Saturday, 4 May 2024
POLITICS

'ก้าวไกล' เปิดชุดนโยบายแรก 'การเมืองก้าวหน้า' ชูโรง!! 'นิรโทษกรรมคดีการเมือง - แก้ ม.112'

ก้าวไกลเปิดชุดนโยบายแรก 'การเมืองก้าวหน้า' นิรโทษกรรมคดีการเมือง / แก้ 112 / ลงนามศาลอาญาระหว่างประเทศ / พระเลือกตั้งได้ / ลาคลอด 180 วัน / คำนำหน้านามตามสมัครใจ 

พรรคก้าวไกลเปิดชุดนโยบายแรก ประเดิมนโยบายการเมืองชุดใหญ่ สังคายนาทหาร-ศาล-รัฐธรรมนูญ ชูจุดยืนคนเท่ากัน ผลักดันหลายนโยบายก้าวหน้า นิรโทษกรรมคดีการเมือง แก้ 112 และลงนามศาลอาญาระหว่างประเทศ หวังสร้างการเมืองก้าวหน้า ประชาธิปไตยเต็มใบ

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวเปิดงานแถลงนโยบายชุดแรกของพรรค ได้แก่ 'การเมืองไทยก้าวหน้า' โดยระบุว่าชุดนโยบายของก้าวไกล เป็นบ้านนโยบายที่ชื่อว่า 'ไทยก้าวหน้า' มีเป้าหมายคือการสร้างประเทศไทยที่ก้าวหน้าใน 9 ประเด็น คือ การเมืองไทยก้าวหน้า / ราชการไทยก้าวหน้า / ทุกจังหวัดไทยก้าวหน้า / เศรษฐกิจไทยก้าวหน้า / เกษตรไทยก้าวหน้า / สวัสดิการไทยก้าวหน้า / การศึกษาไทยก้าวหน้า / สุขภาพไทยก้าวหน้า และสิ่งแวดล้อมไทยก้าวหน้า โดยทั้งหมดอยู่บนฐานคิดเดียวกัน คือประเทศไทยเป็นของประชาชน 

“เหตุที่ต้องเปิดนโยบายการเมืองเป็นอันดับแรก เพราะหากการเมืองไม่ดี ยากที่เศรษฐกิจ สังคม ปัญหาอื่นๆ จะถูกแก้ไขได้ เพราะการเมืองเป็นเรื่องของการจัดสรรอำนาจ และทรัพยากร ใครจะได้บริหารประเทศ ใครจะเอาภาษี เอางบประมาณไปใช้ทำอะไร จะนำพาประเทศไปในทางไหน หากการเมืองไม่ดี เราจะไม่มีวันได้เห็นประเทศที่ก้าวหน้ากว่านี้” พิธากล่าว

สำหรับนโยบายการเมืองไทยก้าวหน้าที่พรรคก้าวไกลแถลงในวันนี้ ประกอบด้วย 4 หัวข้อหลัก คือ ทหารของประชาชน ศาลของประชาชน คนเท่ากัน และรัฐธรรมนูญใหม่ปลดล็อกประเทศไทย

>> ทหารของประชาชน เอาทหารออกจากการเมือง แจกใบแดงนายพล ลดจำนวนนายพล เพิ่มสวัสดิการทหารชั้นผู้น้อย

พิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล แถลงถึงนโยบายปฏิรูปกองทัพ โดยเริ่มจากการ 'แจกใบแดงนายพล' ห้ามนายพลเกษียณอายุเป็นรัฐมนตรีจนกว่าจะเกษียณครบ 7 ปี เพื่อตัดวงจรการใช้อำนาจเส้นสายระบบอุปถัมภ์ของกองทัพมาสู่อำนาจทางการเมือง นอกจากนี้พรรคก้าวไกลยังมีนโยบาย ยุบกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หรือ กอ.รมน. ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ใช้อำนาจล้นเกิน ก้าวก่ายกิจการราชการพลเรือน และในขณะเดียวกันก็ยกเลิกกฎอัยการศึกในจังหวัดชายแดนใต้ ซึ่งนำไปสู่การซ้อมทรมานในค่ายทหาร สร้างบาดแผล ความไม่ไว้วางใจให้กับคนในพื้นที่ ขัดขวางการสร้างสันติภาพในชายแดนใต้ 

พิจารณ์ ยังระบุว่า จะมีการปรับโครงสร้างกองทัพให้กระชับ คล่องตัว ยกเลิกการบังคับเกณฑ์ทหาร ลดจำนวนนายพล เพิ่มสวัสดิการทหารชั้นผู้น้อย ยกเลิกระบบทหารรับใช้ ทหารต้องมีศักดิ์ศรีและปฏิบัติหน้าที่อย่างมืออาชีพ นอกจากนี้พรรคก้าวไกลยังจะจัดการให้กองทัพคืนธุรกิจของกองทัพ ทั้งสนามกอล์ฟ โรงแรม ม้า มวย ให้กับรัฐบาล รวมถึงคืนที่ดินของกองทัพที่มีอยู่มากมายทั่วประเทศ ให้มาเป็นที่ทำกินของประชาชน แลัวให้ท้องถิ่นนำมาใช้ประโยชน์ เช่น ทำสนามกีฬาหรือลานเอนกประสงค์ 

>> ศาลของประชาชน ปฏิรูปศาล นิรโทษกรรมคดีการเมือง แก้ 112 ลงนามศาลอาญาระหว่างประเทศ

รังสิมันต์ โรม โฆษกพรรคก้าวไกล แถลงนโยบายการเมืองไทยก้าวหน้า ในหมวดศาลและกระบวนการยุติธรรม เริ่มจากการปฏิรูปศาลให้ยึดโยงรับใข้ประชาชน ให้ผู้พิพากษาต้องเปิดเผยบัญชีทรัพย์สิน และแก้ไขกฎหมายที่ละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชน ได้แก่ กฎหมายอาญามาตรา 112, มาตรา 116, พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ ซึ่งพรรคก้าวไกลได้เสนอแก้ไขไปแล้ว และขณะนี้ร่างแก้ไขชุดกฎหมายเหล่านี้ ได้ถูกบรรจุเข้าสู่วาระการพิจารณาของสภาแล้ว ยกเว้นร่างแก้ไขกฎหมาย 112 ที่สภาไม่ยอมบรรจุเข้าวาระ โดยอ้างว่าขัดรัฐธรรมนูญ แต่พรรคก้าวไกลยืนยันจะเดินหน้าผลักดันต่อไปหากได้เป็นรัฐบาล และย้ำว่าการแก้ 112 ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ เนื่องจากไม่ได้กระทบต่อพระราชสถานะองพระมหากษัตริย์ ในฐานะประมุขของประเทศ 

รังสิมันต์ยังเปิดนโยบายการนำรัฐบาลไทยให้สัตยาบันรับเขตอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศ หรือ ICC เพื่อชำระสะสางคดีอาชญากรรมที่รัฐกระทำต่อประชาชน เช่นเหตุการณ์สังหารหมู่คนเสื้อแดงในปี 2553 รวมถึงโศกนาฏกรรมตากใบ และป้องกันไม่ให้เกิดอาชญากรรมเช่นนี้อีกในอนาคต ยุติวัฒนธรรมพ้นผิดลอยนวลที่เกาะกินประเทศไทย

และข้อเสนอใหญ่ที่สุดของพรรคก้าวไกล คือการนิรโทษกรรมคดีการเมือง โดยเฉพาะที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นมา เพื่อคืนความเป็นธรรมและอนาคตให้กับประชาชนที่ต้องคดีการเมืองเพียงเพราะแสดงความเห็นต่าง และวิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์

>> คนเท่ากัน คำนำหน้านามตามสมัครใจ ลาคลอด 180 วัน พระเลือกตั้งได้ จ้างงานผู้พิการ

ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. พรรคก้าวไกล เขตสายไหม แถลงชุดนโยบายการเมืองไทยก้าวหน้า ในหมวด 'คนเท่ากัน' ซึ่งว่าด้วยการส่งเสริมสิทธิเสรีภาพและศักดิ์ศรีของคนทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน เริ่มจากการจ้างงานคนพิการ 20,000 ตำแหน่ง เพื่อให้ดำรงชีวิตได้อย่างมีศักดิ์ศรี รวมถึงการเสนอนโยบาย 'อัตลักษณ์ทางเพศก้าวหน้า' คือการรับรองความหลายหลายทางเพศอย่างเท่าเทียมกัน บุคคลเลือกคำนำหน้าได้ตามความสมัครใจ และมีการเพิ่มตำรวจหญิงทุกสถานี เพื่อให้ทำหน้าที่เป็นพนักงานสอบสวนในคดีล่วงละเมิดทางเพศ เอื้ออำนวยให้ผู้เสียหายสะดวกใจที่จะเข้าแจ้งความ ไม่กระทบกระเทือนจิตใจซ้ำจากกระบวนการสอบสวน นำไปสู่การอำนวยความยุติธรรมในคดีทางเพศอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น 

อีกนโยบายที่ส่งเสริมสิทธิผู้หญิง คือการเพิ่มวันลาคลอดเป็น 180 วัน และพ่อแม่สามารถแบ่งกันใช้ได้ เพื่อให้หน้าที่เลี้ยงลูกในวัยแรกเกิดเป็นของทั้งพ่อและแม่ ไม่เป็นภาระของแม่แต่เพียงฝ่ายเดียว นโยบายนี้จะยังเป็นการส่งเสริมสถาบันครอบครัว ให้เด็กได้เติบโตมาอย่างอบอุ่น ได้รับการดูแลโอบอุ้มจากพ่อแม่อย่างใกล้ชิดในวัยเริ่มต้นของชีวิต 

นอกจากนี้ พรรคก้าวไกลยังจะเสนอให้พระสามารถเลือกตั้งได้เช่นเดียวกับนักบวชศาสนาอื่น เนื่องจากพระก็ยังต้องไปเกณฑ์ทหาร ยังต้องอยู่ใต้กฎหมาย แต่กลับต้องถูกยกเว้นไม่ได้รับสิทธิ์ในการเลือกตั้ง 

'สนธิรัตน์-วิเชียร' แอ่วเหนือ ล้อมวงคุย แกนนำพรรค-เกษตรกรผู้ปลูกลำไย จ.ลำพูน อ้อนขอฝาก 'พล.ต.ต.กริช' เขต 2 ช่วยแก้ปัญหาให้ปชช. เตรียมรวบรวมปัญหาราคาลำไยตกต่ำหารือเป็นนโยบาย จบวิกฤตซ้ำซาก

วันนี้ (15 ต.ค.65) ที่บ้านวังไฮ ตำบลเวียงยอง อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน พรรคสร้างอนาคตไทย นำโดย นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค นายวิเชียร ชวลิต รองหัวหน้าพรรค และผู้อำนวยการพรรค พล.ต.ต.กริช กิติลือ ว่าที่ผู้แสดงเจตจำนงเป็นผู้สมัคร ส.ส. ลำพูน เขต 2 พรรคสร้างอนาคตไทย และคณะทำงาน พบปะแกนนำพรรคในพื้นที่ ชาวบ้าน และกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกลำไยจังหวัดลำพูน กว่า 70 คน เพื่อร่วมหารือการทำงานเชิงรุกในพื้นที่ และร่วมรับฟังปัญหาและความต้องการในการแก้ปัญหาของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะปัญหาราคาลำไยตกต่ำ ซึ่งถือเป็นอาชีพหลักของพี่น้องชาวจังหวัดลำพูน และพื้นที่อื่นๆ ในภาคเหนือ

โดยนายสนธิรัตน์ กล่าวว่า การลงพื้นที่จังหวัดลำพูนครั้งนี้ มาด้วย 2 จุดประสงค์ โดยจุดประสงค์แรก คือ การมาพบปะแกนนำของพรรคในพื้นที่ เพื่อหารือร่วมเรื่องการทำงานเชิงรุกในพื้นที่ แลกเปลี่ยนแนวทางการทำงาน และรับฟังสิ่งที่แกนนำในพื้นที่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง รวมถึงนโยบายในพื้นที่ อย่างไรก็ตาม พรรคสร้างอนาคตไทยมีความชำนาญในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ โดยปัญหาทั้งหมดเราจะนำไปใช้เป็นข้อมูลในการดำเนินการด้านนโยบายของพรรค และคงปฏิเสธไม่ได้ว่าการสู้ศึกเลือกตั้งในภาคเหนือเป็นเรื่องไม่ง่าย แต่ก็มั่นใจว่าไม่เกินความสามารถของพรรคสร้างอนาคตไทย ซึ่งตนมั่นใจในตัวว่าที่ผู้แสดงเจตจำนงเป็นผู้สมัคร ส.ส. ลำพูน เขต 2 ของพรรค อย่าง พล.ต.ต.กริช กิติลือ ว่าจะเป็นหนึ่งในที่นั่ง ส.ส. ของจังหวัดลำพูนที่พรรคต้องได้มา ซึ่งตนเชื่อว่าวันนี้พี่น้องชาวลำพูนต้อนรับ และเปิดใจกับพรรคสร้างอนาคตไทยอย่างแน่นอน

ส่วนจุดประสงค์ที่สองคือ การมาพบปะและรับฟังปัญหาของกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกลำไย ซึ่งจังหวัดลำพูนเป็นพื้นที่ปลูกลำไยอันดับต้นๆ ของประเทศ โดยปัญหาส่วนใหญ่ที่กลุ่มเกษตรกรประสบอยู่คือลำไยราคาตกต่ำ การถูกเอารัดเอาเปรียบจากพ่อค้าคนกลาง ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ทั้งเรื่องค่าแรง ค่าปุ๋ย และปัญหาเรื่องที่ทำกิน ซึ่งตนมองว่าถึงเวลาต้องขับเคลื่อนการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่ต้นทุนการผลิต ไปจนถึงการทำการตลาด ซึ่งพรรคมีนโยบายสนับสนุนการแก้ปัญหาเรื่องลำใยอยู่แล้ว โดยเฉพาะเรื่อง พ.ร.บ.ลำไย ที่ทางกลุ่มเกษตรกรได้มีการจัดทำขึ้นมาเพื่อเสนอต่อรัฐบาลไว้แล้วนั้น พรรคจะนำเข้าสู่ที่ประชุมนโยบายพรรคเพื่อนำไปจัดทำนโยบายในการแก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างจริงจังให้สมกับที่พี่น้องประชาชนผู้ปลูกลำไยได้ฝากความหวังไว้กับพรรค 

เมื่อถามว่า หากพรรคได้เป็นรัฐบาลจะมีแนวทางช่วยเหลืออย่างไรบ้าง นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า พรรคมีนโยบายสนับสนุนเรื่องการแก้ไขปัญหาผลผลิตลำไย และเรื่องที่พี่น้องได้เสนอร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ลำไย รวมทั้งการนำเสนอรัฐบาลเรื่องการเยียวยาแก้ไขปัญหาเรื่องลำไย ทั้งหมดเป็นอีกหนึ่งนโยบายของพรรคสร้างอนาคตไทย ซึ่งจะนำไปรวบรวมและจัดทำนโยบายการขับเคลื่อนต่อไส

เมื่อถามว่า พรรคสร้างอนาคตไทยมีนโยบายพรรคในการเลือกตั้งครั้งนี้อย่างไร นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า เรื่องปากท้องคือหัวใจใหญ่ ประชาชนประสบปัญหาหนี้สิน การประกอบอาชีพ ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ เป็นต้น

เมื่อถามว่า การเลือกตั้งที่จะถึงนี้ ตั้งเป้าว่าต้องเป็นพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่ นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า พรรคเราประกาศจุดยืนชัดเจนว่าเข้ามาแก้ปัญหาประเทศ เช่น ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาความขัดแย้ง รวมถึงความสามารถในการแข่งขันของประเทศ อย่างไรก็ตาม เราขอความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชน เพื่อให้เราได้เข้าไปทำหน้าที่ให้พี่น้องชาว จ.ลำพูน เขต 2 เราจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ภาคเหนือมีหลายปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไข เราจึงเร่งลงพื้นที่ 

"ฝากพี่น้องชาวลำพูน ผมคิดว่าการเลือกตั้งครั้งนี้สำคัญ เพราะมันเป็นช่วงเวลาที่เรายากลำบากจากปัญหาเรื่องการทำมาหากิน สินค้าเกษตร ยิ่งช่วงโควิดที่ผ่านมา ทำให้ยากลำบาก อยากให้กำลังใจพี่น้อง ชาวลำพูน ขอให้มีความอดทน การเลือกตั้งครั้งนี้พรรคเราอาสามาช่วยแก้ปัญหาให้พี่น้อง ขอฝากพรรค และ พล.ต.ต.กริช ให้กับพี่น้องชาวลำพูน เขต 2 พิจารณาด้วย อย่างไรก็ตามจ.ลำพูน พรรคสร้างอนาคตไทย จะส่งครบทั้ง 2 เขต และเร็วๆ นี้เราจะนำผู้บริหารพรรคลงพื้นที่ภาคเหนือ"

'ธัญวัจน์' ชี้!! การลงโทษลูกที่มีความหลากหลายทางเพศ  สะท้อน!! ความล้าหลัง วอน!! 'พูดคุย-เรียนรู้' ด้วยใจที่เปิดกว้าง

ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล สัดส่วนผู้มีความหลากหลายทางเพศ กล่าวถึงกรณีที่มีลูกนักการเมืองท่านหนึ่ง หนีออกจากบ้านเนื่องจากถูกผู้เป็นพ่อลงโทษด้วยเหตุผลรสนิยมทางเพศ สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความคิดที่ล้าหลัง ไม่เพียงแต่เป็นการทำร้ายร่างกายลูก แต่เป็นการเหยียบย่ำตัวตนของลูกด้วย  

ธัญวัจน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ความหลากหลายทางเพศเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นครอบครัวทุกยุคทุกสมัย แม้ในปัจจุบันที่แม้สังคมจะยอมรับและก้าวหน้าไปมากแล้วก็ตาม วัฒนธรรมชายเป็นใหญ่ที่หลายครอบครัวยุคถือสร้างความกดดันและความรุนแรงกับผู้ที่มีความหลากหลายมาตลอด บางคนไม่สามารถแสดงตัวตนได้ที่บ้านเพราะกลัวพ่อแม่จะรับไม่ได้ พ่อแม่ผิดหวังเสียใจ การปลูกฝังแนวคิดแบบนี้จากในครอบครัวสู่สังคมคืออุปสรรคใหญ่ไม่ทำให้ประเทศไทยไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้ ไม่เพียงแต่มิติความเท่าเทียมสากล แต่รวมถึงมิติทางกฎหมาย ธรรมเนียมปฏิบัติที่แสดงออกต่อกันของคนในสังคม

'ธนกร' สอนมวย 'ชลน่าน' วิจารณ์ทางการเมืองถือเป็นสิทธิ์ แต่หากพูด 'เรื่องเท็จ-สนุกปาก' ก็ต้องรับผิดชอบคำพูดตัวเอง

'ธนกร' สวน 'ชลน่าน' ชี้วิพากษ์วิจารณ์ทางการเมืองถือเป็นสิทธิ์ แต่หากเรื่องที่พูดเป็นเรื่องเท็จ พูดเอาสนุกปาก ก็ต้องรับผิดชอบคำพูดตัวเอง เย้ยไม่มีประชาชนคนไหนต้องทำใจ มีแต่สุขใจด้วยซ้ำ

นายธนกร วังบุญคงชนะ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ระบุว่า กรณีที่สังคมวิพากษ์วิจารณ์ทอล์กโชว์ 'เดี่ยว 13' ของ โน้ส - อุดม แต้พานิช เป็นสิทธิ์ในการแสดงความเห็นและวิพากษ์วิจารณ์ของพลเมือง เป็นสิทธิ์ขั้นพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญ ต้องรับฟังเสียงของประชาชนว่า ที่ผ่านมาท่านนายกฯ รับฟังเสียงประชาชนมาโดยตลอด เห็นได้จากทุกนโยบายของรัฐบาลที่เน้นช่วยเหลือประชาชนทุกกลุ่ม ไม่แบ่งแยกว่าเป็นฐานเสียงของพรรคการเมืองไหนเหมือนกับที่บางพรรคการเมืองชื่นชอบ เมื่อได้รับข้อร้องเรียน หรือเห็นว่าประชาชนกำลังลำบาก ท่านนายกฯ ก็สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปแก้ปัญหาทันที หรือลงพื้นที่ไปสอบถามข้อเท็จจริงด้วยตัวเอง จึงทำให้หลายๆ นโยบายประชาชนต่างเรียกร้องให้ขยายโครงการออกไปเรื่อยๆ จนแม้แต่ฝ่ายค้านเองก็ยังไม่กล้าพูดเต็มปากว่า หากตัวเองมีโอกาสได้เป็นรัฐบาลจะยกเลิกนโยบายเหล่านี้ เพราะรู้อยู่เต็มอกว่า หากพูดแบบนั้นออกไปก็เตรียมพร้อมสอบตกทันที 

'สันติ' ชำแหละ พ.ร.บ. EEC เน้นเฉพาะให้แรงจูงใจผู้ลงทุน หนนเฉพาะทุนต่างชาติขนาดใหญ่

'สันติ' ชำแหละ พ.ร.บ. EEC ชี้ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน มองรัฐบาลปัจจุบันไม่ตอบโจทย์ เน้นเฉพาะให้แรงจูงใจผู้ลงทุน ไม่แก้ข้อกฎหมายที่เป็นอุปสรรค รวมถึงกระแสสนับสนุนเฉพาะทุนต่างชาติขนาดใหญ่ ขาดการคำนึงถึงความครบวงจรในระบบนิเวศ 

ดร.สันติ กีระนันทน์  รองหัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย ได้โพสต์เฟซบุ๊กถึงประเด็นเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) กับความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ว่าตนได้อ่านข่าวที่เกี่ยวกับแนวคิด “เขตธุรกิจใหม่” เปรียบเทียบกับ “เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก” หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่า EEC แล้ว ก็อยากจะแสดงความคิดเห็น โดยเก็บข้อมูลจากพระราชบัญญัติ เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2561 ประกอบกับประสบการณ์ที่ได้เคยทำงานในฐานะผู้ช่วยรัฐมนตรี ประจำกระทรวงอุตสาหกรรม ยุคที่เริ่มต้นของ EEC และช่วงที่เป็นเลขานุการ คณะกรรมาธิการ การเงิน การคลัง สถาบันการเงิน และตลาดการเงิน สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งได้ให้ความสนใจเรื่อง EEC โดยทำการศึกษา และได้เชิญผู้บริหารของ EEC มาให้ข้อมูลอยู่หลายครั้ง

อันที่จริง ก็ต้องแสดงความดีใจที่มีแนวคิดเขตธุรกิจใหม่เกิดขึ้น แสดงถึงการเห็นคุณประโยชน์ของการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างจริงจัง ดังที่ตนได้พยายามนำเสนอมาโดยตลอดหลายปีนี้ แต่รัฐบาลปัจจุบันก็คงจะไม่ค่อยเข้าใจความจำเป็น จึงไม่ได้ให้ความสนใจเรื่องดังกล่าว

อย่างไรก็ดี ความเข้าใจคลาดเคลื่อนว่า EEC ยังไม่ตอบโจทย์หลายประการนั้น เช่น เน้นเฉพาะการให้แรงจูงใจด้วยการเสนอสิทธิประโยชน์ให้ผู้ลงทุนเท่านั้น ไม่มีการแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรค หรือนำเสนอชุดกฎหมายใหม่เพื่ออำนวยความสะดวกให้เกิดเขตธุรกิจใหม่ได้จริง หรือประเด็นที่คลาดเคลื่อนว่า EEC จะให้การสนับสนุนเฉพาะทุนขนาดใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากนักลงทุนต่างชาติเท่านั้น รวมไปถึงความเข้าใจที่ว่า EEC นั้น ไม่ได้คำนึงถึงความครบวงจรในระบบนิเวศ (ecosystem) ที่เอื้ออำนวยให้เกิดเขตธุรกิจใหม่ ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีความเข้าใจว่า EEC จะให้การสนับสนุนเฉพาะอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีการ hard code ไว้ในพระราชบัญญัติเท่านั้น และความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนอีกบางประการ

ดร.สันติ ย้ำว่า เป็นสิ่งที่ดี  ที่มีความพยายามเสนอแนวความคิดให้เกิดเขตธุรกิจใหม่ เพื่อผลักดันให้เครื่องยนต์เศรษฐกิจของประเทศไทย เกิดพลังในการขับเคลื่อนประเทศไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน และไม่สร้างปัญหาแก่การดำเนินชีวิตของผู้คนทั่วไป หรืออาจจะพูดง่าย ๆ ก็คือ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เป็นมิตรกับผู้คน

ทั้งนี้ หากได้อ่านพระราชบัญญัติ เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2561 โดยละเอียดแล้ว จะพบว่า ความเข้าใจเหล่านั้น มีความคลาดเคลื่อนดังที่ผมได้ชี้แจงเริ่มต้นไป เพราะจะเห็นได้ว่า พระราชบัญญัติฉบับดังกล่าว ให้ความยืดหยุ่น (flexibility) ในการสร้างเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และมีการกำหนด “เขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ” (มาตรา 4) ไว้ โดยครอบคลุมทุกเรื่อง และหากมีกฎหมายอะไรที่เป็นอุปสรรค ก็ยังกำหนดไว้ในมาตรา 9 เพื่อเปิดช่องให้มีการปรับปรุงกฎหมายหรือ “ชุดกฎหมาย” ได้โดยรวดเร็ว ซึ่งไม่ใช่เฉพาะเรื่องการกำหนด “สิทธิประโยชน์เพื่อจูงใจ” นักลงทุนเท่านั้น 

ประเด็นนี้ทำให้ EEC มีความแตกต่างจาก Eastern seaboard อย่างมากมาย  ยิ่งไปกว่านั้น EEC ไม่ได้สนับสนุนเฉพาะทุนใหญ่เท่านั้น ดังจะเห็นได้ว่า EEC มีการกำหนดเขตย่อยเป็น EEC-D (digital economy), EEC-I (innovation) เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง EEC-I นั้น มุ่งเน้นให้เกิดวิสาหกิจเริ่มต้น หรือ startup ขึ้นในพื้นที่ ดังตัวอย่างที่ ปตท. ได้มีการลงทุนสร้าง วังจันทร์ valley เพื่อให้เกิด ecosystem คล้าย ๆ กับ Silicon Valley ใน California ซึ่งแน่นอนว่า คงจะไม่ใช่ทุนขนาดใหญ่ (ในตอนเริ่มต้น) และแม้กระทั่งความพยายามส่งเสริมให้เกิด fruit corridor เพื่อสนับสนุนเกษตรกรรายย่อยในพื้นที่ให้เกิดการใช้เทคโนโลยีทางการเกษตร เพื่อเพิ่มมูลค่า และเพิ่มคุณภาพชีวิตของเกษตรกร เป็นต้น 

EEC ไม่ได้ตั้งใจจะส่งเสริมเฉพาะการลงทุนจากทุนต่างประเทศเท่านั้น ดังจะเห็นได้จากมาตรา 7 (2) ที่เขียนไว้ชัดว่าให้การสนับสนุนทั้งผู้ประกอบกิจการทั้งในประเทศและต่างประเทศเข้ามาใช้พื้นที่ และการกำหนดอุตสาหกรรมเป้าหมายนั้น ไม่ได้จำกัดเฉพาะที่เขียนในพระราชบัญญัติเท่านั้น แต่ให้อำนาจคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก สามารถกำหนดเพิ่มเติม หรือเปลี่ยนแปลงได้ด้วย

และในมาตร 7(1) หากอ่านให้ดี ก็จะเห็นว่า ไม่ได้เน้นเฉพาะการพัฒนาอุตสาหกรรมเท่านั้น แต่ต้องการให้เกิดการพัฒนาให้เป็น Smart city หรือเมืองอัจฉริยะไปพร้อมกัน ซึ่งแสดงถึงการพัฒนาอย่างครบวงจร ไม่ได้จำกัดเพียงการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่าง Eastern seaboard ที่เป็นเครื่องยนต์สำคัญในการพัฒนาประเทศไทยให้พวกเราได้ลืมตาอ้าปากมาได้ และเมื่อมาขยายการพัฒนาให้ครบวงจรมากขึ้นอย่างแนวคิด EEC แล้ว หากรัฐบาลปัจจุบันเข้าใจแนวคิด และดำเนินการอย่างจริงจัง จะสร้างคุณประโยชน์ให้ประเทศมากเพียงใด ... แค่หลับตาก็คงพอนึกออกแล้ว 

ดังนั้นแนวคิดของ EEC จึงไม่ได้ถูกจำกัด อย่างที่มีความเข้าใจคลาดเคลื่อน ซึ่งการดำเนินการตามพระราชบัญญัติดังกล่าวนั้น อาจจะมีข้อจำกัดอยู่บ้าง ก็คือกำหนดไว้เฉพาะเพียงภาคตะวันออก 3 จังหวัดเท่านั้น ได้แก่ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง แต่อย่างไรก็ดี คณะกรรมการนโยบาย อาจจะกำหนดเพิ่มเติมได้ แต่หากให้เกิดความคล่องตัวมากกว่าเดิม อาจจะต้องใช้แนวคิดตามพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าว ขยายวงให้เกิดเขตพัฒนาพิเศษในภาคอื่น ๆ ได้ โดยอาจจะใช้ EEC เป็นต้นแบบ ซึ่งกระบวนการแก้พระราชบัญญัติก็ไม่ได้ยุ่งยากมากเกินไป (อย่างน้อยก็ง่ายกว่า การยกร่างพระราชบัญญัติใหม่ทั้งฉบับ) โดยเรียนรู้จาก prototype อย่าง EEC

'ไอติม' ยก 4 เป้าหมายเปลี่ยนประเทศ สู่ ปชต. วอนคนทุกรุ่นต้องร่วมมือกันขับเคลื่อน

ไอติม ขึ้นเวทีปาฐกถา 14 ตุลา ชี้ 49 ปี ไทยยังคงอยู่ใต้รัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตย - ชู 4 พันธกิจเปลี่ยนประเทศสู่ประชาธิปไตย ที่คนทุกรุ่นต้องร่วมมือกัน

เมื่อวันที่ 14 ต.ค.65 นายพริษฐ์ วัชรสินธุ ผู้จัดการการสื่อสารและการรณรงค์นโยบายพรรคก้าวไกลได้ร่วมแสดงปาฐกถางาน '14 ตุลา 16 ปลดปล่อยพลังสร้างสรรค์สังคมไทยแค่ไหน' พริษฐ์เริ่มต้นปาฐกถาด้วยการอธิบายว่าโจทย์ของพูดถึงเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 เป็นเรื่องที่ท้าทาย เพราะเป็นเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้วกว่า 49 ปี และตนเองไม่ได้เป็นประจักษ์พยานในเหตุการณ์ แต่ด้วยความที่ 14 ตุลา เป็นเหตุการณ์ทางการเมืองที่ถูกตีความอย่างหลากหลายโดยคนแต่ละกลุ่ม ตนจึงตั้งใจที่จะพยายามสรุปและอธิบายเหตุการณ์ผ่านมุมมองของคนแต่ละยุค ทั้งมุมมองที่มองว่า 14 ตุลาเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ และมุมมองที่อาจมองว่าเหตุการณ์ 14 ตุลาเป็นชัยชนะที่ลวงตาและไม่สามารถนำไปสู่ประชาธิปไตยได้อย่างยั่งยืนซึ่ง

โดยพริษฐ์กล่าวว่า 14 ตุลา อาจจะเป็นเหตุการณ์ที่สามารถกำจัดระบบทรราชอย่าง 'ถนอม-ประภาส-ณรงค์' ออกไปจากระบบการเมืองไทยได้ก็จริง แต่ 3 ปีหลังเหตุการณ์ 14 ตุลา กลับเกิดเหตุการณ์ความรุนแรง 6 ตุลา 2519 โดยเหตุการณ์นี้พริษฐ์อธิบายว่า "เป็นเสมือนการล้างไพ่ประชาธิปไตยไทย ให้ถอยกลับไปอยู่จุดเดิม หรือแย่กว่าเดิม" พริษฐ์ยังอธิบายต่อไปอีกว่า คนรุ่นใหม่ในเหตุการณ์ 14 ตุลา กับคนรุ่นใหม่ในยุคปัจจุบัน เติบโตมาในโลกที่มีทั้งความเหมือนและความแตกต่างกัน

พริษฐ์ กล่าวว่าสิ่งที่คนรุ่นใหม่ในแต่ละยุคต้องพบเจอเหมือนกัน คือการเติบโตมาในยุคที่การเมืองไม่เป็นประชาธิปไตย เช่น คนรุ่นใหม่ในยุค 14 ตุลาเป็นยุคที่เติบโตมากับระบบเผด็จการทหารที่ปกครองประเทศมาอย่างยาวนานและมีผู้นำที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จตามมาตรา 17 ขณะที่คนรุ่นใหม่ยุคปัจจุบันเติบโตมาในยุคที่พวกเขาไม่ได้สัมผัสกับประชาธิปไตยอย่างเต็มใบและต้องอาศัยอยู่ภายใต้ 'ระบอบประยุทธ์' ซึ่งเป็นเสมือนเผด็จการอำพรางที่ชุบตัวจากการเลือกตั้ง แต่ยังคงมีกลไกควบคุมอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จผ่านกลไกสืบทอดอำนาจ ส.ว. 250 คนศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระรวมถึงยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี

แต่ตัวอย่างหนึ่งที่มีความแตกต่าง คือในมิติเทคโนโลยี ซึ่งส่งผลต่อความยาก-ง่ายในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร คนรุ่นใหม่ยุค 14 ตุลามีทางเลือกในการติดตามข่าวสารอย่างจำกัดเพราะเทคโนโลยีขนาดนั้นมีเพียงวิทยุหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์เท่านั้นซึ่งก็ไม่ได้มีอุปกรณ์เหล่านี้ครบทุกบ้าน โดยเนื้อหาส่วนใหญ่ถูกควบคุมและกำกับโดยรัฐในทางกลับกันคนรุ่นใหม่ยุคปัจจุบันกลับมีช่องทางในการติดตามข่าวสารมากมายนับไม่ถ้วนเพราะการเติบโตของอินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียรัฐไม่อาจควบคุมและจำกัดข้อมูลเนื้อหาได้ดังเช่นในอดีต

แม้ความแตกต่างระหว่างรุ่นเป็นเรื่องปกติ แต่จากโจทย์ปัจจุบันที่เป็นช่วงเวลาที่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อของประชาธิปไตยไทยและที่มีการปะทะกันระหว่างระบบที่ล้าหลังและสังคมที่ก้าวหน้ามากขึ้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป้าหมายและความตั้งใจของคนยุค 14 ตุลา มีภารกิจหลายส่วน ที่สอดคล้องกับความฝันของคนรุ่นใหม่ยุคปัจจุบัน แต่ยังไม่สำเร็จถึงฝั่งและยังต้องอาศัยพลังและเจตจำนงของคนทั้ง 2 รุ่น ในการร่วมกันขับเคลื่อนต่อไป

เป้าหมายที่หนึ่งคือการร่างรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย - แม้เหตุการณ์ 14 ตุลาได้นำมาสู่รัฐธรรมนูญปี 2517 แต่กระบวนการจัดทำยังคงไม่ได้มีส่วนร่วมของตัวแทนที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน และเป็นฉบับที่มีอายุเพียง 2 ปี ก่อนถูกฉีกโดยคณะรัฐประหาร ปัจจุบันประเทศไทยยังคงอยู่ภายใต้ธรรมนูญปี 2560 ซึ่งถูกเขียนโดยคณะรัฐประหาร มีวัตถุประสงค์ในการสืบทอดอำนาจ และมีเนื้อหาที่ขัดกับหลักสากล จึงต้องให้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับโดยประชาชน ผ่าน สภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรง

เป้าหมายที่สองคือการขับเคลื่อนประชาธิปไตยในเชิงวัฒนธรรม ที่ไปไกลกว่าการกำจัดผู้นำเผด็จการ แม้ 14 ตุลาจะเป็นหมุดหมายสำคัญทางการเมืองไทยที่ภาคประชาชนรวมกันแสดงตัวเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาล แต่ก็เป็นอีกหนึ่งบทเรียนที่ทำให้เห็นว่าการตื่นตัวของประชาชนไม่สามารถนำไปสู่ชัยชนะที่ยังยืนของประชาธิปไตยเสมอไป ตราบใดที่เรายังไม่สามารถสร้างวัฒนธรรมประชาธิปไตยที่แข็งแรงให้เกิดขึ้นในระดับความคิด และกำจัดวัฒนธรรมแบบอำนาจนิยมในทุกอณูของสังคม ตั้งแต่ระบบราชการ ยันระบบการศึกษา เพื่อสร้างโครงสร้างและวัฒนธรรม ที่อยู่บนฐานของการไว้วางใจประชาชน

พรรค ปชป. 4 จังหวัดชายแดนใต้เปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร สส.13 เขต มั่นใจได้ สส.เพิ่มแน่นอน 

        รายงานจากแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ชายแดนภาคใต้ เปิดเผยว่าพรรคประชาธิปัตย์ได้ว่าที่ผู้สมัคร สส.4 จังหวัดชายแดภาคใต้เกือบครบ 100% เหลือเฉพาะเขต 2 จ.ยะลา จ.นราธิวาส เขต 1 นายวัสสันต์ ดือเระ เขต 2 นายเมธี อรุณ เขต 3 นายสุลัยมาน มะโซ๊ะ เขต 4 นายไซลี เจ๊ะหามะ และ เขต 5 นายเจะอามิง โตะตาหยง 
    จ.ปัตตานี เขต 1 นายสนิท นาแว เขต 2 นายมนตรี ดอเลาะ เขต 3  ดร.ยูนัยดี วาบา เขต 4 นายนาวี หะยีดอเลลาะ  , จ.ยะลา เขต 1 นายประสิทธิชัย พงษ์สุวรรณศิริ เขต 3 นายณรงค์ ดูดิง ยังเหลือเขต 2 ที่กำลังทำโพลอยู่คาดว่าในเดือน ต.ค.ได้ว่าที่ผู้สมัคร และ จ.สตูล เขต 1 นายซอบรี หมัดหมาน เขต 2 นายเกตุชาติ เกศา   

‘อนุชา นาคาศัย’ เผยดูเดี่ยว 13 แล้ว ชี้มีวิจารณ์เกินเลยหลายส่วนไม่เหมาะสม ต้องดูแซวตรงไปตรงมาหรือติดตลก ย้ำศิลปินที่ผ่านมาเขาไม่พูดการเมืองแบบนี้ เทียบเสียดสี “รัฐบาลทักษิณ” ไม่ได้ หากมองด้วยใจเป็นธรรม

นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงปรากฏการณ์การวิพากษ์วิจารยณ์การทำงานของนายกรัฐมนตรี ในเดี่ยว 13 ว่า เป็นธรรมดาในเรื่องความคิดเห็นทางการเมืองที่มีความเห็นไม่ตรงกันเสมอ นี่คือระบอบประชาธิปไตย ดังนั้น ความคิดเห็นที่แตกต่างเป็นเรื่องธรรมดาของสังคม

ส่วนรัฐบาลพร้อมรับฟังความคิดเห็นหรือไม่ นายอนุชา ระบุว่า หากเป็นคำวิจารณ์ที่ตรงไปตรงมาไม่ประกอบด้วยอคติ เอาสนุกอย่างเดียว ก็คิดว่าไม่มีปัญหา แต่หากคำวิจารณ์นั้น ประกอบด้วยอคติ และใส่เจตคติบางอย่าง ก็ทำให้สังคมเกิดความเคลือบแคลงย่อมเป็นไปได้ เพราะเป็นศิลปิน ที่ส่วนตัวมองว่าเป็นเซเลปและสังคมติดตามให้ความสนใจ โดยเรื่องนี้ส่วนมากศิลปินจะไม่ออกมาแสดงความคิดเห็นทางการเมือง เพราะเป็นผู้ทรงอิทธิพลทางความคิดก็ต้องไปพิจารณาว่าอะไรเกิดขึ้นอย่างไร แต่สิ่งที่ตนกล่าวไป ทุกคนที่มีเจตนาบริสุทธิ์ เป็นเรื่องของประชาธิปไตย

ส่วนกรณีที่โน้ส อุดม มีการวิพากษ์วิจารณ์ในเดี่ยว 13 มีเจตนาบริสุทธิ์หรือติดตลกอย่างที่ว่า หรือไม่ นายอนุชา ระบุว่า มีหลายส่วนที่ตนคิดว่าไม่เหมาะสม ในฐานะที่เรามีรัฐบาล มีผู้นำ บางอย่างคิดว่าก็เกินเลยไปบ้าง

ส่วนจะมีการดำเนินคดีหรือให้ฝ่ายกฎหมายติดตามหรือไม่ นายอนุชา กล่าวว่า เรื่องนี้ตนเองไม่ทราบ และไม่ทราบว่า นายกรัฐมนตรี ได้มีการดูเดี่ยว 13 หรือยัง แต่ส่วนตัวได้มีการดูคร่าวๆ นิดหน่อย และเห็นในของส่วนกระแสวิเคราะห์ของสังคมที่แบ่งกันเป็นฝักเป็นฝ่าย เป็นกระแสวิจารณ์ทั้งฝ่ายเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ก็เป็นเรื่องธรรมดา

ก้าวไกล-ก้าวหน้า  จับมือร่วมรำลึก 14 ตุลา 'เจี๊ยบ' เผยทั้งชนะและแพ้ ประชาธิปไตยไม่ตรงปก หากไม่เปลี่ยนโครงสร้างใหญ่ ด้าน 'ช่อ' เผยไล่เผด็จการคนหนึ่งไป คนใหม่ก็มา

อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.พรรคก้าวไกล พร้อมด้วยพรรณิการ์ วานิช กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า เดินทางไปยังอนุสรณ์สถาน 14 ตุลา แยกคอกวัว ร่วมรำลึกเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่ของประเทศไทย วัน 14 ตุลา มหาวิปโยค ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2516 โดยมีมวลชนจำนวนมหาศาลเข้าร่วมต่อต้านเผด็จการในเวลานั้น  โดยกิจกรรมวันนี้มีทั้งญาติวีรชนเหตุการณ์ ประชาชน นักกิจกรรมต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย นักการเมืองเข้าร่วมงาน
.
อมรัตน์เป็นตัวแทนจากพรรคก้าวไกล กล่าวถึงเหตุการณ์ 14 ตุลา โดยเริ่มต้นด้วยการคารวะผู้เสียสละในเหตุการณ์ 14 ตุลา ก่อนจะกล่าวถึงใจความสำคัญของเหตุการณ์ดังกล่าว ว่าเป็นทั้ง 'ชัยชนะ' และ 'ความพ่ายแพ้' โดยที่กล่าวเช่นนั้นเพราะว่าเหตุการณ์ 14 ตุลา สามารถขับไล่เผด็จการที่ครองอำนาจไว้ได้ แต่ขณะเดียวกันภายในเวลา 3 ปีเท่านั้นเผด็จการกลับมาของอำนาจและกลับมามีบทบาทในช่วงเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 ซึ่งเป็นอีกหนึ่งครั้งของความรุนแรงที่ก่อโดยรัฐ ที่ปัจจุบันยังไม่มีผู้กระทำผิดได้รับโทษ
.
อมรัตน์ยังได้ไล่เรียงถึงเหตุการณ์ความรุนแรงต่างๆ ที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็น 14 ตุลา 2516, 6 ตุลา 2519 หรือเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ จนถึงเหตุการณ์ความรุนแรงเมื่อปี 2553 ซึ่งทั้งหมดสะท้อนให้เห็นว่า เราไม่สามารถขับไล่เผด็จการและมีชัยชนะเบ็ดเสร็จเด็ดขาดได้ เป็นเพราะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการเมืองความคิดของประชาชนทั้งหมดได้ ดังนั้นการขับไล่เผด็จการยังไม่เพียงพอต่อการเปลี่ยนแปลงประเทศแต่ต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงในระดับโครงสร้างและในระดับรัฐบาล
.
"เราต้องเปลี่ยนที่โครงสร้างของประเทศ เอากองทัพออกไปจากการเมืองยุติการเข้ามาของอำนาจนอกรัฐธรรมนูญ หรือ มือที่มองไม่เห็นหยุดการแทรกแซงทางการเมืองจากองคาพยพที่ไม่เกี่ยวข้อง" อมรัตน์กล่าว

‘ธนกร’ ขอบคุณ ‘บิ๊กตู่’ ปราบจริงยาเสพติด-อาวุธปืน ตบหน้าฝ่ายค้าน หลังกล่าวหาไม่แยแสปัญหา

'ธนกร' ขอบคุณ 'บิ๊กตู่' ลุยปราบยาเสพติด-อาวุธปืน เป็นวาระแห่งชาติ ชี้ตั้งคณะกรรมการใหญ่อีกคณะคุมการทำงานทุกหน่วยที่มีในปัจจุบัน เท่ากับตบหน้าฝ่ายค้านหลังกล่าวหาไม่แยแสปัญหา

นายธนกร วังบุญคงชนะ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า ขอขอบคุณ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่กำหนดให้การแก้ไขปัญหายาเสพติดเป็นวาระแห่งชาติ พร้อมทั้งสั่งให้ตั้งคณะกรรมการใหญ่ขึ้นอีกหนึ่งคณะเพื่อติดตามตรวจสอบการทำงานของทุกคณะที่มีอยู่ในปัจจุบัน มีมาตรการเกี่ยวกับอาวุธปืนที่เข้มงวดชัดเจน อาทิ กวดขันการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับอาวุธปืนและกระสุนปืน เข้มงวดในการออกใบอนุญาต การต่อใบอนุญาต และการพกพา เพิกถอนใบอนุญาตพกพาอาวุธปืนเมื่อพบปัญหาทางจิต พฤติกรรมที่เป็นภัยต่อสังคม และการใช้ยาเสพติด รวมถึงกวาดล้างจับกุมอาวุธเถื่อนและการซื้อขายออนไลน์อย่างจริงจัง และทบทวนกฎหมายที่จำเป็นให้มีความทันสมัย มาตรการป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด เร่งติดตาม สืบสวนขยายผล ทำลายเครือข่ายนักค้ายาเสพติดและยึดอายัดทรัพย์สิน มาตรการบำบัดฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด และการพัฒนาและแก้ไขปัญหาสุขภาพจิต ซึ่งการตั้งคณะกรรมการชุดนี้ขึ้นมาก็เพื่อมากำกับดูแลหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องให้ทำงานอย่างเข้มข้น และเห็นผลเป็นรูปธรรมมากขึ้น และยังเป็นการตบหน้าฝ่ายค้านที่มักจะกล่าวหามั่วๆ ว่ารัฐบาลไม่จริงจังกับการแก้ปัญหา

'วิโรจน์' แจง มือถือหลายเครื่องไม่ได้ทำไอโอ แค่ให้พี่ที่ทำการตลาดสาธิตเฉยๆ

วิโรจน์ อดีต ส.ส.ก้าวไกลแจงกรณีภาพมือถือหลายเครื่อง อ้างไปเยี่ยมชมพี่ที่ทำการตลาด ขอความรู้ทำการตลาดไลฟ์สด ไม่ได้มีไอโอจริง แต่ถูกไอโอรุมหนัก ส่วนที่ลบรูปเพราะติดชื่อคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง

วันนี้ (13 ต.ค.) จากกรณีที่ทวิตเตอร์ @wirojlak ของนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร อดีตผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและอดีต ส.ส.พรรคก้าวไกล โพสต์ภาพโทรศัพท์มือถือ 19 เครื่อง แขวนไว้กับราวเหล็ก ที่เปิดหน้าติ๊กต็อกของตัวเอง ภายในร้านจำหน่ายเครื่องเพชรแห่งหนึ่ง พร้อมโพสต์ข้อความระบุว่า...

"ผมเข้าสู่โลก Tiktok มาได้สักพักแล้วนะครับ ท่านใดสนใจคอนเทนต์ Tiktok ของผม ก็สามารถติดตามได้ที่ tiktok.com/@wirojlak ได้เลยครับ" ปรากฏว่ามีชาวเน็ตซูมเข้าไปบริเวณแผ่นกระดาษ มีข้อความในลักษณะที่เป็นโพย ทำให้ชาวเน็ตตั้งข้อสงสัยว่ามีการทำปฏิบัติการข่าวสาร (ไอโอ) หรือไม่? ภายหลังนายวิโรจน์ได้ลบภาพและข้อความดังกล่าวออก พร้อมกับลงภาพใหม่ อ้างว่าภาพเดิมไปพาดพิงคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง

ปรากฎว่า ทวิตเตอร์ของนายวิโรจน์ ได้โพสต์ข้อความชี้แจงว่า "ถ้าใครทำการตลาด Live สด ก็จะรู้ดีว่ามือถือหลายเครื่อง เอาไว้ Live ผ่านหลายกลุ่ม ในเวลาเดียวกัน ผมไปเยี่ยมชมขอความรู้ พี่เขาก็สาธิตให้ดู แนะนำว่าการตลาดจริงๆ จังๆ เขาทำกันยังไง เผื่อว่าผมจะเอาไปปรับปรุง เท่านั้นเอง ไม่ได้มี IO อะไรเลยครับ ปรากฏว่าพี่เขาโดน IO รุมหนักเลยครับ"

นอกจากนี้ นายวิโรจน์ยังกล่าวไปถึงผู้ใช้ทวิตเตอร์รายหนึ่ง ที่แชร์ภาพมือถือหลายเครื่องก่อนหน้านี้ ระบุว่า "ถ้าฟลุ้คอยากจะแชร์ แชร์ทวีตนี้ ... เพราะไม่ได้มีปัญหาอะไร พี่ที่ทำการตลาด Tiktok เขาสาธิต และแบ่งปันความรู้ให้พี่ครับ จอหลายจอเขาใช้ Live ผ่านหลายกลุ่ม รูปที่ฟลุ้คแชร์พี่ลบไป เพราะติดชื่อคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง อยากให้ฟลุ้ครับผิดชอบกับคนอื่นสักนิดครับ

กรณีที่ฟลุ้คแชร์ก็ดี พี่จะได้อธิบาย จอหลายจอ พี่เขาใช้ Live สด ผ่าน Facebook Group หลายกลุ่ม ในเวลาเดียวกันครับ ตอนพี่ไปเยี่ยมเขา เขาเปิด คลิป Tiktok พี่ ขึ้นมาโชว์ เพื่อเป็นการให้เกียรติ พี่เท่านั้นเอง พี่ก็ถ่ายรูปมา เพราะคิดว่ามันดู Grand ดี

พี่เขายังแนะนำต่อว่า Content ต้องมีคุณภาพ Tiktok ถึงจะเปิดการมองเห็น การวาน FC หรือใช้มือถือหลาย Account มาช่วยวิว ช่วยกดหัวใจ มันช่วยการมองเห็นในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น ถ้า Content ไม่ดี คนดูไม่จบคลิป คนดูแล้วปัดทิ้ง การมองเห็นก็จะน้อย

พี่เขายังแนะนำอีกด้วยว่า สำหรับ Comment ที่เข้ามาชื่นชม เข้ามาบอกว่าขอแชร์ เราควรขอบคุณ หรือกดหัวใจให้เขา Engagement ระหว่างช่องกับคนที่เข้ามาดู นั้นมีผลต่อการมองเห็นด้วยครับ

พอเกิดเหตุการณ์ขึ้น มันกระทบกับตัวร้านของพี่เขา และกระทบกับงานของพี่เขาอย่างมาก จริงๆ พี่เขาไม่ได้ขอให้ผมลบทวีตนะครับ แต่ผมคิดว่าลบดีกว่า เพราะไม่อยากให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องได้รับผลกระทบ

พอลบไปแล้ว พี่เขายังโทรมาบอกว่า ให้พี่ทวีตใหม่ แต่ไหนๆ จะทวีตใหม่แล้ว ก็ให้ Crop รูปชื่อของคนอื่นออกก็แล้วกัน พี่เขายังย้ำกับผมเลยว่า พี่เขาทำ Tiktok marketing ไม่ได้เป็น IO ไปด่าใคร ดังนั้นเขาไม่กลัว พี่เขา Strong มากครับ

'สมคิด' นำทีมผู้บริหาร 'สร้างอนาคตไทย' เยือนเมืองลุง ปชช.ต้อนรับล้นหลามกว่า 1,000 คน

เมื่อเร็วๆ นี้ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ประธานพรรคสร้างอนาคตไทย นำคณะผู้บริหารพรรคสร้างอนาคตไทย อาทิ ดร.อุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรค นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคและประธานภาคใต้ นายวิเชียร ชวลิต รองหัวหน้าพรรคและผู้อำนวยการพรรค นายนริศ เชยกลิ่น รองหัวหน้าพรรคและโฆษกพรรค นายวัชระ กรรณิการ์ รองเลขาธิการพรรค นายรักษ์พงษ์ เซ่งเจริญ กรรมการบริหารพรรค นายกำพล ปัญญาโกเมศ ประธานกรรมการวิชาการเพื่อการสร้างอนาคตไทย และนางสาวโชนรังสี เฉลิมชัยกิจ กรรมการบริหารพรรคและรองโฆษกพรรค ลงพื้นที่จังหวัดพัทลุง เปิดเวทีปราศรัยเพื่อนำเสนอนโยบายพรรค เพื่อแก้ปัญหาปากท้องของพี่น้องชาวใต้ รวมถึงปัญหายาเสพติด ที่นับวันจะทวีความรุนแรงมากขึ้น และเปิดตัว 3 ว่าที่ผู้แสดงเจตจำนงเป็นผู้สมัคร ส.ส. พัทลุง ได้แก่ นายเอกภัทร ภัทร์รัศมี เขต 1 นายพลกฤษณ์ คล้ายวิตภัทร เขต 2 และนายวัฒนา เรืองแก้ว เขต 3 

ทางรอดเศรษฐกิจ!! 'อุ๊งอิ๊ง' ยก ‘1 ครอบครัว 1 Soft Power’ ทางออกศก.ไทย แต่จะทำได้ชี้ ต้องมีรัฐบาลที่แข็งแรง ทำตั้งแต่ต้นจนจบ

‘แพทองธาร’ ยัน ‘1 ครอบครัว 1 Soft Power’ หนึ่งในทางออกเศรษฐกิจไทย ชี้นโยบายจะสำเร็จได้ ต้องมีรัฐบาลที่แข็งแรง ทำตั้งแต่ต้นจนจบ

เมื่อ 12 ต.ค.65 พรรคเพื่อไทย จัดงานเสวนา ‘1 ครอบครัว 1 Soft Power ทางออกเศรษฐกิจไทยนับจากทศวรรษนี้’ ภายในงานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 27 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์  เพื่อแลกเปลี่ยน เสนอแนะ และบอกเล่าประสบการณ์การนำเอาความสามารถด้านต่างๆ สร้างรายได้  สร้างเศรษฐกิจให้กับประเทศ

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ประธานที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย และหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย กล่าวว่า นโยบาย 1 ครอบครัว 1 Soft Power ของพรรคเพื่อไทย เป็นนโยบายที่ต้องการเฟ้นหาคนที่มีศักยภาพ มีความสามารถ และพรสวรรค์ที่ซ่อนอยู่มาสร้างรายได้ให้กับครอบครัว ซึ่งที่ผ่านมาจากการลงพื้นที่พูดคุยกับพี่น้องประชาชนหลากหลายอาชีพพบว่า หลายคนมีความฝัน แต่ไม่กล้าฝัน เพราะลำพังแค่หารายได้มาจับจ่ายเลี้ยงดูคนในครอบครัวก็ยากลำบาก และต้องยอมรับว่าด้วยข้อจำกัดต่างๆ ของแต่ละครอบครัวไม่เหมือนกัน บางครอบครัวมีศักยภาพในการสนับสนุนเด็กและเยาวชนในการพัฒนาความสามารถของตัวเอง แต่หลายครอบครัวตรงกันข้าม  ซึ่งการเข้าคอร์สเรียนเพิ่มในด้านต่างๆ มีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก  

พรรคเพื่อไทย จึงต้องการเพิ่มโอกาสและเวทีให้กับทุกคนอย่างเท่าเทียมด้วยการสร้างสภาพแวดล้อมให้การเรียนรู้และดึงศักยภาพอย่างครบวงจร หากพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล จะจัดตั้ง The Thai Creative Content Agency : THACCA หน่วยงานจะเข้าไปดูแลพัฒนาคัดเลือก แบ่งกลุ่ม เพื่อนำไปสู่การพัฒนาศักยภาพ Solf power อย่างถูกจุด โดยรัฐจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด

“แนวคิดนี้จะสำเร็จได้ ต้องมีรัฐบาลที่แข็งแรง ที่จะต้องดำเนินการตั้งแต่เริ่มต้นจนจบกระบวนการเพื่อความต่อเนื่อง เราจะระดมบุคลากรที่มีความรู้ในด้านต่างๆ มาร่วมกันสร้างแพลตฟอร์ม ระดมคน ระดมทุน มีเครื่องมือเพื่อเป็นทุนในการหาความรู้ให้กับคนไทยทุกคน สิ่งที่เราจะทำ รัฐบาลต้องสนับสนุน ทำงานร่วมกับเอกชนด้วย” นางสาวแพทองธาร กล่าว

นายอภิสิทธิ์ ไล่ศัตรูไกล อดีตผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และประธานกรรมการบริหารสำนักงานตลาด กทม. กล่าวว่า การส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟพาวเวอร์ สิ่งที่รัฐบาลต้องทำคือ...

1.นโยบายรัฐบาลต้องชัดเจน มีความสม่ำเสมอของนโยบาย มีองค์กรที่ส่งเสริมงานด้านนี้โดยตรง แต่ปัจจุบันสถานะขององค์กรแต่ละแห่งทำงานแตกต่างกันมาก หากดูตัวอย่างในเกาหลีใต้ มีหน่วยงานส่งเสริมงานด้านซอฟพาวเวอร์ ซึ่งมีคณะกรรมการบริหารดำเนินการโดยตรง อินโดนีเซียมีหน่วยงานส่งเสริมสตาร์ทอัพ สถานะเทียบเท่าระดับกระทรวง มีความชัดเจนในการสั่งการ จนทำให้มีสตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์นสองราย

2.รัฐบาลต้องส่งเสริมงบประมาณให้กับหน่วยงานที่มีหน้าที่โดยตรงกับการส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟพาวเวอร์ โดยในอดีตสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เคยได้รับงบประมาณต่อปี 300 ล้านบาท ในขณะที่เกาหลีใต้จัดสรรงบประมาณปี 2565 ที่  62,400 ล้านบาท ให้กับหน่วยงานด้านซอฟต์พาวเวอร์ สร้างผลตอบแทนทางธุรกิจหลายสิบเท่า คิดเป็นเงิน 2.5 แสนล้านล้านบาท ทั้งยังได้ภาษีกลับคืนมามากกว่างบประมาณที่ลงทุน ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนอีก

3 แบ่งภารกิจงานให้ชัดเจน รัฐบาลต้องรู้ว่าสิ่งใดที่ประเทศไทยมีความเชี่ยวชาญหรือเก่ง และต่างประเทศเข้าใจว่าประเทศไทยเก่งในด้านนั้น และส่งเสริมด้านนั้น

4 ควรมีกองทุนและแพลตฟอร์มรองรับการเริ่มต้นการเริ่มลงทุนใหม่ เช่น สิงคโปร์ หากประชาชนในประเทศและนักลงทุนต่างประเทศต้องการเริ่มต้นทำธุรกิจ รัฐบาลจะสนับสนุนเงินทุนตั้งต้นให้ 75% เมื่อทำเงินได้ รัฐบาลจะถอนเงินออก

ดร.ณหทัย ทิวไผ่งาม กรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย ประธานคณะทำงานด้านการส่งเสริมศักยภาพการแข่งขันของประเทศและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ความฝันและพรสวรรค์  ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นได้ง่ายๆ เพราะต้องจับมือร่วมกันระหว่างพ่อแม่และครู ต้องปลูกฝังบ่มเพาะตั้งแต่ระดับประถมศึกษา หากเด็กและเยาวชนมีพรสวรรค์และถนัดในเรื่องใด ต้องเก็บบันทึก เพื่อให้รู้ว่าสิ่งที่ค้นพบและพรสวรรค์นั้น อาจจะกลายเป็นสิ่งที่ประเทศไทยกำลังค้นหา จึงเป็นที่มาของนโยบายด้านการศึกษาของพรรคเพื่อไทย ‘มีรายได้ เรียนรู้ได้ ตลอดชีวิต (Lifelong Learning, Lifelong Earning)’ เป็นการสร้างแพลตฟอร์มจับคู่สมรรถนะของคนเข้ากับงานที่ใช่ เพื่อช่วยให้มีงานทำเร็วที่สุด ตรงกับสมรรถนะของตนเองมากที่สุด เพื่อให้รู้ว่าคนๆ นั้นอยู่ตรงไหน อยู่จังหวัดใด นำมาเชื่อมกับความต้องการของประเทศ นำพาประเทศไปสู่เป้าหมายพัฒนาต่อไป ซึ่งสอดรับกับแนวคิด “ธนาคารหน่วยกิตเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต” (Academic Credit Bank : ACB)  ธนาคารเพื่อฝากความรู้ของคนไทยด้วยระบบคราวด์ (Cloud) เก็บเนื้อหาการเรียนและความรู้ในด้านต่างๆ เรียนรู้ได้ตลอดเวลา  นอกจากนี้ ควรมีการเปลี่ยนโรงเรียนขนาดเล็กให้เป็นศูนย์บ่มเพาะขั้นพื้นฐาน  ซึ่งมีอยู่ 1,500-2,000 โรงเรียนให้เป็นศูนย์บ่มเพาะอาชีพ เป็น co-working space ของผู้ใหญ่และเด็กในการบ่มเพาะความรู้ร่วมกัน 

ทั้งนี้ พรรคเพื่อไทยจะฟื้นโครงการ ‘คนพันธุ์อา (ชีวะ) คืนค่านิยมใหม่ว่าผู้ที่เรียนอาชีวะคือผู้ที่สร้างรายได้จริง พรรคเพื่อไทยจะเปลี่ยนแปลงศูนย์บ่มเพาะ มาเป็น ‘ศูนย์บ่มเพาะผู้ประกอบการ’ โดยจะมีการสอนการเขียนแผนธุรกิจ สร้างธุรกิจ สร้างรายได้ใหม่ๆ ทั้งนี้ ปัจจุบันมีสถาบันอาชีวะทั่วประเทศ  800 แห่ง แต่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณเพียง 420 แห่ง ส่วนของเอกชน 400 แห่ง จะมีการเข้าไปดูแลให้มีศูนย์บ่มเพาะผู้ประกอบการเช่นกัน

‘อนุทิน’ เบรกอย่าโยงกัญชากับยาเสพติด ขออย่าไปผูกกัน เป็นคนละเรื่องกัน

'อนุทิน' บอกคนละเรื่อง ขออย่าผูกโยงการแก้ปัญหายาเสพติดกับกฎหมายกัญชา ยัน สธ.มีความพร้อมเรื่องบำบัดผู้ติดยาทั้งร่างกายและจิตใจ

(12 ต.ค. 65) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงข้อเสนอการแก้ไขปัญหายาเสพติด ก่อนเข้าร่วมประชุมเพื่อกำหนดมาตรการเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหายาเสพติดและอาวุธปืนที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ว่า นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวง สธ.จะนำเสนอเรื่องการคัดกรองผู้ป่วย ส่วนรองอธิบดีกรมสุขภาพจิตจะรายงานเรื่องการเยียวยารักษาด้านสุขภาพจิต 

ส่วนที่จะนำผู้ติดยาเข้าบำบัดนั้น สธ.เป็นฝ่ายสนับสนุนโดยกรมการแพทย์ ก็มีสถาบันธัญญารักษ์ เป็นแม่ข่ายในการบำบัดและรักษาผู้ป่วยยาเสพติด รวมถึงโรงพยาบาลในทุกจังหวัด ก็พร้อมให้การรักษาหากเจ้าหน้าที่บ้านเมืองส่งตัวผู้ป่วยมา ทั้งนี้หากผู้ติดยาเสพติดมีอาการมากก็จะมีการส่งไปตามสถานพยาบาลที่ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการบำบัด

เมื่อถามว่าการรับมือผู้บำบัดจากนี้จะให้ผู้นำชุมชนเข้าไปค้นหาอย่างไร รมว.สาธารณสุข กล่าวว่า อาการผู้ติดยาหากเบาก็จะใช้การบำบัดรักษาและใช้วิธีการทำความเข้าใจให้ความรู้ แต่ถ้าอาการหนักก็จะให้การรักษาทางการแพทย์ตามขั้นตอน

‘ชัชชาติ’ ชมนิทรรศการ ‘ฝัน ปัง ดัง รวย : 1 ครอบครัว 1 Soft Power’พรรคเพื่อไทย ‘แพทองธาร’ พาชมบูธ อธิบายแนวคิด ทางออกเศรษฐกิจไทย เปลี่ยนชีวิตคนไทยครั้งใหญ่ สร้างรายได้อย่างก้าวกระโดด 

นพ. ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรค นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย ให้การต้อนรับ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เยี่ยมชมบูธนิทรรศการ ‘ฝัน ปัง ดัง รวย : 1 ครอบครัว 1 Soft Power’ ซึ่งพรรคเพื่อไทยจัดเต็มพื้นที่ 3 บูธเพื่อสื่อสารนโยบาย 1 ครอบครัว 1 Soft Power ชูหลักคิดทางออกเศรษฐกิจไทยที่จะเปลี่ยนชีวิตประชาชนครั้งใหญ่อย่างก้าวกระโดด ในงานมหกรรมหนังสือระดับชาติ Book Expo Thailand 2022 ที่บูธ I40 Exhibition Hall 6 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์   

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ได้เชิญนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เยี่ยมชมห้องนิทรรศการทั้ง 3 บูธ พร้อมอธิบายหลักคิดของนโยบาย 1 ครอบครัว 1 Soft Power ว่าในชีวิตทุกคนล้วนมีความฝัน มีจินตนาการเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของมนุษย์ โดยเริ่มตั้งแต่วัยเด็ก ห้องน้ำจึงเป็นพื้นที่ที่ทุกคนเคยใช้ฟุ้งฝัน แต่ก็เป็นที่ที่เราทิ้งความฝันนี้ลงไปเพราะมันแทบเป็นไปไม่ได้ในโลกความจริง แต่พรรคเพื่อไทยมองเห็นว่า ความคิด ความฝัน ถ้าได้รับความเข้าใจและสนับสนุนอย่างถูกต้องให้มั่นใจในคุณค่าแล้ว จะเกิดเป็นความกล้าในการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ทำฝันนั้นให้เป็นจริงได้ แต่ในทางปฏิบัติ จะทำอย่างไรให้ฝันของลูกหลานหรือของประชาชนเป็นจริงได้ เพราะทุกความฝันล้วนมีต้นทุน ซึ่งไม่ใช่ทุกคนที่จะมีโอกาสเข้าถึงความฝันที่มีค่าใช้จ่ายสูงลิ่ว 

แพทองธาร กล่าวต่อว่า นโยบาย 1 ครอบครัว 1 Soft Power เห็นความสำคัญที่ไม่ต้องการให้ฝันของใครต้องตกหล่น เราจึงออกแบบให้มีการตั้งศูนย์เรียนรู้ บ่มเพาะ ศูนย์เทรนนิ่ง ให้ประชาชนที่สนใจเข้าต่อยอดความรู้ ประสบการณ์อย่างเป็นขั้นบันได เพื่อให้คนเข้าถึงตั้งแต่ระดับ ตำบล อำเภอ ระดับประเทศจนถึงต่างประเทศ โดยจะประสานความร่วมมือกับโรงเรียน มหาวิทยาลัย จัดจ้างบุคลากร จัดฝึกอบรมเพิ่มพูนทักษะ และถ้าใครมีทักษะศักยภาพที่ดีอยู่ก็จะสนับสนุนให้ไปหาประสบการณ์ต่อในต่างประเทศ ดังนั้น  นโยบาย1ครอบครัว 1 Soft Power  จึงเป็นนโยบายที่จะเพิ่มโอกาสและขยายศักยภาพสร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กับประชาชน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top