Sunday, 19 May 2024
POLITICS

‘วิโรจน์’ ตีโจทย์สิ่งแวดล้อม กทม. ในเวทีดีเบต พร้อมชู 4 นโยบายเร่งด่วนรับมือ PM 2.5

‘วิโรจน์’ เสนอจะแก้ปัญหาขยะ น้ำ อากาศ และเมืองยั่งยืนได้ ต้องเริ่มจากปรับฐานคิดว่าคนเท่ากัน พร้อมตีโจทย์ กทม. ฝุ่นบรรเทาได้ หากผู้ว่าฯ ไล่บี้ พร้อมตั้งคำถามทวนกรุงเทพควรจัด ULEZ (Ultra Low Emission Zone) พื้นที่ชั้นในได้หรือยัง ยันคนตัวเล็กตัวน้อยต้องได้รับการปกป้องและนึกถึงอันดับแรก

วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ว่าที่ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. พรรคก้าวไกล ตอบคำถามกลางวงเสวนาสาธารณะในชื่อ “งานเสวนาว่าที่ผู้ว่า กทม. กับการบริหารจัดการขยะ น้ำ อากาศ และเมืองยั่งยืน” ณ ห้องประชุมวิศวกรรม คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ณ วันที่ 28 มีนาคม 2565 วิโรจน์ได้อธิบายถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในกทม. ว่า คนส่วนใหญ่ที่ได้รับผลกระทบจากมลภาวะมักเป็นคนตัวเล็กตัวน้อย และเป็นคนที่ไม่ได้ก่อมลภาวะด้วยตัวเอง ส่วนใหญ่เป็นคนทำงานกลางแจ้ง เป็นคนเดินถนนที่ต้องแบกรับปัญหามลภาวะต่างๆ วิโรจน์ย้ำว่ากทม. เมืองจะยั่งยืนได้ ต้องดูแลคนทุกคนอย่างเสมอภาคกัน

“ประยุทธ์” หารือรองเลขาธิการสหประชาชาติ แสวงหาแนวทางการเติบโตที่ยั่งยืน “ย้ำ” ไทยพร้อมส่งเสริมการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และการมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่างๆ ในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน

ที่ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นางอามีนา เจ โมฮัมเหม็ด (Ms. Amina J. Mohammed) รองเลขาธิการสหประชาชาติ เข้าเยี่ยมคารวะ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในโอกาสเยือนไทยเพื่อเข้าร่วมการประชุม Asia-Pacific Forum on Sustainable Development ครั้งที่ 9

นายกรัฐมนตรี กล่าวต้อนรับและชื่นชมรองเลขาธิการฯ ที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนงานด้านการพัฒนาของสหประชาชาติท่ามกลางความท้าทายต่างๆ ซึ่งไทยพร้อมสนับสนุนการทำงานของรองเลขาธิการฯ อย่างเต็มที่ พร้อมเชื่อมั่นว่า สหประชาชาติจะสนับสนุนประเทศต่างๆ ในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) และตอบสนองต่อความท้าทายของโลกปัจจุบัน ในฐานะที่ไทยเป็นเจ้าภาพเอเปคในปีนี้ ไทยมุ่งส่งเสริมการเติบโตที่ยั่งยืนและครอบคลุมด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG ซึ่งสอดคล้องและส่งเสริมกับการพัฒนาที่ยั่งยืนและSDGs

ด้านรองเลขาธิการสหประชาชาติ กล่าวว่า รู้สึกยินดีที่ได้พบนายกรัฐมนตรี การหารือวันนี้จะเป็นโอกาสอันดีต่อความร่วมมือระหว่างไทยและสหประชาชาติ ไทยเป็นประเทศที่มีบทบาทสำคัญในภูมิภาค และสนับสนุนการดำเนินงานของสหประชาชาติมาอย่างต่อเนื่อง สหประชาชาติมุ่งแสวงหาความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับไทยเพื่อเชื่อมโยงความร่วมมือระดับภูมิภาคไปสู่การแก้ไขปัญหาในประเด็นท้าทายระดับโลก ทั้งปัญหาความมั่นคงทางอาหาร พลังงาน และการเงิน ปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการรับมือกับโรคระบาด พร้อมกล่าวชื่นชมบทบาทผู้นำของนายกรัฐมนตรีและหน่วยงานสาธารณสุขของไทยในการรับมือกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จนอยู่ในระดับที่น่าพอใจ 

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีและรองเลขาธิการฯ ต่างเห็นพ้องว่า การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และความขัดแย้งของประเทศต่างๆ เป็นความท้าทายสำคัญต่อการบรรลุ SDGs ภายในปี ค.ศ. 2030 โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ไทยได้จัดตั้งคณะอนุกรรมการด้านเยาวชนและด้านเอกชน ภายใต้คณะกรรมการด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เพื่อรับฟังความเห็นจากภาคส่วนต่างๆ และไทยยังจัดทำรายงาน Voluntary National Review (VNR) เป็นเครื่องมือสำคัญในการติดตามความคืบหน้าในการขับเคลื่อน SDGs ของไทย รวมทั้งไทยได้นำปัญหาและอุปสรรคมาเป็นบทเรียนในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และคนรุ่นใหม่ ให้มีฐานรากที่มั่นคง ร่วมกันขับเคลื่อนประเทศ ซึ่งรองเลขาธิการฯ ชื่นชมที่ไทยรับฟังความเห็นจากภาคส่วนต่างๆ พร้อมชื่นชมว่า การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และการเข้ามามีส่วนร่วมของคนรุ่นใหม่และภาคประชาสังคม มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ

“ของขวัญยุวกาชาดไทย 100 ปี แห่งการสถาปนา” โครงการป่าที่ภักดี น้อมนำแนวทางพระราชเสาวนีย์ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง 

สำนักงานยุวกาชาด สภากาชาดไทย ร่วมกับศูนย์ราชการุณย์เขาล้านสภากาชาดไทย จัดโครงการป่าที่ภักดี เพื่อส่งมอบ “ ของขวัญยุวกาชาดไทย 100 ปี แห่งการสถาปนา” ในวันเสาร์ที่ 26 มีนาคม 2565 ณ ศูนย์ราชการุณย์สภากาชาดไทย เขาล้าน จังหวัดตราด

นายเตช  บุนนาค เลขาธิการสภากาชาดไทยเป็นประธานในการงาน ส่งมอบ “ของขวัญยุวกาชาดไทย 100 ปี แห่งการสถาปนา” โครงการป่าภักดี โดยมีพระมหาไมตรี ปุญญามะรินโท ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม นายชำนาญวิทย์ เตรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดตราด  นางชุลีพร เตรัตน์ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดตราด คุณหญิงชฎา วัฒนศิริธรรม เหรัญญิกสภากาชาดไทย นายแพทย์พินิจ กุลละวณิชย์ ผู้ช่วยเลขาธิการสภากาชาดไทย นางสุนันทา  ศรอนุสิน ผู้อำนวยการสำนักงานยุวกาชาด และรักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานอาสากาชาด นางนนทิยา แก้วเกตุ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารงานกลาง รองศาสตราจารย์ ดร.ชัชพล ไชยพร รองคณบดีคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และแขกผู้มีเกียรติร่วมงาน ภายใต้มาตรการการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่างเคร่งครัด

การส่งมอบของขวัญยุวกาชาดไทย 100 ปี แห่งการสถาปนาในครั้งนี้ เป็นการน้อมนำแนวทางจากพระราชดำรัส ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สภานายิกาสภากาชาดไทย ที่ว่า “พระเจ้าอยู่หัวเป็นน้ำ ฉันจะเป็นป่า ป่าที่ถวายความจงรักภักดีต่อน้ำพระเจ้าอยู่หัวสร้างอ่างเก็บน้ำ ฉันจะสร้างป่า" ที่พระราชทานแก่ราษฎรบ้านถ้ำติ้ว อำเภอส่องดาว จังหวัดสกลนคร เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม พุทธศักราช 2525 และมีพระราชเสาวนีย์ให้จัดตั้งโครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่อันเนื่องมาจากพระราชดำริ อันเป็นแนวทางสำคัญในการอนุรักษ์ทรัพยากรของคนในชาติ โดยเฉพาะสำนักงานยุวกาชาด ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้สภากาชาดไทยที่มีอาสายุวกาชาดผู้รักษ์ในทรัพยากรของประเทศอันจักได้สนองพระเดชพระคุณประดับพระบารมีแห่งพระองค์ โดยโครงการป่าที่ภักดีนอกจากเป็นโครงการที่ให้ความสำคัญในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะป่าไม้แล้ว

โครงการนี้ยังเป็นการสร้างเยาวชนผู้ผ่านเข้ามาเยือนในผืนป่าได้มีแนวคิดทักษะช่วยเหลือผู้อื่น และความรักษ์ในปิตุภูมิและมาตุภูมิถิ่นเกิดของตนวัตถุประสงค์ของโครงการนี้จึงเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่แสดงออกถึงการดำเนินงานด้วยความตั้งใจที่ว่าจักทำเพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สภานายิกาสภากาชาดไทย พระองค์ผู้ทรงมีคุณูปการต่อผืนป่าและทรัพยากรของประเทศอีกทั้งเพื่อรวมพลังเยาวชนในการบำรุงรักษาผืนป่าราชพฤกษ์ ต้นมหาพรหมราชินี ต้นรวงผึ้งและต้นจำปีสิรินธร ให้สมกับเป็น“ถิ่นของต้นไม้แห่งความจงรักภักดี” สถานที่แห่งความอุดมสมบูรณ์ ดินแดนแห่งความมีมนุษยธรรมและแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดตราด

'หมอวรงค์' ชี้!! 'อุ๊งอิ๊ง' เป็นนายกฯ 'โอ๊ค' นั่งมท.1 ไม่แปลก!! แต่ไม่สนถูกผิดอีก เสี่ยงไม่มีแผ่นดินอยู่ อย่ามาว่ากัน

28 มี.ค. 65 - นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดี โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก Warong Dechgitvigrom ว่า "อย่ามาว่ากันนะ"

อุ๊งอิ๊งเคยออกมาพูดเรื่อง ครอบครัวเพื่อไทยจะแลนด์สไลด์ 14 ล้านเสียง

ล่าสุดหมอชลน่าน หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ออกมาปั่นกระแส ครอบครัวเพื่อไทย จะได้รับการตอบรับ 10-12 ล้านเสียง

ในทางระบอบประชาธิปไตย ไม่แปลกที่ "อุ๊งอิ๊ง" จะขึ้นมาเป็นนายก หรือจะเอา "โอ๊ค" มาเป็นรัฐมนตรีมหาดไทยด้วยก็ได้

“นายกฯ”กำชับทุกฝ่ายปฏิบัติตามมาตรการ VUCA ช่วงเทศกาลสงกรานต์ เชื่อ สามารถควบคุมระบาดโควิด-19 ได้ 

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เน้นแนวทางการควบคุมการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 โดยเฉพาะสถานการณ์ช่วงก่อน-ระหว่าง-หลังเทศกาลสงกรานต์ ถือเป็นช่วงเวลาที่สำคัญ โดยกำชับทุกฝ่ายต้องปฏิบัติตามมาตรการ VUCA อย่างเข้มงวด ได้แก่ V-วัคซีน ขอให้เข้ารับการฉีดวัคซีนและวัคซีนเข็มกระตุ้น U- ป้องกันตนเองสูงสุดตลอดเวลา  C- COVID Safe Living ใช้ชีวิตอย่างปลอดภัย หลีกเลี่ยงจัดกิจกรรมเสี่ยง และ A-ตรวจ ATK กรณีที่มีความเสี่ยงต่อการรับเชื้อ รวมทั้งสถานประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ยังคงใช้มาตรการโควิดฟรีเซตติ้ง และการตรวจ ATK อย่างสม่ำเสมอ 

นายธนกร กล่าวว่า นายกฯ ยังเน้นทิศทางการทำงานของรัฐบาล โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมความพร้อมการตรวจหาเชื้อ การฉีดวัคซีน ระบบการดูแลรักษาพยาบาลผู้ติดเชื้อ ลดการระบาด ลดจำนวนผู้เสียชีวิต ทั้งนี้หากทุกฝ่ายเข้มแข็งในการปฏิบัติตามมาตรการ ลดความเสี่ยงทุกกิจกรรม อาจทำให้สามารถควบคุมการติดเชื้อโควิด-19 หลังเทศกาลสงกรานต์ ให้ต่ำกว่าที่กระทรวงสาธารณสุขประมาณการณ์ได้

“เสกสกล” เห็นด้วย “ซูเปอร์โพล”ปชช.พอใจ 10 มาตรการช่วยเหลือ อย่าฟังฝ่ายค้านโจมตีนายกฯ เอาแต่ผลประโยชน์ตัวเอง

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี เห็นด้วยกับสำนักวิจัยซูเปอร์โพล ที่สำรวจความคิดเห็นของประชาชนเรื่อง 10 มาตรการช่วยเหลือประชาชน พบว่าร้อยละ 84.2 พอใจ โดยเฉพาะเรื่องของพลังงาน ลดภาระค่าไฟฟ้า และประชาชนร้อยละ 59.7   ยังให้โอกาสรัฐบาลได้ทำงานต่อ จึงเป็นการแสดงให้เห็นว่านายกฯให้ความสำคัญกับประชาชน  มีความจริงใจในการแก้ไขปัญหาอย่างแท้จริง จนได้รับความไว้วางใจจากประชาชนที่อยากให้นายกฯบริหารงานแก้ไขปัญหาต่อไป

นายเสกสกล กล่าวว่า ตลอดเวลาของการทำหน้าที่ นายกฯและรัฐบาล ได้ทำงานอย่างหนักในการที่จะแก้ไขปัญหาประเทศชาติ และแม้จะเกิดวิกฤตต่างๆ ทั้งสถานการณ์โควิด-19 ที่ส่งผลถึงปัญหาเศรษฐกิจ รวมถึงสถานการณ์ในรัสเซียและยูเครนที่กำลังเกิดขึ้น นายกฯ และรัฐบาล ยังช่วยกันคิดเพื่อที่จะหามาตรการต่างๆออกมาให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน เพราะนายกฯเข้าใจความเดือดร้อนของประชาชนอย่างแท้จริง  

'รัฐบาล' ออกมาตรการลดเงินสมทบผู้ประกันตน ให้ 3 เดือน ช่วยนายจ้าง-ลูกจ้าง กว่า 24.2 ล้านคน ฝ่าเศรษฐกิจ ผลกระทบรัสเซีย-ยูเครน เริ่ม พ.ค.- ก.ค. 65

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งยูเครน – รัสเซีย และได้มีความห่วงใยต่อพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากราคาพลังงาน และสั่งการทุกหน่วยงานประเมิน และออกมาตรการช่วยเหลือประชาชนจากสถานการณ์ดังกล่าว ในส่วนของกระทรวงแรงงาน ได้กำหนดมาตรการลดเงินสมทบทั้งในส่วนของนายจ้างและผู้ประกันทุกมาตรา ม.33, ม. 39 และ ม. 40  เป็นระยะเวลา 3 เดือน 

เริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคม – กรกฎาคม 2565 ได้แก่ หนึ่ง ผู้ประกันตนมาตรา 33 จำนวน 11.2 ล้านคน จะได้ลดเงินสมทบจากร้อยละ 5 ของค่าจ้าง เหลือ ร้อยละ 1 ของค่าจ้าง ยกตัวอย่างหากคิดบนฐานค่าจ้าง 15,000 บาท จากเดิมต้องส่งเงินสมทบ 750 บาท จะลดลงเหลือส่งเงินสมทบ 150 บาท ทำให้สามารถลดภาระค่าครองชีพ ไปได้ประมาณ 600 บาทต่อคนต่อเดือน

นายธนกร กล่าวว่า สอง ผู้ประกันตนมาตรา 39 จำนวน 1.9 ล้านคน จะได้ลดเงินสมทบจากร้อยละ 9 เหลือร้อยละ 1.9 คือจากเดิมที่ต้องส่งเงินสมทบ 432 บาท จะลดลงเหลือส่งเงินสมทบ 91 บาท หรือลดภาระค่าครองชีพไปได้ประมาณ 341 บาทต่อคนต่อเดือน

'นายกฯ' เตรียม ร่วมประชุมผู้นำบิมสเทค 30 มีค.นี้ - รับมอบตำแหน่งประธานต่อจากศรีลังกา

เมื่อวันที่ 28 มี.ค. นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีกำหนดการเข้าร่วมการประชุมผู้นำความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสำหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ (The Bay of Bengal Initiative for Multi-Sectoral Technical and Economic Cooperation : BIMSTEC) ครั้งที่ 5 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจัดขึ้นโดยศรีลังกา และนายโคฐาภยะ ราชปักษะ ประธานาธิบดีศรีลังกา เป็นผู้กล่าวในช่วงพิธีเปิดการประชุม ในวันที่ 30 มีนาคม 2565 เวลา 09.50 น. ผ่านระบบการประชุมทางไกล ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล

นายธนกร กล่าวว่า บิมสเทค (BIMSTEC) เป็นกรอบความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจระหว่าง 7 ประเทศในอ่าวเบงกอล ได้แก่ บังกลาเทศ ภูฏาน อินเดีย เมียนมา เนปาล ศรีลังกา และไทย ก่อตั้งเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2540 ภายใต้การริเริ่มและผลักดันของไทย เพื่อสอดรับนโยบายมองตะวันตก (Look West) ของไทย เข้ากับนโยบายมองตะวันออก (Look East) ของกลุ่มประเทศเอเชียใต้ และ Act East ของอินเดีย โดย ไทย เคยเป็นเจ้าภาพการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ 1 เมื่อปี 2557

‘เซเลนสกี้’ ขอคุย ‘ปูติน’ พร้อมยอมรับการแยกตัวแคว้นอิสระ แต่ขอให้เป็นไปตามเสียงประชามติ | NEWS GEN TIMES ชวนคิด กับ กิตติธัช EP.45

✨ส่อง 10 มาตรการลดค่าครองชีพ สู้วิกฤตน้ำมันแพงจากภาวะสงคราม โดนใจหรือไม่? ตามไปดู!!

✨‘เซเลนสกี้’ ขอคุย ‘ปูติน’ พร้อมยอมรับการแยกตัวแคว้นอิสระ แต่ขอให้เป็นไปตามเสียงประชามติ

✨เอาเปรียบเกินไปไหม? กับกรณีนักกีฬาข้ามเพศ ในการแข่งขันกีฬาของผู้หญิง

NEWS GEN TIMES ชวนคิด กับ กิตติธัช

โดย อ.ต้อม - กิตติธัช ชัยประสิทธิ์ นักวิชาการอิสระและอาจารย์ประจำคณะสถาปัตยกรรม ศิลปะและการออกแบบ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง

.

.

"อลงกรณ์" วิเคราะห์นิด้าโพลชี้ "พิธา-แพทองธาร" มาแรง ฝ่ายค้านแซงรัฐบาล พอใจผลสำรวจพรรคประชาธิปัตย์-หัวหน้าพรรคมีคะแนนนิยมเพิ่มขึ้น ยัน ปชป.จะมุ่งมั่นทำงานโดยเฉพาะงานเศรษฐกิจสร้างรายได้ให้ประเทศชาติและประชาชน

นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคและประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พรรคประชาธิปัตย์แสดงความเห็นวันนี้(27มีนาคม)หลังทราบผลการสำรวจคะแนนนิยมทางการเมือง รายไตรมาส ครั้งที่ 1/2565โดยศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)ว่า พอใจผลการสำรวจความเห็นของประชาชนโดยนิด้าโพลที่ปรากฏผลการสำรวจออกมาว่าพรรคประชาธิปัตย์และหัวหน้าพรรคได้คะแนนนิยมและการสนับสนุนจากประชาชนเพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับผลการสำรวจในไตรมาสก่อนหน้านี้

โดยนายอลงกรณ์ยืนยันว่าปชป.ยุคอุดมการณ์-ทันสมัยทำได้ไวทำได้จริงจะมุ่งมั่นทุ่มเททำงานโดยเฉพาะงานเศรษฐกิจสร้างรายได้ให้ประเทศชาติและประชาชนในช่วงภาวะวิกฤติจากผลงานการส่งออกสร้างเม็ดเงินเข้าประเทศกว่า8ล้านล้านบาทในปีที่ผ่านมาด้วยอัตราการเติบโตกว่า17%สูงกว่าเป้าหมาย4เท่าตัวรวมทั้งการประกันรายได้เกษตรกรกว่า7ล้านครัวเรือนที่ได้รับเงินโอนตรงเข้าบัญชีเกษตรกรกว่า3แสนล้านบาทในช่วง3ปีที่ผ่านมา

โดยการบริหารขับเคลื่อนของหัวหน้าพรรคนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีพาณิชย์และนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรคและรัฐมนตรีเกษตรฯ.ภายใต้ยุทธศาสตร์การขับเคลื่อน 3 กลไกการทำงาน "พรรค-สภาฯ.-รัฐบาล"

รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ยังวิเคราะห์ผลสำรวจของนิด้าโพล โดยมีข้อสังเกตดังนี้

1.พรรคประชาธิปัตย์ได้รับความนิยมเป็นอันดับหนึ่งของพรรคที่เป็นรัฐบาลปัจจุบัน
2.หัวหน้าพรรคนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ได้รับคะแนนสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรีเป็นลำดับที่สองรองจากพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาในซีกของแกนนำรัฐบาลผสม
3.พรรคประชาธิปัตย์และหัวหน้าพรรคได้คะแนนนิยมเพิ่มขึ้นพร้อมกันทั้งพรรคและผู้นำพรรค
4.ผู้นำพรรคฝ่ายค้านและพรรคฝ่ายค้านได้รับความนิยมจากประชาชนมากกว่าผู้นำรัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาล
5. โพลชี้ชัดว่า ยังไม่มีพรรคการเมืองที่ประชาชนสนับสนุนและผู้เหมาะสมเป็นนายกรัฐมนตรีในวันนี้มีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 28.86 และร้อยละ27.62 ตามลำดับ แต่ผมมีข้อสังเกตว่าเปอร์เซ็นต์ลดลงจากผลสำรวจครั้งก่อนบ่งชี้ว่าประชาชนเริ่มตัดสินใจเลือกพรรคการเมืองและผู้เหมาะสมเป็นนายกรัฐมนตรีเพิ่มขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป
6. นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ (พรรคก้าวไกล) มีคะแนนสนับสนุนเป็นนายกรัฐมนตรีมากกว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน และน.ส.แพทองธาร (อุ๊งอิ๊งค์) ชินวัตร (พรรคเพื่อไทย)ที่เพิ่งเปิดตัวไม่นานมีคะแนนรองจากหัวหน้าพรรคก้าวไกลและนายกรัฐมนตรี โดยเหตุผลสำคัญคือเป็นคนรุ่นใหม่และสังกัดพรรคที่ประชาชนนิยมในซีกพรรคฝ่ายค้าน 

ปชป.หนุน บัตรเลือกตั้ง 2ใบ เบอร์เดียวกัน เชื่อพรรคการเมืองหาเสียงง่าย ประชาชนจดจำง่าย

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณี บัตรเลือกตั้งสองใบควรเป็นเบอร์เดียวกันหรือไม่ว่า จากการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญซึ่งกำหนดให้มี ส.ส.เขต 400 คนและ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 100 คน และได้กำหนดให้มีบัตรเลือกตั้งสองใบคือใบหนึ่งให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งเลือก ส.ส.ในระบบเขต และอีกหนึ่งใบให้เลือก ส.ส.ในระบบบัญชีรายชื่อ

โดยหลักการแล้วการกำหนดให้มีหมายเลขของผู้สมัครควรที่จะต้องมีหมายเลขเดียวกันทั้งในระบบเขตและในระบบบัญชีรายชื่อ โดยเจตนารมณ์เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในกรณีที่จะใช้สิทธิ์เลือกตั้งในระบบบัตรเลือกตั้งสองใบ สามารถจดจำหมายเลขได้ง่าย ไม่สับสน  และจะอำนวยความสะดวกให้กับพรรคการเมืองในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งด้วย คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ก็จะจัดการกับกระบวนการเลือกตั้งได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น การประชาสัมพันธ์ก็จะสร้างความสัมพันธ์สอดคล้องกันในบรรยากาศของการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง

“เพื่อไทย” จี้ รัฐบาล เร่งกอบกู้ศรัทธาจากประชาชนในกระบวนการยุติธรรมกลับคืนแนะ “บิ๊กตู่ ” มีอำนาจล้นมือ อย่าดีแต่แต่งตั้งก.ก.ขอให้ชัดเจนในการปฏิรูปตำรวจอย่าให้ ปชช. เสื่อมศรัทธา

เมื่อวันที่ 27 มี.ค.ที่พรรคเพื่อไทย น.ส.อรุณี กาสยานนท์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าว ระหว่างการแถลงข่าวประจำสัปดาห์ ว่า ตั้งแต่ปี 2557 ตั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรียึดอำนาจมาจากนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี สิ่งแรกที่พลเอกประยุทธ์ประกาศคือการปฏิรูปตำรวจ โดยมีการกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ในมาตรา 258 โดยยืนยันว่าจะทำการปฏิรูปประเทศ ทั้ง 7 ด้าน ทั้งด้านการเมือง การบริหารราชการแผ่นดิน กฎหมาย โดยระบุเรื่องการปฏิรูปตำรวจไว้เป็นหนึ่งในหัวข้อหลัก รวมทั้งการปฏิรูปด้านการศึกษา การปฏิรูปเศรษฐกิจและด้านอื่นๆ 

แต่เกือบ 5 ปีที่ผ่านมา การปฏิรูปด้านต่างๆไม่มีความคืบหน้า มีการแต่งตั้งคณะกรรมการภายในการปฏิรูปจำนวนมาก ตั้งแต่มีการบังคับใช้รัฐธรรมนูญปี 2560 ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูปตำรวจ ไม่ต่ำกว่า 5 คณะ ได้แก่ ชุดที่ 1 คณะกรรมาธิการปฏิรูปกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ในช่วงเดือน ต.ค. 2557  ชุดที่ 2 คณะกรรมาธิการปฏิรูปประเทศด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมในสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ในปี 2558  ชุดที่ 3 คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม (ตำรวจ) 

ในปี 2560 มีพล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ เป็นประธาน ชุดที่ 4 คณะกรรมการแก้ไขร่างกฎหมาย พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ ในเดือน มี.ค. 2561 มีนายมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธาน และชุดที่ 5.คณะกรรมการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ ในเดือน มี.ค. 2562  (นายมีชัย ฤชุพันธ์ เป็นประธาน) 

แต่ผ่านมา 4 ปี  11 เดือน 20 วัน มีแต่ความล่าช้า ทำให้เกิดความคลางแคลงและข้อสงสัยว่านายกรัฐมนตรีและทำผิดรัฐธรรมนูญหรือไม่ เนื่องจากมีการระบุอย่างชัดเจนในมาตรา 260 ว่าการปฏิรูปตำรวจต้องแล้วเสร็จภายใน 1 ปี แต่ถึงวันนี้ไม่แน่ใจว่าทำไมถึงแผ่วลงไป ทั้งที่พล.อ.ประยุทธ์มีความมุ่งมั่นแน่วแน่  แต่กลายเป็นว่าภาพที่เห็นในปัจจุบันคือการไม่เร่งรัดให้มีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ. ฉบับดังกล่าว  

“ ปัจจุบันร่างพ.ร.บ.ตำรวจ พิจารณาได้เพียง 40 บาทตราจาก 140 มาตราและยังไม่ได้มีการพิจารณาต่อในสภาผู้แทนราษฎร ทำให้เกิดวิกฤติศรัทธาจากประชาชนที่มีต่อระบบและกระบวนการยุติธรรม หลายครั้งจะเห็นว่าประชาชนตั้งคำถามกับตำรวจว่าได้ทำหน้าที่สุดความสามารถแล้วหรือยัง ทำงานได้คุ้มค่ากับภาษีที่จ่ายไปหรือไม่ โดยเฉพาะเมื่อเกิดคดีสำคัญหรือมีผู้เกี่ยวข้องที่มีชื่อเสียงตำรวจได้มีส่วน ในการตรวจสอบทั้งเรื่องของพยานหลักฐานพยานบุคคล ก็ยิ่งมีคำถามเกิดขึ้นมากมาย 

"บิ๊กป้อม" พลิกโฉมพื้นที่ริมคลอง  สร้างท่าเรือแข็งแรงปลอดภัย เร่งบำบัดน้ำเสีย เพื่อชาว กทม.

เมื่อวันที่ 27 มี.ค.พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารจัดการสิ่งก่อสร้างรุกล้ำลำน้ำสาธารณะ เปิดเผยว่า การขับเคลื่อนฟื้นฟู และพัฒนาในพื้นที่ กรุงเทพมหานคร มีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง จากที่ได้นำร่อง  3 คลองหลัก คือ คลองลาดพร้าว คลองเปรมประชากร และคลองแสนแสบ สำหรับการดำเนินการก่อสร้างเขื่อนริมคลอง มีผลงานรวมทั้งโครงการ คิดเป็นร้อยละ 55.6  ส่วนโครงการบ้านมั่นคง ที่คลองลาดพร้าว สามารถดำเนินการแล้วเสร็จไปแล้วเกินครึ่งกว่าร้อยละ 50.02  คือ 35 ชุมชน 3,536 ครัวเรือน  ส่วนคลองเปรมประชากร ดำเนินการไปแล้วร้อยละ 12 คือ 5 ชุมชน 774 ครัวเรือน ขณะที่คลองแสนแสบ มีแผนฟื้นฟูสภาพแวดล้อมกว่า 30 โครงการ ทั้งการสร้างท่าเรือที่มั่นคงแข็งแรงเพื่อสร้างความปลอดภัย การจัดการกับตะกอนท้องคลอง จัดเก็บขยะและวัชพืช บำบัดน้ำเสีย และปรับปรุงสภาพแวดล้อมริมคลอง ให้ถูกสุขลักษณะที่ดี

โฆษกรัฐบาลเผย 'นายกฯ' เดินหน้าแก้ไขปัญหา PM 2.5 กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง พร้อมชื่นชมเจ้าหน้าที่และประชาชนที่ร่วมกันแก้ไขปัญหาจนผลกระทบลดลง

เมื่อวันที่ 27 มี.ค.นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้ความสำคัญต่อการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 โดยได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่รัฐบาลได้ประกาศให้การแก้ไขปัญหามลภาวะด้านฝุ่นละอองเป็นวาระแห่งชาติ โดยเน้นย้ำให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองทั้งในกรุงเทพฯ และพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบทั่วทั้งประเทศ ซึ่งนายกรัฐมนตรีห่วงใยผลกระทบที่อาจส่งผลถึงชีวิตความเป็นอยู่ และสุขภาพของประชาชน ซึ่งเกิดจากปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 และมลพิษทางอากาศ

โดยได้กำชับให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” ซึ่งจากข้อมูลของกรมควบคุมมลพิษพบว่า นับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2564 – 23 มีนาคม 2565 ได้มีการตรวจสอบตรวจวัดควันดำรถบรรทุกและรถโดยสารทั่วประเทศ และปรับปรุงค่ามาตรฐานควันดำโดยเพิ่มความเข้มงวดและประสิทธิภาพการแก้ปัญหา PM 2.5 จากแหล่งกำเนิดมลพิษประเภทรถยนต์ โดยปรับมาตรฐานค่าควันดำของรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์แบบจุดระเบิดด้วยการอัด พ.ศ. 2564 ซึ่งกำหนดค่าความทึบแสงไม่เกินร้อยละ 30 จากเดิมไม่เกินร้อยละ 45 และค่ากระดาษกรองไม่เกินร้อยละ 40 จากเดิมไม่เกิน ร้อยละ 50 หากตรวจพบค่าควันดำเกินกำหนดจะลงโทษเปรียบเทียบปรับสถานหนัก 5,000 บาท และสั่งห้ามใช้รถทันที ซึ่งจะมีผลบังคับใช้วันที่ 13 เมษายนนี้

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำหรับปัญหามลพิษอากาศจากหมอกควันและไฟป่า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ดำเนินโครงการ “ชิงเก็บ ลดเผา” ซึ่งในปี 2564 สามารถดำเนินการเก็บขนเชื้อเพลิงในพื้นที่ป่ามาใช้ประโยชน์ได้ 2,800 ตัน จากเป้าหมาย 1,000 ตัน ครอบคลุมพื้นที่ 400,000 ไร่ ทำให้จำนวนจุดความร้อนในพื้นที่ลดลงร้อยละ 60 และในปี 2565 มีการดำเนินงานต่อเนื่อง โดยปัจจุบันสามารถเก็บขนเชื้อเพลิงในพื้นที่ป่ามาใช้ประโยชน์ได้ 1,310 ตัน จากเป้าหมาย 3,000 ตัน และคาดว่าจะสามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จได้ตามเป้าหมาย ซึ่งรัฐบาลโดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ปรับแนวคิดและระบบในการทำงานแบบใหม่ สร้างการรับรู้และความเข้าใจกับชุมชน พร้อมทำงานแบบมีส่วนร่วมกับชุมชน หน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน

"รัฐบาล" ยันดูแลประชาชนทุกกลุ่ม เน้นใช้จ่ายงบประมาณใต้กรอบวินัยการเงินการคลัง "ย้ำ" เสถียรภาพการคลังประเทศยังแข็งแกร่ง "ฟุ้ง"เสถียรภาพเศรษฐกิจยังเข้มแข็งขับเคลื่อนได้ คาดการขยายตัวภาคการส่งออกไทยปีนี้จะอยู่ที่ 5-10%

เมื่อวันที่ 27 มี.ค.นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้ความสำคัญกับการดูแลช่วยเหลือประชาชนทุกกลุ่มอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ควบคู่กับทำให้เศรษฐกิจของประเทศเดินหน้าได้ รวมถึงออกมาตรการบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์ความขัดแย้งยูเครน-รัสเซีย แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนด้านต่าง ๆ ทั้งด้านพลังงานและเชื้อเพลิง ค่าครองชีพ ด้านขนส่ง แรงงานและนายจ้าง โดยมุ่งเน้นให้การใช้จ่ายงบประมาณที่มีอยู่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนและประเทศชาติ และอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง การบริหารจัดการที่เป็นไปอย่างมีระบบ มีแผนงาน/โครงการที่ชัดเจน ทำให้ขณะนี้ฐานะทางการเงินการคลังของประเทศไทยยังมีเสถียรภาพที่เข้มแข็ง โดยเสถียรภาพด้านการคลังดูได้จากการบริหารรายได้และรายจ่ายของภาครัฐ ซึ่งฐานะทางการคลังของรัฐบาลตัวเลขล่าสุดใน 5 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2565 (ตุลาคม 2564 – กุมภาพันธ์ 2565) ระดับอัตราเงินคงคลังปลายงวดอยู่ที่ประมาณ 400,000 ล้านบาท ซึ่งลดลงตามดุลเงินสดที่ขาดดุลอยู่ในขณะนี้และเป็นไปตามดุลงบประมาณ  

นายธนกร กล่าวว่า ในช่วง 5 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2565 รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังทั้งสิ้น จำนวน 901,414 ล้านบาท ในขณะที่มีการเบิกจ่ายงบประมาณทั้งสิ้น 1,429,194 ล้านบาท โดยรัฐบาลได้กู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุล จำนวน 394,465 ล้านบาท ซึ่งในปี 2565 ได้ตั้งงบประมาณขาดดุลไว้ที่ 700,000 ล้านบาท ส่งผลให้เงินคงคลังปลายงวด ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2565 มีจำนวนทั้งสิ้น 418,588 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับที่รัฐบาลได้มีการกำหนดสภาพคล่องไว้อยู่ที่ประมาณ 400,000 – 500,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับที่มีความมั่นคงและมีเสถียรภาพพียงพอ ทั้งนี้ การจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลคาดจะเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดคือ 2.4 ล้านล้านบาท ขณะที่ทุนสำรองระหว่างประเทศในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2565 ยังมีความเข้มแข็งอยู่ที่ประมาณ 245,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งอยู่ในระดับสูงและสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ 

นายธนกร กล่าวว่า ขณะเดียวกันเสถียรภาพทางด้านราคา ซึ่งดูจากอัตราเงินเฟ้อที่วัดจากดัชนีผู้บริโภคนั้น อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2565 ปรับตัวสูงขึ้นจากราคาพลังงาน โดยเดือนมกราคม อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 3% และเดือนกุมภาพันธ์ อัตราเงินเฟ้อประมาณ 5% แต่หากดูอัตราเงินเฟ้อที่ไม่รวมเรื่องพลังงานกับอาหารสด อัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นเพียงประมาณ 0.5 ในเดือนมกราคม และเดือนกุมภาพันธ์ อัตราเงินเฟ้อเพิ่มที่ 1.8 ซึ่งรัฐบาลก็ได้เข้ามาดูแลช่วยเหลือประชาชนระยะสั้นในการลดต้นทุน และการช่วยเหลือค่าครองชีพต่าง ๆ ผ่าน 10 มาตรการสำคัญโดยพุ่งเป้าเน้นช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนอย่างแท้จริง

พร้อมมีการติดตามประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อปรับมาตรการต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในระยะต่อไป ส่วนอัตราการว่างงานในไตรมาสที่ 4 ปี 2564 ปรับตัวลงมาอยู่ที่ร้อยละ 1.6 ของแรงงานรวม ซึ่งเป็นผลมาจากที่รัฐบาลได้มีการผ่อนคลายมาตรการและเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจตามนโยบายเปิดประเทศของรัฐบาลเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2564 ที่ผ่านมา รวมไปถึงการดำเนินโครงการเราเที่ยวด้วยกัน ผู้ประกอบการด้านโรงแรมสามารถกลับมาเริ่มดำเนินกิจการและรักษาการจ้างงานได้ รวมทั้งประชาชนมีความมั่นใจที่จะเดินทางมากขึ้นภายใต้มาตรการด้านสาธารณสุขป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top