Saturday, 4 May 2024
POLITICS

‘พล.อ.ประวิตร’ มอบความสุขแฟนบอลชาวไทย กำชับ กกท. เร่งดำเนินการประสานงาน กสทช. ถ่ายทอดสด ‘ฟุตบอลโลก Qatar 2022’

เมื่อ (27 ต.ค. 65) พล.ท.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผู้ช่วยโฆษก รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานการประชุม 2 คณะต่อเนื่องกัน คือคณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย และคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ณ ห้องประชุม มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์

เวลา 09.30 น. เริ่มการประชุม คณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย ซึ่งที่ประชุมได้รับทราบ กกท.สรุปผลการจัดการแข่งขันรถจักรยานยนต์ ชิงแชมป์โลก รายการ ‘โมโต จีพี พ.ศ.2565’ (สนามที่ 17) ระหว่าง 30 ก.ย. - 2 ต.ค. 65 ณ สนามช้างอินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ โดยมีผู้เข้าร่วมงานประมาณ 178,463 คน มีผู้รับชมถ่ายทอดสดทั่วโลกกว่า 800 ล้านคน และสนามที่ 18 ของฤดูกาลหน้า จะจัดแข่งขันในประเทศไทยระหว่าง 27-29 ต.ค. 66 ซึ่งจะสามารถสร้างมูลค่ากีฬา ที่มีศักยภาพเพื่อการท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี จากนั้นได้มีการพิจารณาเห็นชอบ 10 แผนงานพัฒนาการกีฬาของไทย ตามนโยบาย กกท. ประจำปี 66-69 ประกอบด้วย 

1) โครงการยกระดับการให้บริการของ กกท. 
2) แผนธุรกิจการกีฬา 
3) แผนการยกระดับการบริหารจัดการองค์กรทั้งระบบ สู่องค์กรสมรรถนะสูง 
4) แผนการพัฒนา ข้อมูลดิจิทัล ฐานข้อมูลประชากรกีฬาของชาติ ด้านการกีฬา 
5) โครงการพัฒนากีฬาสีขาวเพื่อมุ่งสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ 
6) การพัฒนาศักยภาพและยกระดับสวัสดิการบุคลากร กกท. 
7) โครงการพัฒนานักกีฬาหน้าใหม่ 
8) โครงการส่งเสริมการออกกำลังกายและเล่นกีฬา 
9) แผนการดำเนินงานศูนย์ความเป็นเลิศด้านเวชศาสตร์การกีฬา สู่กีฬาภูมิภาค 
และ 10) แผนงานยกระดับการให้บริการศูนย์วิทยาศาสตร์การกีฬา ส่วนภูมิภาค

‘วิโรจน์’ ยัน!! พร้อมร่วมมือผู้ว่ากทม. หาทางออกรถไฟฟ้าสายสีเขียว

(27 ต.ค. 65) วิโรจน์ ลักขณาอดิศร อดีตผู้สมัครผู้ว่ากทม.ในฐานะประธานคณะทำงานยุทธศาสตร์กรุงเทพมหานคร พรรคก้าวไกล กล่าวถึงการประชุมสภากรุงเทพมหานครเพื่อพิจารณาปัญหาการดำเนินการรถไฟฟ้าสายสีเขียวเมื่อวานนี้ (26) แม้สภากทม.ไม่รับเข้าพิจารณา ว่า...

ตนขอชื่นชมและขอบคุณ คุณชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่ากทม. ที่หยิบยกเอาคำสั่ง คสช.ที่ 3/2562 มาอ้าง จนนำไปสู่การตีความว่าไม่อยู่ในอำนาจของสภากรุงเทพมหานครที่จะพิจารณาบรรจุเป็นวาระการประชุมได้ ตามข้อบังคับการประชุมข้อที่ 28 วิโรจน์มีความเห็นว่า คำสั่ง คสช.ที่ 3/2562 หากพิจารณาในข้อที่ 5 ก็จะทราบว่า อำนาจของคณะกรรมการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว นั้นได้ยุติไปแล้ว และเป็นอำนาจของ รมว.มหาดไทย ที่จะแสวงหาแนวทางอื่นเพื่อนำเสนอต่อที่ประชุม ครม. ต่อไป 

ในทางปฏิบัติแค่รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย ทำหนังสือตรงให้ผู้ว่ากทม.จากนั้นผู้ว่ากทม. มีอำนาจเต็มที่จะตอบหนังสือฉบับนั้นได้เอง โดยไม่ต้องผ่านสภากรุงเทพมหานครก็ได้ แต่คุณชัชชาติเลือกที่จะนำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมสภากทม. สำหรับตนถือเป็นเรื่องที่น่าชื่นชม เพราะนี่คือการสร้างบรรยากาศการทำงานให้สมาชิกสภากทม.ได้มีส่วนร่วมในการหาแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกัน

นิพนธ์ เชื่อมั่น ปชป. 'คืนฟอร์ม' ประชาชนภาคใต้กลับมาหนุน ปชป.อีกครั้ง เฉพาะภาคใต้ต้องได้ สส.ต้องเกิน 40 ที่นั่งชัวร์

ไม่ผิดหรอก!! ถ้าจะบอกว่าการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรที่จะมีขึ้นในปี 2566 เป็นการตัดสินชะตาของพรรคการเมืองเก่าแก่ อย่าง “พรรคประชาธิปัตย์” เพราะการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 ที่ผ่านมา พรรคประชาธิปัตย์ เป็นพรรคการเมืองที่ “บอบช้ำ” ที่สุด ในบรรดาของพรรคการเมืองที่เข้า “สัประยุทธ์” ในสนามการเลือกตั้ง โดยเฉพาะในพื้นที่ของกรุงเทพมหานคร และที่ภาคใต้

ในการเลือกตั้งครั้งนี้ จึงเป็นการชี้ชะตา และบอกถึงอนาคตของพรรคการเมืองเก่าแก่อย่างประชาธิปัตย์ ที่ก่อนจะมีการเลือกตั้ง ก็มีสมาชิกของพรรคไหลออกจำนวนหนึ่ง เพื่อไปสังกัดพรรคการเมืองอื่นๆ ที่เห็นว่าเป็นพรรคที่ “มีเงินกว่า” และ “มีอนาคต” ทางการเมืองที่ดีกว่า

การเลือกตั้งครั้งหน้าที่จะมาถึงได้มีโอกาสสนทนากับ “นิพนธ์ บุญญามณี” รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และผู้อำนวยการเลือกตั้ง ในการเลือกตั้งครั้งนี้ถึง “ทิศทาง” ของพรรคประชาธิปัตย์ ในการลงสนามการเลือกตั้งในปี 2565 (ถ้ามี) เพื่อทราบถึงความพร้อม ทราบถึงทิศทาง และสถานการณ์ในแต่ละพื้นที่ แต่ละภูมิภาค

ซึ่งประเด็นแรกที่ “นิพนธ์” ได้กล่าวถึง คือเรื่องการไหลออกจากพรรค ของสมาชิกพรรคจำนวนหนึ่งว่าเป็นเรื่องปกติของทุกพรรคการเมือง และที่ผ่านมา “ประชาธิปัตย์” เคยเจอการไหลออกของสมาชิกพรรคที่หนักกว่านี้มาแล้ว พรรคการเมืองอื่นๆ ก็มีการไหลเข้าไหลออกของสมาชิกพรรค เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ หรือเรื่องสำคัญ เป็นเรื่องปกติของทางการเมือง ที่พรรคไม่ได้ตกใจและหวั่นไหว เมื่อคนเก่าออกไป ก็มีคนใหม่หรือเลือดใหม่เข้ามาแทนที่ ซึ่งสังเกตได้ว่าเลือดใหม่ที่เข้ามาแทนที่ ล้วนเป็น “คนรุ่นใหม่” ที่เป็นหนุ่มสาว แสดงให้เห็นว่าคนรุ่นใหม่ให้ความสนใจ และเชื่อมั่นในแนวทางของพรรค นี่เป็นเรื่องที่ควรจะดีใจมากกว่า

พร้อมแค่ไหนกับการเลือกตั้งที่จะมาถึงในปีหน้า

“นิพนธ์” กล่าวว่า “ประชาธิปัตย์” มีการเตรียมความพร้อมตั้งแต่ผ่านการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 ที่พรรคเราประสบกับความพ่ายแพ้ในสนามเลือกตั้งของภาคใต้ และของ กทม. พรรคได้ “ถอดบทเรียน” ของความพ่ายแพ้ เพื่อที่จะแก้มือในการเลือกตั้งครั้งต่อไป ดังนั้น ประชาธิปัตย์ พร้อมมานานแล้วกับการเลือกตั้งที่จะมาถึง

มั่นใจแค่ไหนว่าจะยึดพื้นที่คืนได้สำเร็จ

เรื่องของความมั่นใจ “นิพนธ์” กล่าวว่า สิ่งแรกคือเรื่องของผู้สมัครที่ผ่านการคัดเลือก มีการคัดเลือกตามขั้นตอนของพรรค ที่ต้องเลือกคนดี คนที่ใกล้ชิดประชาชน มีประสบการณ์ทางการเมือง ในกรณีที่มีผู้สมัครหลายคนในเขตเดียวกันก็มีการทำโพล ซึ่งบางเขตมีการทำโพลถึง 2 ครั้ง เพื่อให้มั่นใจ และสร้างความโปร่งใสและชอบธรรม ทั้งกับพรรคและกับผู้สมัครเอง ซึ่งอาจจะมีข่าวการถกเถียงกันบ้าง แต่สุดท้ายก็มีการยอมรับ เพราะเป็นไปตามกติกาของพรรค ดังนั้น เรื่องของผู้สมัครมีความพร้อมกว่าทุกครั้ง เพราะเราใช้เวลาทำมานานแล้ว

ภาคใต้จะยึดคืนได้ทั้งหมดหรือไม่

“นิพนธ์” กล่าวว่า ถ้าบอกว่าได้ทั้งหมดก็เกินความเป็นจริง แต่ครั้งนี้พรรคเราเชื่อมั่นว่า เราจะได้ ส.ส.เขตคืนมามากกว่า 40 เขต จากทั้งหมด 58 เขต โดยเฉพาะในจังหวัดที่ประชาธิปัตย์ ถือว่าเป็น “เมืองหลวง” ของภาคใต้ เช่น จ.นครศรีธรรมราช, จ.สุราษฎร์ธานี และ จ.สงขลา ต้องยกจังหวัด และจังหวัดที่เสียไป 1-2 ที่นั่ง อย่าง จ.ตรัง, จ.พัทลุง, จ.กระบี่ และ จ.สตูล เราก็จะได้คืนมาทั้งหมด แม้แต่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ในครั้งที่แล้วเราได้แค่ 1 ที่นั่ง เลือกตั้งครั้งนี้เราเชื่อมั่นว่าจะได้เพิ่มขึ้นแน่

ประชาธิปัตย์จะส่งผู้สมัครทั้งหมดหรือไม่

เรื่องนี้ “นิพนธ์” กล่าวว่า เราส่งครบ 400 เขต และเขตที่เราหวังมี 100 เขต ที่เราเชื่อว่าเราสู้กับผู้สมัครจากพรรคการเมืองอื่นๆ ได้ การต่อสู้ครั้งนี้เราไม่ได้ตั้งเป้าแบบเลิศเลอ แต่เราตั้งความหวังอยู่กับความเป็นจริง ที่ต้องการ 80 ที่นั่งขึ้นไป รวมทั้งกับที่เป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ

การเกิดขึ้นของพรรคการเมืองใหม่ๆ และการที่ “บ้านใหญ่” ที่เคยสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ อย่างที่ จ.ชุมพร, จ.สุราษฎร์ธานี และ จ.พัทลุง เป็นปัญหาที่หนักใจของพรรคหรือไม่

ประเด็นนี้ “นิพนธ์” กล่าวว่า การเลือกตั้งทุกครั้งไม่มีที่จะไม่หนักใจ เพราะเป็นการทำงานหนักเพื่อการแข่งขัน และบางพื้นที่ต้องแข่งกับ “กระสุน” แต่ในวิถีทางการเมือง ก็ต้องใช้ “กลยุทธ์” ในการต่อสู้ “บ้านใหญ่” ไปสนับสนุนพรรคการเมืองอื่น แต่ “บ้านเล็ก” ที่หมายถึงประชาชนยังอยู่กับเรา ถ้าเขาเลือกเราๆ ก็ชนะ

‘ตรีชฎา’ โต้กลับ!! คนปชป.ใส่ร้าย ‘ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์’ ถาม!! ตอนนี้ร่วมกับรัฐบาล แก้ปัญหาประเทศได้บ้างหรือยัง

เมื่อวันที่ (27 ต.ค. 65) น.ส.ตรีชฎา ศรีธาดา รองโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวกรณีนายสมบูรณ์ อุทัยเวียนกุล อดีต ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ เลขานุการประธานสภาฯ ออกมาวิพากษ์วิจารณ์หัวหน้าพรรคเพื่อไทยถึงคะแนนเสียงจากคนภาคใต้ต่อพรรคเพื่อไทยโดยระบุว่าในช่วงที่พรรคไทยรักไทยจนถึงเพื่อไทยเป็นรัฐบาลมีการใช้นโยบายเลือกปฏิบัติ รวมถึงพาดพิงเหตุการณ์ที่ตากใบ กรือเซะออกมาโจมตีว่า เป็นการหยิบยกเรื่องในอดีตซึ่งไม่เป็นความจริงมากล่าวอ้าง หวังทำให้ตัวเองดูดีขึ้นด้วยการทับถมคนอื่น ถือเป็นการเมืองที่ไม่สร้างสรรค์ เมื่อครั้งนายทักษิณ ชินวัตร และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกฯ ได้ออกนโยบายสำคัญ ๆ ที่นำไปสู่ปฏิบัติทั่วทั้งประเทศ พี่น้องประชาชนคนไทยทุกคนได้ประโยชน์จากนโยบายอย่างเท่าเทียมและทั่วถึง ได้รับการยอมรับกล่าวขวัญจากนานาประเทศ และยังเป็นนโยบายหลักที่ยังใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน และไม่เคยเลือกปฏิบัติโดยเฉพาะการพัฒนาภาคใต้

น.ส.ตรีชฎา กล่าวต่อว่า เมื่อครั้งที่น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นนายกฯ ได้เดินทางไปประชุม ครม.สัญจรที่จ.ภูเก็ตเมื่อวันที่ 20 มี.ค. 55 มีมติเห็นชอบกรอบแผนงาน/โครงการพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคใต้อันดามัน 5 จังหวัด ได้แก่ ภูเก็ต พังงา กระบี่ ตรัง และระนอง จำนวน 117 โครงการ วงเงินงบประมาณ 84,064 ล้านบาท เช่น โครงการก่อสร้างสะพานท่าเทียบเรือเพื่อการท่องเที่ยว โครงการพัฒนาแหล่งน้ำ เป็นต้น นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น ยังมีการพัฒนาอื่น ๆ อีกมากที่ยังไม่ได้กล่าวถึง จึงเป็นไปไม่ได้และไม่เป็นความจริงที่พรรคไทยรักไทย พลังประชาชนและเพื่อไทย จะเลือกปฏิบัติดังที่นายสมบูรณ์วิพากษ์วิจารณ์ให้ได้รับความเสียหาย และสุ่มเสี่ยงต่อการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง เป็นที่น่าเสียดายที่เกิดการรัฐประหารเมื่อปี 2549 พรรคไทยรักไทยถูกยุบพรรคอย่างไม่เป็นธรรม กรรมการบริหารพรรคถูกเพิกสิทธิเลือกตั้ง 5 ปี เมื่อมีการเลือกตั้งพรรคพลังประชาชน ได้เป็นรัฐบาลก็ชนะการเลือกตั้งด้วยเสียงข้างมาก แต่ก็ถูกกลไกทางอำนาจทำลายให้ต้องพ้นตำแหน่งจนมาถึงการยุบพรรค

'นายกฯ' ลั่น!! บริหารชาติแบบมุ่งงานใหญ่เพื่อสร้างอนาคตไทย วอน!! ขอให้ดูผลลัพธ์โครงการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นแล้วจริง

'บิ๊กตู่' ลั่น บริหารประเทศ ยึด 3 คำ 'ทำให้สำเร็จ' มุ่งงานใหญ่สร้างอนาคตไทย ‘โว’ ทำระบบขนส่งรางกทม.เทียบโตเกียว-ลอนดอน 'ชี้' เป็นผู้นำต้องอดทน ยอมรับแนวการทำงาน ทำคนอึดอัด แต่มั่นใจสังคมจะเดินหน้าได้ไม่ทิ้งรอยแตกร้าวอย่างถาวร แจงใจร้อนใจเย็นเกินไป แค่หวังทุกฝ่ายเดินไปด้วยกัน ‘ยอมรับ’ ความแข็งกร้าวทำให้เสียเพื่อน แต่ต้องแลกเพื่อทำสิ่งยิ่งใหญ่ให้เกิดขึ้นจริง มองเสียงวิจารณ์เป็นปกติของปชต.ที่แข็งแรง แค่ไม่ไขว้เขว-เสียสมาธิ ขอบคุณพรรคร่วมฯ เสียสละร่วมงานมาด้วยกัน 

(27 ต.ค. 65) ที่ห้อง A1 บางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ ชั้น 22 โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมเป็นประธานในงานและกล่าวปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ 'Accelerating Thailand (พลิกโฉมประเทศไทย)' ตอนหนึ่งว่า...

"วันนี้ขอแชร์วิสัยทัศน์ของตนที่มีต่อประเทศไทย และแนวทางในการทำงานของตนในการขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวไปข้างหน้าให้ทุกคนได้ทราบ ซึ่งหลักการสำคัญ ที่เป็นแนวทางการทำงานของตนสรุปได้ในสามคำ คือ 'ทำให้สำเร็จ' (GET THINGS DONE) คือการทำสิ่งต่าง ๆ ให้เกิดขึ้นจริงให้ได้ และเตรียมประเทศให้พร้อม สำหรับอนาคต"

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า หลายปีมาตั้งแต่ช่วงปลายศตวรรษที่ 20 ความขัดแย้งทางการเมืองเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้รัฐบาลไทยหลายยุคหลายสมัย มีความยากลำบากอย่างมาก ในการทำเรื่องสำคัญ ที่จำเป็นต่อการเดินหน้าประเทศให้เกิดขึ้น ซึ่งผลที่ตามมาคือทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย บนเวทีระดับโลกค่อยๆ ลดลง และคนไทยกว่า 70 ล้านคนสูญเสียโอกาสมากมายที่ควรจะมี ทั้ง ๆ ที่พวกเราอยู่ในประเทศที่มีพร้อมทุกอย่าง อย่างประเทศไทย

“การที่ผมต้องทำสิ่งต่างๆ ให้เกิดขึ้นจริงให้ได้ เพราะผมมีเป้าหมายเพื่อทำให้ประเทศไทยเดินไปข้างหน้า บนเส้นทางที่จะเติบโต และเจริญรุ่งเรืองไปทั่วทุกหย่อมหญ้า อย่างยั่งยืน เป็นเส้นทางที่เราคนไทยจะต้องจับมือไปด้วยกัน และจับมือกับประเทศเพื่อนบ้านและสังคมโลกด้วย แต่เรื่องใหญ่ๆ ที่เราต้องทำมีเยอะมากเกินกว่าที่เราจะทำได้ทั้งหมด พร้อม ๆ กัน ผมจึงต้องเรียงลำดับความสำคัญ” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า สิ่งสำคัญที่สุดคือการพุ่งเป้าไปที่การยกระดับความมั่งคั่งของทั้งประเทศ แบบที่จะกระจายความเจริญรุ่งเรืองไปทั่วทุกพื้นที่ เพิ่มเติมจากพื้นที่ ที่มีความเจริญอยู่แล้ว เราต้องทำเรื่องที่จะสร้างประโยชน์ ให้กับคนทุกระดับในสังคมทั้งประเทศ สร้างพื้นฐานที่เอื้อให้ประชาชนสามารถทำมาหากิน สร้างความกินดีอยู่ดีให้กับตัวเขาเองได้ บนเส้นทางที่ยั่งยืน ดังที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงตรัสไว้เมื่อ 24 ปีก่อนว่าเราไม่ควรให้ปลาแก่เขา แต่ควรจะให้เบ็ดตกปลาและสอนให้เขารู้จักวิธีตกปลา 

ที่ผ่านมา ได้ให้ความสำคัญอย่างมาก กับการสร้างความรุ่งเรืองให้กับคนไทย ในทุกระดับของสังคมเพราะมันคือการสร้างพื้นฐานที่มั่นคงแข็งแรง ให้เกิดขึ้น เพื่อที่เราจะเดินหน้าไปสู่การปรับแก้สิ่งต่างๆ ที่เป็นประเด็นทางสังคม ทั้งเรื่องความยุติธรรมในสังคม และความเท่าเทียมกันในการเข้าถึงโอกาสทำมาหากิน ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือพื้นฐานที่จะทำให้สังคม อยู่กันอย่างสงบสุขและมั่นคง และเป็นหนทางที่ดีที่สุด ที่จะนำพาประเทศเดินไปข้างหน้า  ซึ่งสาเหตุที่ได้ขับเคลื่อนกลยุทธ์ 3 แกนอย่างต่อเนื่อง แม้ในช่วงวิกฤตโควิดก็ตาม

พปชร.เปิดตัวว่าที่ผู้สมัครส.ส.ใต้ คนคุณภาพพร้อมดูแลปชช. ยกผลงาน 'สัมพันธ์ตะวันออกกลาง-ปราบยา' การันตี

(27 ต.ค.65) ที่ทำการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ในฐานะเลขาธิการพรรค พปชร. พร้อมนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม ในฐานะประธานยุทธศาสตร์พรรค พปชร. ร่วมกันแถลงเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ภาคใต้ จำนวน 19 คน จาก 10 จังหวัด ได้แก่...

1. นายสุรชัย แดงละอุ่น เขต 1 จ.ชุมพร 
2. นายสมมิตร ทองเหลือ เขต 2 จ.ชุมพร 
3. นายธีระศักดิ์ ปางวิรุฬห์รักษ์ เขต 3 จ.ชุมพร
4. นายพงศกร พรหมสุวรรณ เขต 1 จ.ระนอง

5. นายสุนทร รักษ์รงค์ เขต 6 จ.นครศรีธรรมราช
6. นายฉกาจ พัฒนกิจวิบูลย์ เขต 2 จ.พังงา 
7. นายศิวกรณ์ เอ่งฉ้วน เขต 1 จ.กระบี่ 
8. นายสรวิศทชากร เลขานุกิจ เขต 2 จ.กระบี่ 
9. นายกิตติพงศ์ ผลประยูร เขต 1 จ.ตรัง 
10. นายทวี สุระบาล เขต 2 จ.ตรัง

‘เพื่อไทย’ จวก!! รัฐบาลทำความปลอดภัยปชช. ตกต่ำ เหตุปราบยาเสพติดไม่ได้ - คุมการใช้อาวุธไม่อยู่

(26 ต.ค. 65) ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ตั้งคำถามถึงความปลอดภัยในชีวิตของพี่น้องประชาชนตกต่ำลงเพราะผู้มีอำนาจล้มเหลวในการปราบปรามยาเสพติด และควบคุมอาวุธปืน และเสนอแนะให้ใช้กฎหมายปราบปรามยาเสพติดเข้มงวด ควบคุมอาวุธปืน และต้องมีมาตรการดูแลตรวจสุขภาพจิตผู้ถืออาวุธปืนอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันการก่อเหตุร้าย

จากรายงานข่าวทางสื่อมวลชน ที่มีเจ้าหน้าที่รัฐ ผู้มีอิทธิพล ไปเกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจในทางที่ผิดล้วนเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ที่แสดงให้เห็นว่า ทุกวันนี้มาตรฐานของความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตประชาชนลดต่ำ ภายใต้รัฐบาลที่นำโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตลอด 8 ปี การ ‘ปฎิรูปประเทศ’ ล้มเหลว การ ‘ปฎิรูปตำรวจ’ ไม่ได้ถึงไหน

'ไอติม' ย้ำ!! ข้อเสนอแก้ ม.112 ของก้าวไกล ช่วยรักษาความสัมพันธ์ 'ประชาชน-สถาบันฯ'

'ไอติม' ย้ำ ข้อเสนอแก้ ม.112 ของก้าวไกลทำให้ประเทศมีกฎหมายคุ้มครองประมุข ที่ทำหน้าที่ได้ดียิ่งขึ้นในการพัฒนาและรักษาความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับสถาบันพระมหากษัตริย์ 

พริษฐ์ วัชรสินธุ ผู้จัดการการรณรงค์สื่อสารนโยบาย พรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีที่หลายพรรคการเมืองออกมาคัดค้านการแก้กฎหมาย ม.112 หรือกฎหมายเกี่ยวกับการหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ของพรรคก้าวไกลว่า พรรคก้าวไกลเราเคารพสิทธิของทุกพรรค ที่จะเห็นด้วยหรือเห็นต่างกับนโยบายของพรรคก้าวไกล แต่ที่ตนจำเป็นต้องชี้แจง เพราะเหตุผลที่หลายพรรคใช้แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน หรืออาจเป็นความจงใจที่จะบิดเบือน เนื้อหาสาระของนโยบายของพรรคก้าวไกล เพราะในเชิงข้อเท็จจริง ข้อเสนอในการแก้ไข 112 ของพรรคก้าวไกล ไม่ได้ทำให้ประเทศเราไม่มีกฎหมายคุ้มครองประมุข แต่เป็นข้อเสนอในการทำให้กฎหมายคุ้มครองประมุขในประเทศเราทำหน้าที่ได้ดียิ่งขึ้น ในการพัฒนาและรักษาความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับพระมหากษัตริย์

พริษฐ์กล่าวว่า กฎหมายมาตรา 112 มี 3 จุดสำคัญที่อาจเป็นปัญหาที่เราเสนอให้แก้ไข

ข้อที่หนึ่ง คือการลดความหนักของโทษ ปัจจุบัน มาตรา 112 กำหนดโทษของการหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ไว้อยู่ที่จำคุก 3-15 ปี ซึ่งนับเป็นโทษที่หนักเท่ากับการฆ่าคนโดยไม่เจตนา และสูงกว่าโทษหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ในประเทศอื่นที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ดังนั้น พรรคก้าวไกลจึงเสนอให้ลดโทษการหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ จากโทษจำคุก 3-15 ปี เป็นโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 300,000 บาท ซึ่งยังคงเป็นโทษที่สูงกว่าโทษหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดาที่พรรคก้าวไกลเสนอให้ลดลงจากโทษจำคุก 0-2 ปี มาเหลือแค่โทษปรับ

ข้อที่สอง คือการกำหนดผู้ฟ้องให้ชัดเจน ปัจจุบัน มาตรา 112 เป็นกฎหมายที่ใคร ๆ ก็สามารถร้องทุกข์กล่าวโทษคนอื่นได้ ซึ่งอาจส่งผลอันไม่พึงประสงค์ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ตัวอย่างเช่น คนบางกลุ่มอาจตัดสินใจฟ้องคนอื่นด้วยมาตรา 112 ไม่ว่าจะด้วยเจตนาที่ต้องการปกป้องสถาบันฯ หรือด้วยความต้องการจะกลั่นแกล้งฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง แต่หากจำเลยถูกดำเนินคดีหรือตัดสินว่าผิด ความรู้สึกไม่พอใจก็อาจไปตกอยู่ที่สถาบันฯ ส่งผลให้สถาบันฯ กลายเป็นคู่กรณีโดยอัตโนมัติ แม้สถาบันฯ อาจไม่ได้รับรู้ถึงกรณีดังกล่าว

ปรากฏการณ์เท 'ระเบียบโลกใหม่' จุดจบที่คืบคลาน หลัง 'ทั่วโลก-ไทย' เริ่มก้าวออกจากกรงขังของตะวันตก

'พล.ท.นันทเดช' ชี้ระเบียบโลกใหม่ของชาวตะวันตกกำลังใกล้ถึงจุดจบแล้ว พรรคการเมืองต่างๆ พร้อมใจกัน 'เท' พรรคก้าวไกล คนไทยส่วนใหญ่ก็พร้อมออกจากกรงขังของวัฒนธรรมตะวันตก ยกเว้นบางคนที่ยังตกเป็น 'ทาส ความคิด' ทำตัวเหมือนปลาทองหัววุ้น

(26 ต.ค. 65) พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) โพสต์เฟซบุ๊กมีเนื้อหาดังนี้...

'เมื่อพรรคการเมืองต่าง ๆ พร้อมใจกัน 'เท' พรรคก้าวไกล'

เมื่อปลายศตวรรษที่ 20 สงครามเย็นใน ทวีป เอเซีย ได้ยุติลงอย่างแน่นอนแล้ว ได้ส่งผลทำให้ภูมิทัศน์ทางการเมืองระหว่างประเทศ เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เพราะกลุ่มประเทศตะวันตก ได้ส่งออก 'ประชาธิปไตยแบบตะวันตก' และ 'ระบบการค้าเสรี' ออกมาควบคุมโลกตะวันออก ตอนนั้นเรียกกันว่า 'ระเบียบโลกใหม่'

'ระเบียบโลกใหม่' นี้ได้สร้างความอึดอัดใจให้ กับประเทศในเอเซียเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะขัดต่อขนบธรรมเนียม วัฒนธรรมตะวันออกแล้ว กติกาทางการค้า มาตราการอื่น ๆ ก็ถูกทางตะวันตกเป็นผู้กำหนดตามอำเภอใจตัวเอง แต่ก็ยังมีนักวิชาการบางส่วนที่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของโลกตะวันตกยังชื่นชมมันอยู่ ดังนั้น กระแสการต่อต้าน 'ระเบียบโลกใหม่' จึงค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นทั่วเอเซีย

ส่วนในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้นั้น เมื่อภาพยนตร์จีนกำลังภายใน เรื่องกระบี่เย้ยยุทธจักร (เดชคัมภีร์เทวดา) ซึ่งมี 'ตงฟางปุ๊ป้าย' ซึ่งเป็นชื่อแปลเป็นไทย ว่า 'บูรพาไม่แพ้' เป็นตัวละครเอก ออกมาฉาย และถูกผลิตซ้ำแล้วซ้ำอีก คำว่า 'บูรพาไม่แพ้' จึงถูกนำมาอ้างอย่างแพร่หลาย โดยใช้เป็นสัญลักษณ์ เพื่อคัดค้านระเบียบโลกของชาวตะวันตก โดยเริ่มจาก สิงค์โปร์, มาเลเซีย และไทย

ปัจจุบันนี้ เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า ระเบียบโลกใหม่ ของชาวตะวันตก กำลังจะกลายเป็นระเบียบโลกเก่า เพราะมันกำลังใกล้มาถึงจุดจบแล้ว การเอารัดเอาเปรียบ จากการออกกติกาต่าง ๆ ของตะวันตกในเรื่องการค้า การเงิน การแสวงประโยชน์ และการตักตวงทรัพยากรธรรมชาติ ฯลฯ จะต้องหมดไปในไม่ช้านี้

ระเบียบโลกเฉพาะของตะวันออก ซึ่งได้เริ่มต้นขึ้นมาอย่างช้าๆ จะเข้ามาแทนที่ จากการรวมตัวกันของ อินเดีย, จีน, รัสเซีย ฯลฯ

'โทนี่' ยินดีกับตัวเอง หลังเป็นคุณปู่ป้ายแดง ส่งสัญญาณ ใกล้ถึงเวลากลับไปเลี้ยงหลาน

(26 ต.ค. 65) เฟซบุ๊กแฟนเพจ CARE คิด เคลื่อน ไทย เผยแพร่คำพูดที่ นายทักษิณ ชินวัตร โทนี่ วู้ดซัม หรือ อดีตนายกรัฐมนตรี ระบุว่า...

“ตอนนี้ผมเป็นคุณปู่ป้ายแดงแล้ว มีหลาน 6 คน เลยอยากกลับไปเลี้ยงหลาน ตอนนี้น่าจะใกล้ถึงเวลาแล้ว กลับแน่”

ผมขอแสดงความยินดีกับตัวเอง ตอนนี้ผมเป็นคุณปู่ป้ายแดงแล้ว พึ่งได้เป็นปู่ หลังจากเป็นตาให้หลานมาแล้ว 4 คน ตอนนี้โอ๊คมีหลานให้ผมแล้ว 2 คน ทำให้ตอนนี้ผมมีหลานแล้ว 6 คน เลยอยากกลับไปเลี้ยงหลาน ตอนนี้น่าจะใกล้ถึงเวลาแล้ว ได้กลับแน่


ที่มา: https://www.facebook.com/100064266956025/posts/pfbid02jgPmb6b33bFtWqDjz49gLKEYxbXmCQUgt32gFXSjoC7jf95FxUZomPD51MZoci9al/

'เพื่อไทย' จี้ รัฐฯ ปรับโครงสร้างราคาพลังงานทั้งระบบ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย-ค่าครองชีพให้ประชาชน

เมื่อวันที่ 25 ต.ค. ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายเลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล ส.ส.เลย กรรการบริหารและคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า อยากเรียกร้องให้พล.อ ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ เร่งลดภาระของประชาชน ลดต้นทุนภาคธุรกิจจากภาระภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง รวมถึงปัญหาราคาน้ำมัน ไฟฟ้าและก๊าซ พลังงานแพงเป็นสาเหตุเงินเฟ้อสูง ต้องเร่งปรับโครงสร้างราคาพลังงานทั้งระบบ ล่าสุดผู้ประกอบการสถานีบริการน้ำมันที่ต้องเสียภาษีตัวอาคารสถานีบริการน้ำมัน อาคารค้าปลีก ห้องน้ำและอื่น ๆ อยู่แล้ว และได้ขอให้ทบทวนการจัดเก็บภาษีบริเวณถนน ลาน รั้ว ซึ่งจะได้ช่วยลดต้นทุนการทำธุรกิจได้บ้าง แต่ก็ได้รับการปฏิเสธจากกรรมการภาษี และกระทรวงมหาดไทย จึงเป็นกรณีตัวอย่างที่เกิดขึ้นจากการที่รัฐเลือกที่จะจัดเก็บภาษีในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสม สร้างภาระให้กับภาคธุรกิจ

นายเลิศศักดิ์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ต้นทุนสำคัญของภาคธุรกิจ เรื่องราคาน้ำมันโดยเฉพาะเรื่องราคาหน้าโรงกลั่นของไทย ที่มีราคาสูงกว่าราคาหน้าโรงกลั่นสิงคโปร์ และสูงกว่าราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่โรงกลั่นไทยส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เป็นการเอาเปรียบคนไทยที่ต้องซื้อราคาที่แพงกว่า ทั้งที่ต้นทุนการขนส่งน้ำมันจากตะวันออกกลางส่งมาไทยและส่งมาสิงคโปร์ก็เท่ากัน ประสิทธิภาพการกลั่นของโรงกลั่นน้ำมันของไทยกับสิงคโปร์ก็ใกล้เคียงกัน อีกทั้งโรงกลั่นไทยยังขยายการกลั่นเป็นแสน ๆ บาเรลต่อวันเพื่อส่งออก แสดงว่าราคาส่งออกก็ต้องกำไรมากแล้ว การคิดราคาหน้าโรงกลั่นไทยสูงกว่าราคาสิงคโปร์จึงเป็นการเอาเปรียบประชาชนไทยมากเกินไป 

'เพื่อไทย' งัด 8 ตราบาปตอกหน้า 'ประยุทธ์' ชี้!! ยิ่งอยู่นาน ประเทศยิ่งเสื่อม แนะควรสำนึกได้แล้ว

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ (25 ต.ค. 65) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทยด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า ตามที่กระแสความนิยมของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตกต่ำอย่างสุดขีด แทนที่พล.อ.ประยุทธ์จะรู้ตัวและแก้ไข กลับส่งคนออกมาโต้ ล่าสุดถึงขนาดให้คนของตัวเองออกมาอวยว่าทำได้ดี ทิ้งมรดกความเจริญรุ่งเรืองให้กับประเทศ ซึ่งต่างกับความเป็นจริงอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นจึงอยากให้ข้อมูลความจริงที่พล.อ.ประยุทธ์ได้ทิ้งมรดกที่เหมือนกับตราบาปของคนไทยไว้ 8 เรื่องดังนี้ 

1.) ช่วงที่พล.อ.ประยุทธ์บริหารประเทศ ไทยพัฒนาน้อยที่สุด จากตัวเลขการเจริญเติบโตที่ต่ำมาตลอด ไทยได้ฉายาเป็นคนป่วยของเอเชีย ถูกประเทศเพื่อนบ้านแซงทุกด้าน เป็นมรดกความตกต่ำทางเศรษฐกิจ

2.) เป็นช่วงที่ประเทศก่อหนึ้มากสุดแต่ไม่พัฒนา มีหนี้สาธารณะทะลุ 10 ล้านล้าน กู้เงินมากที่สุด แต่เศรษฐกิจขยายต่ำสุด ลูกหลานต้องมาใช้หนี้กว่า 5 ล้านล้านบาท หรือกว่า 50 ปีกว่าจะใช้หนี้หมด และยังต้องจ่ายดอกเบี้ยสูงสุดด้วย ประชาชนก็มีหนี้ครัวเรือนสูงสุดประมาณ 15 ล้านล้านบาท หนี้เสียและหนี้นอกระบบสูงที่สุดด้วย เป็นมรดกหนี้ล้นทะลัก

นายพิชัย กล่าวต่อว่า 3.) ค่าครองชีพแพงสุด ทั้งราคาสินค้าและบริการ น้ำมัน ก๊าซ ไฟฟ้าแพงที่สุด เงินเฟ้อมากสุด แต่รายได้ของคนไทยไม่เพิ่มแถมลดลง เป็นมรดกสินค้าแพง

'จุรินทร์' ย้ำ ประชาธิปัตย์ ไม่เอายาเสพติด! หนุนกัญชาเพื่อการแพทย์ แต่ไม่สนับสนุนกัญชาเสรี หวั่น สร้างปัญหาอนาคตชาติระยะยาว

วันนี้ (25 ต.ค. 65) เวลา 09.00 น. ที่ ทำเนียบรัฐบาล นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล เกี่ยวกับการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) กัญชา กัญชง (ฉบับที่…) พ.ศ.... ที่จะมีการเสนอเป็นระเบียบวาระเข้าสู่ที่ประชุมสภาฯ ในวันที่ 2 พฤศจิกายนนี้ว่า 

ประชาธิปัตย์ สนับสนุนกัญชาเพื่อการแพทย์ แต่ไม่สนับสนุนกัญชาเสรี อันนี้ถือว่าเป็นจุดยืน เพราะฉะนั้นรายละเอียดต่อมาก็จะใช้หลักนี้ในการพิจารณาต่อไปในการดำเนินการ

“กัญชาทางการแพทย์นั้นเป็นประโยชน์ แต่กัญชาเสรี อย่างน้อยที่สุดมันจะสร้างปัญหาให้กับอนาคตของประเทศระยะยาว อันนี้จึงเป็นที่มาที่เราบอกชัดเจนว่าเราไม่สนับสนุนกัญชาเสรี แต่สนับสนุนกัญชาที่จะไปใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวย้ำ

เปิด 8 ผลกระทบ ส่งฝนกระหน่ำหนักไทยครึ่งปีหลัง 65 ภายใต้การกู้สถานการณ์เร็ว ลดสูญเสียหนัก จากรบ. 'บิ๊กตู่'

นับตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ประเทศไทยได้รับอิทธิพลจากสภาพภูมิอากาศ เกิดร่องมรสุม และพายุอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีปริมาณฝนตกเป็นจำนวนมาก สร้างความเดือดร้อนให้แก่พี่น้องประชาชนอย่างต่อเนื่อง 

ส่งผลให้ในปีนี้ประเทศไทยมีสถิติฝนตกสูงมากกว่าปกติ และในบางจังหวัดทุบสถิติฝนตกมากที่สุดในรอบ 30 ปี

ลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีดังนี้...

1. ร่องมรสุมพัดพาดผ่านภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ระหว่างวันที่ 2 - 8 สิงหาคม 

ส่งผลให้ฝนตก และฝนตกหนักเป็นบริเวณกว้าง ครอบคลุมทั่วทั้งประเทศไทย หลายพื้นที่ในภาคเหนือ, ตะวันตก, ตะวันออก, ตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ มีปริมาณฝนตกหนักมากกว่า 125  มิลลิเมตร (125 ลิตรต่อตารางเมตร) ในหลายพื้นที่

2. พายุดีเพรสชัน มู่หลาน ระหว่างวันที่ 11 – 13 สิงหาคม

ส่งผลให้ฝนตกเป็นบริเวณกว้าง ครอบคลุมแทบจะทุกภูมิภาคของประเทศไทย พื้นที่ที่ฝนตกอย่างหนักคือจังหวัดน่านตอนบนที่ รองลงมาคือเชียงรายและเชียงใหม่, กาญจนบุรี, สระแก้ว และปราจีนบุรี 

ในหลายพื้นที่มีฝนตกหนักมากกว่า 100 มิลลิเมตร (100 ลิตรต่อตารางเมตร)

3. ร่องมรสุมพัดพาดผ่านภาคเหนือ ระหว่างวันที่ 20 – 22 สิงหาคม

ส่งผลให้ฝนตกเป็นบริเวณกว้าง ครอบคลุมทุกภูมิภาคของประเทศไทย พื้นที่ที่ฝนตกอย่างหนักคือจังหวัดยโสธร, ร้อยเอ็ด, กาฬสินธุ์, น่าน, พังงา และระนอง รองลงมาคือจังหวัด สกลนคร, อุดรธานี, พิษณุโลก, จันทบุรี และตราด 

ในหลายพื้นที่มีฝนตกหนักมากกว่า 100 มิลลิเมตร (100 ลิตรต่อตารางเมตร)

4. พายุดีเพรสชัน หมาอ๊อน ระหว่างวันที่ 24 – 26 สิงหาคม

ส่งผลให้ฝนตกเป็นบริเวณกว้าง ครอบคลุมทุกภูมิภาคของประเทศไทย พื้นที่ที่ฝนตกอย่างหนักคือจังหวัดปราจีนบุรี, ลำปาง, พังงา และภูเก็ต รองลงมาคือจังหวัดลพบุรี, นครสวรรค์, ชัยนาท, สิงห์บุรี และกระบี่ 

ในหลายพื้นที่มีฝนตกหนักมากกว่า 100 มิลลิเมตร (100 ลิตรต่อตารางเมตร)

5. ร่องมรสุมกำลังแรงพัดพาดผ่านภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ระหว่างวันที่ 5 – 9 กันยายน

ส่งผลให้ฝนตก และฝนตกหนักเป็นบริเวณกว้าง ครอบคลุมทั่วทั้งประเทศไทย พื้นที่ที่ฝนตกอย่างหนักคือกรุงเทพมหานคร, สมุทรปราการ, ปทุมธานี, ชลบุรี, ระยอง, จันทบุรี, ตราด, เลย, ตาก, นครสวรรค์, พิษณุโลก, ระนอง, พังงา และสุราษฎร์ธานี รองลงมาคือจังหวัดปราจีนบุรี, นครราชสีมา, บุรีรัมย์, มหาสารคาม, เชียงใหม่, เชียงราย และ กำแพงเพชร

บางพื้นที่มีปริมาณฝนตกหนักมากกว่า 200 มิลลิเมตร (200 ลิตรต่อตารางเมตร)

6. ร่องมรสุมพัดพาดผ่านภาคเหนือ ภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ระหว่างวันที่ 6 – 11 กันยายน

ส่งผลให้ฝนตก และฝนตกหนักเป็นบริเวณกว้าง ครอบคลุมทั่วทั้งประเทศไทย พื้นที่ที่ฝนตกอย่างหนักคือกรุงเทพมหานคร, สมุทรปราการ, ปทุมธานี, ชลบุรี, ระยอง, จันทบุรี, ตราด, สระแก้ว, ปราจีนบุรี, นครราชสีมา, เลย, อุดรธานี, หนองบัวลำภู, อุตรดิตถ์, พิษณุโลก, นครสวรรค์, เชียงใหม่, เชียงราย, แม่ฮ่องสอน, ลำพูน, ลำปาง, ระนอง และพังงา

บางพื้นที่มีปริมาณฝนตกหนักมากกว่า 300 มิลลิเมตร (300 ลิตรต่อตารางเมตร)

7. พายุดีเพรสชัน โนรู ระหว่างวันที่ 28 – 30 กันยายน

ส่งผลให้ฝนตก และฝนตกหนักเป็นบริเวณกว้าง ครอบคลุมทั่วทั้งประเทศไทย พื้นที่ที่ฝนตกอย่างหนักคือจังหวัดอุบลราชธานี, อำนาจเจริญ, ยโสธร, ศรีสะเกษ, สุรินทร์, บุรีรัมย์, นครสวรรค์, เพชรบูรณ์, ลพบุรี, ระนอง, พังงา. สุราษฎร์ธานี และสตูล รองลงมาคือจังหวัดเลย, อุดรธานี, ตาก และชุมพร

‘บิ๊กตู่’ ยันตามติด!! ไม่ปล่อยน้ำท่วมทุ่งนาน พร้อมเทงบ 504 ล้าน ดูแล 16 โครงการ

นายกฯ ยันรัฐบาลไม่ปล่อยน้ำท่วมทุ่ง ระบุไม่นิ่งนอนใจสั่งเร่งระบายน้ำออกทันที พร้อมจัดสรรงบบริหารจัดการในพื้นที่ 16 โครงการ วงเงิน 504 ล้าน

เมื่อ (24 ต.ค. 65) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ภายหลังรับฟังบรรยายสรุปสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่จังหวัดสิงห์บุรี กล่าวว่า ได้ติดตามสถานการณ์มาโดยตลอด ซึ่งได้กำชับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เร่งแก้ปัญหาการระบายน้ำ และรัฐบาลได้ดูแลจัดสรรงบประมาณแผนงาน โครงการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในพื้นที่จังหวัดสิงห์บุรี ปี 65 มีจำนวนโครงการทั้งสิ้น 16 โครงการ วงเงิน 504 ล้านบาท ประชาชนได้รับประโยชน์ 3,476 ครัวเรือน และพื้นที่ได้รับการป้องกัน 6,569 ไร่ ตัวอย่างโครงการ ได้แก่...

1. แก้มลิงลำบางชัน ต.บ้านแป้ง อ.พรหมบุรี (สำนักชลประทาน) 

2. อาคารป้องกันตลิ่งแม่น้ำน้อย ต.ไม้ดัด อ.บางระจัน (สำนักชลประทาน) 

3. ก่อสร้างระบบป้องกันน้ำท่วมพื้นที่ชุมชนเมืองสิงห์บุรี ระยะที่ 2 (กรมโยธาธิการและผังเมือง) 

4. งานวางท่อขยายเขตจำหน่ายน้ำ ต.ม่วงหมู่ อ.เมืองสิงห์บุรี (การประปาส่วนภูมิภาค) โดยได้กำหนดแผนงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องเร่งสำรวจดูแลความเดือดร้อน เพื่อลดและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนให้เหลือน้อยที่สุด รวมทั้งเร่งระบายน้ำให้เร็วขึ้น เพื่อลดความเสียหายให้กับประชาชน และมีระบบการแจ้งเตือนให้ประชาชนเตรียมความพร้อมให้ทันต่อสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top