Monday, 19 May 2025
POLITICS

‘อดีตผู้ว่าการ ธปท.’ เศร้าใจ!! หลังหลายพรรคออกนโยบาย ไร้ความรับผิดชอบต่อ ปชช.

“เห็นนโยบายไร้ความรับผิดชอบแบบนี้แล้วเศร้าใจค่ะ นอกจากการสร้างหนี้โดยไม่จำเป็นแล้ว ยังเป็นการสร้างนิสัยให้ประชาชนขาดวินัยทางการเงิน คอยแต่จะแบมือรับ แทนที่จะติดอาวุธให้ประชาชนมีทักษะ มีความสามารถในการยกระดับความเป็นอยู่ของตัวเองให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน มากกว่าเงินช่วยเหลือจากนักการเมือง” นางธาริษา วัฒนเกส อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าว

 

‘เสธ.หิ’ งง!! ลง ‘พะเยา’ ครั้งแรกถูกโยงเอี่ยวกร่าง หลัง ‘ธรรมนัส’ อ้างคนสนิท ‘เสธ.คนดัง’ ใช้ทหาร-อาวุธขู่

จากกรณีที่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ผู้สมัคร ส.ส.พะเยา พรรคพลังประชารัฐ และประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งภาคเหนือ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า บ้านใหญ่เจ๊ ล. ขาใหญ่อำเภอปง พะเยา ซึ่งเป็นพี่สาว ผู้สมัคร ส.ส. พะเยา เขต 3 ของพรรคหนึ่ง ที่ตอนนี้ทำตัวเป็นผู้มีอิทธิพลกร่าง ผู้นำท้องถิ่น ท้องที่ เล่าให้ฟังว่า พอไปถึงบ้านเจ๊ ล. ก็มีกองกำลังทหารเกือบ 1 หมวด พกอาวุธ (ปืนสั้น) ภายใต้การควบคุมของเสธ น. (ลูกน้องเสธ นอกราชการคนดัง) และข่มขู่ว่าจะจัดการกับผู้นำขั้นเด็ดขาดหากไม่ช่วยผู้สมัครรายนี้ จะเริ่มปฏิบัติการโดยใช้กองกำลังทหารค้นบ้านผู้นำทุกรายที่เห็นต่าง

ทั้งนี้ การออกมาโพสต์ข้อความดังกล่าว ประจวบเหมาะกับ ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้ประสานงานพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) รับผิดชอบการเลือกตั้งภาคเหนือของพรรค ได้เดินทางไปร่วมโชว์วิสัยทัศน์ ในรายการ BIG DEBATE เวทีจังหวัดพะเยา ซึ่งจัดโดยสถานีโทรทัศน์ช่อง 7 เมื่อวันที่ 11 เม.ย. 66 ที่ผ่านมา พอดี

เป็นไปได้ว่า เสธ.นอกราชการคนดัง ที่ ร.อ.ธรรมนัส ระบุถึง ก็คือ ดร.หิมาลัย นั่นเอง

ล่าสุด ดร.หิมาลัย ได้กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า ตนเองเพิ่งมีโอกาสเดินทางไปจังหวัดพะเยาครั้งแรก เมื่อวันที่ 11 เม.ย.ที่ผ่านมา เพื่อร่วมเวทีดีเบต ซึ่งทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 7 เป็นผู้จัด เมื่อเดินทางถึงจังหวัดพะเยา ก็ได้ไปพูดคุยกับคุณไพโรจน์ ตันบรรจง ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรค เพื่อต้องการรับทราบประเด็นปัญหาของจังหวัดพะเยา สำหรับใช้เป็นข้อมูลในการดีเบต จากนั้น จึงเดินทางไปยังเวทีดีเบต และอยู่ในพื้นที่นั้นตลอดเวลาโดยไม่ได้เดินทางออกนอกพื้นที่เลย

‘เต้น ณัฐวุฒิ’ รำลึก 13 ปี สลายการชุมนุม 10 เม.ย.53 ให้คำมั่น!! จะตามหาความยุติธรรมให้ทุกคนอย่างถึงที่สุด

(12 เม.ย.66) เพจ ‘พรรคเพื่อไทย’ ได้โพสต์ข้อความเล่าเรื่องราวของ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย ระบุว่า…ในคืนวันที่ 10 เมษายน ตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นมา ไม่เคยหลับตาลงง่ายๆ บางปีถ้าอยู่คนเดียว มันก็จะคิดอ่านรำพึงรำพันกับตัวเองไปสารพัด บางช่วงบางปีอยู่ในสถาการณ์อยู่กับเพื่อนพี่น้อง ก็นั่งคุยกันจนดึกดื่นขึ้นรุ่ง เพื่อที่จะให้มันหลับลงได้ 

คืนวันนั้น เราอยู่กันที่นั้นแต่แต่หัวค่ำยังเช้า อยู่เพื่อให้พี่น้องเราไปแย่งศพของคนที่ถูกยิงตาย เพราะเรากลัวว่าเขาจะเอาศพไปทำลาย เพื่อนพี่น้องเราถูกไล่ยิงตามตรอกซอกซอย หนีตายหัวซุกหัวซุน จนเสื้อแดงตัวที่ใส่ไม่ใช่เปียกแค่เหงื่อ แต่มันเปียกไปด้วยน้ำตาประชาชน น้ำตาพี่น้องที่วิ่งมาร้องไห้หลังเวที

สำหรับผม มันไม่มีอะไรหนาวเท่าหนาวน้ำตาประชาชนอีกแล้ว เวลาเขามาร้องไห้กับอกเรา เวลาเขาเข้ามากรีดร้องอยู่กับอก แล้วผมให้คำตอบไม่ได้ว่าใครอยู่ที่ไหน ใครเจ็บ ใครตายแล้วศพอยู่ตรงไหนอย่างไร นี่มันคือ มันคือสิ่งที่ มันวิ่งอยู่ในชีวิตผมมาตลอด

ผมก็เลยไม่รู้ว่า จะต้องแสดงออกอย่างไรว่า ว่าเรื่องนี้มันคือชีวิตผม ผมก็เลย ตั้งชื่อลูกผมนี่แหละครับ ผมตั้งชื่อลูกสาวผมซึ่งเกิดท่ามกลางสถานการณ์ล้อมปราบที่ราชประสงค์ว่า ด.ญ.ชาดอาภรณ์ ซึ่งกว่าผมจะได้อุ้มลูกครั้งแรกก็ต้องไปติดคุกอยู่ 9 เดือนกว่าเราจะได้เจอหน้ากัน

ชื่อเสื้อแดง เป็นสิ่งที่มีคุณค่าที่สุดในชีวิตเอ่ยปากได้ภูมิใจว่าเป็นคนเสื้อแดง ชีวิตเด็กบ้านนอกคนหนึ่ง อยากเป็นผู้แทนฯ สมัครตั้งแต่อายุ 25 ปี โดยไม่เคยคิดออกมาต่อสู้เป็นแกนนำม็อบ ไม่เคยคิดเกิดมามีอุดมการณ์ยิ่งใหญ่ใดๆที่จะเติบโตมากับโลกที่บอกว่ามาเพื่อความเปลี่ยนแปลงอะไร 

'แก้วสรร' ถาม 'แจกเงินดิจิทัล สินบนเลือกตั้ง’ หรือเป็น ‘นโยบายงี่เง่า’ โดยสุจริตเท่านั้น

'แก้วสรร' ออกบทความด่วน แจกเงินดิจิทัล: สินบนเลือกตั้ง? ตั้งคำถาม กกต. น่าจะไต่สวนให้ละเอียดว่า โครงการเป็นสินบนเลือกตั้ง หรือนโยบายงี่เง่าโดยสุจริตเท่านั้น
.
(12 เม.ย.66) นายแก้วสรร อติโพธิ นักวิชาการอิสระ ออกบทความเรื่อง ‘แจก ‘เงินดิจิทัล’ : สินบนเลือกตั้ง???’ ในรูปแบบถาม-ตอบ มีเนื้อหาว่า...

ถาม: ‘เงินดิจิทัล’ หนึ่งหมื่นบาท ที่เพื่อไทยประกาศจะแจกให้ทุกคนนั้น มัน เป็น ‘นโยบาย’ หรือ ‘สินบนเลือกตั้ง’?
ตอบ: ตามความเข้าใจของผมนั้น ‘เงินดิจิทัล’ ของเพื่อไทย ก็คล้ายกับคูปอง ที่เราต้องซื้อเวลาไปศูนย์อาหารตามห้างสรรพสินค้า ซื้อมาแล้วก็ใช้ได้ แต่ซื้ออาหารในศูนย์นั้นเท่านั้น...เงินดิจิทัลที่เพื่อไทยจะแจกก็เหมือนกัน คือ แจกให้ทุกคนที่อยู่ในเขตชุมชนรัศมี 4 กิโล ให้ได้คูปองไปซื้อหาสินค้าในวงสี่กิโลเมตรนี้ได้ โดยเขาอ้างว่า นี่คือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในชุมชนสี่กิโลเมตร ใครขายของได้เงินดิจิทัลหรือคูปองนี้มา ก็เอามาขึ้นเงินจากงบประมาณแผ่นดินได้ในที่สุด โดยทั้งหมดนี้ต้องยุติใน 6 เดือน

ถาม: โครงการทั้งแผ่นดิน ให้สิทธิผู้คนถึง 55 ล้านคน วงเงิน 5 แสนล้านอย่างนี้ บริหารจัดการได้อย่างไร?
ตอบ: ก็ทำได้โดยอาศัยระบบออนไลน์ ที่สร้างขึ้นโดยเฉพาะนั่นแหละครับ

ถาม: มันต่างจากเงินที่ได้เปล่าอื่นๆ สมัย นายกฯ ตู่อย่างไร?
ตอบ: มันมุ่งจ่ายเมื่อมีธุรกรรมซื้อขายเกิดขึ้นเหมือนกัน แต่ไม่ใช่จ่ายคนละครึ่ง เขาจ่ายให้หมดเลย แล้วของเพื่อไทยนั้นจ่ายโดยไม่มีเหตุเศรษฐกิจซบเซา ในช่วงโควิด หรือช่วยคนจนเลย อยู่ดีๆ ก็จ่ายให้ไปซื้อของ อ้างว่ามุ่งกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน ผู้คนจะรวยหรือจนก็ได้เงินหมด ขอให้เอาไปจับจ่ายในรัศมีสี่กิโลเมตรก็พอแล้ว...ข้อที่มุ่งกระตุ้น ‘การจับจ่ายในพื้นที่’ นี่แหละครับ ที่ทำให้แจกดะทุกคน ทุกหนแห่งเลย

ถาม: ถ้าผมไปเป็นผู้สมัคร ส.ส. แล้วประกาศว่า ชนะเลือกตั้งเมื่อไหร่ ห้างเดอะมอลล์จะแจกคูปองอาหารให้พี่น้อง 6 เดือนเลย อย่างนี้ผมผิดกฎหมายเลือกตั้งฐานสัญญาว่าจะให้ไหม?
ตอบ: ผิดครับ คุณจะให้เองหรือเดอะมอลล์ให้ ก็ผิดเหมือนกัน

ถาม: ถ้าผิด อย่างนั้นสัญญาว่าชนะเลือกตั้งแล้ว รัฐบาลจะแจกเงินดิจิทัลให้ทุกคน อย่างนี้ก็ต้องผิดเหมือนกันใช่ไหม?
ตอบ: เขาต้องยกข้อต่อสู้ว่า นี่คือเงินรัฐที่จ่ายตามนโยบายสาธารณะ ไม่ใช่สินบนซื้อเสียง

‘อดีตผู้ว่าการ ธปท.’ ชี้ นโยบายแจกเงิน ก่อหนี้โดยไม่จำเป็น จวก!! ไร้ความรับผิดชอบ ทำ ปชช.ขาดวินัย-ทักษะทางการเงิน

(11 เม.ย. 66) นางธาริษา วัฒนเกส อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เขียนข้อความเรื่องภาระการคลังของการแจกเงิน โดยระบุว่า…

ประชากรอายุ 16 ปีขึ้นไปมีประมาณ 85% ของประชากร 67,000,000 คนจึงเทียบเท่ากับประมาณ 55,000,000 คน แจกให้คนละ 10,000 บาท เทียบเท่ากับค่าใช้จ่ายทั้งหมด 550,000 ล้านบาท

ถามว่าจะเอาค่าใช้จ่ายส่วนนี้มาจากไหน?

ถ้าเงิน 550,000 ล้านบาทที่ใช้จ่ายออกไปมีการเก็บภาษีวีเอที 7% เต็มเม็ดเต็มหน่วยก็จะได้ภาษี 38,500 ล้านบาท แต่จริง ๆ เป็นไปไม่ได้ที่จะเก็บได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยเพราะร้านขายของในละแวกบ้าน นอกอาจจะเป็นร้านเล็ก ๆ ยังไม่อยู่ในระบบภาษี แต่เอาเถอะยกผลประโยชน์ให้ว่าเก็บได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะเขาอาจจะโต้แย้งได้ว่าเงิน 550,000 ล้านบาทสามารถหมุนได้หลายรอบ ก็จะเก็บภาษีได้หลายรอบ และบริษัทที่ผลิตสินค้าขายได้มากขึ้นก็น่าจะเก็บภาษีนิติบุคคลได้มากขึ้น

ดังนั้น ยังต้องหาเงินมาโปะส่วนที่ขาดอีก 511,500 ล้านบาท ปัดตัวเลขกลมๆเป็น  500,000 ล้านบาทเลยก็ได้ ถ้าไม่ขึ้นภาษีก็ต้องเบียดมาจากการใช้จ่ายรายการอื่น ๆ ซึ่งไม่น่าจะเบียดมาได้มากนัก เพราะตัวเลข 500,000 ล้านบาทนี้ เทียบเท่ากับ 17 ถึง 18% ของงบประมาณคาดการณ์ของปี 2023 จึงเป็นสัดส่วนไม่น้อย เมื่อหาเงินหรือลดค่าใช้จ่ายรายการอื่นไม่ได้ ก็ต้องกู้มาโปะส่วนที่ขาดดุลมากขึ้นนี้

อัตราส่วนหนี้ต่อจีดีพีในปี 2023 คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 61.36% ถ้าต้องกู้มากขึ้นอีก 500,000 ล้านบาทสัดส่วนนี้จะเพิ่มขึ้นอีก 2.8% รวมเป็น 64.16%

เราเคยตั้งเป้าว่าสัดส่วนหนี้ต่อจีดีพีจะไม่ให้เกิน 60% แต่ช่วงที่ผ่านมาเราต้องประคับประคองเศรษฐกิจจากผลกระทบของโควิด จึงยอมให้สัดส่วนนี้สูงเกิน 60% และมีเป้าหมายจะดึงลงมาให้อยู่ในระดับ 60% โดยเร็ว

นโยบายแจกเงินนี้มีผลในการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น แต่ในปีหน้าคาดว่าเศรษฐกิจจะโตประมาณ 3 ถึง 4% โดยมีตัวช่วยคือการท่องเที่ยว ที่ผ่านมาในช่วงโควิดรัฐบาลได้ใช้เงินไปในการพยุงเศรษฐกิจมามากพอแล้ว ปีหน้าจึง​ไม่มีความจำเป็นที่ต้องกระตุ้นต่อเนื่อง และการจะทำให้เศรษฐกิจเติบโตโดยการใช้จ่ายเป็นวิธีที่ไม่รับผิดชอบ (ยกเว้นในกรณีจำเป็น อย่างเช่นในช่วงโควิดที่หัวรถจักรทางเศรษฐกิจตัวอื่น ๆ ไม่ทำงาน) เพราะใช้แล้วก็หมดไป ไม่มีผลในการสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจในระยะยาว

‘บิ๊กป้อม’ เปิดพรรคให้แกนนำ-สื่อ เข้ารดน้ำดำหัว พร้อมอวยพรขอให้ ปชช. เดินทางปลอดภัย-สมหวังตลอดปี

(11 เม.ย.66) ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค ได้เปิดโอกาสให้คณะกรรมการบริหารพรรค รดน้ำอวยพรเนื่องในเทศกาลสงกรานต์ ประจำปี 2566 อาทิ นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ในฐานะเลขาธิการพรรค นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดีอีเอส ในฐานะรองหัวหน้าพรรค นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรค นายสกลธี ภัททิยกุล หัวหน้าทีม กทม. นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค นายวราเทพ รัตนากร กรรมการนโยบายและฝ่ายอำนวยการนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ กรรมการบริหารพรรค รดน้ำขอพร บรรยากาศเป็นไปอย่างชื่นมื่น 

‘ขัตติยา’ ส.ส.เพื่อไทย ร้องขอความเป็นธรรมให้คนเสื้อแดง ลั่น!! ต้องรื้อฟื้นคดี ลาก ‘ทหาร’ ขึ้น ‘ศาลพลเรือน’ ให้ได้

(11 เม.ย. 66) เฟซบุ๊กแฟนเพจหลักของ ‘พรรคเพื่อไทย’ ได้ออกมาโพสต์ข้อความ เนื่องในโอกาสรำลึกครบรอบ 13 ปี การสลายการชุมนุม 10 เมษายน 2553 โดยมีเนื้อหาระบุว่า…

‘ขัตติยา สวัสดิผล’ ประกาศทวงคืนความยุติธรรมให้คนเสื้อแดงอีก 62 ศพ ต้องรื้อฟื้นคดีและลาก ‘ทหาร’ ขึ้น ‘ศาลพลเรือน’ ให้ได้

ขัตติยา สวัสดิผล ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวในงานรำลึกครบรอบ 13 ปี การสลายการชุมนุม 10 เมษายน 2553 กล่าวทวงความยุติธรรมให้คนเสื้อแดงว่า จะรื้อฟื้นคดีเสื้อแดงที่ยังมีอีก 62 คดี ขึ้นมาฟ้องพร้อมกับเอาทหารที่ยิงประชาชนวันนั้น มาขึ้นศาลพลเรือนแทนศาลทหาร 

ขัตติยา สวัสดิผล กล่าวถึงความคืบหน้าในส่วนของคดีความคนเสื้อแดงว่า ในช่วงก่อนปี 2554 คดีคนเสื้อแดงรวมถึงคดีของคุณพ่อ (พลตรีขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก) ไม่มีความคืบหน้า เพราะตอนนั้นพรรคเพื่อไทยไม่ได้เป็นรัฐบาล แต่ก็ได้รับความเมตตาจากท่านทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติในปัจจุบัน ซึ่งขณะนั้นได้แนะนำแนวทางทางกระบวนการยุติธรรมให้ซึ่งต้องยอมรับว่าบรรยากาศตอนนั้นไม่ได้เปิดโอกาสให้เราค้นหาความจริงได้เลย 

แต่เมื่อพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งปี 2554 คดีความต่าง ๆ ของคนเสื้อแดงเดินหน้าคืบหน้าไปได้เร็ว เพราะเรามีสารตั้งต้นจากชั้นตำรวจ ไปยังกรมสอบสวนคดีพิเศษ จนกระทั่งนำไปขึ้นสู่ศาลได้ ซึ่งการที่เราสามารถพาคดีไปถึงศาลได้ก็ต้องยอมรับว่าเป็นความสำเร็จขั้นหนึ่ง ถึงแม้ว่าทั้งคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น จะใช้เทคนิคทางกฎหมายบอกว่าเราไม่สามารถยื่นฟ้องเขาในศาลอาญาได้ เราก็ต้องไปเริ่มต้นใหม่ ไปฟ้องเขาที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นั้นหมายความว่า เราต้องเริ่มต้นนับ 1 ใหม่ และแม้จะน่าเสียดายที่ ปปช.ซึ่งเป็นองค์กรอิสระที่มีผลพวงจากรัฐประหารตีตกบอกว่า ทั้งคุณอภิสิทธิ์และคุณสุเทพ ทำในฐานะผู้สั่งการตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งคนที่จะต้องไปเอาผิดคือทหารที่ปฏิบัติการอยู่ที่สี่แยกราชประสงค์และแยกคอกวัว ถ้าเราจะเอาผิดคนดังกล่าว เท่ากับเราต้องเอาเขาไปขึ้นศาลทหาร

ขัตติยา กล่าวต่อว่าเรื่องนี้เราจะเดินหน้าต่อไม่หยุด พรรคเพื่อไทยถ้ามีโอกาสเป็นรัฐบาล จะทวงคืนสอบถามความยุติธรรมในคดีอีก 62 ศพที่เหลือ เราจะตั้งกรรมการขึ้นมาพิจารณาว่า ในแต่ละคดีของทั้ง 62 คดีนั้น จะต้องไปยื่นฟ้องใครที่ศาลใดถึงจะสัมฤทธิ์ผลที่สุด ซึ่งตรงนี้จะเกี่ยวเนื่องกับ ปปช. ที่บอกไปว่า จะต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่า ถ้าคดีที่ ปปช. ชี้ว่าไม่มีมูล ประชาชนสามารถส่งให้อัยการสูงสุดชี้มูลได้ และถ้าอัยการสูงสุดไม่ชี้มูล ก็ต้องให้อำนาจประชาชนในฐานะผู้เสียหาย สามารถฟ้องศาลได้โดยตรง

‘นันทิวัฒน์’ โพสต์ “เลือกนักการเมืองยังไงดี” หลังได้รับคำถาม แนะวิธีปชช. อย่าเลือกพวกโกงกิน-ขายชาติ-ยุยงให้แตกแยก

(11 เม.ย.66) นายนันทิวัฒน์ สามารถ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และอดีตรองผอ.สำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก Nantiwat Samart มีเนื้อหาดังนี้...

เลือกนักการเมืองยังไงดี

การหาเสียงเลือกตั้งที่ผ่านมา ผู้สมัครและพรรคหาเสียงสร้างคะแนนนิยม สิ่งที่ประกาศออกมาจึงไม่ขึ้นอยู่กับว่าทำได้จริงหรือไม่ หรือขายฝัน หลอกคนฟังให้เคลิ้ม แบบเมายา สะลึมสะลือ

อย่างเรื่องจะแจกเงินดิจิตอล คำแถมแรกคือเงินดิจิตอลหน้าตาเป็นอย่างไร มีใช้ที่ไหนในตลาดซื้อขาย บนธนบัตรที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ มีข้อความพิมพ์ไว้บนหน้าธนบัตรว่า ใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย แล้วเงินดิจิตอลจะสามารถใช้หนี้ตามกฎหมายหรือ ใครรับรอง แม้แต่ธนาคารแห่งประเทศไทยก็ยังไม่รับรอง

เงินดิจิตอลจะเหมือนเงินทิพย์ จับต้องไม่ได้ ใช้ได้กับคนทิพย์ด้วยกัน ร้านค้าที่ไหนจะยอมรับเงินทิพย์ รับมาแล้วจะนำไปขึ้นเป็นธนบัตรได้ที่ไหน ค่าเงินดิจิตอลหนึ่งหมื่นจะเท่ากับเงินหนึ่งหมื่นบาทหรือไม่ จะมีค่าลดลงเท่าไร แถมให้ใช้ได้ในรัศมีไม่เกิน 4 กิโลเมตรจากภูมิลำเนา บ้านนอกห่างไกลปืนเที่ยงจะมีร้านค้าให้จับจ่าย หรือต้องตั้งร้านค้าที่จะสมัครรับเงินดิจิตอล จะทันกำหนด 6 เดือนที่ระบุไว้ในการหาเสียงว่าเงินดิจิตอลที่แจกนี้ให้ใช้ให้หมดภายใน 6 เดือน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ใช้ไม่หมดทำไงแลกเปลี่ยนเป็นเงินได้หรือไม่ ใช้หลักอะไรเทียบเคียงมูลค่า ที่ท้วงติง เพราะกลัวหาเสียงแล้วจะถูกฟ้อง ถอยทันไหม

‘โรม’ จี้ ‘หน่วยงานรัฐ’ ทำหน้าที่อย่างซื่อตรง พร้อมดักคอ ‘ส.ว.อุปกิต’ อย่าเล่นนอกกติกา

(11 เม.ย.66) รังสิมันต์ โรม โฆษกพรรคก้าวไกล ระบุถึงการแถลงข่าวครั้งที่ 2 ของ ส.ว.อุปกิต ปาจรียางกูร ที่งัดเอาข้อมูลว่าบัญชีม้าในคดีฟอกเงินยาเสพติดนั้นมีการโอนเงินไปยังบัญชีอื่น ๆ ของทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลอีกถึง 86 บัญชี ทำไมมีแค่ตนคนเดียวที่ถูกกล่าวโทษ ถ้ารังสิมันต์ โรม ไม่ได้เลือกปฏิบัติ ไม่คิดกลั่นแกล้ง ไม่หวังผลทางการเมือง ก็ขอให้ไปตรวจสอบ 86 บุคคล/บริษัทเหล่านั้นด้วย

ในประเด็นนี้ตนทราบว่าทาง ส.ว.อุปกิตก็ไปยื่นข้อมูลให้กับทางอัยการด้วยเช่นกัน ซึ่งหากท่านต้องการช่วยชี้เบาะแสเผื่อว่าจะมีใครกระทำผิดฟอกเงินค้ายาอีกหรือไม่นั้น ก็เป็นสิทธิของท่านที่จะกระทำได้ แต่หากว่าทำไปเพียงเพื่อจะซัดผมว่าปฏิบัติต่อท่านอย่างไม่เป็นธรรมนั้น ผมก็ต้องขอเรียนต่อ ส.ว.อุปกิตว่าการที่ผมมาพูดอภิปรายเรื่องฟอกเงินค้ายาเสพติดได้นั้น จำเป็นต้องมีหลักฐานสนับสนุนหลาย ๆ อย่างมาประกอบกัน อย่างความเชื่อมโยงทางการเงินก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่ถ้าลำพังมีแค่หลักฐานนี้อย่างเดียวเช่นที่ท่านอ้างถึง 86 บุคคล/บริษัทนั้น ก็คงยังไม่เพียงพอที่จะอภิปรายได้ ท่านก็เคยพูดเองมิใช่หรือว่าคนที่ค้ายาเขาไปซื้อขายอะไรใดๆ ไม่ได้หมายความว่าร้านค้าเหล่านั้นจะต้องเป็นผู้ฟอกเงินทั้งหมดเสมอไป (แต่จะต้องพิจารณาเป็นกรณีไป)

ในกรณีของ ส.ว.อุปกิต หากว่าหลักฐานมีแค่เรื่องเส้นทางการเงินระหว่างผู้ค้ายากับเครือบริษัท Allure เพียงแค่นี้เท่านั้น ผมคงไม่เอามาอภิปรายตั้งแต่แรก แต่ที่ผมตัดสินใจเอามาอภิปรายก็เพราะมีหลักฐานอื่น ๆ ประกอบด้วย เช่น ข้อความแชต หรือคำให้การของทุนมินลัตและคนอื่น ๆ ที่โดนจับไปก่อนหน้านี้ ที่ผมพิจารณาแล้วเห็นว่าหนักแน่นเพียงพอที่จะต้องพูดออกมาให้สังคมได้ตระหนักและช่วยการติดตามกระบวนการคดีไม่ให้เตลิดออกนอกลู่นอกทางได้

ซึ่งเรื่องข้อความแชต วันนี้ ส.ว.อุปกิตก็ยังพูดเหมือนเดิมว่าแปลผิดแปลมั่ว ตนก็เคยบอกไปแล้วว่าข้อความที่คุยกันมันเป็นศัพท์ขั้นพื้นฐานมาก ๆ ไม่ได้เกินความเข้าใจของคนเคยเรียนภาษาอังกฤษมา ยังอ้างว่าคุยกันเรื่องโรงปูนบ้าง เรื่องทองบ้าง ผมก็เคยบอกไปแล้วว่านั่นแค่ส่วนนอกเรื่องน้อยนิดที่ปะปนมา แชตส่วนใหญ่คุยเรื่องการคุมงาน Allure ทั้งนั้น พอมารอบนี้มีอ้างเพิ่มเติมด้วยว่าตำรวจไปตัดต่อแชตเก่า ๆ ของตนเพื่อมาใส่ร้าย ผมว่าก็รอติดตามในคดีต่อไปแล้วกันว่ามันจะใช่อย่างที่ท่านอ้างไหม

ส่วนที่กล่าวหาว่าเอาเรื่องหลายเดือนก่อนมาพูดตอนนี้เพราะเป็นขบวนการหวังผลการเมือง พยายามโยงมาถึงพรรคที่ผมสังกัด ก็ต้องย้ำอีกครั้งว่าผมตั้งใจเอาเรื่องนี้มาพูดในวาระอภิปรายทั่วไปเพราะเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งตัวผมไม่มีอำนาจอะไรเลยที่จะไปกำหนดได้ว่าจะอภิปรายกันเมื่อไหร่ ทีแรกยังเคยนึกว่าจะมีในช่วงเดือนธันวาคม 2565 ด้วยซ้ำ อีกอย่างคือเรื่องนี้ก็ต้องใช้เวลาเตรียมข้อมูลด้วย ไม่ใช่ว่าเกิดเหตุ 2-3 แล้วจะให้รีบพูดเลยได้ และผมเชื่อว่าสังคมมีวิจารณญาณพอที่จะเห็นได้ว่าสิ่งที่ผมพูดนั้นเป็นแค่การป้ายสีเลื่อนลอย หรือเป็นข้อมูลที่น่าเชื่อถือกันแน่

‘อนุทิน’ ปัดตอบปมข้อมูล ‘หมอพร้อม’ หลุด เผยสั้นๆ มอบนโยบายให้ปลัดสาธารณสุขแล้ว

(11 เม.ย.66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงกรณีที่แฮ็กเกอร์นำข้อมูลส่วนตัวในระบบหมอพร้อม ออกมาเผยแพร่ ว่า เรื่องนี้ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้ดำเนินการร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ ดีอีเอส ซึ่งเป็นเรื่องในสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ดูแลอยู่และแก้ไขปัญหานี้ 

เมื่อถามว่าข้อมูลหมอพร้อมหลุดไปจริงๆ ใช่หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ไม่ทราบ เจ้าหน้าที่ยังไม่ได้รายงานมา เพราะเป็นข้อมูลจากหลายแห่งมาก และการสอบสวนดำเนินการเป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ ส่วนกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้ให้บริการ ซึ่งรายละเอียดขอให้ไปถามปลัดกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งตนได้ให้นโยบายไปแล้ว

เมื่อถามว่า หลายฝ่ายกังวลว่าจะถูกนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น นายอนุทิน มีสีหน้าที่นิ่ง และไม่ตอบคำถามนี้ พร้อมเดินไปยังตึกสันติไมตรี เข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ทันที

‘โรม’ ซัด!! ‘พีระพันธุ์’ เป็นใครมาไล่ประชาชน หวังแต่จะแช่แข็งประเทศไทย-ไล่คนเห็นต่าง

‘ก้าวไกล’ เร่ง สตช. เคลียร์ให้ชัด ‘แฮกเกอร์ 9near’ มีใครอยู่เบื้องหลัง-เกี่ยวข้องการเมืองหรือไม่ ชี้ ‘พีระพันธุ์’ ทัศนคติอันตราย แช่แข็งประเทศไทย-ไล่คนเห็นต่าง จี้ซ้ำ ปปง. จะเงียบไปถึงไหน ปม ‘ส.ว.ทรงเอ’ โดนข้อหาสมคบฟอกเงิน

(10 เม.ย.66) ที่พรรคก้าวไกล รังสิมันต์ โรม โฆษกพรรคก้าวไกล แถลงข่าวประจำสัปดาห์ในหลายประเด็น เริ่มจาก ข้อสังเกตต่อกรณีแฮกเกอร์ใช้ชื่อ ‘9near’ โพสต์ขายข้อมูลที่อ้างว่าเป็นข้อมูลส่วนตัวของคนไทยกว่า 55 ล้านรายการ ที่จนถึงตอนนี้ตำรวจยังจับกุมตัวไม่ได้ว่า เรื่องนี้เป็นการหลุดของข้อมูลครั้งสำคัญที่ไม่อาจประมาณมูลค่าความเสียหายได้ ตนและพรรคก้าวไกลติดตามอย่างใกล้ชิด และต้องการเห็นการรับมืออย่างเป็นมืออาชีพของรัฐบาล โดยจากข้อมูลที่ปรากฏ ตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน ตำรวจขอออกหมายจับ มีการทราบตัวและทราบที่อยู่ของแฮกเกอร์ แต่กลับไม่มีการควบคุมตัว พรรคก้าวไกลมองว่ามีความไม่ชอบมาพากล อาจมีคนอยู่เบื้องหลัง ซึ่งหมายความว่าการทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจขณะนี้กำลังเจอ ‘ตอ’ อยู่หรือไม่

เป็นไปได้หรือไม่ที่ทหารยศจ่าสิบโทคนดังกล่าวอาจอยู่ท่ามกลางข้อมูลจำนวนมากที่เกี่ยวกับความมั่นคง แต่การที่กองทัพออกมาปฏิเสธบอกว่าการกระทำที่ว่าเป็นเรื่องส่วนตัว ตนคิดว่ากองทัพไม่ควรร้อนตัว ต้องให้มีการตรวจสอบก่อน จะอ้างขั้นตอนระบบราชการอย่างไรก็ฟังไม่ขึ้น เว้นเสียแต่ว่าคนที่มีส่วนได้เสียกับเรื่องนี้เป็นคนมีอำนาจ หรือมีความเป็นไปได้ที่จะทำเรื่องนี้ให้กลายเป็นประเด็นทางการเมืองเพื่อใส่ร้ายบางพรรคหรือนักการเมืองบางคน โดยพรรคก้าวไกลได้ติดตามการทำงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ในเรื่องนี้ หวังว่าจะไม่ทำลายอาชีพของตัวเองด้วยการปล่อยให้ข้อมูลของประชาชนอยู่ในมือมิจฉาชีพ

ต่อมารังสิมันต์ กล่าวถึงกรณี พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ปราศรัยไล่คนเห็นต่างออกจากประเทศ พร้อมผลิตซ้ำวาทกรรมชังชาติ ล้มเจ้า โดยขอตั้งคำถามกลับว่า พีระพันธุ์เป็นใครจึงมาไล่ประชาชน ประชาชนเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดของประเทศ นักการเมืองมาเป็นรัฐบาลไม่มีสิทธิไล่ผู้เห็นต่าง ในสังคมประชาธิปไตยเป็นเรื่องปกติมากที่ประชาชนจะมีความเห็นแตกต่างกัน การแสดงความเห็นเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ ตนสงสัยว่าทำไมพีระพันธุ์จึงไม่เข้าใจ ทั้งที่เป็นนักการเมืองมานาน เคยเป็นรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม เคยนั่งอยู่ในกรรมาธิการการกฎหมายและสิทธิมนุษยชน ซึ่งเป็นกรรมาธิการที่มีจุดประสงค์เพื่อปกป้องสิทธิของประชาชนทุกคนไม่ให้ถูกละเมิด

"ความคิดของคุณพีระพันธุ์ ที่จะแช่แข็งประเทศไทย เป็นเรื่องที่อันตรายของคนที่คิดจะเป็นรัฐบาล เพราะความคิดที่บอกว่าสังคมต้องเหมือนเดิมไม่ต้องเปลี่ยน ก็คงเท่ากับประชาชนต้องอยู่กับปัญหา ความคิดแบบนี้ไม่มีทางทำให้สังคมก้าวหน้าได้ ผมอยากให้คุณพีระพันธุ์คิดให้ดีว่าหากอยากทำเพื่อประชาชนจริงๆ ควรจะใช้อำนาจที่มีปกป้องประชาชน ในฐานะผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลงพื้นที่ทั่วประเทศ ผมพบว่าปัญหายาเสพติดกำลังเป็นปัญหาร้ายแรง ขอถามว่ารัฐบาลพลเอกประยุทธ์ทำอะไรบ้าง" รังสิมันต์กล่าว

สำหรับความคืบหน้าการดำเนินคดี ส.ว.ทรงเอ รังสิมันต์กล่าวว่า ได้ติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดและรอคอยความคืบหน้าว่าจะนำไปสู่บทสรุปอย่างไร ยอมรับว่ารู้สึกกังวลอย่างยิ่งว่าเรื่องนี้จะเป็นปาหี่ นำไปสู่การช่วยเหลือ ส.ว.ทรงเอ เพราะทั้งที่ ส.ว.ทรงเอ หรือ อุปกิต ปาจรียางกูร มีสายสัมพันธ์กับขบวนการค้ายาเสพติดของ ทุน มิน ลัต แต่กลับได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างกัน ทำให้กระบวนการยุติธรรมอาจถูกตั้งคำถามว่ามี 2 มาตรฐาน

“ผมยังเชื่อใจว่าองค์กรอัยการจะไม่เอาชื่อเสียงของตัวเองมาทิ้งกับเรื่องนี้ คำถามคือตอนนี้รออะไร เมื่อไรกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) จะส่งสำนวน เพื่อให้อัยการดำเนินการต่อไป หวังว่าก่อนสงกรานต์จะมีความชัดเจน มิเช่นนั้นประชาชนจะตั้งคำถามว่าพวกท่านกำลังช่วยเหลือ ส.ว.ทรงเอ ซึ่งอาจเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมายหรือไม่” รังสิมันต์กล่าว

‘โรม’ เรียกร้อง กกต. ขยายวันลงทะเบียนเลือกตั้งล่วงหน้า อย่าให้ประชาชนเสียสิทธิ หลังเว็บลงทะเบียนล่มวันสุดท้าย

(10 เม.ย.66) ที่พรรคก้าวไกล รังสิมันต์ โรม โฆษกพรรคก้าวไกล เรียกร้องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขยายวันลงทะเบียนเลือกตั้งล่วงหน้า นอกเขต นอกราชอาณาจักร ซึ่งคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดให้มีขึ้นระหว่างวันที่ 25 มีนาคม – 9 เมษายน 2566 ที่ผ่านมาว่า เมื่อวานนี้ (9 เมษายน) คือวันสุดท้ายของการลงทะเบียน แต่ปรากฎว่าเว็บไซต์ลงทะเบียนกลับล่ม ประชาชนจำนวนมากไม่สามารถลงทะเบียนได้

รังสิมันต์กล่าวว่า เมื่อปี 2562 มีคนลงทะเบียนเลือกตั้งล่วงหน้า นอกเขต นอกราชอาณาจักร 2.63 ล้านคน แบ่งเป็น นอกราชอาณาจักร 1.2 แสนคน มาครั้งนี้ ทราบข่าวว่ามีประชาชนลงทะเบียนรวม 2.1 ล้านคน ดังนั้น เมื่อเทียบกับปี 2562 มีประชาชนที่อาจจะตกหล่นแน่ๆ ถึง 500,000 คน

เปิดหลักฐานความพยายามให้สยามเกิด Thailand Spring เรื่องจริง!! อันตรายพุ่งเป้าต่อสถาบันพระมหากษัตริย์

ภุมรัตน ทักษาดิพงศ์ อดีตผู้อำนวยการ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ

หลักฐานความพยายามในการทำให้เกิด Thailand Spring จากบทความ ‘ประชาชนคือป้อมปราการ’ โดย ภุมรัตน ทักษาดิพงศ์ อดีตผู้อำนวยการ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ

มีนักการเมือง นักเคลื่อนไหว หลายคนที่พยายามถามหาหลักฐานการที่มีกล่าวหาว่า มีต่างชาติให้การสนับสนุนความพยายามในการจาบจ้วง ล่วงละเมิดสถาบันฯ ครั้งนี้จึงขอนำหลักฐาน ซึ่งเป็นบทความชื่อ ‘ประชาชนคือป้อมปราการ' ของคุณภุมรัตน ทักษาดิพงศ์ อดีตผู้อำนวยการ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ ซึ่งได้ลงใน Post Today เมื่อหลายปีแล้วมาเล่าเพื่อให้ผู้อ่านได้พอเห็นภาพและเกิดความเข้าใจในเรื่องราวที่เกี่ยวข้องและเป็นไปดังนี้

นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550 เป็นต้นมา การบ่อนทำลายสถาบันสูงสุดเกิดขึ้นมากผิดปกติ เปิดเผย ไม่เกรงกลัว กลุ่มต่อต้านกษัตริย์ไม่เพียงเคลื่อนไหวในประเทศเท่านั้น แต่ยังไปเคลื่อนไหวในต่างประเทศ โดยเฉพาะในสหรัฐ ด้วยการป้อนชุดข้อมูลที่ดูเหมือนจริงแต่เป็นความเท็จ ส่วนหนึ่งเป็นผลงานของนักล็อบบี้จากสำนักงานกฎหมายที่มีชื่อเสียงและบริษัทประชาสัมพันธ์ ที่ถูกใครบางคนจ้างไว้ 3 บริษัท บริษัทละ 1.1 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี (ประมาณ 30.3 ล้านบาทในขณะนั้น) เพื่อไปล็อบบี้สมาชิกรัฐสภาและรัฐบาลอเมริกันเพื่อผลทางการเมืองของตน อย่างไรก็ดี ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น คือ เกิดกระแสต่อต้านสถาบันกษัตริย์ในหมู่นักการเมืองอเมริกันมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

ฝ่ายที่ต่อต้านสถาบันกษัตริย์ไทยในสหรัฐทวีความเข้มแข็งมากขึ้น มีการสร้างเว็บไซต์ในรูปแบบหลากหลาย เขียนบทความภาษาต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากข้อเขียนของคนอเมริกัน 2 คน คนหนึ่งคือ เจ.เค. แห่งคณะกรรมการวิเทศสัมพันธ์ (Council on Foreign Relations) อันทรงอิทธิพลในสหรัฐ ที่ เจ.เค. ได้เขียนบทความโจมตีสถาบันกษัตริย์ และยกย่องเชิดชูฝ่ายตรงข้ามกษัตริย์สลับกันมาหลายปีแล้ว อีกคนหนึ่งคือ เอ.เอ็ม.เอ็ม. ที่ยอมรับว่าได้รับการว่าจ้างให้มาทำงานด้านนี้ และเป็นคนที่นำเอาคดีของ โจ กอร์ดอน และ อำพล ตั้งนพกุล หรือ ‘อากง’ มาเขียนโจมตี ม.112 เพื่อให้พาดพิงไปถึงพระมหากษัตริย์ไทย ในความเป็นจริง คนพวกนี้ไม่ได้มีความรู้อะไรมากมาย แต่ได้รับข้อมูลจากนักประวัติศาสตร์ชาวไทยสายสาธารณรัฐที่คนไทยรู้จักดี

ในกลางปี พ.ศ. 2556 นักล็อบบี้พวกนี้วางแผนผลักดันให้มีการอภิปรายเชิงวิชาการในที่ประชุมประจำปีของสมาคมเอเชียศึกษา (Association of Asian Studies) ซึ่งมีคนไทยที่ต่อต้านสถาบันกษัตริย์มีอิทธิพลอยู่ การอภิปรายดังกล่าวมีเป้าหมายมุ่งโจมตีสถาบันกษัตริย์ไทยเป็นการเฉพาะ รวมทั้งมีแผนตีพิมพ์หนังสืออีกเล่มหนึ่งโดยสำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยชั้นนำของสหรัฐ ที่ผู้เขียนอ้างหลักฐานจากห้องสมุดมหาวิทยาลัย รัฐสภาของสหรัฐ ที่ดูเผิน ๆ แล้วน่าเชื่อถือ หรือเลือกเฉพาะส่วนที่สนับสนุนความคิดของตน เพื่อหาทางทำลายความเชื่อถือพระมหากษัตริย์ไทยองค์ปัจจุบัน (ในหลวง รัชกาลที่ ๙ ในขณะนั้น)

ก่อนหน้านี้เมื่อปี พ.ศ. 2554 ในวาระครบ 7 รอบ 84 พรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นักล็อบบี้อเมริกันได้ส่งชุดข้อมูลที่ปั้นแต่งขึ้นจนทำให้สมาชิกสภาหลงเชื่อได้ สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐพยายามหลีกเลี่ยงไม่ส่งหนังสือถวายพระพรตามที่เคยปฏิบัติมา จนสภาสูงต้องส่งหนังสือถวายพระพรแทน สะท้อนให้เห็นว่า นักล็อบบี้ยิสต์อเมริกันทำงานให้กับนายจ้างอย่างได้ผล ทำให้รัฐสภาชุดก่อนเข้าใจผิดและต่อต้านสถาบันกษัตริย์ไทย ตกทอดมาถึงสภาใหม่ชุดที่ 113 ในปัจจุบัน (พ.ศ.2556)

ไม่เพียงแต่เท่านั้น สถาบันบางแห่งของสหรัฐ เช่น กองทุนแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (National Endowment for Democracy) ยังจัดสรรเงินงบประมาณของรัฐคิดเป็นเงินไทยกว่า 1,500 ล้านบาท และอีกโครงการเป็นเงิน 200-300 ล้านบาท ให้กับกลุ่มต่อต้านสถาบันกษัตริย์ ตามที่กลุ่มพวกนี้ร้องขอมาโดยอ้างว่าเพื่อนำไปใช้ในการให้ความรู้ประชาชนในการพัฒนาประชาธิปไตย แต่กลับนำไปสร้างสื่อและเว็บไซต์ ปลุกระดม โฆษณาชวนเชื่อให้คนไทยบางกลุ่มต่อต้านสถาบันสูงสุด

'อลงกรณ์' เชื่อมั่นนโยบาย 'ธนาคารหมู่บ้าน ธนาคารชุมชน' ของ 'พรรคประชาธิปัตย์' ดีกว่ายั่งยืนกว่านโยบาย 'เงินดิจิตอล1หมื่น' ของ 'พรรคเพื่อไทย'

กรณีการวิพากษ์วิจารณ์นโยบายแจกเงินดิจิตอล1 หมื่นของพรรคเพื่อไทยทั้งแง่บวกแง่ลบอย่างกว้างขวาง วันนี้นายอลงกรณ์ พลบุตรรองหัวหน้าพรรคและทีมเศรษฐกิจพรรคประชาธิปัตย์เป็นอีกคนหนึ่งที่ออกมาให้ความเห็นในอีกแง่มุมที่น่าสนใจโดยเขียนบทความสั้นในเฟสบุ้ค 'อลงกรณ์ พลบุตร' และไลน์ส่วนตัวเรื่อง 'เงินดิจิตอล & ธนาคารหมู่บ้าน-ชุมชน: ความต่างของนโยบายพรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาธิปัตย์' เป็นการนำเสนอวิสัยทัศน์และนโยบายธนาคารหมู่บ้าน-ธนาคารชุมชนของพรรคประชาธิปัตย์ในเชิงเปรียบเทียบกับนโยบายเงินดิจิตอลของพรรคเพื่อไทยไว้อย่างชัดเจนพร้อมเปิดโอกาสนายเศรษฐา ทวีสินโต้แย้งชี้แจงแลกเปลี่ยนมุมมอง โดยนายอลงกรณ์เขียนไว้ดังนี้

“เงินดิจิตอล VS 
ธนาคารหมู่บ้าน-ชุมชน
ความต่างของนโยบายพรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาธิปัตย์”

กรณีมีการวิจารณ์กันมากเรื่องนโยบายแจกเงินดิจิตอล1 หมื่นของพรรคเพื่อไทยนั้น ผมสงวนความเห็นไม่กล่าวถึงประเด็นทำได้หรือไม่ ขัดกฎหมายเลือกตั้งหรือไม่ แต่จะเสนอนโยบายพรรคประชาธิปัตย์ให้เห็นเป็นการเปรียบเทียบ นั่นคือ นโยบายธนาคารหมู่บ้านธนาคารชุมชนทุกหมู่บ้านทุกชุมชนใน77 จังหวัด เป็นการจัดตั้งระบบธนาคารท้องถิ่นเพื่อให้บริการเงินฝากและสินเชื่อรวมทั้งบริการอื่นๆใช้เทคโนโลยีธนาคารดิจิตอล(Fintech) ปัญญาประดิษฐ์(AI)และบล็อคเชน (Blockchain)แบคอัพการบริหาร โดยใช้เงิน 2 แสนล้าน เป็นทุนประเดิมเริ่มต้นเป็นเงินหมุนเวียน ไม่ใช่จ่ายครั้งเดียวจบแบบเงินดิจิตอล1หมื่นของพรรคเพื่อไทย

สรุปคือ ธนาคารหมู่บ้านและธนาคารชุมชน

1.เป็นการปฏิรูประบบธนาคารใหญ่ที่สุดโดยให้มีระบบธนาคารหมู่บ้านธนาคารชุมชนเป็นครั้งแรกในรอบกว่า100ปีที่มีแต่ระบบธนาคารพาณิชย์ระดับชาติ
2.เป็นสถาบันการเงินเพื่อสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก ชุมชนและครัวเรือนเพื่อแก้ปัญหาการเข้าถึงสินเขื่อและทุนของชาวบ้านทั้งในชนบทและในเมือง

ไพฑูรย์ - นราพัฒน์ นำทีม ประชาธิปัตย์พิจิตรเปิดเวทีปราศรัยเห็นกองเชียร์ก็รู้ว่าไม่ใช่มวยรอง

วันอาทิตย์ที่ 9 เมษายน 2566 ความคืบหน้าบรรยากาศทางการเมืองของจังหวัดพิจิตร ที่แบ่งเขตการเลือกตั้งออกเป็น 3 เขต ซึ่งขณะนี้ผู้สมัครจากพรรคการเมืองต่างๆ เริ่มมีการติดป้ายโฆษณาหาเสียงเดินลงพื้นที่ขอคะแนนเสียงจากชาวบ้านกันแล้วอย่างคึกคัก

ล่าสุด นายไพฑูรย์ แก้วทอง อดีตรัฐมนตรีในหลายกระทรวงและเป็นผู้อาวุโสของพรรคประชาธิปัตย์ และเป็นอดีต ส.ส.พิจิตร หลายสมัย พร้อมด้วย นายนราพัฒน์ แก้วทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ และเป็น ผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อลำดับที่ 7 ของพรรคประชาธิปัตย์ ได้เป็นผู้นำในการจัดเวทีปราศรัยย่อย ขึ้นที่อาคารชมรมผู้สูงอายุสากเหล็ก เพื่อช่วยหาคะแนนเสียงให้กับ พ.ต.ท. สามารถ แก้วทอง ผู้สมัคร ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ เบอร์ 6  พิจิตรเขต 2 ซึ่งเป็นหลานชายของ นายไพฑูรย์ แก้วทอง โดยภายในงานนี้มี FC แฟนคลับ ของพรรคประชาธิปัตย์เกือบพันคนมาร่วมฟังการปราศรัยในครั้งนี้ โดยมีผู้ดำเนินรายการปราศรัยต่างสลับสับเปลี่ยนกันเล่าถึงนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นพรรคการเมืองและเป็นสถาบันการเมืองที่เก่าแก่อยู่คู่กับระบอบประชาธิปไตยมายาวนานถึง 77 ปี อีกทั้งมีนโยบายต่างๆที่ดูแลประชาชนตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวัยรุ่น วัยเรียน วัยทำงาน วัยชรา จนกระทั่งเสียชีวิต ซึ่งล้วนแต่เป็นนโยบายที่ทำมาแล้วอย่างต่อเนื่อง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top