Wednesday, 18 June 2025
NEWS FEED

ผบ.ตร.ติวเข้ม ความพร้อมเอเปค เผยรัฐบาลให้ความสำคัญด้านปลอดภัย คุมเข้มเส้นทาง รับมือตอบโต้ภัยคุกคาม วอนประชาชนช่วยเป็นหูเป็นตา เพื่อภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทย 

วันนี้ (31 ต.ค. 65) เวลา 14.00 น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. พล.ต.อ.ชินภัทร สารสิน รอง ผบ.ตร., พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร. หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กต. สธ. กทม. ฯลฯ เข้าร่วมประชุมพิจารณาแผนการปฏิบัติใน "การจัดการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคและการประชุมที่เกี่ยวข้องในช่วงที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปค ปี พ.ศ.2565" โดยละเอียด ตรวจสอบทุกๆ การปฏิบัติ เพื่อให้การรักษาความปลอดภัยและการจราจรและพิธีการเข้าเมืองเป็นไปด้วยความเรียบร้อย

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญกับ การจัดประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคฯ เป็นอย่างมาก ทั้งนี้ได้มีการตั้งคณะอนุกรรมการด้านการรักษาความปลอดภัยและการจราจร ฯ  โดยมี พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน มอบหมายให้ ตร. เป็นหลักในการขับเคลื่อน โดยในวันนี้ ตร. ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาหารือในด้านมาตรการการรักษาความปลอดภัยเส้นทางและสถานที่ต่างๆ ตามข้อห่วงใยของ นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร ฯ​ รวมถึงการข่าวที่จะมีผลกระทบต่อการจัดการประชุม การเตรียมแผนการปฏิบัติหลัก แผนรอง แผนฉุกเฉินหรือแผนเผชิญเหตุ 

โดยก่อนหน้า ครม.อนุมัติ 16-18 พ.ย.65 เป็นวันหยุดราชการเป็นกรณีพิเศษ เฉพาะพื้นที่ กทม. นนทบุรี และสมุทรปราการ  และคาดว่าจะมีประกาศเพิ่มเติมให้ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา เป็นวันหยุดด้วย ส่วนในวันนี้ที่ประชุมของ ตร. ได้มีมติให้ปิดการจราจรถนนรัชดาภิเษก บริเวณหน้าศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ และจะมีการ "ปิดใช้บริการสถานี MRT ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์" ในวันที่ 16-19 พ.ย.65 โดยจะมีการจัดรถบัส รับ-ส่ง (shuttle bus) จำนวน 6 คัน เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนที่อาศัยหรือทำงานอยู่บริเวณใกล้เคียง  ทั้งนี้เพื่อเป็นการรักษาความปลอดภัยอย่างสูงสุดสำหรับสถานที่จัดการประชุม จึงอยากประชาสัมพันธ์ทำความเข้าใจกับประชาชน 

ส่วนกำหนดการซักซ้อมการปฏิบัติรูปขบวนรถและเส้นทางการเดินทาง ตลอดจนแผนเผชิญเหตุต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในห้วงวันที่ 6 – 12 พ.ย.65 จะได้ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบในภายหลัง ทั้งนี้ ได้กำชับการปฏิบัติของหน่วยงาน ตร. และหน่วยงานต่างๆ ให้ตรวจสอบ"ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ซักซ้อมการปฏิบัติแผนที่รับผิดชอบและแผนการปฏิบัติภาพรวมทุกแผน พิจารณาปรับปรุงแผน และการปฏิบัติให้ครอบคลุมทุกสถานการณ์ ทุกพื้นที่    

ผบ.ตร. กล่าวอีกว่า รัฐบาล และ ตร. ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ขอความร่วมมือทุกภาคส่วนในการแจ้งเบาะแส ข้อมูลหรือสิ่งผิดปกติให้กับ ตร. ได้ตลอดเวลา ที่สายด่วน 191 หรือ 1599 ทั้งนี้ หากการแจ้งเบาะแส ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการสืบสวนสอบสวนและนำไปสู่การจับกุมผู้ต้องหา โดยจะพิจารณามอบรางวัลนำจับให้กับผู้แจ้งเบาะแส หรือ ในการให้ข้อมูลตามแต่ละกรณี

บัตรทองเพิ่มสิทธิรักษา 'เจ็บป่วยเล็กน้อย' 16 กลุ่มอาการ ฟรีที่ร้านยาชุมชนอบอุ่นกว่า 500 แห่งทั่วประเทศ

บัตรทองเพิ่มบริการ 'เภสัชกรรมปฐมภูมิ' ที่ร้านยาชุมชนอบอุ่นกว่า 500 แห่งทั่วประเทศ ดูแลอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย ครอบคลุม 16 กลุ่มอาการ ให้คำปรึกษาและรับยาไม่เสียค่าใช้จ่าย เตรียมเริ่มให้บริการเร็ว ๆ นี้  

เมื่อวันที่ (30 ต.ค. 65) นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า เภสัชกรเป็นหนึ่งในผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพ ที่ร่วมดูแลประชาชนเข้าถึงบริการสุขภาพ ส่วนหนึ่งประจำอยู่ในร้านยา ทั้งนี้ ร้านยาชุมชนอบอุ่น เป็นร้านขายยาแผนปัจจุบัน (ขย.1) ที่ร่วมเป็นหน่วยบริการที่รับส่งต่อเฉพาะด้านเวชกรรมในระบบบัตรทอง 

โดยปีงบประมาณ 2566 สปสช.ร่วมกับสภาเภสัชกรรมขยายการให้บริการบัตรทองที่ร้านยาชุมชนอบอุ่นเพิ่มเติม โดยเพิ่มบริการเภสัชกรรมปฐมภูมิ เพื่อดูแลประชาชนผู้มีสิทธิบัตรทองกรณีมีอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย (Common Illness) 16 กลุ่มอาการตามแนวทางและมาตรฐานการให้บริการเภสัชกรรมปฐมภูมิโดยสภาเภสัชกรรม ได้แก่...

1. อาการปวดหัว เวียนหัว
2. ปวดข้อ
3. เจ็บกล้ามเนื้อ
4. ไข้
5. ไอ
6. เจ็บคอ
7. ปวดท้อง ท้องเสีย ท้องผูก
8. ถ่ายปัสสาวะขัด
9. ปัสสาวะลำบาก
10. ปัสสาวะเจ็บ
11. ตกขาวผิดปกติ
12. อาการทางผิวหนัง
13. ผื่น คัน
14. บาดแผล
15. ความผิดปกติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับตา
และ 16. ความผิดปกติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับหู


ที่มา: https://mgronline.com/qol/detail/9650000103674

‘ถนนข้าวสาร’ เตรียม 7 ทางออก รองรับนทท.งานฮาโลวีน มั่นใจ!! สถานที่ปลอดภัย ไม่ซ้ำรอยอิแทวอนแน่นอน

(31 ต.ค. 65) ที่ถนนข้าวสาร เขตพระนคร นายสง่า เรืองวัฒนกุล นายกสมาคมผู้ประกอบธุรกิจถนนข้าวสาร กล่าวถึงมาตรการความปลอดภัยในการจัดงานฮาโลวีน ที่ถนนข้าวสารวันที่ 31 ต.ค.นี้ ว่า เนื่องจากถนนข้าวสารมีการจัดงานเทศกาลฮาโลวีนในทุก ๆ ปีอยู่แล้วก่อนการแพร่ระบาดของสถานการณ์โควิด-19 ดังนั้นความพร้อมในการดูแลความปลอดภัยของพื้นที่จึงมีความพร้อม โดยได้มีการประสานงานกับเขตพระนคร ตำรวจ สน.ชนะสงคราม ตำรวจท่องเที่ยว และเจ้าหน้าที่ อปพร. ทั้งเรื่องรถพยาบาล จุดคัดกรองสำหรับตรวจอาวุธและความปลอดภัยต่าง ๆ ซึ่งจะมีตัวสแกนทั้งหัวถนนและท้ายถนน

และจากเหตุการณ์สลดที่เกิดขึ้นในงานเทศกาลฮาโลวีน ที่อิแทวอน เกาหลีใต้ ที่ผ่านมาจนทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บนั้น ทำให้ตนกลับมาทบทวนเรื่องเส้นทางการออกจากพื้นที่ในโซนของถนนข้าวสารมีกี่จุด ตรงไหนบ้าง ซึ่งจากเดิมจะให้ออกแค่เพียง 2 ทาง คือ หัว-ท้ายของถนน เมื่อสำรวจแล้วพบว่า จะมีทางออกจากพื้นที่ถนนข้าวสารได้เพิ่มอีกรวมเป็นทั้งหมด 7 เส้นทาง ซึ่งในวันนี้ (31 ต.ค.) ก่อนเริ่มงานจะมีการนำป้ายประชาสัมพันธ์ทางออกมาติด ซึ่งป้ายประชาสัมพันธ์นั้นมี 3 ภาษา คือ ไทย-อังกฤษ-จีน เพื่อให้นักท่องเที่ยวเห็นและสามารถออกจากพื้นที่ได้หากเกิดเหตุไม่คาดคิด

นายสง่า กล่าวต่ออีกว่า เนื่องจากลักษณะทางกายภาพของถนนข้าวสารกับถนนเส้นที่เกิดอุบัติเหตุในย่านอิแทวอนนั้น เท่าที่ทราบมีลักษณะต่างกันเพราะพื้นที่ที่เกิดเหตุมีลักษณะลาดชันตามภูมิประเทศซึ่งเป็นภูเขา และความกว้างของถนนประมาณ 4-6 เมตร เท่านั้น ต่างจากสภาพของถนนข้าวสารซึ่งเป็นถนนลักษณะราบและไม่มีฟุตปาธ อีกทั้งยังมีความกว้างของถนนกว่า 14 เมตร ยาว 400 เมตร

ส่วนเรื่องความปลอดภัยในสถานบันเทิง ที่ผ่านมาได้เรียกประชุมผู้ประกอบการให้ตรวจตราร้านของตนเองอยู่เสมอตามนโยบายของราชการที่กำชับมาเรื่องความปลอดภัยในสถานบันเทิง รวมทั้งซักซ้อมหากเกิดเหตุเพื่อความปลอดภัย อีกทั้งเจ้าหน้าที่เขตพระนครได้ออกตรวจสถานบันเทิงในข้าวสารอยู่เป็นประจำ จึงไม่น่ากังวลและขอให้มั่นใจในความปลอดภัย

สำหรับประมาณการณ์นักท่องเที่ยวที่จะมาในงานฮาโลวีนปีนี้ นายสง่า ระบุว่า คาดว่าจะมีประมาณ 20,000 คน ซึ่งไม่น่าเป็นห่วงนัก เนื่องจากในช่วงเทศกาลสงกรานต์ถนนข้าวสารยังเคยรองรับนักท่องเที่ยวมาแล้วกว่า 50,000 คน


ที่มา : https://www.dailynews.co.th/news/1631633/ 

กรมทะเลและชายฝั่ง เร่งหาสาเหตุการตายวาฬขนาดใหญ่เกยตื้นเสียชีวิตบริเวณเกาะราชาใหญ่ จ.ภูเก็ต

วันที่ (30 ต.ค. 65) นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (อทช.) ได้รับแจ้งจากศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามันตอนบน (ศวอบ.) ว่าได้รับการประสานงานจากสำนักงานประมงจังหวัดภูเก็ต กรณีได้รับแจ้งจากนายสฤทธิ์ จันดี เครือข่ายอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเกาะราชาใหญ่ว่า พบซากวาฬขนาดใหญ่ลอยเสียชีวิตอยู่ที่เกาะราชา ตำบลราไวย์ อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต จึงได้นำเรือทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง 308 และเรือสปีดโบ๊ทออกไปตรวจสอบซากวาฬขนาดใหญ่ ที่ลอยเกยตื้นบริเวณอ่าวแหลมไทร ซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของเกาะราชา พบว่าเป็นซากวาฬไม่ทราบชนิดลอยมาติดอยู่ที่บริเวณริมชายฝั่ง อ่าวแหลมไทร จึงนำกลับมายังฝั่งเกาะภูเก็ต ภายหลังเจ้าหน้าที่ศูนย์ช่วยชีวิตสัตว์ทะเลหายากสิรีธาร ร่วมกับเจ้าหน้าที่ศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลจังหวัดภูเก็ต สำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 10 ได้เข้าพื้นที่เพื่อตรวจสอบซากวาฬดังกล่าว พบว่าเป็นซากวาฬบรูด้า ขนาดความยาวลำตัว 13 เมตร เพศเมีย โตเต็มวัย สภาพซากเน่า และได้นำซากวาฬดังกล่าวมาชันสูตรหาสาเหตุการตาย ณ ศวอบ.

นายอรรถพล เปิดเผยว่า ภายหลังได้รับผลการชันสูตรซากจาก ศวอบ. พบว่าอวัยวะส่วนใหญ่เน่าและย่อยสลาย ภายในกระเพาะอาหารพบของเหลวปนอาหารเล็กน้อย และมีผลลูกจาก จำนวน 2 ลูก ซึ่งไม่ใช่อาหารตามปกติ ภายในลำไส้พบของเหลวตลอดลำไส้และพบพยาธิตัวกลม พยาธิตัวตืดเล็กน้อย โดยในส่วนของลำไส้เล็กส่วนกลางพบถ้วยพลาสติกจำนวน 1 ใบ แต่ยังไม่ก่อให้เกิดการอุดตันของลำไส้ โดยสาเหตุการตายเบื้องต้นพบว่าวาฬดังกล่าวมีสภาพร่างกายสมบูรณ์ แต่มีสภาพซากเน่ามากจึงไม่สามารถระบุสาเหตุการตายได้แน่ชัด

ทั้งนี้ จึงอยากฝากพี่น้องประชาชน ว่าอย่าทิ้งขยะลงทะเล และหากพบเห็นให้ช่วยกันเก็บขยะ เนื่องจากที่ผ่านมาได้มีสัตว์ทะเลเสียชีวิตจากขยะ เป็นจำนวนมาก ซึ่งกินเข้าไปมันก่อให้เกิดการอุดตันของลำไส้ทำให้เสียชีวิต จึงขอให้ช่วยกันดูแลรักษา และอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลให้คงความอุดมสมบูรณ์ หากใครพบเห็นการกระทำความผิด หรือสัตว์ทะเลเกยตื้น สามารถแจ้งเบาะแสมายังสายด่วนพิทักษ์ป่าและรักษาทะเล โทร. 1362  ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในแต่ละพื้นที่เข้าตรวจสอบได้ทันท่วงทีต่อไป “นายอรรถพล กล่าวทิ้งท้าย”

‘อนุทิน’​ เตือนผู้ปกครองพาเด็กเล็กฉีดวัคซีนโควิด-19 หวั่นระบาดอีกครั้ง หลังอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย

‘อนุทิน’​ เตือนผู้ปกครอง พาเด็กเล็กฉีดวัคซีนโควิด-19​ หวั่นอากาศเปลี่ยนแปลง โควิด-19 อาจหวนระบาดอีกครั้ง

(31 ต.ค. 65) เมื่อเวลา 08.40 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน​ ชาญวีรกูล​ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข​ กล่าวถึงการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19​ หลังจากที่สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงและโควิด-19 อาจกลับมาระบาดอีกครั้งหนึ่ง​ ว่า​ จะต้องเพิ่มการระมัดระวังมากขึ้น​ โดยการฉีดวัคซีน​สามารถป้องกันความรุนแรงของโรคได้​ โดยเฉพาะการฉีดวัคซีนเข็มบูสเตอร์ และมีผลยืนยันแล้วว่าไม่มีอาการหนักถึงขั้นต้องใส่เครื่องช่วยหายใจหรือเสียชีวิต​ จึงเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์​มากหากร่วมกันฉีดวัคซีน​ 

ทั้งนี้วัคซีนให้บริการครอบคลุม ตั้งแต่เด็กอายุตั้งแต่ 6 เดือน​ -​ ​4 ขวบ​ เป็นวัคซีนไฟเซอร์ฝาแดง ซึ่งเตรียมไว้พร้อมแล้วและกระจายไว้ทั่วประเทศ จึงขอเชิญชวนให้ผู้ปกครอง พาเด็กไปรับวัคซีน เราต้องฉีดถึง 3 เข็ม ควรรีบไปฉีด ความปลอดภัยจะเกิดขึ้นกับทั้งครอบครัว ขอผู้ปกครองอย่าเป็นกังวลว่าเด็กจะนำเชื้อจากโรงเรียนมาติดยังผู้ปกครอง โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่บ้าน

ตำรวจท่องเที่ยวจัดการนักท่องเที่ยวมาเลเซียขับรถซ่า

วันนี้ (๓๑ ต.ค. ๖๕) เวลา ๐๙๐๐ น. ณ กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว พล.ต.ท. สุคุณ พรหมายน ผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ได้มอบหมายให้ พล.ต.ต. อภิชาติ สุริบุญญา โฆษกกองบัญชาการฯ แจ้งความคืบหน้าต่อสื่อมวลชนกรณีนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียทราบชื่อภายหลังว่า MR.ABDUL RAIMI BIN AZMI อายุ 32 ปีเกิดความคึกคะนองดริฟต์รถเก๋งหรู BMW สีน้ำเงิน  เป็นวงกลม 3 รอบ บริเวณลานจอดรถสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งใน อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา สร้างความเดือดร้อนให้กับรถยนต์คันอื่นๆ ที่จอดอยู่บริเวณลานจอดรถดังกล่าวเมื่อวันที่ ๒๘ ต.ค.๖๕ ที่ผ่านมานั้น

พล.ต.ต. อภิชาติฯ แจ้งว่าหลังจากได้รับแจ้งเหตุแล้ว พล.ต.ต. กฤษณ์ วาฤทธิ์ ผู้บังคับการตำรวจท่องเที่ยว ๓ ซึ่งควบคุมรับผิดชอบพื้นที่ท่องเที่ยวภาคใต้ทั้งหมดได้สั่งการให้ตำรวจท่องเที่ยวจังหวัดสงขลาตรวจสอบทันที จนกระทั่งวันที่ ๒๙ ต.ค.๖๕ เวลา ๒๒๐๐ น. ตำรวจท่องเที่ยวได้พบรถยนต์คันดังกล่าวทะเบียน VGC 2014 บริเวณด่านตรวจคนเข้าเมืองสะเดา จว.สงขลากำลังจะเดินทางออกนอกประเทศ จึงเรียกให้หยุดและสอบถาม ซึ่ง Mr Abdul ผู้ขับขี่ให้ยอมรับสารภาพว่าเป็นผู้ขับรถแบบคึกคะนองในวันที่เกิดเหตุจริง จึงได้เชิญตัวมายังสถานีตำรวจภูธรคอหงส์ พร้อมกับได้เรียกผู้เสียหายทั้งหมดมาเพื่อเจรจาไกล่เกลี่ยกัน 

ผลจากการเจรจาไกล่เกลี่ย Mr Abdul ยินยอมชดใช้ค่าเสียหายให้กับผู้เสียหายทั้งหมดรวมเป็นเงิน ๙๙,๐๐๐ บาท นอกจากนี้ เจ้าหน้าตำรวจได้แจ้งข้อหาให้ Mr Abdul ทราบด้วยว่า การกระทำดังกล่าวเป็นความผิดตามกฎหมายของไทย กล่าวคือ “ทำให้เกิดเสียงหรือกระทำความอื้ออึงโดยไม่มีเหตุอันควรจนทำให้ประชาชนตกใจหรือเดือดร้อน” ซึ่ง Mr Abdul ให้การรับสารภาพโดยพนักงานสอบสวนได้สั่งปรับเป็นจำนวนเงิน ๑,๐๐๐ บาท ก่อนจะปล่อยตัวเดินทางกลับประเทศมาเลเซียต่อไป

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เดินสายพัฒนาคุณภาพชีวิตเยาวชนต่อเนื่องในโครงการ 'จักรยานเพื่อน้องสัญจร' ครั้งที่ 3 ประจำปี 2565 มอบจักรยานให้แก่โรงเรียนในภาคอีสานรวม 9 จังหวัด

ระหว่างวันที่ 25-30 ตุลาคม 2565 มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นางสาวศุภรัตน์ สมบัติเจริญไทย รักษาการหัวหน้าแผนกส่งเสริมการศึกษาและอาชีพ ฝ่ายสังคมสงเคราะห์ นำทีมลงพื้นที่มอบรถจักรยาน ให้กับโรงเรียนในพื้นที่ภาคอีสาน 8 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดมหาสารคาม ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ สกลนคร นครพนม มุกดาหาร อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี (โดยจังหวัดสุรินทร์ ซึ่งเป็นจังหวัดที่ 9 ของโครงการจักรยานเพื่อน้องสัญจรฯ กำหนดมอบจักรยานในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2565) ที่มีเยาวชนประสบปัญหาในด้านการเดินทางไปและกลับโรงเรียนด้วยความยากลำบาก ภายใต้โครงการจักรยานเพื่อน้องสัญจร ครั้งที่ 3 ประจำปี 2565 รวมจำนวน 45 โรงเรียน มอบรถจักรยาน จำนวน 900 คัน พร้อมมอบหน้ากากอนามัย แอลกอฮอล์ รวมถึงมอบค่าพาหนะให้กับโรงเรียนที่เดินทางมารับ รวมงบประมาณทั้งสิ้น 1,537,807.50 บาท (หนึ่งล้านห้าแสนสามหมื่นเจ็ดพันแปดร้อยเจ็ดบาทห้าสิบสตางค์) เพื่อให้เด็กนักเรียนสามารถใช้จักรยานเดินทางมาโรงเรียนได้อย่างสะดวก อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมให้เด็กนักเรียนได้ออกกำลังกาย เรียนรู้กฎจราจร เรียนรู้การแบ่งปัน รวมถึงการดูแลรักษาสิ่งของส่วนรวมและใช้ประโยชน์ได้อย่างถูกต้อง โดยเมื่อเด็กนักเรียนจบการศึกษา จักรยานจะถูกส่งต่อให้แก่เด็กนักเรียนในรุ่นต่อไป โดยมี คุณครู และตัวแทนนักเรียนจากโรงเรียนต่าง ๆ ร่วมในพิธี พร้อมด้วย สมาคม/มูลนิธิแต่ละจังหวัดเป็นผู้ประสานงานและร่วมในพิธี 

โดยเมื่อวันที่  14 – 17 ตุลาคม 2565  มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ลงพื้นที่มอบรถจักรยาน ให้กับโรงเรียนในพื้นที่ภาคเหนือ รวม 4 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดลำปาง สุโขทัย พิษณุโลก และเพชรบูรณ์ ที่มีเยาวชนประสบปัญหาในด้านการเดินทางไปและกลับโรงเรียนด้วยความยากลำบาก ภายใต้โครงการจักรยานเพื่อน้องสัญจร ครั้งที่ 3 ประจำปี 2565 รวมจำนวนโรงเรียนทั้งสิ้น 40 แห่ง รถจักรยาน รวม 600 คัน พร้อมมอบหน้ากากอนามัย แอลกอฮอล์ รวมถึงมอบค่าพาหนะให้กับโรงเรียนที่เดินทางมารับ

ไทยติดโผ 1 ใน 4 ประเทศสุดขัดใจต่างชาติ เพราะครอบครองสิทธิที่ดินได้ยากที่สุด

(31 ต.ค. 65) จากเฟซบุ๊ก 'Pat Sangtum ได้โพสตฺ์ข้อความ ระบุว่า...

ประเทศไทยเป็น 1 ใน 4 ประเทศในโลกที่บุคคลต่างชาติจะครอบครองกรรมสิทธิที่ดิน หรืออสังหาริมทรัพย์ได้ยากที่สุด เช่นเดียวกับ เวียดนาม, เม็กซิโก และกรีซ

นั่นเท่ากับประเทศที่ยอมให้ชาวต่างชาติเป็นเจ้าของที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ได้ ทั้งสหรัฐอเมริกา, อังกฤษ, อิตาลี, ฝรั่งเศส, ญี่ปุ่น, มาเลเซีย ฯลฯ ล้วนขายชาติทั้งนั้นใช่ไหม?

อย่าไปเรียกใครว่าขายชาติแบบชุ่ย ๆ เอาเวลาไปหาซื้อสมองก่อน


ที่มา: https://www.facebook.com/100000845184675/posts/pfbid0S1u11jo8KV7ybcyN8Kkx89LVdDq8EHXaZqjMhWbkGrRJWZtwn66211x9eMUxHsPJl/

ย้อนประวัติศาสตร์ไทย เมื่อพัฒนาการของ ‘สุโขทัย’ อาจไกลกว่า ‘พ่อขุนศรีอินทราทิตย์’ โดย เด็ก ม.2 เขียน เด็ก ม.3 ทำภาพ

(31 ต.ค. 65) เมื่อไม่นานมานี้ เพจ ‘ฤๅ - Leu History’ ได้โพสต์บทความเกี่ยวกับอีกมุมของประวัติศาสตร์ไทยที่อาจไม่ได้มี ‘อาณาจักรสุโขทัย’ เป็นจุดเริ่มต้น และผู้ก่อตั้งอาณาจักรอาจจะไม่ใช่ ‘พ่อขุนศรีอินทราทิตย์’ ไว้อย่างน่าสนใจว่า…

แต่เดิม เรามักจะพบเนื้อหาในเว็บไซต์ หรือ หนังสือ สำหรับเด็กในช่วงวัยประถมฯ หรือ มัธยมฯ และมีการท่องจำกันต่อ ๆ มาว่า อาณาจักรแรก หรือ จุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ไทยมีจุดเริ่มต้นที่ ‘อาณาจักรสุโขทัย’ โดยมีผู้ก่อตั้งอาณาจักรคือ ‘พ่อขุนศรีอินทราทิตย์’

โดยให้รายละเอียดว่า คนไทยอพยพมาจากเทือกเขาอัลไตบ้าง มาจากน่านเจ้าบ้าง อพยพลงมาทางใต้แล้วมารบกับขอม และค่อยมีการก่อตั้งอาณาจักรสุโขทัยขึ้นในที่สุด (แต่ปัจจุบันอาจมีการเพิ่มประวัติศาสตร์ในยุคสมัยรัฐโบราณ - ยุคสมัยก่อนสุโขทัย ลงไปในหนังสือเรียนในบางส่วน)

แต่บทความนี้เราจะมาเสนออีกมุมของประวัติศาสตร์ยุคสุโขทัยว่าจริง ๆ แล้ว ประชากรคนพื้นเมืองของรัฐสุโขทัยอาจไม่ได้มาจากทาง น่านเจ้า หรือ อัลไตแต่อย่างใด รัฐสุโขทัยอาจไม่ได้ก่อตั้งขึ้นมาแล้วเจริญรุ่งเรืองในทันทีทันใด จนเป็นอาณาจักรแรกของคนไท ดั่งในหนังสือที่เราเคยอ่านกันตอนประถมฯ หากแต่อาจจะมีพัฒนาการมาอย่างยาวนานตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์เรื่อยมา

ก่อนอื่นเราต้องมาทราบกันก่อนว่าในจังหวัดสุโขทัยนั้นมีแหล่งโบราณคดีก่อนยุคประวัติศาสตร์ไหม จึงค่อยไปเจาะลึกลงรายละเอียดในด้านของศิลาจารึก

เราพบว่าในจังหวัดสุโขทัยนั้นมีแหล่งโบราณคดีที่สามารถช่วยบ่งบอกได้ว่าในบริเวณจังหวัดสุโขทัยในอดีตมีชุมชนอาศัยอยู่แล้วตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่เป็นการก่อตัวรวมกันอยู่ในลักษณะของชุมชน เช่น แหล่งโบราณคดีชุมชนบ้านวังหาด ที่ตั้งอยู่ภายในวัดจอมศรีรัตนมงคล (บ้านวังหาด) ที่มีการจัดแสดงโบราณวัตถุ เครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ ให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชม เข้าไปศึกษากัน ไม่ว่าจะเป็น เครื่องประดับที่ทำจากทองคำหรือเงิน ลูกปัดที่ทำจากแร่หิน carnelian ขวานหินขัด เครื่องปั้นดินเผา กลองมโหระทึก ฯลฯ ซึ่งเป็นหลักฐานที่ช่วยยืนยันได้ว่าบริเวณจังหวัดสุโขทัยเคยมีชุมชนมาแล้วไม่ต่ำกว่า  2,500 ปี มาแล้ว ซึ่งผู้เขียนสันนิษฐานว่าอาจมีชุมชนอื่น ๆ ไม่ว่าจากทางเหนือ หรือทางบริเวณชุมชนใกล้เคียงที่ตั้งอยู่ไม่ห่างกันนัก ที่เข้ามาติดต่อค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้ากับชุมชนที่อยู่บริเวณบ้านวังหาดและชุมชนใกล้เคียง

อีกทั้งยังมีอีกหนึ่งหลักฐานสำคัญที่อาจทำให้เราสามารถยืนยันได้ว่าจังหวัดสุโขทัยนั้นเคยมีชุมชนโบราณก่อนยุคประวัติศาสตร์นั่นก็คือ บริเวณวัดตะพานหิน หรือ วัดสะพานหิน ซึ่งอยู่นอกเมืองสุโขทัยทางทิศตะวันตก มีการพบแหล่งหินธรรมชาติทอดยาวไปเหมือนกับเป็นสะพาน ซึ่ง ศาสตราจารย์พิเศษ ศรีศักร วัลลิโภดม (นักวิชาการด้านโบราณคดีและมานุษยวิทยาชาวไทย) อธิบายเพิ่มเติมว่า แหล่งหินนี้คือวัฒนธรรมสืบเนื่องหินตั้งมาตั้งแต่ราว 2,500 ปีก่อน เมื่อครั้งตั้งแต่ชุมชนในบริเวณนี้ยังนับถือศาสนาผีอยู่

อย่างไรก็ดีหลักฐานต่าง ๆ ที่พูดมานี้อาจทำให้เราทราบว่าประชากรของรัฐสุโขทัยอาจไม่ได้มาจากไหน แต่อาจอยู่ที่นี้มาแต่เดิมอยู่แล้วก่อนที่จะพัฒนาจากชุมชนมาเป็นเมือง และ รัฐ โดยแต่ก่อนที่จะพัฒนามาเป็นรัฐนั้น อาจจะมีประชากรเคลื่อนย้ายอพยพจากหลากหลายสารทิศ จากบริเวณชุมชนบริเวณ ละโว้ (ลพบุรี) บ้าง ชุมชนจากทางเหนือบ้าง เข้ามาผสมปนเปกับคนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่บริเวณสุโขทัยแต่เดิม

และในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ก็พบหลักฐานที่เป็นโบราณวัตถุที่เกี่ยวเนื่องกับศาสนากระจายอยู่ตามเมืองสุโขทัยและใกล้เคียง

ในช่วงระยะเวลาต่อมา มีการพบหลักฐานว่าอาจมีผู้มีอำนาจที่มาจากภายนอกเข้ามาปกครองเมืองสุโขทัย

โดยพบหลักฐานในศิลาจารึก หลักที่ ๒ หรือ จารึกวัดศรีชุม สันนิษฐานว่าผู้สร้างคือ ‘มหาเถรศรีศรัทธา’ สร้างขึ้นราว พุทธศตวรรษที่ ๑๙ ด้านที่ ๑ บรรทัดที่ ๘ - ๑๐ ได้กล่าวถึงถิ่นฐานชาติกำเนิดของมหาเถรศรีศรัทธา และ ‘พ่อขุนศรีนาวนำถุม’ ที่เข้ามาเป็นกษัตริย์ของสุโขทัย ถอดเป็นคำอ่านเข้าใจง่าย ๆ ในปัจจุบัน จากอักษรเดิม ได้ความว่า

“… (ง) พระมหาเถรศรีศรัทธาราชจุฬามุนี เกิดในนครสรลวงสองแควสองแคว ปู่ชื่อพระยาศรีนาวนำถุม เป็นขุน เป็นพ่อ… ” (บรรทัดที่ ๘)

“… เสวยราชไนนครสองอัน อันหนึ่งชื่อ นครสุโขทัย อันหนึ่งชื่อนครศรีเส …” (บรรทัดที่ ๙)

“… -ชนาไล …” (บรรทัดที่ ๑๐ - มีต่อ หากสนใจรายละเอียดเนื้อหาเพิ่มเติม สามารถกดอ่านได้ใน Link อ้างอิง)

แสดงว่ามีผู้มีอำนาจจากแถบเมืองสรหลวงสองแคว (บริเวณจังหวัด พิษณุโลก - ปัจจุบัน) และในศิลาจารึกวัดศรีชุมยังได้กล่าวถึงเหตุการณ์ก่อนการเข้ามาครองเมืองสุโขทัยของ พ่อขุนศรีนาวนำถุม ในบรรทัดที่ ๑๗ - ๑๙ ความว่า

“… เขาแทงพ่อขุน…นำถุม…๐ พ่อขุนนำถุมต่อหัวช้าง ด้วย  อีแดง พุะเลิง …” (บรรทัดที่ ๑๗)

“…ได้เมืองแก่พ่อขุนนำถุม…พ่อขุนนำถุมใส่อีแดงพุะเลิง ใหญ่ประมาณเท่าบาตรเวน…เมือ …” (บรรทัดที่ ๑๘)

“.. องแหงเมืองสุโขทัย ( บรรทัดที่ ๑๙ - มีต่อ หากสนใจรายละเอียดเนื้อหาเพิ่มเติม สามารถกดอ่านได้ใน Link อ้างอิง )

แสดงให้เห็นว่าก่อนที่ พ่อขุนศรีนาวนำถุม จะเข้ามามีอำนาจในดินแดนบริเวณเมืองแหง และ เมืองสุโขทัย มีผู้มีอำนาจในบริเวณนี้มาก่อนแล้ว ซึ่งในหลักฐานทางประวัติศาสตร์ได้บันทึกนามของเขาว่า ‘อีแดงเพลิง’ (ในตัวจารึกเขียน ‘อีแดงพุะเลิง’ - ซึ่งตัวของอีแดงเพลิงในที่นี้ยังเป็นข้อถกเถียงทางประวัติศาสตร์อยู่ว่าคือใครกันแน่ และมีบทบาทสำคัญ หรือ เป็นผู้นำของคนกลุ่มใด)

แล้วในภายหลังพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ค่อยขยายอำนาจมาในบริเวณนี้อีกที

ซึ่งกล่าวโดยสรุปว่า บริเวณที่เป็นจังหวัดสุโขทัยปัจจุบัน มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาที่ยาวนานตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ในลักษณะของการเป็นชุมชน

แล้วก่อตัวมีบทบาทและความสำคัญมาเรื่อย ๆ ในที่สุดก็เห็นชัดในการก่อตัวเป็นลักษณะเมืองของสุโขทัย แล้วก็มีการพบหลักฐานว่ามีนามของ ‘อีแดงเพลิง’ ที่เป็นกษัตริย์ที่มาปกครองเมืองสุโขทัย และในระยะเวลานี้เองก็มี ‘พ่อขุนศรีนาวนำถุม’ ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจในบริเวณใกล้เคียง ขึ้นมามีอำนาจในแถบสุโขทัย

ซึ่งหลังจากรัชสมัยของพ่อขุนศรีนาวนำถุม สุโขทัยก็โดนแย่งชิงจาก ‘ขอมสบาดโขลญลำพง’ จึงทำให้พ่อขุนผาเมือง (บุตรของพ่อขุนศรีนาวนำถุม) และ พ่อขุนบางกลางหาว จำเป็นต้องลงมาชิงสุโขทัยคืน และในภายหลังพ่อขุนผาเมืองก็ยกบัลลังค์ให้พ่อขุนบางกลางหาว (ส่วนสาเหตุก็ยังเป็นข้อถกเถียง ยังหาสาเหตุที่แน่ชัดไม่ได้)

นายกฯ เชื่อมั่น ระบบสาธารณสุขไทย หลัง เป็นประเทศแรก ที่เข้ารับการประเมินศักยภาพระบบบริการสาธารณสุขสำหรับผู้ลี้ภัย ผู้ย้ายถิ่นฐาน แรงงานต่างด้าว จาก WHO ผลมีระบบการดูแลอย่างดี ช่วงโควิด-19 ระบาด

เมื่อวันที่ 30 ต.ค. นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบกรณี ไทยเข้ารับการประเมินศักยภาพระบบบริการสาธารณสุขสำหรับผู้ลี้ภัย ผู้ย้ายถิ่นฐาน และแรงงานต่างด้าว โดยผู้เชี่ยวชาญองค์การอนามัยโลก

นายอนุชา กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขได้รายงานว่า ไทยเป็นประเทศแรกที่ได้เข้ารับการประเมินศักยภาพระบบบริการสาธารณสุขสำหรับผู้ลี้ภัย ผู้ย้ายถิ่นฐาน และแรงงานต่างด้าว เนื่องจากมีระบบการดูแลอย่างดี และมีประสิทธิภาพในช่วงที่มีการระบาดของโรคโควิด-19 โดยได้มีการลงพื้นที่ในจังหวัดกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งมีผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย คณะผู้เชี่ยวชาญของไทยและองค์กรระหว่างประเทศ ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top