Monday, 12 May 2025
POLITICS

"อนุทิน" ย้ำต้องออกมาตรการคุมเข้มสกัดโอมิครอน แต่ต้องกระทบศก.น้อยที่สุด ยึดความปลอดภัย-ปชช.เป็นหลัก ยังไม่รู้ข่าว WHO ขอทั่วโลกงดจัดงานฉลองปีใหม่ 

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์กรณีที่นายกสมาคมโรงแรมไทย ไม่เห็นด้วยกรณีสาธารณสุขเตรียมเสนอ ศบค.ยกเลิก Test&Go ว่า กำลังให้ทางกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พิจารณาหาแนวทางที่ดีที่สุดและเกิดผลกระทบน้อยที่สุด โดยเราจะต้องคิดถึงทุกมิติรวมถึงมิติด้านเศรษฐกิจ แต่สิ่งที่สำคัญมากกว่าคือคำนึงความปลอดภัยของประชาชนและประเทศไทย เมื่อมีเชื้อโควิดสายพันธุ์โอมิครอนเข้าประเทศและล่าสุดพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 97 ราย ซึ่งอยู่ระหว่างตรวจสอบสายพันธุ์ว่าเป็นโอมิครอนหรือไม่ ทำให้เราต้องเพิ่มความระมัดระวัง ซึ่งตนได้กำชับกับปลัดกระทรวงสาธารณสุข และกรมควบคุมโรค รวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องหาวิธีการที่ดีที่สุดในการป้องกันและสกัดการระบาด 

เมื่อถามว่า จะต้องออกมาตรการเพิ่มเติมที่เกี่ยวกับการเปิดรับนักท่องเที่ยวหรือประกาศไม่รับนักท่องเที่ยวจากบางประเทศหรือไม่ เพราะการกักตัวระยะเวลาสั้น ไม่สามารถป้องกันเชื้อไวรัสโควิด สายพันธุ์โอมิครอนได้อย่างมีประสิทธิภาพได้ นายอนุทิน กล่าวว่า จากนี้ไปนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาในประเทศและยังค้างท่อ เราจะเพิ่มบุคลากรเข้ามาดูแลในส่วนนี้ โดยจะให้นักท่องเที่ยวส่วนนี้เข้ามาก่อน และต้องตรวจหาเชื้อด้วยวิธีการ RT-PCR หลายครั้ง และรายงานตัว ซึ่งเราพยายามทำทุกอย่างในการตรวจสอบส่วนนี้ และเมื่อเสร็จสิ้นในส่วนนี้แล้วก็คงต้องมีการปรับเปลี่ยนมาตรการ ทั้งนี้ ขอย้ำว่าแนวทางของรัฐบาลคือประชาชนคนไทยต้องปลอดภัย ต้องลดความเสี่ยงทุกมิติ และต้องทำให้เกิดผลกระทบกับประเทศน้อยที่สุด ซึ่งฝ่ายบริหารให้นโยบายแบบนี้ฝ่ายปฏิบัติต้องหาวิธีการ และฝ่ายบริหารต้องรับฟังผู้ปฏิบัติด้วยว่าเขาสามารถปฏิบัติตามที่เราสั่งการได้มากน้อยแค่ไหน และถ้าเขาปฏิบัติแล้วจะเกิดผลดี ผลเสียอย่างไร ถ้าเขาเห็นว่ามีผลเสียมากกว่าก็มีสิทธิโต้แย้งเราซึ่งเราต้องรับฟังเขา 

ผู้สื่อข่าวถามว่า หลังปีใหม่ต้องกลับมาเข้มงวดมาตรการหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ต้องเข้มงวดตลอด ทุกคนต้องระมัดระวัง ขณะเดียวกันสิ่งสำคัญที่สุดคือเรากำลังเร่งฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ให้ประชาชนเพื่อสกัดการแพร่กระจายเชื้อพร้อมกับเสริมภูมิคุ้มกันให้คนไทยก่อน ขณะที่ประชาชนต้องสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือ หลีกเลี่ยงการรวมกลุ่มคนจำนวนมาก 

นายอนุทิน กล่าวอีกว่า เรากังวลโควิดสายพันธุ์โอมิครอน เพราะเป็นสายพันธุ์ใหม่ เราดูข้อมูลต่างๆทั้งจากเอกสารวิชาการที่ตีพิมพ์โดยสถาบันทางการแพทย์รวมถึงข้อมูลขององค์การอนามัยโลก ระบุว่า เชื้อดังกล่าวแพร่กระจายเร็วกว่าสายพันธุ์เดลต้า แต่พิษความรุนแรงจะเท่ากับเดลต้าหรือไม่นั้น กำลังตรวจสอบอยู่ ถ้าไม่รุนแรงเท่าสายพันธุ์เดลต้าก็จะทำให้วัคซีนที่เรามีอยู่และกำลังฉีดเข็ม 3 ให้ประชาชน จะสามารถเอาอยู่ แต่เราต้องไม่ประมาท เพราะเราเปิดประเทศเพียงแค่ 20 วัน ยังไม่ได้เปิดเต็มรูปแบบก็ยังดักและตรวจพบผู้ติดเชื้อนี้ไว้ได้หลายคน ซึ่งผลยืนยันเมื่อวันที่ 20 ธ.ค.มีผู้ติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอน 63 คน และล่าสุดที่ตรวจพบผู้มาจากต่างประเทศและติดเชื้อ 97 คน ต้องมาลุ้นว่ามีกี่คนที่เป็นสายพันธุ์โอมิครอน เราต้องระมัดระวังขั้นสูงสุด แต่ไม่ต้องตระหนกเกินไปจนทำอะไรไม่ได้ 
 

'มิสเตอร์เอทานอล' เชื่ออะไรก็เกิดขึ้นได้ หลัง 'ดร.เอ้' ชู!! กทม.เจ้าภาพโอลิมปิก 2036

นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคและประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พรรคประชาธิปัตย์ เจ้าของฉายา “มิสเตอร์เอทานอล” เขียนข้อความในเฟซบุ๊กเรื่อง “ฝันของ ดร.เอ้กับ โอลิมปิก 2036”

"No Dream No Possibility" ซึ่งเป็นการให้ข้อคิดต่อข้อเสนอเชิงนโยบายของ ศาสตราจารย์ ดร.สุชัชวีร์ (เอ้) สุวรรณสวัสดิ์ ผู้สมัครผู้ว่ากรุงเทพมหานคร

โดยนายอลงกรณ์นำเสนอมุมมองต่อเรื่องนี้ว่า หลังจาก ดร.เอ้ สุชัชวีร์ ผู้สมัครผู้ว่ากทม. พรรคประชาธิปัตย์ ประกาศนโยบายเสนอกรุงเทพเป็นเจ้าภาพจัดโอลิมปิก 2036 ก็มีการวิจารณ์ฮือฮาในโลกโซเชียลมีเดียทั้งเชิงบวกเชิงลบ รวมทั้ง Blockdit ก็ยังให้ความสำคัญกับกรณีนี้ ส่วนหนึ่งคิดว่าเป็นฝันลมๆ แล้งๆ แต่ไม่น้อยมั่นใจว่าเป็นฝันที่เป็นจริง

“ผมจึงนำประสบการณ์ส่วนตัวมาเล่าให้ฟังเกี่ยวกับความฝัน ผมก็เคยฝันจะให้ประเทศไทยผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงเอทานอลจากพืชเพื่อลดการนำเข้าเมื่อปี 2543 หรือ 20 ปีที่แล้ว ตอนนั้นคนส่วนใหญ่ไม่เชื่อและไม่ยอมรับรวมทั้งอุตสาหกรรมน้ำมันและอุตสาหกรรมรถยนต์ แม้แต่เจ้าของรถก็เกรงว่าเอทานอลจะทำให้เครื่องยนต์เสียหาย”

เราฝันและลงมือทำงานเพียง 10 เดือนก็สามารถเสนอผ่านมติคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลประชาธิปัตย์สมัยท่านชวน หลีกภัยเป็นนายกรัฐมนตรี

'ตัวแทนคนบันเทิง'เข้าขอบคุณ'บิ๊กตู่'เยียว 5,000 'ช.อ้น'พูดต่อหน้าไม่ชอบนายกฯ

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน นำคณะคนบันเทิง ได้แก่ นายรินทร ณ บางช้าง (ช อ้น ณ บางช้าง) นายคฑาวุธ ทองไทย หรือ อาจารย์ไข่ นักร้องนำวงมาลีฮวนน่า ในฐานะประธานสมาพันธ์เครือข่ายคนบันเทิงอาชีพแห่งประเทศไทย นางสุดา ชื่นบาน อุปนายกสมาคมดนตรีแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ นายบริพันธ์ ชัยภูมิ นายกสมาคมนักเพลงลูกทุ่งแห่งประเทศไทย

ฝอยทอง เชิญยิ้ม สมาคมศิลปินตลก (ประเทศไทย) นายวรพจน์ นิ่มวิจิตร ตัวแทนผู้จัดคอนเสิร์ต นายวีรวัฒน์ รัตนะ เลขานุการสมาพันธ์เครือข่ายคนบันเทิงอาชีพแห่งประเทศไทย และนายบริพันธ์ ชัยภูมิ นายกสมาคมนักเพลงลูกทุ่งแห่งประเทศไทย เข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เพื่อขอบคุณที่ให้ความช่วยเหลือเยียวยาอันเนื่องมาจากผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 และเสนอตั้งสภาศิลปะและวัฒนธรรมแห่งชาติ 

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเผย 'นายกฯ' เตือนคนไทยอย่าชะล่าใจในช่วงวันหยุดยาวช่วงเทศกาลปีใหม่  ขอให้เคร่งมาตรการ COVID Free Setting พร้อมเตรียมนำแนวทางสกัดโอมิครอน หารือที่ประชุม ศบค. ใน ครั้งต่อไป

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ห่วงเรื่องความเสี่ยงในการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโควิด 19 โดยเฉพาะสายพันธุ์โอมิครอนที่พบมากขึ้น แนะให้ประชาชนป้องกันตัวเองขั้นสูงสุด อย่าชะล่าใจในช่วงวันหยุดยาวช่วงเทศกาลปีใหม่ อาจพบการติดเชื้อเป็นกลุ่มก้อนมากขึ้น ขอให้เคร่งมาตรการ COVID Free Setting แนะประชาชนรับวัคซีนให้ครบโดส หลีกเลี่ยงงานปาร์ตี้ร่วมกัน เพราะจะทำให้เสี่ยงการติดเชื้อมากขึ้น

ในช่วงที่ผ่านมาประเทศไทยเรามีมาตรการรับผู้ที่เดินทางจากต่างประเทศหลายมาตรการด้วยกันทั้งการเปิดเงื่อนไข Test & Go มาตรการ   Quarantine  มาตรการ Sandbox ที่นำร่องไปแล้วนั้น  แต่เนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนแล้วใน 89 ประเทศ รวมทั้งไทย  หลายประเทศได้มีการปรับมาตรการป้องกันควบคุมโรคเพิ่มขึ้น เช่น การชะลอการเดินทางในผู้ที่มาจากต่างประเทศ การล็อคดาวน์ในบางธุรกิจเพื่อลดการแพร่ระบาดเป็นวงกว้างในช่วงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่  นายกรัฐมนตรีสั่งการให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งจัดทำข้อเสนอรูปแบบผู้ที่เดินทางเข้าประเทศ หารือในที่ศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด – 19 เพื่อเสนอต่อที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด -19 หรือ ศบค. ครั้งต่อไป คาดว่าจะมีการประชุมในเร็วๆ วันนี้ 

สำหรับประเทศไทยวันนี้มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ จำนวน 2,476 ราย  จำแนกเป็น ผู้ป่วยจากระบบเฝ้าระวังฯ 2,358 ราย ผู้ป่วยจากการค้นหาเชิงรุก 41 ราย ผู้ป่วยภายในเรือนจำ/ที่ต้องขัง 47 ราย ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 30 ราย ผู้ป่วยสะสม 2,167,666 ราย (ตั้งแต่ 1 เมษายน) หายป่วยกลับบ้าน 3,649 ราย หายป่วยสะสม 2,108,771 ราย (ตั้งแต่ 1 เมษายน) ผู้ป่วยกำลังรักษา 38,892 ราย เสียชีวิต 32 ราย ขณะที่ผู้ติดเชื้อเข้าข่ายจากผลตรวจ ATK อีก 264 ราย อาการหนักใช้ท่อช่วยหายใจ 237 ราย อาการหนัก 880 ราย จากการเฝ้าระวังในผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศผ่านท่าอากาศยานต่าง ๆ ในเดือนพฤศจิกายน มีผู้เดินทางเข้ามา 133,061 คน เป็นรูปแบบ Test & Go มากที่สุด 106,211 คน เดือนธันวาคม มีผู้เดินทาง 160,445 คน เป็น Test & Go 138,181 คน Sandbox 18,449 คน และ Quarantine 3,815 คน โดยทุกคนที่ตรวจพบการติดเชื้อจะมีส่งตรวจหาสายพันธุ์ที่ห้องปฏิบัติการของศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์และรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ในเดือนธันวาคม พบผู้ติดเชื้อแล้ว 348 ราย จากระบบ Test & Go มากที่สุด 204 ราย โดยเป็นผู้ติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอน 1 ใน 4 ของผู้ติดเชื้อที่เดินทางเข้าประเทศ  

 “นายกฯ” ตั้งเป้า ปี65 ยึดทรัพย์เครือข่ายยาเสพติด 1 หมื่นล้านบาท ตัดวงจรเงินเครือข่ายยาเสพติด พร้อมทุ่ม 3 หมื่นล้านบาท ให้ ธกส. สานฝันยกระดับรายได้เกษตรกรพุ่งเป้าขจัดความยากจนภาคเกษตร

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม มุ่งมั่นอยากให้ยาเสพติดลดน้อยหมดไปจากประเทศ ผลักดันกระทรวงยุติธรรมแก้ปัญหายาเสพติดเชิงรุก บูรณาการการทำงาน มุ่งตัดวงจรการลักลอบค้ายาเสพติด โดยมีการประกาศใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติดฉบับใหม่ ซึ่งมีผลบังคับใช้ในวันที่ 9 ธ.ค. 2564 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการปรับปรุงกฎหมายยาเสพติดรวม 24 ฉบับ ให้เป็นฉบับเดียว  มุ่งเน้นการจับและขยายผลไปสู่การยึดทรัพย์และดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.มาตรการสมคบ กฎหมายฟอกเงิน และกฎหมายรัษฎากร เป็นหลักแทนแนวทางเดิมที่เน้นการปราบปรามและการจับกุมเพียงอย่างเดียว  โดยเชื่อว่า จะนำไปสู่การป้องกัน ปราบปรามยาเสพติดอย่างเป็นระบบ มุ่งทำลายโครงสร้างเครือข่ายการค้ายาเสพติด รวมถึงการวางกรอบลงโทษผู้กระทำความผิดที่เหมาะสมและยุติธรรม 

นายธนกร กล่าวว่า การปรับปรุงประมวลยาเสพติดฉบับใหม่ เป็นการปรับกรอบแนวคิดและสร้างการทำงานที่แตกต่างไปจากเดิม อาทิ การริบทรัพย์สินไม่ผูกพันกับผลของคดีอาญา การริบทรัพย์สินตามมูลค่า การให้เครื่องมือทางกฎหมายกับเจ้าหน้าที่ ในการยึดหรืออายัดทรัพย์สินในกรณีเร่งด่วน ก่อนมีคำสั่งตรวจสอบทรัพย์สิน ซึ่งประมวลกฎหมายยาเสพติดใหม่นี้  ทำให้การดำเนินการริบทรัพย์สินทำงานได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมและสามารถเดินหน้าได้อย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน ยังป้องกันกันยักย้ายถ่ายเททรัพย์สิน 

ในปีงบประมาณ 2565 รัฐบาล โดยกระทรวงยุติธรรมคาดการณ์เป้าหมายทรัพย์จากเครือข่ายค้ายาเสพติดที่จะถูกยึดมูลค่า 10,000 ล้านบาท โดยจะนำมาเป็นเงินสินบนต่อผู้แจ้งเบาะแส 5 เปอร์เซ็นต์ หรือ 500 ล้านบาท สำหรับข้าราชการและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติติงานจะได้รับเงินรางวัล 25 เปอร์เซ็นต์ หรือ 2,500 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามกฎหมาย 

“นายกฯ เน้นย้ำและมีความมุ่งมั่นในการแก้ปัญหายาเสพติด เน้นบูรณาการทำงานร่วมกันเพื่อเพื่อตัดวงจรการค้ายาเสพติด  ขณะเดียวกันก็เร่งทำงานคู่ขนาน ส่งเสริมความรู้ความเข้าใจ ทั้งผู้ปฏิบัติงานและประชาชนทั่วไปด้วย ในดำเนินมาตรการภายใต้กฎหมายยาเสพติดฉบับใหม่นั้น    โดยมีเป้าหมายและวัตถุประสงค์สูงสุด คือ การแก้ปัญหายาเสพติดที่มีมายาวนานและเรื้อรังในประเทศไทย 

"แรมโบ้"ฟาด"ทักษิณ" คำพูดไม่ต่างจากผายลม เชื่อถืออะไรไม่ได้ ใกล้ปีใหม่ ขอให้ทำดีก่อนสิ้นลมหายใจ อย่าให้เสียชาติเกิด ที่ได้เกิดมาเป็นคนในชาตินี้

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณี ที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่กำลังหนีคดีทุจริต อยู่ต่างประเทศ ก่อนหน้านี้ทางด้านนายทักษิณ  เคยได้กล่าวโจมตีรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ว่าไม่มีทางฉีดวัคซีนได้ครบ 100 ล้านโดสในสิ้นปี 2564 ระหว่างการพูดคุยในคลับเฮ้าส์และเฟซบุ๊ก CARE คิด เคลื่อน ไทย เมื่อวันที่  1 มิถุนายน 2564 นายทักษิณ กล่าวตอนหนึ่งว่า "วัคซีนที่บอกว่าสิ้นปีถึง 100 ล้านโดส ผมบอกได้เลย ไม่มีทางเลย ผมไม่แน่ใจเลยว่า สั่งวัคซีนให้มากองให้ครบ 100 ล้านโดส สิ้นปี ยังไม่รู้จะได้หรือเปล่า จะฉีดให้ครบ 100 ล้าน ผมไม่มั่นใจเลยถ้าบริหารแบบนี้ คิดรวมศูนย์เป็นไปไม่ได้หรอก

คนๆเดียวจะไปคิดทุกอย่างไม่ได้หรอก"  นายทักษิณ ย้ำอีกครั้งว่า "ไม่มีทางเลย สิ้นปีนี้ฉีดวัคซีน ได้ 100 ล้านโดส 100 บาทเอาขี้หมากองเดียว สิ้นปีนี้ ไม่มี 100 ล้านโดส ฉีดให้ประชาชน" ด้าน นายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี มองแบบเดียวกันกับ ทักษิณ เป็นไปได้ยาก ขนาดประเทศ อังกฤษ ฉีดมาตั้งแต่ต้นปี ยังได้แค่ 60 ล้านโดส 

นายเสกสกล กล่าวว่า เวลานี้ ประเทศไทย ได้ฉีดวัคซีนครบ 100 ล้านโดส เป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม  2564 ตามการแถลงข่าวของทางด้านศบค. เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2564  ตนเองอยากจะขอดูหน้านายทักษิณ สักหน่อย ที่เคยดูถูกปรามาส รัฐบาล ภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ ว่าไม่มีทางเป็นไปได้ ที่จะฉีดวัคซีนครบ 100 ล้านโดสในสิ้นปีนี้ แต่ตอนนี้รัฐบาลทำได้แล้ว อยากรู้เหมือนกันว่านายทักษิณ จะทำอย่างที่เคยพูดเอาไว้ไหม ที่บอกว่า 100 บาท เอาขี้หมากองเดียว  จะดูว่าคนที่เคยเป็นถึงอดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศ จะรักษาคำพูดของตัวเองได้แค่ไหน หรือดีแต่พ่นลมปาก ไปวัน ๆ

เพราะที่ผ่านมา การพูดของนายทักษิณแต่ละเรื่อง สุดท้ายก็เชื่อถืออะไรไม่ได้ ลมที่ออกจากปากนายทักษิณ ไม่ผิดอะไรกับการผายลม ที่ออกมาจากก้นของนายทักษิณ เพราะเชื่อถืออะไรไม่ได้ ไม่มีราคา พูดอย่างทำอย่าง ดีแต่โม้ ไปรายวัน เอาเข้าจริงไม่ได้มีความสามารถอะไรเลย  งานนี้นายทักษิณหน้าแตกยับเยินไม่มีเครดิตหน้าเชื่อถืออะได้อีกต่อไป ต่อไปใครที่ไปเชื่อคนขี้โกงหนีคดีไปร่ำรวยคนนั้นก็คงบ้าไปแล้ว เพราะคำพูดยังเชื่อถือไม่ได้ 

" ที่นายทักษิณบอกว่า ถ้ารบ.ฉีดครบ100ล้านโดสไม่มีทาง 100 บาทเอาขี้หมากองเดียว ตนขอเสนอว่า 100 บาทของนายทักษิณมาจากเงินขี้โกงคงไม่มีใครอยากรับ เอาว่าไม่มีใครกล้ารับเงิน100 บาทของนายทักษิณเป็นแน่ แต่ขี้หมากองเดียวอยากให้เก็บไว้ให้สมุนคนใกล้ชิดในคลับเฮาส์ของนายทักษิณไว้กินเอง จะได้ไหม?

วันนี้ถ้านายทักษิณยังคงบริหารประเทศ ในช่วงเวลาวิกฤตโควิด-19 ระบาดแบบนี้
ประเทศไทย คงมีคนเสียชีวิต และติดเชื้อติดลำดับต้น ๆ ของโลกอย่างแน่นอน เพราะนายทักษิณ เป็นคนที่เก่งแต่พูด  แต่ให้ลงมือทำ ทำไม่ได้อย่างที่พูดสักเรื่อง ดูได้จากสิ่งที่นายทักษิณเคยพูดว่าตัวเองนั้นวางมือทางการเมืองแล้ว ไม่ยุ่งเกี่ยวการเมืองแล้ว พูดจนนับครั้งไม่ถูกแล้ว แต่สุดท้ายนายทักษิณ ก็ยังคงวนเวียน กับเรื่องการเมืองของประเทศไทย ไม่เคยหยุดแม้แต่วินาทีเดียว  หรือเรื่องที่บอกว่าตัวเองนั้นจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ก็เช่นกัน นายทักษิณ ก็มักจะพูดแค่เอาตัวรอดแต่การกระทำต่าง ๆ นั้นประชาชนคนไทยต่างก็ทราบดีว่าที่ผ่านมา นั้นไม่ได้ทำอย่างที่ปากพูด หลายครั้งที่นายทักษิณ พูดอย่างทำอย่าง จนประชาชนคนไทย เขารู้ไส้ รู้พุงนายทักษิณ หมดแล้ว 

2 ดวงคนดัง 'บิ๊กตู่' ลุ้นตกจากตำแหน่ง ‘ถูกไล่-ทรยศ’ ฟาก 'บิ๊กป้อม' เฟี้ยวฟ้าว ยันสิ้นปีหน้า 

ฟองสนาน จามรจันทร์ คอลัมนิสต์ แม่หมอสมัครเล่น ประจำหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ทำนาย เกณฑ์ชะตาบุคคลสำคัญกว้างๆ จากฐานข้อมูลที่เปิดเผยทั่วไป ส่งท้ายปี 2564 ดังนี้…

1.) พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา-ยังมีแนวโน้มตกจากตำแหน่งหรือถูกไล่-ทรยศ-หักหลังเป็นระยะๆ ตลอดปี-เพียงแต่จะไล่ได้หรือไม่เท่านั้น

หลังวันเกิดที่ 21 มีนาคม 2565 ถึง 21 มีนาคม 2566 ปรากฏการณ์ถ้าช่วงต้น (ปีวันเกิด) ร้ายปลายจะดีหรือช่วงต้นดี ปลายจะร้าย ตำราบอกให้สงบจิต

ตั้งแต่ 8 เมษายนถึงสิ้นปี 2565 บุญเก่าเริ่มมาแรงพร้อมปรากฏการณ์สั่นสะเทือนความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องหรือคนที่รักกันเหมือนญาติเป็นระยะๆ ถ้าเปลี่ยน ‘ที่อยู่-รถ’ น่าจะถูกโฉลก

2.) พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ไม่ว่าจะลัคนาราศีใดจับตาลีลาชีวิตต้นเมษายน 2565 ที่จะเฟี้ยวฟ้าวถึงสิ้นปี แต่ระวังสุขภาพหลังหัวใจไว้สักหน่อยเน้นไปที่หลังวันเกิดเป็นต้นไป

3.) ดร.ทักษิณ ชินวัตร ยังโชคดีเรื่องลูกหลานและมีขุมทองให้ขุดหาตลอดปีเพียงแต่จะถูกกดดันโดยได้อะไรก็จะกลางๆ กลางปี 2565 เริ่มเจ็ดปีของการตามหาความฝันปฏิวัติใหญ่ทางชีวิต ตั้งแต่เมษายนถึงสิ้นปีเดินเหินต้องระวังและอีกปรากฏการณ์ คือ ได้ครึ่งเสียครึ่ง

4.) คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ด้านดีทั้งปีโอกาสได้เพริศพรายทั้งเงินทองและชื่นใจเรื่องลูกเพียงแต่ต้องระวังโรคเก่ากำเริบหรือกรรมเก่าเกี่ยวกับกระดูกหรือเส้นประสาทหรือลำไส้หรือผิวหนังหรือที่เกี่ยวกับข้าวยังแรง หุ้นส่วนชีวิตเจ็บป่วยหรือถูกทรยศหักหลัง เมษายนถึงสิ้นปี 2565 เริ่มปรากฏการณ์สู้แล้วได้และมีโอกาสเปลี่ยนบ้าน ที่ดิน รถภูมิลำเนา ควรทำทุกอย่างในชีวิตให้ลงตัวก่อน 1 มีนาคม 2566

5.) แพทองธาร ชินวัตร-ถ้าลัคนาสถิตเมษ มีโอกาสได้ลุ้นเหมือนอาปู-ถ้าเป็นลัคนาราศีสิงห์ก็เกิดมารวยอย่างที่เห็นๆ แต่ไม่ว่าลัคนาหรือเป็นชาวราศีใดก็กำลังอยู่ในระหว่างโชคใหญ่ในชีวิต (โชคเทวฤทธิ์ที่เป็นมาตั้งแต่ 5 ธันวาคม 2563) ไปถึง 29 มีนาคม 2565 หลังจากนั้นโชคลดลงครึ่งหนึ่ง

‘พิธา’ ยัน ‘ก้าวไกล’ ส่งชิงผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. หวั่นผู้สมัครที่มียังโอนอ่อน ‘นายทุน-ศักดินา’

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคก้าวไกล โพสต์คลิปวิดีโอผ่านเฟซบุ๊ก ส่งสารสวัสดีปีใหม่พี่น้องประชาชน และตั้งเป้าปีหน้าว่าพรรคต้องทำงานให้เข้มข้นขึ้นยิ่งกว่าเดิม พร้อมกับระบุข้อความด้วยว่า…

2565: ปีแห่งความหวังและโอกาสเปลี่ยนประเทศผ่านการเลือกตั้ง

สวัสดีปีใหม่พี่น้องประชาชนผู้ทรงอำนาจสูงสุดของประเทศ

ปีที่ผ่านมาเป็นปีที่ 2 ของพรรคก้าวไกล เป็นปีที่เรายังคงมุ่งมั่นทำงานหนักเพื่อเป็นปากเสียงให้กับผู้ถูกกดขี่ เป็นมือเท้าให้กับผู้ถูกละเลยจากรัฐ เข้าไม่ถึงโอกาส ผมในฐานะหัวหน้าพรรคก้าวไกล อดรู้สึกภาคภูมิใจไม่ได้กับผลการทำงานของส.ส. ทุกคน

แต่เมื่อเทียบกับเป้าหมายที่จะเปลี่ยนประเทศไทยแล้ว เราต้องยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าเรายังทำงานหนักไม่พอ

ด้านการสื่อสาร
เราสื่อสารได้ไม่ดีพอที่จะทำให้คนรอบข้างเข้าใจได้ว่าการแก้ไขปัญหาที่สะสมมาอย่างยาวนานของประเทศนี้ ไม่สามารถสำเร็จได้ผ่านการแก้ไขอย่างฉาบฉวย แต่จำเป็นต้องแก้โครงสร้างที่ผิดเพี้ยนอันเป็นรากฐานของปัญหาทั้งปวง และหนึ่งในรากฐานของปัญหานั้นคือคำถามที่ว่า อำนาจสูงสุดในประเทศนี้เป็นของใคร

ด้านการทำงานในรัฐสภา
เรามีเสียงไม่มากพอ ทั้งยังโดดเดี่ยวในการต่อสู้เรียกร้องในหลายกรณี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจที่ทุนใหญ่กำลังเดินหน้ากินรวบทั้งตลาด ไม่เปิดโอกาสให้กับผู้ประกอบการขนาดเล็ก ไม่เหลือทางเลือกในการเลือกซื้อสินค้าหรือบริการให้กับผู้บริโภค

หรือแม้กระทั่งเรื่องเรียบง่ายที่สุดอย่างการตัดสินใจโดยยึดถือประโยชน์สูงสุดของประชาชนเป็นที่ตั้ง รวมทั้งการยืนยันว่าอำนาจสูงสุดของประเทศเป็นของประชาชน เราก็ไม่สามารถโน้มน้าวชักชวนเพื่อนสมาชิกรัฐสภาส่วนใหญ่ให้เห็นร่วมกันกับเราได้ ผลประโยชน์และอำนาจในรัฐสภายังคงกระจุกตัวอยู่ที่เครือข่ายของเหล่านายทุน ขุนศึก ศักดินา เช่นเดิม

ผมในฐานะหัวหน้าพรรคก้าวไกล ต้องขอโทษพี่น้องประชาชนทุกคนมา ณ ที่นี้ ปีหน้าเราสัญญาว่าเราจะพยายามให้มากและทุ่มเททำงานให้หนักกว่าปีที่ผ่านมา เพื่อให้เรามีเสียงสนับสนุนจากพี่น้องประชาชนและสมาชิกรัฐสภามากพอที่จะเปลี่ยนประเทศไทยให้เป็นประเทศของประชาชนอย่างแท้จริง

นอกจากนี้เรายังมีอีกหนึ่งภารกิจสำคัญในปีหน้าที่ต้องขอแรงสนับสนุนจากพี่น้องประชาชน นั่นก็คือ "การเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร"

พรรคก้าวไกลเชื่อมั่นว่าทุกการเลือกตั้ง คือ โอกาสของการเปลี่ยนแปลง หากประชาชนต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลง ไม่มีโอกาสไหนที่ดีไปกว่าการเข้าคูหาเลือกตั้ง 

‘ไพศาล’ ตั้งข้อสังเกต 4 สัญญาณการเมือง ชี้ สภาล่มบ่อย เหตุเสถียรภาพรัฐบาลสั่นคลอน

เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2564 นายไพศาล พืชมงคล อดีตกรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุข้อความว่า  ความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้ยุทธวิธีในสภา

1.) ฝ่ายค้าน มี 3 ยุทธวิธีในการทำงานในสภา คือ

(1) ทำให้สภาล่ม
(2) การอภิปรายทั่วไปโดยไม่มีการลงมติซึ่งรวมถึงการตั้งกระทู้และญัตติด้วย
(3) การอภิปรายเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ

'บีโอไอ' เคาะมาตรการกระตุ้นการลงทุนปี 65 เน้นดึงลงทุนขนาดใหญ่

น.ส.ดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ บีโอไอ ที่มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เห็นชอบมาตรการกระตุ้นการลงทุนปี 65 เน้นส่งเสริมการลงทุนของภาคเอกชนในโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่จะมีผลในวงกว้างต่อการสร้างกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ ครอบคลุมกิจการที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งต้องเป็นโครงการที่มีการลงทุนจริงไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาท ภายใน 12 เดือนหลังออกบัตรส่งเสริม โดยจะได้รับสิทธิประโยชน์ด้วยการลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล 50% รวม 5 ปี แต่ต้องยื่นขอรับการส่งเสริมได้ถึงสิ้นปี 65

ขณะเดียวกันที่ประชุมยังเห็นชอบให้ขยายเวลามาตรการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ออกอีก 1 ปีถึงสิ้นปี 65 ยกเว้นโครงการที่ตั้งในเขตส่งเสริมเพื่อกิจการพิเศษ 5 แห่ง ได้แก่ เมืองการบินภาคตะวันออก หรืออีอีซีเอ เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซีไอ เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล หรืออีอีซีดี ศูนย์นวัตกรรมการแพทย์ครบวงจร ธรรมศาสตร์ (พัทยา) หรืออีอีซีเอ็มดี และการแพทย์จีโนมิกส์ มหาวิทยาลัยบูรพา (บางแสน) หรืออีอีซีจี สามารถยื่นคำขอตามมาตรการนี้ได้โดยไม่กำหนดระยะเวลาสิ้นสุดในการยื่นคำขอ ส่วนในปี 66 จะมีการปรับปรุงมาตรการของอีอีซีใหม่ทั้งหมดอีกครั้งให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์การลงทุนฉบับใหม่

ไทยจับตา 'โอมิครอน' หลังกระจาย 89 ปท.ทั่วโลก พบผู้ติดเชื้อกลับจากตะวันออกกลาง ติดโอมิครอน หลายพื้นที่ ห่วงเชื้อไม่แสดงอาการ เตรียมปรับมาตรการคนเข้าประเทศ ลั่น ฉีดวัคซีนครบ 100 ล้านโดสแล้ว

ที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. ทำเนียบรัฐบาล พญ.สุมนี วัชรสินธุ์ ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารความเสี่ยงและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ กรมควบคุมโรค ในฐานะผู้ช่วยรองโฆษก ศบค. กล่าวว่า สำหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน ว่า องค์การอนามัยโลกได้เปิดเผยข้อมูลการแพร่ระบาดเชื้อโอมิครอนในปัจจุบันกระจายไปแล้ว 89 ประเทศ และมีการระบาดเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าภายในระยะเวลา 3 วัน ขณะที่สถานการณ์ประเทศต่างๆ อาทิ สหรัฐอเมริกามีการระบาดแล้ว 36 รัฐ  ประเทศเนเธอร์แลนด์ มีการประกาศล็อกดาวน์ช่วงเทศกาลคริสมาสต์ และปีใหม่ ประเทศฝรั่งเศส งดรับนักท่องเที่ยวจากสหราชอาณาจักร

สำหรับตัวเลขการเดินทางเข้าราชอาณาจักร หากเปรียบเทียบการเดินทางเข้าในเดือนพฤศจิกายน มีทั้งสิ้น 133,061 คน ขณะที่เดือนธันวาคม ตั้งแต่วันที่ 1-19 ธ.ค. มีทั้งสิ้น 160,445 คน และภาพรวมผู้ติดเชื้อในส่วนนี้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยในเดือนพ.ย.มีผูเติดเชื้อ 0.13% เดือนธ.ค.มีผู้ติดเชื้อไปแล้ว  0.22%  โดยผู้เดินทางเข้าประเทศวันที่ 19 ธ.ค.มีทั้งสิ้น 13,664 คน พบผู้ติดเชื้อ 42 ราย แบ่งเป็นกลุ่มเทสต์ แอนด์ โก 24 ราย ระบบกักตัว 11 ราย และระบบแซนด์ บ็อกซ์ 7 ราย ทั้งนี้ ผู้ติดเชื้อทั้ง 42 ราย มาจากสหราชอาณาจักรมากที่สุด 9 ราย รองลงมาคือ สหรัฐอเมริกา 6 ราย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 4 ราย ซึ่งทั้ง 42 ราย ส่วนใหญ่ไม่มีอาการ การตรวจเชื้อแบบ RT-PCR มีความจำเป็น และการกักตัวเพื่อสังเกตมีความสำคัญอย่างมาก

ขณะที่การพบเชื้อโอมิครอนในประเทศไทย ที่มีรายงานเพิ่มเติมวันนี้ เป็นคลัสเตอร์ที่รายงานจากสาธารณะสุขจังหวัดนนทบุรี เชื่อมโยงไปถึงจังหวัดปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา นครราขสีมา กทม. โดยรายเอียดเป็นผู้เดินทางไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนาที่ประเทศซาอุดิอาระเบีย ทั้งสิ้น 31 ราย ช่วงต้นเดือน ธ.ค. โดยเดินทางกลับถึงไทย วันที่ 15 ธ.ค. ตรวจพบเชื้อวันที่มาถึง 14 ราย มีเชื้อโอมิครอน 6 ราย เชื้อเดลตา 8 ราย ตรวจพบเชื้อเพิ่มเติมอีก 2 รายในวันที่ 19 ธ.ค.และตรวจพบเชื้อเพิ่มอีก 2 ราย ในวันที่ 20 ธ.ค.โดย 4 รายหลังอยู่ระหว่างรอการยืนยันสายพันธุ์  ทำให่กลุ่มนี้พบผู้ติดเชื้อรวมทั้งสิ้น 18 ราย นอกจากนี้ยังพบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอน ที่เป็นคู่สามีภรรยาจากประเทศไนจีเรีย ที่เดินทางเข้าไทยวันที่ 26 พ.ย. ก่อนการประกาศมาตรการห้าม 8 ประเทศกลุ่มเสี่ยงจากทวีปแอฟริกาเข้าประเทศ

โดยทั้งคู่เขาสู่ระบบแซนด์ บ็อกซ์ โดยวันที่ 4-7 ธ.ค. สามีชาวโคลัมเบีย มีอาการไข้ เจ็บคอ จึงตรวจหาเชื้อแบบ ATK ผลเป็นลบ แต่ยังคงมีอาการ จึงตรวจแบบRT-PCR ในวันที่ 7 ธ.ค. ผลเป็นบวก จึงเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล จากนั้นวนที่ 10 ธ.ค.ภรรยาชาวไทย ได้ไปตรวจแบบ RT-PCR ผลเป็นบวกเช่นกัน ซึ่งวันเดียวกันนั้น การตรวจหาสายพันธ์ุของสามียืนยันเป็นโอมิครอน และมีการสอบสวนผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 1 ราย ผลตรวจ RT-PCR เป็นลบ และสัมผัสเสี่ยงต่ำ 83 ราย ทั้งหมดไม่มีอาการใดๆ ขณะนี้อยู่ระหว่างติดตามอาการทั้งหมด โดยหญิงรายดังกล่าวถือเป็นการติดเชื้อภายในประเทศรายแรก 

ขณะเดียวกัน ยังมีคลัสเตอร์ จ.นราธิวาส 3 ราย เป็นผู้เดินทางกลับมาจากประกอบพิธีกรรมทางศาสนาที่ประเทศตะวันออกกลาง เข้าประเทศทางสนามบินภูเก็ต ในระบบเทสต์ แอนด์ โก โดยเป็นเป็นผู้ติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอน 1 ราย สายพันธุ์เดลตา 3 ราย และมีผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 4 ราย สัมผัสเสี่ยงต่ำ 126 ราย ทั้งหมดอยู่ระหว่างกักตัวตรวจอาการ นอกจากนี้ ยังมีการรายงาน จากสำนักงานควบคุมโรค เขต 11 เป็นผู้เดินทางเข้าประเทศที่สนามบินภูเก็ต เมื่อวันที่ 13 ธ.ค. 4 ราย และสนามบินสมุย วันที่ 15-16 ธ.ค. 3  ราย ที่มีทั้งชาวต่างชาติ และคนไทย โดยทั้ง 7 รายตรวจแบบRT-PCR พบเป็นบวกตั้งแต่วันแรกที่มาถึง และยืนยันเป็นสายพันธุ์โอมิครอน ทั้ง 7 คน

กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้รายงานสถานการณ์การเฝ้าระวังสายพันธุ์โควิดในประเทศไทย ระหว่างเดือนเม.ย.ถึงวันที่ 19 ธ.ค. พบว่ามากที่สุดยังเป็นสายพันธุ์เดลตา 68.67% สายพันธุ์อัลฟา 29.79% เบตา 1.41% และโอมิครอน 0.13% หากดูเฉพาะสัปดาหที่ผ่านมาวันที่ 11-19 ธ.ค. จะพบว่าสายพันธุ์เดลตา 96.61 % สายพันธุ์โอมิครอน 3.26% และจากการสุ่มตรวจ 1,595 ตัวอย่างทั่วประเทศ พบเป็นเดลตา 96.61% โอมิครอน 3.26% และหากแยกย่อยในพื้นที่กทม.จะพบว่าเป็นเดลตา 81.1% โอมิครอน 18.3% และในส่วนภูมิภาค เป็นเดลตา 98.6% โอมิครอน 1.3% โดยกาาคาดการณ์การระบาด กรณีคนในประเทศไม่มีภูมิคุ้มกันเลย ผู้ติดเชื้อสายพันธุ์เดลตา 1 คน  แพร่เชื้อได้ 6.5 คน สายพันธุ์โอมิครอน 1 คน แพร่เชื้อได้ 8.5 คน แต่จากข้อมูลผู้ติดเชื้อโอมิครอน ผู้ป่วยหนักและนอนโรงพยาบาลไม่สูงกว่าเดลตา 

โดยองค์การอนามัยโลกได้ให้ข้อมูลว่าการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นจะเพิ่มภูมิคุ้มกันเชื้อโอมิครอนได้มากขึ้น สรุปแล้วสถานการณ์สายพันธุ์โอมิครอนในไทย คล้ายกับสถานการณ์โลกที่พบผู้ติดเชื้อมากขึ้น ผู้ติดเชื้อทุกรายในประเทศไทย ยังผูกโยงกับผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ โดย 1 ใน 4 ของผู้ติดเชื้อที่ผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ เป็นสายพันธุ์โอมิครอน 

‘เทพไท’ มั่นใจ ‘ดร.เอ้’ เบียดชนะ ‘ชัชชาติ’ โวเป็นม้าตีนปลาย คะแนนพุ่งเร็ว 

เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม นายเทพไท เสนพงศ์ อดีตสส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความแสดงความเห็นประเด็นการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. โดย ระบุ เชื่อว่า สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ตัวแทนจากพรรคประชาธิปัตย์ จะเป็นม้าตีนปลาย เอาชนะคู่แข่งได้

ดร.สุชัชวีร์ ม้าตีนปลาย เมื่อวานนี้ (19 ธันวาคม) มีผลสำรวจของสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ได้สำรวจความคิดเห็นของคนกรุงเทพฯ ที่มีสิทธิ์เลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. พบว่า ว่าที่ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ได้แก่

อันดับ 1 รศ.ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ 56.72%
อันดับ 2 ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ 29.60%
อันดับ 3 พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง 10.62%
อันดับ 4 รสนา โตสิตระกูล 2.26%
และคนอื่นๆ 0.80%

“แรมโบ้” ซัด “ก่อแก้ว” สงบปาก สงบคำ และเบิกตาดูก่อน นายกฯทำอะไรให้ประชาชนและประเทศบ้าง ชี้ประชาชนชื่นชอบหลายโครงการรัฐบาล  พร้อมยกผลโพลสำนักวิจัยซูปเปอร์โพล ให้พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนักการเมืองครองใจประชาชน

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีนายก่อแก้ว พิกุลทอง แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) และอดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ยก 7 เรื่องออกมาไล่ขยี้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ลาออกเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้ประชาชน หลังจากที่นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้ทุกกระทรวงจัดของขวัญปีใหม่ให้ประชาชน โดยนายเสกสกล ระบุว่า นายก่อแก้ว ไม่น่าหาเรื่องใส่ตัวเลย เพราะการที่ออกมาพูดอะไร ก็เข้าตัวหมด  นายก่อแก้ว อย่าลืมว่าตัวเอง มีชื่อของการเป็นเสื้อแดงติดอยู่ และคงจะติดตัวไปจนกว่านายก่อแก้ว จะตายจากไป ซึ่งเป็นสิ่งที่ประชาชนส่วนใหญ่รับไม่ได้และรู้ดีว่าเสื้อแดงในอดีตทำอะไรกับประเทศไว้บ้าง สร้างความเสียหาย เผาบ้าน เผาเมือง เสียหายไปเท่าไหร่ ประชาชนที่ร่วมอุดมการณ์ติดคุกไปเท่าไหร่ ขณะที่แกนนำบางคนยังอยู่ดี มีสุข ลอยนวลสบายใจเฉิบ

7 ข้อที่ยกมา แค่คำที่ฝ่ายค้านหรือแกนนำเสื้อแดงอย่างนายก่อแก้วคิดว่าสวยหรู แต่ความจริงมันต่างกันมาก ประชาชนรู้ดีว่า ที่ผ่านมานายกรัฐมนตรี ทำอะไรให้เขาบ้าง อยู่ดีกินดีเห็นได้ชัด ทุกโครงการที่รัฐบาลโดยพล.อ.ประยุทธ์ ออกมาช่วยเหลือประชาชน ล้วนโดนใจ ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าหลายโครงการที่ออกมาจะมีชื่อของนายก่อแก้ว หรือคนในครอบครัว หรือสมัครพรรคพวก เป็นหนึ่งที่ได้รับอานิสงส์ด้วยหรือไม่  แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก เพราะไม่ว่าจะเป็นคนกลุ่มไหน เสื้อสีอะไร ชอบหรือไม่ชอบ ฝ่ายค้าน หรือรัฐบาล ก็ได้ประโยชน์จากทุกโครงการของรัฐบาลทั้งสิ้น และนายกรัฐมนตรีก็บอกแล้วว่า เป็นนายกรัฐมนตรีของประชาชนทุกคน ทุกภาค ไม่ได้เลือกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

และล่าสุดผลโพลจากสำนักวิจัยซูปเปอร์โพลได้ทำการสำรวจด้านการเมืองภาพใหญ่ที่สุดแห่งปี 2564 โดยประชาชนเห็นว่านักการเมืองฝ่ายรัฐบาลที่น่าประทับใจและน่าพอใจที่สุดแห่งปี 2564 อันดับแรกคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพอใจนโยบายและโครงการต่างๆของรัฐบาล ซึ่งตรงนี้น่าจะเป็นการสะท้อนให้เห็นได้แล้วว่า ประชาชนประทับใจและพอใจกับการทำหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีจากผลงานที่ประสบความสำเร็จมากมาย รวมถึงการแก้ไขปัญหาจากวิกฤตการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งส่งผลต่อเศรษฐกิจอย่างมาก ซึ่งรัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรีก็ได้มีมาตรการต่างๆออกมาจนสถานการณ์คลี่คลายและเดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจจนเป็นที่พอใจของทุกฝ่าย  

“เอ้ สุชัชวีร์” ประเดิมลงพื้นที่เขตบางรัก แหล่งพหุวัฒนธรรม ขอฟื้นคุณภาพโรงเรียนในสังกัด กทม. คืนพื้นที่สาธารณะคนกรุงเทพ ยีนยันความตั้งใจเป็นผู้ว่าการศึกษา

“เอ้”  สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ลงพื้นที่ครั้งแรกที่เขตบางรัก ร่วมกับนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ น.ส.อรอนงค์ กาญจนชูศักดิ์ อดีต ส.ส. กทม. และผู้สมัคร ส.ก. สุวิทย์ เลิศธนากุลวัฒน์ โดยได้เดินทางไปที่มัสยิดฮารูณ ซึ่งเป็นมัสยิดเก่าแก่อายุกว่า 150 ปี ศูนย์รวมจิตใจของชาวมุสลิมย่านบางรัก ถนนเจริญกรุง ภายในมัสยิดมีความสงบและสวยงาม ตกแต่งภายในอย่างสมมาตร สะท้อนปรัชญาศาสนาอิสลามอย่างชัดเจน เป็นสถานที่ในการเรียนรู้การอยู่ร่วมกันโดยเฉพาะวัฒนธรรมที่มีความแตกต่าง พร้อมกับชื่นชมชุมชนมัสยิดฮารูณมีความสะอาดมาก และมีร้านอาหารอร่อยทุกร้าน 

หลังจากนั้นเดินทางไปสักการะประธานในอุโบสถ ณ วัดม่วงแค เจริญกรุง 34 พร้อมกับระบุว่า พื้นที่เขตบางรักมีลักษณะเป็นพหุวัฒนธรรม และมีโรงเรียนวัดม่วงแค ที่ในอดีตมีนักเรียนเข้าเรียนจำนวนมาก มีอาคารเรียนขนาดใหญ่รองรับนักเรียนตั้งแต่อนุบาล ถึงชั้น ป.6 ได้ราว 1,000 คน มีจุดเด่นอาหารกลางวันเป็นอาหารฮาลาล รองรับนักเรียนที่นับถือศาสนามอิสลามด้วย แต่ปัจจุบันพื้นที่ซึ่งเคยใช้เป็นที่เคารพธงชาติได้กลายเป็นที่จอดรถ เนื่องจากมีจำนวนนักเรียนลดลงเหลือเพียง 54 คน 

“เอ้” สุชัชวีร์ ระบุว่า โรงเรียนนี้เป็นตัวอย่างโรงเรียนสังกัด กทม. 430 โรง ที่อยู่ในพื้นที่กลางเมือง แต่คน กทม. ส่งลูกไปเรียนที่อื่น ด้วยเหตุนี้ตนจึงมีความตั้งใจในการเป็นผู้ว่าการศึกษา เพื่อฟื้นโรงเรียนในสังกัด กทม. ให้มีคุณภาพสู้กับสิงคโปร์ได้ พร้อมกับตั้งใจจะทำโรงเรียนวัดม่วงแค เป็นโรงเรียนตัวอย่างในพื้นที่เขตบางรัก พร้อมกับได้เข้าผู้อำนวยการโรงเรียนเพื่อรับฟังปัญหาต่างๆ เพิ่มเติมอีกด้วย 

“นายกฯ” หารือเอกอัครราชทูตมัลดีฟส์ฯ มุ่งส่งเสริมการค้า การลงทุน การท่องเที่ยวระหว่างกัน ขณะที่มัลดีฟส์ฯ ชื่นชมบทบาทผู้นำนายกฯ ไทย พร้อมขยายความร่วมมือทุกด้านที่มีศักยภาพ

ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายมุฮัมมัด จินาห์ (H.E. Mr. Mohamed Jinah) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐมัลดีฟส์ประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในโอกาสเข้ารับหน้าที่

นายกรัฐมนตรี กล่าวต้อนรับเอกอัครราชทูตมัลดีฟส์ฯ ที่ได้มาปฏิบัติหน้าที่ในไทย ซึ่งไทย-มัลดีฟส์มีความสัมพันธ์ทางการทูตที่แน่นแฟ้นกว่า 40 ปี รัฐบาลไทยพร้อมที่จะสนับสนุนการทำงานของเอกอัครราชทูตมัลดีฟส์ฯ อย่างเต็มที่ พร้อมแสดงความยินดีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมัลดีฟส์ได้รับเลือกเป็นประธานการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (UNGA) ครั้งที่ 76 ตลอดจนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะสามารถกระชับความสัมพันธ์และขยายความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุน การท่องเที่ยว ตลอดจนความร่วมมือในกรอบพหุภาคีต่าง ๆ ให้มากขึ้น 

เอกอัครราชทูตมัลดีฟส์ฯ รู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เข้ารับตำแหน่งในไทย โดยนายอิบรอฮีม มุฮัมมัด ศอลิห์ ประธานาธิบดีแห่งมัลดีฟส์ได้ฝากความปรารถนาดีมายังนายกรัฐมนตรี ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศเป็นไปอย่างราบรื่นผ่านความร่วมมือในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะด้านการค้าและการลงทุน ซึ่งไทยถือเป็นคู่ค้าที่สำคัญของมัลดีฟส์ พร้อมชื่นชมความเป็นผู้นำของนายกรัฐมนตรีและการบริหารงานของรัฐบาลไทยที่สามารถรับมือกับการแพร่ระบาดของสถานการณ์โควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนทำให้สถานการณ์คลี่คลายและสามารถเปิดประเทศเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวได้ โดยเอกอัครราชทูตมัลดีฟส์ฯ ยืนยันว่าจะส่งเสริมความร่วมมือในด้านที่มีศักยภาพระหว่างกันต่อไป

โอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือร่วมกันในประเด็นความร่วมมือที่สำคัญ อาทิ ด้านความร่วมมือทางเศรษฐกิจ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่ามัลดีฟส์เป็นแหล่งลงทุนที่สำคัญของไทยในสาขาโรงแรม รีสอร์ต และอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งปัจจุบันมีภาคเอกชนไทยเข้าไปลงทุนหลายรายและมีแนวโน้มจะขยายการลงทุนในประเภทอื่น ๆ เพิ่มเติม โดยล่าสุดบริษัทไทยได้เข้าร่วมโครงการการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ ซึ่งถือเป็นการลงทุนในโครงการพลังงานทดแทนโครงการแรกของผู้ลงทุนไทยในมัลดีฟส์ ขณะที่เอกอัครราชทูตมัลดีฟส์ฯ ขอบคุณการลงทุนที่มีศักยภาพอย่างยิ่งของภาคเอกชนไทย โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยว พร้อมให้ความเชื่อมั่นว่า รัฐบาลมัลดีฟส์จะอำนวยความสะดวกและดูแลการลงทุนของไทยในมัลดีฟส์อย่างเต็มที่ 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top