนสาธารณะประมาณ ๒๑๖ ไร่

๒. พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ ๙

๓. จอดรถใต้ดิน ๓ ชั้น รองรับรถยนต์ ๗๐๐ คัน

๔. ร้านค้าของ “ชุมชนนางเลิ้ง”

๕. อาคารจอดรถโรงพยาบาลรามาธิบดี

สวนสาธารณะแห่งนี้ คาดว่าจะแล้วเสร็จและเปิดให้ใช้บริการ ภายในปี ๒๕๖๕


ที่มา : เพจ โบราณนานมา

https://web.facebook.com/boraannaanma/photos/a.1721168658137287/2790303887890420/?_rdc=1&_rdr

เด็กไทยวัย 18 ปี เจ๋ง!! คิดค้นเว็บไซต์ Thaitube ทางเลือกใหม่สำหรับคนไทยในการรับชมคลิปวิดีโอ แบบไม่มีโฆษณาคั่น ตั้งใจสร้างสรรค์แบบไม่หวังผลการค้า

ผู้สื่อข่าวจังหวัดอ่างทองลงพื้นที่พบกับนายพงศ์ปณต ไพรัชเวชภัณฑ์ อายุ 18ปี นักศึกษามหาวิทยาลัยชื่อดัง ชั้นปีที่ 2 ชาวอ่างทอง มีความสามารถในการผลิตเว็บไซต์ ไทยทูบ ThaiTube.in.th ที่เป็นเว็บไซต์ในรูปแบบคล้ายยูทูบ แต่เว็บไทยทูบนั้นผลิตโดยเด็กไทย เป็นเว็บ www.thaitube.in.th หรือจะเรียกสั้น ๆ ว่าไทยทูบ

นายพงศ์ปณต หรือน้องเบส เล่าให้ฟังว่า ที่เกิดไอเดียในการสร้างเวบไทยทูบขึ้นมานั้นเกิดจากอยากให้เป็นทางเลือกใหม่ของคนไทย ที่สามารถลงคลิปวิดีโอและดูวิดีโอได้โดยไม่มีการแทรกโฆษณา ซึ่งคลิปที่ลงในเว็บไซต์ไทยทูบจะไม่มีการโฆษณาเลย และเนื้อหาวิดีโอที่นำลงในเว็บไซต์ไทยทูบก็จะดูได้อย่างต่อเนื่องไม่มีโฆษณาแทรก

ซึ่งเป็นการผลิตขึ้นมาโดยไม่หวังผลในการค้ากำไรแต่อย่างใด เป็นการสนับสนุนให้ใช้โดยไม่มีการคิดค่าใช้จ่าย เพียงแค่เราพิมพ์เข้าไปว่า www.thaitube.in.th และใช้งานทั้งดูวิดีโอหรืออัพวิดีโอขึ้นในแพลตฟอร์มต่อไป


ที่มา: https://www.thaipost.net/main/detail/93081

ทางการท้องถิ่นกรุงปักกิ่ง ใจป้ำ เจียดเงินราว 31 ล้านบาท จ่ายแรงงานต่างถิ่นประมาณ 1.7 หมื่นคน ที่เลี่ยงเดินทางกลับบ้านเกิด ช่วงวันหยุดยาวเทศกาลตรุษจีน

ทางการท้องถิ่นกรุงปักกิ่งของจีน เปิดเผยว่า ปักกิ่งมอบเงินอุดหนุนราว 6.8 ล้านหยวน (ประมาณ 31 ล้านบาท) แก่แรงงานก่อสร้างต่างถิ่นประมาณ 17,000 คน ซึ่งตัดสินใจหลีกเลี่ยงการเดินทางกลับบ้านเกิดและพักอาศัยอยู่ในเมือง ระหว่างวันหยุดเทศกาลตรุษจีน

ทั้งนี้ แรงงานต่างถิ่น จะได้รับเงินอุดหนุน 400 หยวน (ประมาณ 1.800 บาท) ต่อคน จากคณะกรรมการเคหะและการพัฒนาเมือง - ชนบทเทศบาลนครปักกิ่ง

นอกจากนั้น คณะกรรมการฯ ยังจัดกิจกรรมหลากหลายสำหรับกลุ่มแรงงาน อาทิ การแข่งขันกีฬา พร้อมกำหนดให้มีมาตรการป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) อันเข้มงวดในบริเวณสถานที่ก่อสร้าง ตลอดจนกระชับงานรับมือเหตุการณ์ฉุกเฉินด้วย


ที่มา : https://www.xinhuathai.com/china/178050_20210216?fbclid=IwAR3dzWgfOzIG0mNHPOx1DQhDbJtMt7p6xOYiMSW5Mthkwl8GPXV80DXYeIc

นิตยสาร CEO World จัดอันดับประเทศที่มีมรดกทางวัฒนธรรมจนทรงอิทธิพลที่สุดในโลก ประจำปี 2021 ได้ให้ประเทศไทย #Thailand อยู่ในอันดับที่ 5 และเป็นอันดับ 2 ของเอเชีย เป็นรองแค่อินเดียเท่านั้น

โดยใช้หลักเกณฑ์การวัดจาก สถาปัตยกรรม, มรดกทางศิลปะ, แฟชั่น, อาหาร, ดนตรี, วรรณกรรม, ประวัติศาสตร์, สถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม และ ความสามารถในการเข้าถึงทางวัฒนธรรม

พร้อมระบุว่า... #ประเทศไทย : เมื่อเราพูดถึงประเทศที่ร่ำรวยด้วยมรดกทางวัฒนธรรม ชื่อแรกที่ปรากฏในใจของเราคือ “ประเทศไทย” แม้ว่าประเทศไทยจะเป็นที่ตั้งของชายหาดที่สวยงาม มีวัฒนธรรมที่น่าสนใจ และสถานบันเทิงยามค่ำคืน แต่ก็ยังมีความโดดเด่นในด้านมรดกทางวัฒนธรรมที่สวยงาม

เพราะมีสถานที่มากมายทั่วประเทศไทยที่มีความอุดมสมบูรณ์ของวิถีชีวิตในหมู่บ้าน อิทธิพลของประเพณีท้องถิ่นและวัฒนธรรมที่สวยงามยังหลงเหลืออยู่ ตั้งแต่สุโขทัย อยุธยา จนถึงบ้านเชียง นักท่องเที่ยวต่างหลั่งไหลไปยังสถานที่เหล่านี้เพื่อชื่นชมประวัติศาสตร์อันเก่าแก่ของวัฒนธรรมไทย


Cr: ภาพจากเพจ Asian SEA Story

https://ceoworld.biz/2021/01/31/best-countries-for-cultural-heritage-influence-2021/

นายกรัฐมนตรีมุฮ์ยิดดิน ยัซซิน ของมาเลเซีย กล่าวว่า มาเลเซียจะได้รับวัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ล็อตแรก ซึ่งเป็นวัคซีนที่ผลิตโดยบริษัทไฟเซอร์ของสหรัฐและไบโอเอ็นเทค ของเยอรมนี

ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์นี้ และจะเริ่มการฉีดวัคซีนให้ประชาชนได้หลังจากนั้น 5 วันหรือวันที่ 26 กุมภาพันธ์

ทั้งนี้ ตัวเขาจะเป็นคนแรกของประเทศที่เข้ารับการฉีดวัคซีนด้วย

สำหรับการฉีดวัคซีนอย่างกว้างขวางนี้ มีเป้าหมายในการทำให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ในชุมชนเพื่อที่จะได้สามารถควบคุมการระบาดของโควิด-19 ในประเทศได้และทำให้การระบาดของโควิดสิ้นสุดลง มาเลเซียพบผู้ติดโควิด-19 เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากที่ก่อนหน้านี้สามารถควบคุมการระบาดได้ดีในช่วงปีที่แล้ว

รัฐบาลรายงานพบผู้ติดเชื้อสะสมมากกว่า 260,000 ราย ซึ่งมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ และพบผู้เสียชีวิต 975 ราย มาเลเซียตั้งเป้าหมายฉีดวัคซีนให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 80 ของประชากรที่มีอยู่ทั้งหมด 32 ล้านคนภายใน 1 ปี

และขณะนี้มีข้อตกลงซื้อวัคซีนได้มากเกินความต้องการที่จะบรรลุเป้าหมายแล้ว นอกจากข้อตกลงซื้อวัคซีนจากไฟเซอร์และไบโอเอ็นเทคแล้ว มาเลเซียยังมีข้อตกลงกับแอสตราเซเนกาของอังกฤษ สถาบันวิจัยกามาเลยา ของรัสเซีย บริษัทซิโนแวค ไบโอเทค และแคนซิโน ไบโอลิจิกส์ ของจีน


ที่มา: https://www.naewna.com/inter/553239

เปิดเส้นทางการท่องเที่ยวใหม่ในประเทศปากีสถาน ถนนสู่ยอดเขา ‘Passu Cones Trails’ ส่งนักท่องเที่ยวสู่การเดินเขาผจญภัยที่แท้จริง

คอลัมน์ ริมทางถนนคาราโครัมไฮเวย์

สายขาแรง รักการผจญมาทางนี้ เพราะครั้งนี้จะพาไปชมเส้นทางเดินสู่เขา Passu Cones Trek ที่เขตโกจาล ประเทศปากีสถานค่ะ ที่นี่ไม่มีการแพร่ระบาดของ Covid 19 การท่องเที่ยวเลยคึกคักเป็นพิเศษ

เมื่อวานคุณพ่อสามีไปเปิดงาน สร้างถนนและเส้นทางเดินเขา Passu Cones Trek คุณพ่อเป็นผู้มีอิทธิพลของพาสสุ ท่านจะถูกเชิญไปร่วมเปิดงานของหมู่บ้านตลอด และคุณพ่อเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องทำพิธีแบบโบราณของคนวาคี(ชาวเมืองพื้นถิ่น) และได้รับการเคารพนับถืออย่างมาก

การเปิดถนนสู่ยอดเขา Passu Topupadan “Passu Cones Trails′′ ตั้งอยู่ในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงหมู่บ้าน Passu 

ซึ่งในการเปิดเส้นทางสายผจญภัยครั้งนี้ มีบุคคลระดับสููงมาร่วมมากมาย  ไม่ว่าจะเป็นท่านผู้ช่วยผู้บัญชาการ Gujal Muhammad Zulqarnain Khan GBRSPK Amjad Wali หัวหน้า PDO  Pakhtunkhwa Development Organization และเจ้าหน้าที่ของ PHSU Youth and Sports Organization

รวมไปถึงผู้นำหมู่บ้าน รวมทั้งสมาชิกของคณะกรรมการอนุรักษ์ PHSU ที่ได้ร่วมไม้ร่วมมือเพื่อทำเส้นทางการท่องเที่ยวใหม่ เส้นทาง Passu Cones Trails ที่มุ่งพัฒนานักท่องเที่ยวไปยังแหล่งท่องเที่ยว ตลอดจนส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวเข้าถึง Passu Cones และการเดินเขาผจญภัยที่แท้จริง

จะบอกเลยตอนนี้โซนโกจาล แต่ละหมู่บ้านพร้อมที่จะเปิดเส้นทางเดินเขาและนำเสนอความสวยงามของหมู่บ้านของตัวเอง แค่เฉพาะในเขตโกจาลยังแข่งขันกันเองแล้ว เพราะที่นี่ไม่มีการแพร่ระบาดของ Covid ค่ะ และด้วยเหตุนี้ จึงทำให้กระทรวงท่องเที่ยวของปากีสถาน ให้การสนับสนุนการท่องเที่ยวในโซนนี้ มั่นใจเลยว่า เกิดแน่นอน และเป็นกำไรของนักท่องเที่ยวเต็มๆ

Inauguration of the road to the Phasu Topupadan Peak “Passu Cones Trails′′ located in the famous tourist place Phasu Topupadan Phasu village. Assistant Commissioner Sub Division Gujal Muhammad Zulqarnain Khan GBRSPK Amjad Wali, Heads of PDO and officials of PHSU Youth and Sports Organization. Village leaders including the members of the PHSU Conservation Committee did it collectively. The Passu Cones Trail is a km long track aimed at improving tourists to tourist destinations as well as promoting tourists access to Passu Cones and adventure sports


กุลไลล่า

ไกด์สาวชาวไทย​ สะใภ้​ปากี​สถาน จากหัวหิน​พบรักหนุ่มปากีเชื้อสายวาคี อาศัยอยู่เมืองพาสสุ​ ดินแดนเหนือสุดของประเทศปากีสถาน ปัจจุบันเปิดร้านอาหารริมถนนคาราโครัมไฮเวย์​ ถนนที่ได้รับการขนานนามว่าสูงที่สุดในโลก​ หรือเส้นทางสายแพรไหมในอดีต​

คอยต้อนรับแขกที่ผ่านทางมา​ แวะกินอาหารไทย​และชิมชา​ เบเกอรี่ชื่อดัง​ ทางเหนือของปากีสถานได้​ พร้อมให้บริการท่องเที่ยวปากีสถาน​หลังโควิด​-19 ผ่านไป

ศชอ. ยื่นหนังสือแจ้งจับ "อั่งอั๊ง โอปิลันธน์" หลานสาว "ธนาธร" โพสต์ทวิตเตอร์หมิ่นเบื้องสูง ด้านปอท. ขอตรวจสอบก่อน หากเข้าข่ายส่งฟ้องศาลแน่ กระทบจิตใจคนไทยผู้จงรักภักดี

จากกรณีที่ศูนย์ช่วยเหลือด้านกฎหมายผู้ถูกล่วงละเมิด (Bully) ทางสังคมออนไลน์ หรือ ศชอ. กำลังรวบรวมหลักฐานเพื่อดำเนินคดีต่อ น.ส.อัครสร โอปิลันธน์ หรือ อั่งอั๊ง บุตรสาว นางชนาพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ ซึ่งเป็นบุตรสาวคนโตของ นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ และยังมีศักดิ์เป็นหลานสาว นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ แกนนำคณะก้าวหน้า และอดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่

ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หลังทวิตเตอร์ @AngAngOpilan โพสต์ข้อความเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างผู้ชุมนุมกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า คณะราษฎร 2563 กับตำรวจ ที่หน้าศาลฎีกา เมื่อวันที่ 13 ก.พ.ที่ผ่านมา โดยพาดพิงถึงพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๑๐ ในลักษณะอันมิบังควร ภายหลังเจ้าตัวได้ลบข้อความไปแล้ว แต่ก็มีชาวเน็ตบันทึกภาพหน้าจอข้อความดังกล่าวเอาไว้ได้ ตามที่นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น

ล่าสุด ที่ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ ตัวแทน ศชอ. นำเอกสารกรณีดังกล่าวมามอบให้กับ พล.ต.ต.อนันต์ นานาสมบัติ ผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบก.ปอท.) เพื่อดำเนินการสืบสวนสอบสวนว่าเข้าข่ายกระทำความผิดตามมาตรา 112 หรือไม่ หากเข้าข่าย ปอท. จะเร่งรีบทำสำนวนเพื่อส่งฟ้องศาลต่อไป เนื่องจากเป็นเรื่องที่กระทบจิตใจพสกนิกรผู้ที่มีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างรุนแรง

ส่วนนายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า "ผลกรรมมันเป็นเหมือนบูเมอแรง ที่ตี๋หนึ่งขว้างไปแล้วหลานตัวเองติดกับดักนั้นด้วย บูมเมอแรงแห่งกรรมที่หลอกให้คนหลงผิดกำลังเหวี่ยงเข้าสู่ลูกหลาน แม่และน้องของตัวเองแล้ว น่าสงสัยคนรุ่นหนุ่มสาวที่น่าจะมีอนาคตสดใส"


ที่มา : https://mgronline.com/onlinesection/detail/9640000015547

บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) แจ้งว่า บริษัทฯ เตรียมเปิดโครงการให้พนักงานสมัครเข้าโครงการร่วมใจจากองค์กร (Mutual Separation หรือ MSP) เป็นรอบที่ 2 โดยมีแพ็คเกจให้เลือก 2 รูปแบบ ในเดือน ก.พ.นี้

1.) Plan B (MSP B) ผู้ที่สมัครได้ต้องเป็นพนักงานที่อยู่ในโครงการลาระยะยาว โดยยินยอมรับเงินเดือน 20% หรือ LW20 เท่านั้น

และ 2.) Plan C (MSP C) คือ พนักงานที่สมัครใจลาออก หรือพนักงานที่ไม่ผ่านการคัดเลือกตามโครงสร้างใหม่

ทั้งนี้ได้แบ่งระยะเวลาให้สมัครเข้าร่วมโครงการลาออก เป็น 4 ช่วงคือ ช่วงที่ 1 วันที่ 19 ก.พ. - 2 มี.ค.64 ประกาศผล 5 มี.ค.64, ช่วงที่ 2 วันที่ 3 มี.ค. - 16 มี.ค. 64 ประกาศผล 19 มี.ค. 64, ช่วงที่ 3 วันที่ 17 มี.ค. - 1 เม.ย.64 ประกาศผล 5เม.ย.64 และ ช่วงที่ 4 วันที่ 2 เม.ย. - 19 เม.ย.64 ประกาศผล 23 เม.ย.64 โดยการลาออกจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค.64 เป็นต้นไป

สำหรับพนักงานที่เข้าร่วมทุกรายจะได้รับเงินตอบแทนในอัตราเทียบเท่ากับค่าชดเชยตามกฎหมายแรงงาน โดยแยกเป็นดังนี้

• พนักงานที่มีอายุงานน้อยกว่า 120 วัน จะไม่ได้รับเงินตอบแทน

• อายุงานครบ 120 วัน แต่น้อยกว่า 1 ปี ได้รับตอบแทน 30 วัน

• ครบ 1 ปี แต่น้อยกว่า 3 ปี ได้รับเงิน 90 วัน

• ครบ 3 ปี แต่น้อยกว่า 6 ปี ได้รับเงิน 180 วัน

• ครบ 6 ปี แต่น้อยกว่า 10 ปี ได้รับเงิน 240 วัน

• ครบ 10 ปี แต่น้อยกว่า 20 ปี ได้รับเงิน 300 วัน

• และครบ 20 ปีขึ้นไป ได้รับเงิน 400 วัน

ทั้งนี้จะแบ่งจ่ายเป็น 12 งวด โดย Plan B เริ่มจ่ายงวดแรกเดือน มิ.ย.2564 และ Plan C เริ่มจ่ายงวดแรก ก.ย.2564

วันแรกก็ฟาดกันมันส์ฝุดๆ!! สำหรับศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจระลอกใหม่ 10 รัฐมนตรี คู่ดาวเด่นของวันนี้ ขอยกให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี .. ลุงตู่ ปะทะ ลุงตู่ (ชื่อเล่นเหมือนกัน)

วันแรกก็ฟาดกันมันส์ฝุดๆ!! สำหรับศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจระลอกใหม่ 10 รัฐมนตรี คู่ดาวเด่นของวันนี้ ขอยกให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี

ลุงตู่ ปะทะ ลุงตู่ (ชื่อเล่นเหมือนกัน)                                             

ประเด็นร้อนที่เปิดฉากฉะ เอ้ย! เปิดฉากโต้กัน เป็นเรื่องการปราบปรามบ่อนการพนัน โดยเป็นทางหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ได้กล่าวหาทำนองว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรี มีพฤติการณ์แต่งตั้งข้าราชการไปแสวงหาประโยชน์ สมคบคิดกับเจ้าของบ่อนการพนัน และหล่นประโยคโดนๆ ว่า...

“พล.อ. ประยุทธ์ เคยบอกว่า 100 นายกฯ ก็ปราบบ่อนไม่ได้ ซึ่งแค่บ่อนการพนันแค่นี้ก็หมดปัญญา ถึงกับพูดออกมาว่า 100 นายกฯ ก็ทำไม่ได้”

ต่อมา เป็นทางนายกรัฐมนตรีขึ้นมาร่ายยาวโต้ตอบบ้าง แต่ไฮไลท์เผ็ด ๆ อยู่ที่ช่วงท้าย เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ได้โต้แย้งในเรื่องที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวหาว่าตนพูดว่า ‘100 นายกฯ ก็แก้ปัญหาไม่ได้’ งานนี้เลยหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมา เปิดคลิปเสียงเมื่อครั้งที่ตนเองเคยให้สัมภาษณ์ในประเด็นนี้ มีใจความว่า...

“ผมพูดว่า ไม่มีใครทำได้สำเร็จเพียงคนเดียว ต่อให้ร้อยนายกฯ ก็ทำไม่ได้ ถ้าทุกคนไม่ร่วมมือกัน ไม่ว่าใครจะเก่งกาจสามารถแค่ไหนก็ทำไม่ได้ทั้งนั้น”

เคลียร์ให้ฟังกันชัด ๆ พร้อมทิ้งท้ายแบบขิงๆ อีกด้วยว่า...อย่าบิดเบือน!!

เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2564 ที่สัปปายะสภาสถาน นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ร่วมอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล โดยอภิปรายกล่าวหา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

โดยนางอมรัตน์ ระบุว่าวันนี้ตนจะอภิปรายกล่าวหา พล.อ.ประยุทธ์ ในประเด็นการทุจริตในหน้าที่ 3 ข้อ คือ 1) ทำผิดกฎหมายประมวลรัษฎากร หนีภาษี 2) ทำผิดกฎหมายป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) รับผลประโยชน์อื่นใดเกินที่กฎหมายกำหนด และ 3) มีพฤติกรรมปกปิดข้อมูลส่วนตัวเพื่อหนีการตรวจสอบ มี และเข้าข่ายให้ข้อมูลเท็จต่อศาลรัฐธรรมนูญ

***ขี้ตู่! แจงทรัพย์สิน ป.ป.ช.บ้านหลังน้อยกลางซอยเปลี่ยว แต่ตัวจริงอยู่เซฟเฮาส์ลับ 3 ไร่กลางค่าย ร.1 สร้างจากภาษีประชาชนตั้งแต่ก่อนยึดอำนาจ***

นางอมรัตน์ระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ แม้จะไม่มีความผิดโดยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 2 ธันวาคมที่ผ่านมา แต่นั่นคือการวินิจฉัยเพียงประเด็นเดียวเท่านั้น คือประเด็นต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหรือไม่ จากการพักอาศัยอยู่บ้านหลวงในกองทัพบก แต่ศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้มีอำนาจวินิจฉัยความผิดตามกฎหมายอื่น นั่นคือความผิดตามกฎหมาย ป.ป.ช. ความผิดตามกฎหมายอาญาเกี่ยวกับภาษี ซึ่งพฤติการณ์ของ พล.อ.ประยุทธ์มีความผิดตามกฎหมายทั้งสองข้างต้นอย่างชัดเจน

โดยตนได้ไปทำการสืบค้น จนพบข้อพิรุธในการปกปิดข้อมูลของ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวคือ พล.อ.ประยุทธ์แจ้งในบัญชีทรัพย์สินหนี้สินต่อ ป.ป.ช.เมื่อปี 2557 ว่าอาศัยอยู่บ้านเลขที่ 14 ซอยร่วมมิตร ถ.ย่านพหลโยธิน สามเสนใน กทม. ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้น พล.อ.ประยุทธ์เป็น ผบ.ทบ. อยู่บ้านพักในค่ายแล้ว

ต่อมา พล.อ.ประยุทธ์ยื่นคำให้การต่อศาลรัฐธรรมนูญ ว่าอาศัยอยู่บ้านเลขที่ 253/54 กรมทหารราบที่ 1 ซึ่งสอดคล้องกับที่กองทัพบกให้การ แต่ทว่ากรรมาธิการ ป.ป.ช.ได้ตรวจสอบไปยังการไฟฟ้านครหลวง ได้รับตอบกลับมาว่าไม่พบว่ามีบ้านเลขที่นี้อยู่ในกรมทหารราบที่ 1

ทั้งนี้ วาสนา นาน่วม นักข่าวสายทหารได้เคยเขียนเล่าในหนังสือ ว่า พล.อ.ประยุทธ์ แท้ที่จริงแล้วอาศัยอยู่ในเซฟเฮ้าส์เลขที่ 702 ในค่ายทหารตั้งแต่ยังเป็น ผบ.ทบ.จนถึงปัจจุบัน ซึ่งก็นับเป็นเวลามากกว่าสิบปีแล้ว ในหนังสือชื่อ “ลับลวงพราง 5 ศึกชิงอำนาจผ่าแผนปฎิบัติการเลือด” ตีพิมพ์เมื่อเดือนเมษายน 2555 ในบทที่ 68

และในหนังสือดังกล่าว ยังเขียนถึงเรื่องเกี่ยวกับบ้านเซฟเฮาส์เลขที่ 702 เอาไว้อีกว่า พล.อ.ประยุทธ์ได้สร้างบ้านพักหลังนี้บนเนื้อที่เกือบ 3 ไร่ ที่จะเป็นทั้งบ้านพัก ห้องประชุมใหญ่ ห้องประชุมลับ ห้องรับรอง ห้องจัดเลี้ยงวอร์รูมและ safe house ที่พร้อมสรรพและทันสมัย ในแบบประชุมทางไกลผ่านดาวเทียมจากที่ไหนในโลกก็ได้

และยังระบุอีกว่า ที่ผ่านมา 3 ป. ได้ใช้บ้านพักหลวงแห่งนี้เป็นที่ประชุมทางการเมืองมาตลอด เป็นที่ประชุมลับในช่วงวิกฤต บ้านพักหลังนี้มีการวัดระยะก่อนสร้างว่าเอ็ม 79 ยิงไม่ถึง เป็นการสะท้อนว่า พล.อ.ประยุทธ์มีแผนที่จะอยู่ในอำนาจยาวนานและรู้ด้วยว่าจะต้องพบเจอภารกิจใดบ้างนับจากนี้ นอกจากนี้ วาสนายังได้ทิ้งท้ายเอาไว้ว่า ร.1 รอ. และ เซฟเฮาส์เลขที่ 702 จะเป็นสถานที่ให้กำเนิดและตัดสินชะตาบ้านเมืองอีกครั้งก็เป็นได้

“อิฐทุกก้อน กระเบื้องทุกแผ่นของคฤหาสน์บ้านหลวงริมน้ำ ที่ปลูกเต็มพื้นที่ 3 ไร่ เป็นเงินภาษีของประชาชน แต่ทำไมมันลึกลับยากต่อการตรวจสอบขนาดนี้คะ ขนาดกรรมาธิการ ป.ป.ช.แห่งรัฐสภาทั้งขอตรวจสอบไปที่การไฟฟ้านครหลวง ทั้งขอคำชี้แจงจากกองทัพก็ยังไม่สามารถตรวจสอบได้ ถ้าสร้างด้วยเงินของท่านเองดิฉันก็คงไม่มายืนอภิปรายในวันนี้ค่ะ ทั้งหมดนั้นสร้างจากเงินภาษีอากรของประชาชนตาดำๆ ทั้งสิ้น จัดให้อยู่ฟรีมีสุขขนาดนั้นแล้วยังจะหนีการตรวจสอบ ยังจะกล้าหนีภาษีอีกเหรอคะ” นางอมรัตน์กล่าว

นางอมรัตน์กล่าวต่อไปอีกว่า นอกจากนี้ ค่าไฟฟ้าและสาธารณูปโภคอื่นๆ ในคฤหาสน์ริมบึงพื้นที่ 3 ไร่ในค่ายทหารของ พล.อ.ประยุทธ์นั้น มีค่าใช้จ่ายเกิน 3 พันบาทตามกฎหมาย ป.ป.ช.อย่างเห็นได้ชัด

ตามเอกสารรายการหักบัญชีค่าไฟฟ้าของบ้านเลขที่ 14 ซอยร่วมมิตร ถ.ย่านพหลโยธิน แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กทม. 10400 ซึ่งเป็นบ้านหลังที่แจ้งไว้ในบัญชีทรัพย์สินหนี้สินนักการเมืองต่อ ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2557 บ้านหลังนี้อยู่ในซอยแคบและอยู่ก้นซอย เข้าไปก็กลับรถลำบาก บ้านหลังเล็กๆนี้ไม่มีคนอยู่ยังมีค่าไฟฟ้าเดือนละพันกว่าบาททุกเดือน พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้อยู่มาเป็นสิบปียังค่าไฟเดือนละกว่าพันบาททุกเดือน เทียบกับคฤหาสน์ริมน้ำพื้นที่ 3 ไร่แล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเกิน 3 พันบาทแน่นอน

“คำถามต่อไปคือเฉพาะค่าไฟที่มีใบเสร็จอย่างเดียวนี่เดือนละกี่พันกี่หมื่น และค่าบำรุงรักษาดูแลอีกเดือนละเท่าไหร่ ได้ข่าวมาว่า มีชั้นจอดรถใต้ดิน และลานจอดเฮลิคอปเตอร์อีกด้วย ทั้งหมดคือภาษีอากรของพวกเราประชาชนตาดำๆ ดิฉันต้องการให้ท่านเปิดเผยออกมาซักทีว่าเดือนๆ หนึ่งท่านใช้ภาษีของพวกเราไปเท่าไหร่” นางอมรัตน์กล่าว

นางอมรัตน์ยังกล่าวต่อไปว่า เรื่องบ้านเลขที่ที่มีปัญหา เด็กชั้นประถมต้นยังตอบบ้านเลขที่ของตัวเองได้แล้วเวลาที่ครูถาม แต่สำหรับ พล.อ.ประยุทธ์ ตนไม่ได้ดูถูก แต่ต้องถามว่าท่านจำบ้านเลขที่ตัวเองได้หรือไม่ เพราะข้อมูลที่ได้มาแต่ละแหล่งไม่ตรงกันเลย และนั่นคือข้อกล่าวหาของตน เรื่อง พล.อ.ประยุทธ์ทำการปกปิดอำพรางเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบของประชาชน ซึ่งผิดหลักการของนายกรัฐมนตรีในระบอบประชาธิปไตยสากล

***จี้ต่อ ค่าไฟเซฟเฮาส์เดือนละกี่หมื่น? ซัด รับประโยชน์อื่นใดเกิน 3 พัน ผิดกฎ ป.ป.ช.ชัดเจน***

หลังจากนั้น นางอมรัตน์ได้อภิปรายต่อไปถึงข้อกล่าวหาที่ 2 หรือการที่ พล.อ.ประยุทธ์ทำผิดกฎหมาย ป.ป.ช. จากการรับทรัพย์สินหรือผลประโยชน์อื่นใดเกินกว่า 3 พันบาท ซึ่งในกรณีนี้ พล.อ.ประยุทธ์เคยให้การไว้ต่อศาลรัฐธรรมนูญว่า การรับประโยชน์ใดๆจากหน่วยราชการคือกองทัพ เป็นไปตามที่กองทัพปฎิบัติต่อบุคคลอื่นๆ ที่มีสถานภาพและคุณสมบัติเดียวกันในธุรกิจการงานปกติ กองทัพจึงอนุมัติให้ผู้ถูกร้องเข้าอาศัยในอาคารเลขที่ 253/54 และสนับสนุนค่ากระแสไฟฟ้า ค่าน้ำประปา และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่จำเป็นในการอาศัย

“นี่คือใบเสร็จที่ทั้งตัว พล.อ.ประยุทธ์และกองทัพบกยื่นให้การไว้ต่อศาล และถูกบันทึกไว้แล้วในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ จนมัดตัว พล.อ.ประยุทธ์ ไว้แน่นชนิดดิ้นไม่หลุดว่า พล.อ.ประยุทธ์ทำผิดกฎหมาย ป.ป.ช.จริง จากการยอมรับว่าได้รับผลประโยชน์อื่นใดเกิน 3 พันบาทจากกองทัพ และทำผิดกฎหมายรัษฎากรจริง จากการยอมรับว่ามีรายได้อื่นแต่ไม่เคยยื่นเสียภาษี ภงด.90”

หลังจาก พล.อ.ประยุทธ์เกษียณตั้งแต่ปี 2557 กองทัพบกไม่ใช่ต้นสังกัดของ พล.อ.ประยุทธ์ แต่ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายที่บังคับใช้กับนักการเมืองเหมือนเราทุกคนที่นี่ ท่านอาจจะบอกว่าเป็นสวัสดิการจากกองทัพ รับตามระเบียบกองทัพ เหมือนนายพลที่เกษียณอายุแล้วท่านอื่น ต้องตอบไว้ตรงนี้ว่าเพราะเพื่อนนายพลของท่านเหล่านั้นถ้าไม่ได้มาเป็นนักการเมืองก็ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย ป.ป.ช.ที่บังคับใช้กับนักการเมืองแบบท่าน ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์จึงทำผิดกฎหมาย ป.ป.ช.ว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการทุจริต ปี 2561 ในมาตรา 128 ห้ามมิให้เจ้าพนักงานของรัฐทุกตำแหน่ง และที่พ้นตำแหน่งมาแล้วไม่เกิน 2 ปี รับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด อันอาจคำนวณเป็นเงินได้เกิน 3,000 บาท" โดยผู้ฝ่าฝืนมีโทษตาม มาตรา 169 คือ จำคุกไม่เกิน 3 ปีปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

นางอมรัตน์ กล่าวต่อไปว่า เพื่อความชัดเจนมากขึ้น จึงอยากให้ย้อนไปดูบรรทัดฐานที่เกิดขึ้นแล้วจากการชี้มูลของ ป.ป.ช. กรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีการชี้มูลความผิด และแจ้งข้อกล่าวหาต่ออดีตรัฐมนตรีคนหนึ่ง ในคดีดำหมายเลข 03- 3-57 9/2562 เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2563 กรณีดังกล่าวป็นความผิดที่ ป.ป.ช.ชี้มูล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กับเลขาฯ มีความว่า อดีตรัฐมนตรีทำผิดกฎหมาย ป.ป.ช. รับตั๋วเครื่องบินมูลค่าเกิน 3 พันบาท 2 ครั้ง ป.ป.ช.ชี้มูลว่าถือเป็นโทษ 2 กรรม 2 กระทง สำหรับกรณีของ พล.อ.ประยุทธ์ที่ทำผิดรับค่าไฟฟ้าจากกองทัพเกิน 3 พันบาท 76 เดือน เรียงเป็นโทษ 76 กระทง และถ้า ป.ป.ช.ยังแชเชือนชักช้าไม่กล้าดำเนินการใดๆ ก็จะเพิ่ม เดือนที่ 77, 78, 79 เพิ่มความผิดต่อไปเรื่อย ๆ อีก

“บุคคลต้องเสมอภาคเท่าเทียมกันต่อหน้ากฎหมาย ยกเว้นท่านจะไม่ใช่บุคคล ลองคิดอย่างโง่ๆ สมมุติถ้ามนุษย์มีแค่ 84,000 เซลล์สมองจริงอย่างที่ท่านเคยว่าไว้ ก็มีเหลือทางเดียวที่จะรอดได้ นั่นคือต้องใช้อำนาจ ม.44 กลับไปแก้กฎหมาย ป.ป.ช. แต่จะแก้อย่างไร เพราะในตอนนี้ท่านไม่มีอำนาจ ม.44 อีกแล้ว นับจากวันพ้นสภาพลูกจ้างกองทัพมาเป็นลูกจ้างประชาชน ท่านต้องอยู่ภายใต้กฎหมายของเดียวกับนักการเมืองทุกคน ท่านรับประโยชน์อื่นใดจากกองทัพเกิน 3 พันบาท รวม 76 กรรม 76 กระทง กระทง ละ 3 ปีมีโทษจำคุกรวม 228 ปี ลาออกตอนนี้เลยไหมคะ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ต้องให้อภิปรายข้อกล่าวหาต่อไปดีไหมคะ ดิฉันอายแทนท่าน” นางอมรัตน์ กล่าว

***ซัดต่อ เป็นถึงนายกฯไม่ยอมยื่นภาษี กินน้ำไฟหลวงฟรีจากกองทัพ อายชาวบ้านบ้างไหม***

สำหรับข้อกล่าวหาสุดท้าย นางอมรัตน์ ชี้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ทำผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 50 และทำผิดประมวลรัษฎากร โดยกรณีของรัฐธรรมนูญมาตรา 50 (9) ระบุไว้ว่าบุคคลต้องมีหน้าที่เสียภาษี ส่วนประมวลรัษฎากรมาตรา 39 กล่าวถึงเงินได้พึงประเมินว่า เป็นเงินได้ที่ต้องนำมาเสียภาษี และให้หมายความรวมถึงทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดซึ่งอาจคำนวณได้เป็นเงิน และประมวลรัษฎากรมาตรา 40 (2) กำหนดให้เงินได้เนื่องจากหน้าที่ หรือตำแหน่งงานที่ทำถือเป็นเงินได้พึงประเมิน

โดยประมวลรัษฎากรมาตรา 42 ระบุข้อยกเว้นว่าผลประโยชน์อะไรบ้างที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องนำมาคำนวณเพื่อเสียภาษี มี 25 ข้อย่อย ยกตัวอย่างเช่นค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าพาหนะ ค่าเดินทางที่นายจ้างจ่ายให้ ดอกเบี้ยสลากออมสิน ดอกเบี้ยจากเงินฝากออมทรัพย์ ของสหกรณ์ออมทรัพย์ มรดก ประโยชน์ทดแทนที่ผู้ปรกันตนได้รับจากกองทุนประกันสังคม เป็นต้น

“ขอย้ำ ว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้มีความผิดเพราะไปรับประโยชน์ค่าไฟฟ้าจากกองทัพ แต่สิ่งที่กล่าวหาประเด็นนี้คือ พล.อ.ประยุทธ์รับแล้วไม่ไปยื่นเสียภาษี ถามว่าท่านเป็นถึงผู้นำประเทศ ทำไมไม่ทำตามกฎหมาย ทำไมทุจริตจงใจหลีกเลี่ยงรับแล้วไม่ยอมเอาไปยื่นเสียภาษี ภงด.90 ต่างหาก และยังทำผิดแบบนี้มา 6 ปีแล้วนับตั้งแต่เกษียณจากกองทัพ เป็นเพราะความไม่แยแสไม่สนใจกฎหมาย คิดว่าไม่มีใครรู้ไม่มีใครจับได้ หรือมั่นใจว่าถึงจับได้ก็คงทำอะไรท่านไม่ได้อย่างนั้นหรือ”

ทั้งนี้ นางอมรัตน์ ระบุว่า นับตั้งแต่ปีถัดจากเกษียณอายุ คือตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2557 เป็นต้นมา ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ เปลี่ยนมารับเงินเดือนจากสำนักงานปลัดนายก หรือ สปน. ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมา ก็ไม่มีใครได้เห็นแบบ ภงด.90 ของท่านอีกเลย

ซึ่งหลังจากวันที่ 1 ตุลาคม 2557 กองทัพกลายเป็นคนอื่นสำหรับท่านไปแล้ว การยื่นภาษีในปีต่อจากนั้นจึงต้องเอาผลประโยชน์ที่ได้รับจากกองทัพทั้งค่าน้ำค่าไฟค่าอื่นๆ มารวมเป็นรายได้ประจำใน (1) ในแบบ ภงด.90 ด้วย ขอย้ำอีกครั้งว่า ผลประโยชน์อื่นใดซึ่งศาลตัดสินให้ พล.อ.ประยุทธ์มีสิทธิ์รับจากกองทัพได้ไม่ผิด กองทัพไม่ผิด แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ผิดที่หลบเลี่ยง ไม่นำมารวมเป็นเงินได้พึงประเมินเพื่อเสียภาษีให้ถูกต้องตามประมวลรัษฎากรมาตรา 39 และมาตรา 40 และผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 50 (2) ที่บอกไว้ว่าบุคคลมีหน้าที่เสียภาษีนั่นเอง

"ในระหว่างที่ยังเป็นทหารถือเป็นลูกจ้างของกองทัพ จะอ้างกฎหมายหรือจะอ้างกฎเกณฑ์หยุมหยิมระเบียบราชการกองทัพอะไรก็ว่ากันไป แต่เมื่อเปลี่ยนสถานภาพมาเป็นนายก มาเป็นข้านักการเมือง ค่าไฟฟ้าที่ได้รับจากกองทัพถือเป็นเงินได้พึงประเมิน เข้าลักษณะพึงเสียภาษีตามประมวลรัษฎากรมาตรา 39, 49"


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top