Monday, 19 May 2025
POLITICS

‘บิ๊กตู่’ หารือ ‘ทูตสเปน’ หนุน ความร่วมมือระหว่างประเทศ กระชับความสัมพันธ์ไทย-สเปน ครบรอบ 153 ปี

(29 มี.ค. 66) ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายเฟลิเป เด ลา โมเรนา กาซาโด (H.E. Mr. Felipe de la Morena Casado) เอกอัครราชทูตราชอาณาจักรสเปนประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในโอกาสเข้ารับหน้าที่

นายกรัฐมนตรี กล่าวต้อนรับในนามรัฐบาลและประชาชนไทย พร้อมชื่นชมความสัมพันธ์และความร่วมมือไทยกับสเปนที่แน่นแฟ้น รวมถึงกลไกการประชุมหารือทางการเมือง (Political Consultations) ที่ทั้งสองฝ่ายได้ขับเคลื่อนพลวัตความร่วมมือทวิภาคี และต่อยอดความร่วมมือระหว่างกัน โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน การศึกษา ความร่วมมือด้านสมุทราภิบาล และการอนุรักษ์พันธุ์สัตว์น้ำ ทั้งนี้ ไทยพร้อมสนับสนุนการทำงานของเอกอัครราชทูตสเปนฯ ในการปฏิบัติหน้าที่ส่งเสริมความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศให้ใกล้ชิด และหวังว่าสเปนจะประสบความสำเร็จในภารกิจต่าง ๆ ในช่วงที่ดำรงตำแหน่งประธานคณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรป ในช่วงครึ่งหลังของปี 2566

เอกอัครราชทูตสเปนฯ กล่าวแสดงความรู้สึกยินดีที่ได้มาดำรงตำแหน่งในไทย และได้รับการต้อนรับจากไทยเป็นอย่างดี โดยไทยและสเปนมีความสัมพันธ์มายาวนาน ซึ่งในปีนี้จะครบรอบความสัมพันธ์ 153 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน ขอยืนยันที่จะกระชับความสัมพันธ์ให้ใกล้ชิดและสานต่อความร่วมมือระหว่างกันในทุกด้านต่อไป ทั้งความมั่นคง เศรษฐกิจ การศึกษา การท่องเที่ยว และพหุภาคี พร้อมกล่าวชื่นชมรัฐบาลในการผลักดันเศรษฐกิจที่มุ่งสู่การเปลี่ยนผ่านสีเขียว ผ่านโมเดลเศรษฐกิจ BCG ซึ่งสอดคล้องกับสเปนที่ดำเนินนโยบายเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งสเปนมีศักยภาพและสามารถเข้ามามีส่วนร่วมกับประเทศไทยได้

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีและเอกอัครราชทูตสเปนฯ ได้หารือถึงความร่วมมือด้านต่าง ๆ โดย
ความร่วมมือด้านความมั่นคง ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องในการกระชับความร่วมมือด้านความมั่นคงมากขึ้น โดยเอกอัครราชทูตสเปนฯ ยินดีที่ทั้งสองฝ่ายมีความร่วมมือด้านความมั่นคงที่แน่นแฟ้น พร้อมเพิ่มพูนความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ รวมถึงส่งเสริมการศึกษาของบุคลากรทางทหารระหว่างไทยและสเปน

ด้านความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ เอกอัครราชทูตสเปนฯ ยินดีที่การค้าระหว่างทั้งสองฝ่ายเพิ่มมากขึ้น ซึ่งไทยและสเปนยังมีศักยภาพในการแสวงหาโอกาสเพื่อเพิ่มพูนการค้าระหว่างกันให้มากขึ้น สเปนพร้อมส่งเสริมให้นักลงทุนสเปนมาลงทุนในไทยเพิ่มเติม ด้านนายกรัฐมนตรีขอให้ทั้งสองฝ่ายใช้ประโยชน์จาก RCEP รวมถึงขับเคลื่อนความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่มุ่งสู่การเปลี่ยนผ่านสีเขียวและดิจิทัล ผ่านโมเดลเศรษฐกิจ BCG พร้อมเชิญชวนสเปนมาลงทุนในไทยในสาขาที่สเปนมีความโดดเด่น ทั้งด้านพลังงาน การแพทย์ คมนาคม (ระบบราง) โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเป้าหมายใน EEC และอุตสาหกรรมภายใต้โมเดลเศรษฐกิจ BCG

‘ณัฐวุฒิ’ ลั่น!! นายกฯ ต้องมาจากแคนดิเดต ‘เพื่อไทย’ เผย พร้อมตั้งรัฐบาลผสมกับพรรคที่ยึดหลักประชาธิปไตย

(29 มี.ค. 66) เฟซบุ๊กแฟนเพจหลักของ ‘พรรคเพื่อไทย’ ได้ออกมาโพสต์ข้อความ โดยมีเนื้อหาระบุว่า…

“ถ้าพรรคเพื่อไทยชนะลำดับ 1 เพื่อไทยต้องเป็นแกนนำตั้งรัฐบาล นายกรัฐมนตรีต้องมาจากแคนดิเดตคนใดคนหนึ่งของพรรคเพื่อไทย  เราจะตั้งรัฐบาลผสมและพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยต้องเป็นพรรคที่ยืนยันหลักการประชาธิปไตย และนโยบายของพรรคเพื่อไทยต้องเป็นนโยบายหลักของรัฐบาล”

ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์สดในรายการเปลี่ยนใหม่หรือไปต่อ ตอน ตัวตึง!!! ดำเนินรายการโดย สรยุทธ สุทัศนะจินดา ทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีช่อง 3 โดยมีตัวแทนพรรคการเมืองอื่นเข้าร่วมอีกรวม 6 พรรค ในช่วงแรก ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ กล่าวตอบคำถามของผู้ดำเนินรายการถึงเหตุผลอะไรที่จะต้องเลือกพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลว่า เพราะในช่วง 8 ปีของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นช่วงที่มีแต่ข่าวการทุจริตคอร์รัปชัน โดยสถาบันจัดลำดับการคอร์รัปชั่นทั้งในและต่างประเทศได้รายงานการทุจริตเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาจะอ้างเสมอว่าตัวเองเป็นคนดี ยึดมั่นสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ในส่วนนั้นตนให้ความเคารพ แต่ที่เห็นได้ชัดคือพลเอกประยุทธ์ไม่เคยได้ยึดมั่นในประชาชนเลย เพราะพลเอกประยุทธ์ยึดอำนาจมาจากประชาชน และเขียนกติกาสืบทอดอำนาจให้พลเอกประวิตร วงศ์สุวรรณมาตั้ง ส.ว. และให้ ส.ว.มาเลือกพลเอกประยุทธ์มาเป็นนายกรัฐมนตรี สิ่งเหล่านี้มันจึงอธิบายว่าประเทศกำลังเดินผิดทางและผลกระทบจากการเดินผิดทางคือความเดือดร้อนทุกข์ยากของประชาชน พรรคเพื่อไทย จึงเสนอตัวและเป็นทางเลือกทางเดียวที่จะปฏิเสธการเดินต่อของพลเอกประยุทธ์คือการต้องสนับสนุนพรรคเพื่อไทย เปลี่ยนขั้วตั้งรัฐบาลฝ่ายประชาธิปไตย

ณัฐวุฒิ กล่าวต่อว่า ถ้าพรรคเพื่อไทยได้คะแนนเป็นลำดับหนึ่ง ต้องเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล เพื่อไทยจะตั้งรัฐบาล นายกรัฐมนตรีต้องมาจากแคนดิเดตคนใดคนหนึ่งของพรรคเพื่อไทย เราจะตั้งรัฐบาลผสมและพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยต้องเป็นพรรคที่ยืนยันหลักการประชาธิปไตย และนโยบายของพรรคเพื่อไทยต้องเป็นนโยบายหลักของรัฐบาล

“ผมกล้าเชื่อว่า ถ้าหากว่าเพื่อไทยเสียงนำมาเป็นที่หนึ่ง และจับกับพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยตั้งรัฐบาลแล้ว เชื่อว่า ส.ว. 250 เสียงจะไม่ตัดสินใจเหมือนเดิมไม่กล้าโหวตสวน แต่จะมีจำนวนหนึ่งที่ยอมรับการตัดสินใจของประชาชน และหันกลับมาโหวตให้ฝ่ายประชาธิปไตยจัดตั้งรัฐบาล” ณัฐวุฒิ กล่าว


ที่มา : https://www.facebook.com/pheuthaiparty/posts/pfbid0UB8rRebSpurtV7YQ1mA4SswQhKRY8Q8JRiCaYCS31kSyjWPReD5asciAmJv35phPl

‘ลุงป้อม’ ไฟเขียว เพิ่มงบฯ สู้ศึกซีเกมส์ ครั้งที่ 32 ย้ำใช้วิทยาศาสตร์การกีฬา เสริมศักยภาพนักกีฬาไทย

(29 มี.ค.66) ที่มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อฯ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2566  

โดยที่ประชุมรับทราบรายงานการสนับสนุนงบประมาณแผนงานของฝ่ายพัฒนากีฬาเป็นเลิศ ซึ่งได้ดำเนินการขอปรับเพิ่มงบประมาณให้กับโครงการเตรียมนักกีฬาเพื่อเข้าร่วมการแข่งขัน รายการสำคัญ ได้แก่ โครงการเตรียมซีเกมส์ ครั้งที่32, เอเชียนเกมส์ และเอเชียนพาราเกมส์ สมัยหน้า และรับทราบการส่งเสริมการใช้อุปกรณ์สำหรับนักกีฬาคนพิการ ที่ต้องมีการทำ Inventory Control อุปกรณ์ที่ใช้ควรมีมาตรฐาน และต้องมีการตรวจสอบอายุการใช้งานก่อนนำไปใช้ เพื่อป้องกันไม่ให้นักกีฬาได้รับบาดเจ็บ จากการใช้อุปกรณ์ที่อาจเกิดจากการ Over Use และทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ 

จากนั้นที่ประชุมได้เห็นชอบ การใช้แบบฟอร์มรายงานผลการดำเนินงานแทนบันทึกข้อตกลงการสนับสนุนงบประมาณ สำหรับโครงการส่งเสริมกีฬาที่ดำเนินการแล้วเสร็จ เพื่อลดความล่าช้าและเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารงบประมาณ 

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ขอให้ ผจก.กองทุนฯ, กกท., สมาคมกีฬา และผู้ที่เกี่ยวข้อง ปฏิบัติตามมติคณะกรรมการฯ และกฏระเบียบให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกองทุนฯ อย่างเคร่งครัด ที่ผ่านมาได้ให้ความสำคัญต่อการส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพนักกีฬาและนักกีฬาคนพิการพร้อมบุคลากรกีฬา มาอย่างต่อเนื่อง โดยใช้งบสนับสนุนจากกองทุนฯ ใช้วิทยาศาสตร์การกีฬา ส่งเสริมอย่างเต็มที่ และหวังให้นักกีฬาทุกสมาคม ทุกประเภท ประสบความสำเร็จสู่ความเป็นเลิศ ซึ่งมีหลายสมาคมทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในระดับสากล และสามารถสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศชาติ ได้อย่างน่าภาคภูมิใจ

‘รัฐบาล’ ชวนร่วมงาน ‘ใต้ร่มพระบารมี 241 ปี กรุงรัตนโกสินทร์’ หนุน ยกระดับพิพิธภัณฑ์ - ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมทั่วประเทศ

(29 มี.ค. 66) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ระหว่างวันที่ 21 – 25 เมษายน 2566 รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งจากภาครัฐและเอกชนกว่า 30 หน่วยงาน ได้ร่วมกันจัดงาน ‘ใต้ร่มพระบารมี 241 ปี กรุงรัตนโกสินทร์’ ที่บริเวณรอบเกาะรัตนโกสินทร์ เพื่อเทิดพระเกียรติและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี รวมถึงสมเด็จพระบูรพกษัตริย์ทุกพระองค์ในพระบรมราชจักรีวงศ์ และร่วมฉลองเนื่องในวาระครบรอบวันคล้ายวันสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ 241 ปี พร้อมจัดกิจกรรมและจำหน่ายสินค้าวัฒนธรรมไทย 76 จังหวัด ผลักดันการท่องเที่ยวเชิงมรดกวัฒนธรรม ทั้งนี้ มีรูปแบบงานและกิจกรรม 8 ส่วนหลัก ได้แก่

1.) พิธีทางศาสนา ประกอบด้วย วันที่ 20 เมษายน 2566 พิธีบวงสรวงเทพยดา ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร และโรงละครแห่งชาติ และ วันที่ 21 เมษายน 2566 พิธีบำเพ็ญกุศลอุทิศถวายสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช และพิธีตักบาตรพระสงฆ์ จำนวน 99 รูป ณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามฯ และพิธีบวงสรวงศาลหลักเมือง ณ ศาลหลักเมือง

2.) พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร และโรงละครแห่งชาติ ประกอบด้วย พิธีเปิดงานอย่างยิ่งใหญ่ ประดิษฐานภาพพระบรมฉายาลักษณ์และเครื่องราชสักการะ 10 รัชกาล การแสดงทางศิลปวัฒนธรรม ชมพิพิธภัณฑ์ในยามค่ำคืน (Night Museum), การสาธิตอาหารไทยโบราณ ในรูปแบบตลาดย้อนยุค, การจำหน่ายสินค้าและผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรม 76 จังหวัด ผลิตภัณฑ์ Cultural Product of Thailand (CPOT) ของดี 50 เขต กทม. และจุดถ่ายภาพย้อนยุคบริการประชาชน

3.) สวนสันติชัยปราการ ประกอบด้วย การแสดงมัลติมีเดีย ‘ใต้ร่มพระบารมี 241 ปี กรุงรัตนโกสินทร์’ จัดแสดงอุโมงค์ไฟเรืองแสง ระหว่างวันที่ 21 เมษายน – 7 พฤษภาคม 2566 นิทรรศการสวนแสงจัดแสดงพระราชประวัติ 10 รัชกาล จัดฉายหนังกลางแปลง และการแสดงวงดุริยางค์จากเครือข่ายเยาวชนไทย

4.) หอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน ประกอบด้วย การประกวดภาพถ่ายกิจกรรมงานใต้ร่มพระบารมี 241 ปี กรุงรัตนโกสินทร์ สาธิต และจำหน่ายสินค้าและผลิตภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัย และกิจกรรมชุมชนอาเซียนใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร

‘ส.ว.อุปกิต’ โต้ไม่ได้มอบตัว เพียงชี้แจงข้อเท็จจริง ยันไม่มีการหลบหนี ขอสู้จนได้ความยุติธรรมคืน

‘ส.ว.อุปกิต’ โต้ไม่ได้มอบตัว เพียงแสดงความบริสุทธิ์ใจ ยืนยันไม่หลบหนี 

(28 มี.ค.66) นายอุปกิต ปาจรียางกูร สมาชิกวุฒิสภา กล่าวถึงการเข้าพบพนักงานสอบสวนกรณีถูกกล่าวหาดำเนินคดีและสื่อมวลชนหลายสำนักนำเสนอข่าว เป็นการชิงมอบตัว โดยยืนยันว่า ไม่ใช่การไปมอบตัว เพราะในข้อเท็จจริงเป็นที่รับทราบกันโดยทั่วไปว่า ทั้งนายรังสิมันต์ โรม และนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ กล่าวหาตนและเข้าไปให้ข้อมูลกับพนักงานสอบสวน รวมถึงพยายามสร้างกระแสเพื่อเร่งรัดกระบวนการยุติธรรม จึงเป็นสิทธิโดยชอบของตนที่จะเดินทางไปชี้แจงข้อเท็จจริง และแสดงความบริสุทธิ์ใจ พร้อมจะให้ความร่วมมือกับกระบวนการยุติธรรม เพื่อปกป้องเกียรติยศ ศักดิ์ศรี ของตนเองและวงศ์ตระกูล

‘โรม’ ฮึ่ม!! ‘ส.ว.ทรงเอ’ มอบตัว ยังไม่ใช่ความคืบหน้าที่น่าพอใจ  แจ้งเพียงข้อหาสมคบฟอกเงิน ไม่ใช่คดียาเสพติด 

‘โรม’ ชี้กรณี ‘ส.ว.ทรงเอ’ มอบตัว ยังไม่ใช่ความคืบหน้าที่น่าพอใจ แจ้งเพียงข้อหาสมคบฟอกเงิน ไม่ใช่คดียาเสพติด จี้ ปปง. เร่งยึด-อายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้อง อัยการ-ตำรวจ เร่งดำเนินคดีต่อให้บริสุทธิ์ยุติธรรม

(28 มี.ค.66) รังสิมันต์ โรม โฆษกพรรคก้าวไกล ให้ความเห็นต่อกรณีที่ อุปกิต ปาจารียางกูร หรือ ‘ส.ว.ทรงเอ’ ที่มีสายสัมพันธ์กับขบวนการค้ายาเสพติดของ ทุน มิน ลัต เข้าพบผู้บังคับการตำรวจปราบปรามยาเสพติด เพื่อแจ้งความประสงค์ขอต่อสู้คดีเมื่อวานนี้ (27 มีนาคม) โดยระบุว่าแม้จะเป็นความคืบหน้า แต่ก็ไม่ได้เป็นที่น่าพอใจอย่างถึงที่สุด เพราะข้อหาที่มีการแจ้งในเบื้องต้นยังไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงทั้งหมด แม้จะมีข้อหาสมคบกันฟอกเงิน แต่ข้อหาที่ ส.ว.อุปกิตควรได้รับจริงๆ คือข้อหาเดียวกันกับที่ทุน มิน ลัต และพวก ถูกแจ้งไปก่อนหน้านี้ เพราะฉะนั้น เพื่อรักษามาตรฐานทางกฎหมาย จึงควรมีการดำเนินคดีไปในลักษณะเดียวกันมากกว่า

‘ยิ่งลักษณ์’ ห่วงใยเด็กเชียงใหม่ รับฝุ่น PM2.5 จี้รัฐบาลเร่งแก้ไขระยะยาว หวั่นเด็กๆ ป่วยสะสม

(28 มี.ค. 66) น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า สมัยเด็ก ๆ ตอนที่ดิฉันอยู่เชียงใหม่ ไม่เคยมีฝุ่นเยอะขนาดนี้ อย่างน้อยก็แค่ควันไฟธรรมดา แต่ตอนนี้มีเยอะมากไม่ใช่ควันไฟทั่วไปแต่เป็นควันพิษ PM 2.5 ซึ่งทางวิชาการเป็นอันตรายและเป็นอันตรายในระยะยาว ไม่ใช่เฉพาะในปัจจุบัน แต่สิ่งที่น่าห่วงใยคือเด็ก ๆ ที่ฝุ่นจะสะสมและเห็นผลในอีก 5 -10 ปีข้างหน้า 

‘บิ๊กตู่’ เผย ‘เสี่ยหนู’ ยังไม่ยื่นลาราชการยาว บอก ลาเป็นครั้งคราวได้-แต่ละคนภาระกิจต่างกัน

(28 มี.ค. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า “สวัสดีจ๊ะ วันนี้อากาศดีลมเย็นดี” ผู้สื่อข่าวถามว่าวันนี้มีรองนายกรัฐมนตรีท่านไหนหารือเรื่องการลาราชการ เพราะอาจจะต้องลงพื้นที่หาเสียงหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า แล้วแต่ท่าน ถ้าองค์ประกอบ ครม.ครบก็ประชุมได้อยู่แล้ว ซึ่งทุกคนก็มีภาระแต่ละคนไม่เหมือนกัน  

'ตั๊น จิตภัสร์' ลูกหม้อ ปชป. ส่อย้ายพรรค หลังโพสต์เป็นนัย “อยู่ที่ไหนก็ได้ถ้าเห็นคุณค่า”

'ตั๊น จิตภัสร์' ส่อโบกมือลา ปชป. หลังโพสต์ข้อความเป็นนัย บอกอยู่ที่ไหนก็ได้ถ้าเห็นคุณค่า ไม่ยึดติดต้องอยู่บ้านหลังใด

(28 มี.ค.66) เมื่อช่วงดึกของคืนวันที่ 27 มี.ค.ที่ผ่านมา น.ส.จิตภัสร์ กฤดากร อดีตส.ส.บัญชีรายชื่อและรองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว มีใจความว่า “อยู่ที่ไหนก็ได้ ที่เค้าเห็นคุณค่าและผลงานของเรา 13 ปี กับ พรรคประชาธิปัตย์ ตั้งแต่อายุ 25 ปี ลงสมัครรับเลือกตั้งครั้งแรก ในนามพรรคประชาธิปัตย์ รู้สึกเสมอมาว่าเป็นความภาคภูมิใจของตัวเราเองที่ได้ลงในนามพรรค เป็นพรรคที่สอดคล้องกับอุดมการณ์เพื่อพี่น้องประชาชนตามความตั้งใจของตั๊นตั้งแต่เด็ก วันนี้ตั๊นไม่ได้ยึดติดว่าจะต้องเป็นบ้านหลังไหน ขอเพียงมีอุดมการณ์เดียวกัน และให้โอกาสเราได้ทำงาน เพราะตั๊นยังยึดมั่นผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชน และ ประเทศชาติเป็นหลัก”

‘พิธา’ ชี้แก้ฝุ่นพิษ PM 2.5 ต้องกล้าชนกลุ่มทุน ต้นตอนำเข้า ‘ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์’ ที่เผาป่าเพิ่มพื้นที่ปลูก

‘พิธา’ ชี้แก้ฝุ่นพิษ PM 2.5 ที่ต้นตอ ต้องกล้าชนกลุ่มทุน ยกข้อมูลพื้นที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เติบโตสัมพันธ์กับจุดความร้อน ลั่น ‘ก้าวไกล’ เป็นรัฐบาล ใช้สิงคโปร์โมเดล ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์-สินค้าเกษตรนำเข้า ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน GAP กำหนดกฎหมาย ผู้มีส่วนสร้างหมอกควันพิษ ต้องรับผิดชอบทั้งทางอาญา-แพ่ง

(27 มี.ค. 66) พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่กำลังอยู่ในสถานการณ์วิกฤติในหลายจังหวัดภาคเหนือว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา สถานการณ์ PM2.5 ในภาคเหนือรุนแรงมาก บางจังหวัดเช่นเชียงใหม่ กลายเป็นเมืองที่มีมลพิษมากที่สุดในโลก บางวันสถานการณ์รุนแรงเกินกว่าที่เครื่องวัดฝุ่นละอองจะวัดได้ ข้อเสนอในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าต่างๆ โดยเฉพาะด้านการป้องกัน บรรเทา และเตือนภัย คงมีคนพูดถึงไปเยอะแล้ว ตนจึงขอพูดอีกประเด็นสำคัญที่ยังไม่ถูกพูดถึงมากนัก นั่นคือต้นตอของสาเหตุที่ทำให้ PM2.5 รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา

หลายคนรู้ปัญหาดีว่าต้นเหตุของฝุ่น PM2.5 ที่มากขนาดนี้มาจากการเผา โดยเฉพาะการเผาเพื่อขยายพื้นที่เกษตรกรรม แต่เบื้องหลังของการเผาเพื่อขยายพื้นที่เกษตรกรรม คือธุรกิจการเกษตรที่ทำธุรกิจอย่างไม่รับผิดชอบ ข้อมูลจาก GISTDA เปิดเผยว่าวันที่ 26 มีนาคม 2566 เพียงวันเดียว ประเทศเมียนมาพบจุดความร้อน 10,563 จุด สปป.ลาว 9,652 จุด และไทยพบจุดความร้อนถึง 5,572 จุด สูงที่สุดในรอบ 5 ปี จำนวนจุดความร้อนที่เพิ่มขึ้น สัมพันธ์กับจำนวนพื้นที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่เพิ่มขึ้นกว่า 10.6 ล้านไร่ ในรอบ 7 ปีที่ผ่านมาของประเทศลาว เมียนมา และไทย

สาเหตุของการเผาไม่ต้องไปหาอื่นไกล เกิดจากประเทศไทยของเราเอง ดังจะเห็นได้จากข้อมูลการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากประเทศเพื่อนบ้าน คือเมียนมา ลาว กัมพูชา ที่เพิ่มขึ้นจากประมาณ 770 ล้านบาท ในปี 2558 เพิ่มขึ้นเป็น 14,325 ล้านบาทในปี 2565 หรือเพิ่มขึ้นกว่า 18 เท่า การขยายตัวของกลุ่มทุนไทยที่เข้าไปรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ราคาถูกจากประเทศเพื่อนบ้าน คือต้นเหตุที่ทำให้เกิดการเผาป่าเพื่อขยายพื้นที่เกษตรกรรมในลาวและเมียนมา และเป็นที่มาของฝุ่น PM2.5 ที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในภาคเหนือของประเทศไทย

“ทุกตันข้าวโพด-ปาล์มน้ำมันที่มาจากการเผาป่า แลกมาด้วยอากาศบริสุทธิ์และอายุขัยคนไทย จะแก้ปัญหา PM2.5 นอกจากต้องมีมาตรการผ่านกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศแล้ว สิ่งสำคัญที่จะแก้ได้จากใจกลางของปัญหา คือต้องกล้าจัดการกับต้นตอที่ทำให้เกิดการก่อมลพิษในประเทศของเราเองด้วยการประกาศนโยบาย ‘ไม่ยอมรับการเผาทุกกรณี’ ” พิธากล่าว

พิธากล่าวต่อว่า ถ้าพรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล เราจะประกาศทันทีว่าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และสินค้าเกษตรที่นำเข้ามาในประเทศไทย โดยเฉพาะที่ผ่านด่านการค้าในภาคเหนือ ต้องเป็นไปตามมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (GAP) เป็นอย่างน้อย เพื่อไม่ให้นำเข้าสินค้าเกษตรที่มีที่มาจากการเผาเหล่านี้เข้าสู่ประเทศไทย ตัดวงจรการเผา ลบจุดแดงบนแผนที่ทางอากาศ

‘เท่าพิภพ’ ค้านฟ้องแอดมิน ‘ประชาชนเบียร์’ ชี้!! กม.มีช่องโหว่ นายทุนทำได้ แต่ปชช. โดนคดี

‘ก้าวไกล’ ค้านฟ้องแอดมิน ‘ประชาชนเบียร์’ ชี้กฎหมายควบคุมแอลกอฮอล์ แทนที่จำกัดทุนใหญ่ กลับถูกใช้รังแกประชาชน-ผู้ประกอบการรายย่อย พร้อมเดินหน้าแก้กฎหมายทันทีในสภาชุดหน้า

(27 มี.ค.66) เฟซบุ๊กเพจพรรคก้าวไกลโพสต์แสดงจุดยืนคัดค้าน กรณีที่คณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แจ้งข้อกล่าวหาธนากร ท้วมเสงี่ยม หรือแอดมินเพจ ‘ประชาชนเบียร์’ ในคดีควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาตรา 32 จากการโพสต์ถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 15 กรรม 15 โพสต์ ระวางโทษปรับ 50,000-500,000 บาท จำคุกไม่เกิน 1 ปี ไม่รวมค่าปรับระหว่างวันที่ไม่แก้ไขโพสต์อีกหลายหมื่นบาทต่อวัน

โดยระบุว่า การฟ้องร้องคดีกับประชาชนดังกล่าว เป็นการใช้กฎหมายที่ขัดเจตนารมณ์ในการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ลิดรอนสิทธิเสรีภาพประชาชน และแทนที่จะเป็นการจำกัดการโฆษณาของกลุ่มทุนขนาดใหญ่ กลับกลายเป็นการใช้กฎหมายเพื่อรังแกประชาชนและผู้ประกอบการรายย่อย

พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มาตรา 32 ที่ห้ามโฆษณาทั้งทางตรงเเละทางอ้อม อันเป็นการอวดอ้างสรรพคุณ มีปัญหาในการตีความที่ผู้ใช้กฏหมายกระทำเกินกว่าขอบเขตเป็นอย่างมาก เช่น การจับกุมผู้โพสต์แก้วเบียร์ในเฟซบุ๊ก ทั้งที่เจ้าพนักงานผู้ฟ้องคดีไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า ผู้นั้นรับเงินค่าโฆษณาหรือไม่

ในขณะที่กฎหมายนี้ถูกใช้ดำเนินคดีกับประชาชนทั่วไปอย่างกว้างขวาง แต่เมื่อเป็นกรณีกลุ่มทุนขนาดใหญ่ กลับสามารถอาศัยช่องโหว่ ด้วยการยิงโฆษณามาจากต่างประเทศ ตามข้อยกเว้นในวรรค 3 ที่ระบุยกเว้นการโฆษณาที่มีต้นกำเนิดนอกอาณาจักร ทำให้การโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของรายใหญ่ ยิงจากต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทยทำได้ แต่ผู้ประกอบการรายเล็ก แค่โพสต์ข้อความถึงกลับถูกดำเนินคดี

‘อนุทิน’ ยัน!! ‘สธ.’ มีแผนรับมือ ปัญหา PM2.5 โว!! เตรียมเครื่องมือ-เวชภัณฑ์ ไว้ดูแล ปชช.

(27 มี.ค.66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ถึงแผนการรับมือและแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ที่ประชาชนออกมาวิพากษ์วิจารณ์ว่ารัฐบาลไม่แก้ปัญหาที่เป็นรูปธรรม ว่า กระทรวงสาธารณสุขได้เตรียมในเรื่องของการรักษาพยาบาลและดูแลประชาชนอย่างเต็มที่ รวมทั้งได้มีการสั่งเวชภัณฑ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อดูแลเกี่ยวกับเรื่องของโรคระบบทางเดินหายใจ กระทรวงสาธารณสุขได้เตรียมความพร้อม

เมื่อถามว่าในปัจจุบันพื้นที่จังหวัดเชียงรายถือว่าน่ากลัวและน่าเป็นห่วงมากที่สุดหรือไม่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ปัจจุบันสภาพเกือบทั้งประเทศที่มีความน่าเป็นห่วง เรื่องการรักษาพยาบาลและดูแลประชาชนนั้นกระทรวงสาธารณสุขได้เตรียมการไว้เรียบร้อยแล้ว ปลัดกระทรวงสาธารณสุขก็ได้ยืนยันมาโดยตลอด 

‘เพื่อไทย’ แนะ ‘นายกฯ’ ยกหูหาผู้นำเมียนมา  ถกคุมการเผา พร้อมชง 7 ข้อแก้ฝุ่นเร่งด่วน 

(27 มี.ค.66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายปลอดประสพ สุรัสวดี ประธานคณะกรรมการนโยบายสิ่งแวดล้อม พรรค พท. และ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมาและเลขาธิการพรรค พท. ร่วมแถลงข่าวกรณี PM2.5 กำลังฆ่าคนไทย ส่วนเกี่ยวข้องต้องเคลื่อนไหว ปล่อยตามมีตามเกิดไม่ได้

นายปลอดประสพกล่าวว่า พรรค พท.รู้สึกเป็นห่วงพี่น้องชาวภาคเหนือเป็นอย่างมาก วันนี้ถือเป็นวิกฤตทางมลภาวะทางอากาศที่ประเทศไทยได้ประสบมา ฝุ่น PM2.5 สูงถึง 656 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เป็นตัวเลขที่อันตรายถึงชีวิต โดยฝุ่น PM2.5. ตอนนี้มาจากประเทศเมียนมาทั้งหมด ตามข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ ทั้งนี้ พรรค พท.มีความเห็นว่าวิกฤตครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อประชาชนทั้งระยะสั้นและระยะยาว จึงมีความจำเป็นที่จะสื่อสารไปถึงนายกรัฐมนตรี พรรคการเมือง หน่วยราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีข้อเสนอ ดังนี้ 1.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องโทรศัพท์ไปถึงผู้นำประเทศเมียนมาและผู้นำประเทศอื่นที่อยู่ใกล้กับ จ.เชียงราย โดยเฉพาะแม่สาย เพื่อขอร้องให้เมียนมาควบคุมการเผาที่ส่งผลให้เกิดฝุ่น PM2.5

นายปลอดประสพกล่าวต่อว่า 2.กระทรวงสาธารณสุขต้องแจกหน้ากากอนามัยคุณภาพดีให้ทั่วถึงโดยทันที 3.กระทรวงมหาดไทยต้องสั่งหยุดงาน ปิดโรงเรียน และประกาศห้ามออกนอกบ้านโดยสิ้นเชิง 4.หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดหาพัดลมให้ประชาชนเพื่อพัดฝุ่น PM2.5 ออกจากบ้าน 5.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ต้องใช้ความเด็ดขาดและใช้อำนาจตามกฎหมายกับบริษัทต่างๆ เพื่อคุยให้ชัดเจนอย่างตรงไปตรงมา ถึงข้อตกลงที่มาที่ไม่ก่อให้เกิดมลภาวะหรือความเสียหายต่อประเทศ

นายปลอดประสพกล่าวว่า 6.กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมต้องสั่งการกรมอุทยานแห่งชาติให้ยุติการอนุญาตเลี้ยงวัว 15 ฝูงขนาดใหญ่ ในอุทยานแห่งชาติทันที เพราะกลุ่มผู้เลี้ยงวัวเหล่านี้คือกลุ่มผู้ที่เผาเพื่อให้ได้หญ้ามาเลี้ยงวัว และต้องสั่งห้ามเข้าไปเก็บเห็ดในอุทยาน เพราะผู้ที่เผาทำเพื่อให้เห็ดเกิดขึ้น และ 7.คณะกรรมกการการเลือกตั้ง (กกต.) ต้องมีการประชุมทบทวน เพื่อเปิดทางให้อุปกรณ์ช่วยเหลือฝุ่น PM2.5 เหล่านี้ไปยังประชาชนผ่านทางราชการ เพราะเวลานี้เป็นเรื่องเป็นเรื่องตาย

‘โรม’ ข้องใจ!! ‘ส.ว.อุปกิต’ รู้รายละเอียดออกหมายจับ เชื่อ!! มีคนในคอยช่วย จี้!! ศาลฯ ออกมาชี้แจงข้อมูล

(27 มี.ค. 66) ที่พรรคก้าวไกล รังสิมันต์ โรม โฆษกพรรคก้าวไกล แถลงถึงความคืบหน้ากรณี ส.ว. อุปกิต ปาจรียางกูร หรือ ‘ส.ว.ทรงเอ’ ผู้มีความเกี่ยวพันกับ ทุน มิน ลัต ผู้ต้องหาคดียาเสพติดรายใหญ่จากเมียนมา ยื่นฟ้องดำเนินคดีกับ พ.ต.ท.มานะพงษ์ วงศ์พิวัฒน์ อดีตสารวัตร กองกำกับการสืบสวน 2 กองบังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ต่อศาลอาญาคดีทุจริตเเละประพฤติมิชอบกลาง โดยกล่าวหาว่า พ.ต.ท.มานะพงษ์ ได้ใช้เอกสารหลักฐานที่มีการแปลเป็นเท็จในการยื่นขอหมายจับอุปกิต

ต่อกรณีดังกล่าว รังสิมันต์ตั้งข้อสงสัยว่า ส.ว.อุปกิต ทราบได้อย่างไร ว่าเอกสารที่ พ.ต.ท.มานะพงษ์ไปยื่นต่อศาลเพื่อขอออกหมายจับตัวเองมีรายละเอียดอะไรบ้าง เพราะโดยปกติแล้วคนที่ทราบ มีแค่ตำรวจกับศาลเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจึงคิดเป็นอื่นไม่ได้เลย นอกจากว่ามีคนอยู่เบื้องหลังที่คอยให้ความช่วยเหลือ ส.ว.อุปกิต อยู่ตลอดเวลา และทำให้ตำรวจน้ำดีที่พยายามทำคดีนี้ กลายเป็นคนที่ถูกดำเนินคดีเสียเอง

เรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นเลย ถ้าวันนั้นไม่เกิดการถอนหมายจับ คำถามคือถ้าปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นต่อไปเรื่อย ๆ หากวันข้างหน้ามีพ่อค้ายาเสพติดที่มีชื่อเสียงและมีอิทธิพล ตำรวจน้ำดีที่ไหนจะกล้าทำคดีแบบนี้อีก ทั้งนี้ แม้ตนจะเชื่อมั่นว่า พ.ต.ท.มานะพงษ์ จะสามารถสู้คดีได้ด้วยพยานหลักฐานต่าง ๆ และเจตนาที่บริสุทธิ์ในการทำหน้าที่ แต่ก็ไม่ควรที่ พ.ต.ท.มานะพงษ์ จะต้องถูกดำเนินคดีเช่นนี้

รังสิมันต์ยังแถลงต่อไป ว่าในกรณีนี้ ทางศาลก็ควรออกมาชี้แจงด้วย ว่าในศาลมีใครเอาข้อมูลที่มีการยื่นขอหมายจับ ไปบอก ส.ว.อุปกิต ด้วยหรือไม่ ไม่เช่นนั้น ส.ว.อุปกิต จะนำหลักฐานมาร้องทุกข์กล่าวโทษกับ พ.ต.ท.มานะพงษ์ได้อย่างไร

นอกจากนี้ หลักฐานที่อ้างว่ามีการแปลไม่ถูกต้องนั้น เท่าที่ตนตรวจสอบได้ พบว่าหลักฐานจำนวนมากเป็นภาพจากการแชต ที่ภาษาอังกฤษไม่ได้ยาก และยังมีหลักฐานที่เป็นแชตภาษาไทยด้วย ซึ่งส่วนที่มีการแปลผิดนั้น ไม่ใช่สาระสำคัญที่จะทำให้ข้อเท็จจริงว่า ส.ว.อุปกิตเกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติดและการฟอกเงินถูกลบล้างไปได้แต่อย่างใด และตนยังยืนยันได้ว่าจากหลักฐานที่มีอยู่นั้น สามารถนำไปดำเนินคดีและออกหมายจับ ส.ว.อุปกิต ได้

รังสิมันต์ยังกล่าวต่อไป ว่าทั้งนี้ ตนยังคงรอความชัดเจนจากอัยการอยู่ ว่าจะมีการยื่นฟ้องต่อ ส.ว.อุปกิต หรือไม่ หลังจากที่ตนได้ไปติดตามที่สำนักงานอัยการมาก่อนหน้านี้ และได้รับคำตอบว่าสิ้นเดือนนี้จะมีความชัดเจนในคดีของ ส.ว.อุปกิต ซึ่งตนอยากให้ทั้งสื่อมวลชนและสาธารณชน ร่วมกันติดตามคดีนี้อย่างใกล้ชิด อย่าปล่อยให้คดีนี้เงียบหายไปเหมือนที่ผ่านมา ที่เรามีวัฒนธรรมการลืมเลือนคดีที่เกิดขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปสักพักหนึ่ง ยิ่งเมื่อเป็นคดีที่เกิดขึ้นกับเจ้าหน้าที่รัฐที่ตั้งใจทำงานแล้ว ยิ่งไม่ควรปล่อยให้เงียบหายไปเด็ดขาด

“คดีนี้ ทุนมินลัต และอีกหลาย ๆ คน ถูกออกหมายจับ ดำเนินคดี และคัดค้านการประกันตัวไปแล้ว ทุกคนที่เกี่ยวข้องได้รับการดำเนินการตามกฎหมายหมด แล้วทำไมเหลือเพียง ส.ว.ทรงเอ คนเดียวที่ได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างจากบุคคลอื่น หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ สิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นการทำลายความเชื่อมั่นต่อกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ จึงอยากให้อัยการคิดถึงเรื่องนี้ให้ดี ไม่เช่นนั้นสังคมก็จะยังคงตั้งคำถามต่อไป” รังสิมันต์กล่าว

นอกจากนี้ รังสิมันต์ ยังได้ตอบคำถามสื่อมวลชน กรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ได้อยู่ในลำดับบัญชีรายชื่อของพรรครวมไทยสร้างชาติ โดยระบุว่า สำหรับพรรคก้าวไกลเอง เราให้ความสำคัญกับการที่นายกรัฐมนตรีต้องมีที่มาจาก ส.ส. มาโดยตลอด เพราะเป็นหลักการที่มาจากการต่อสู้ของประชาชนในเดือนพฤษภาคม 2535 ที่สละชีวิตของคนจำนวนมากเพื่อยืนยันหลักการเรื่องนี้ จนได้ถูกบรรจุในรัฐธรรมนูญ 2540 ว่านายกรัฐมนตรีต้องเป็น ส.ส. แต่รัฐธรรมนูญ 2560 ที่มาจากเผด็จการ กลับทำลายการต่อสู้ของประชาชนและทำลายหลักการนี้ลง เหลือเพียงให้แต่ละพรรคเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีได้ 3 คน โดยไม่ต้องเป็น ส.ส.

‘นักเขียนซีไรต์’ เทียบจุดแข็ง-จุดอ่อน ‘ว่าที่นายกฯ’ ชี้ ‘ลุงตู่’ ทันโลก-รอบรู้ ส่วน ‘โทนี่’ สร้างภาพว่าตนเก่ง

(27 มี.ค. 66) วิมล ไทรนิ่มนวล นักเขียนรางวัลซีไรต์ โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กหัวข้อ ‘ว่าที่นายกรัฐมนตรี’ มีเนื้อหาดังนี้...

“ว่าที่นายกรัฐมนตรี”

ถ้าดูคนที่เหมาะสมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีทีละคน​ ก็จะตัดสินใจเลือกได้ง่ายขึ้น

ดูว่าใครมีประสบการณ์และความสามารถที่จะบริหารราชการแผ่นดินเป็นอันดับแรก​ ก็เห็นว่ามี พล.อ.ประยุทธ์ กับ คุณทักษิณ เท่านั้นที่เคยเป็นนายกรัฐมนตรี​

+ คุณทักษิณเป็นมาก่อน...เป็นมานานจนทหารยึดอำนาจจากคุณยิ่งลักษณ์​ (2544-2557) สิ่งที่เขาทำมีประโยชน์ก็มี​ ส่วนมากจะเป็นเรื่องประชานิยม​ และหลายๆ เรื่องก็เป็นโทษแก่ประชาชน​ อย่างโครงการจำนำข้าว​นั้นเละเทะ​ สูญเสียภาษีและข้าวไปมากมาย​ แต่กลายเป็นประโยชน์มหาศาลแก่คนโกงชาติ​ และชาวนาฆ่าตัวตาย 22 คน

จนแทบจะพูดได้ว่าทุกนโยบาย​ ทุกโครงการ เป็นผลประโยชน์ส่วนตัวของนักโกงชาติทั้งนั้น​ เพราะคนโกงชาตินั้นมีนโยบายส่วนตัวคือ​ ‘แปลงเงินภาษีเป็นของตน’ หรืออย่างที่คนรู้ทันเรียกกันว่า​ ‘ทำธุรกิจในการเมือง’

คุณทักษิณ สร้างภาพตัวเองว่าเก่ง​ รอบรู้​ ทันโลก​ ความคิดก้าวล้ำ​กว่าใคร​ แต่สำหรับผมเห็นว่าเขาตกยุคไปแล้ว​ สิ่งที่เขาเก่งตอนมีอำนาจก็อย่างที่คนสนใจเรื่องบ้านเมืองรู้นั่นแหละ​ ว่าเก่งอะไรและอย่างไร

เขาเป็นพ่อค้า​นักธุรกิจคนหนึ่งเท่านั้น​ ซึ่งร่ำรวยมาด้วยวิธีเดียวกับที่เขาใช้ในการเมืองนั่นแหละ​

เลือกตั้งครั้งนี้...ถ้าพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล​ คุณทักษิณก็จะบริหารราชการแผ่นดินหรือชักเชิดคนในพรรคอยู่นอกประเทศเหมือนที่เคยทำมา


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top