Monday, 19 May 2025
POLITICS

‘ไพศาล’ ฟัน!! ยุบสภาฯ พาการเมืองไทยเข้าสู่ ‘กลียุค’ พรรคการเมืองเก่า-ใหม่ ผวา!! หวิดถูกยุบพรรคเป็นพรวน

(20 มี.ค. 66) นายไพศาล พืชมงคล นักกฎหมาย และอดีตกรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า จากยุบสภาสู่การยุบพรรคและกลียุค!!!

1. การนับเวลาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ต้องนับวาระของสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ว่า จะสิ้นสุดลงในเวลา 24.00 น. วันที่ 22 มี.ค. 66 ซึ่งเป็นที่ยุติชัดเจนแล้วว่าไม่มีการนำเสนอคณะรัฐมนตรีให้พิจารณาตราพระราชกฤษฎีกายุบสภา เพราะมีคนถือว่า ‘เป็นเรื่องพิเศษ’ กล่าวง่าย ๆ คือเป็นเรื่องของนายกรัฐมนตรี

แต่รัฐธรรมนูญบัญญัติในเรื่องนี้ไว้เฉพาะแล้วว่า “พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจอธิปไตยผ่านคณะรัฐมนตรี” และ “พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการยุบสภา” คือลงว่าเป็นพระราชกฤษฎีกาแล้วก็ต้องปฏิบัติตามนี้ ไม่มีกรณีพิเศษนอกเหนือจากนี้

2. จับตาว่าจะมีการประกาศในราชกิจจานุเบกษายุบสภาในวันนี้ตามที่เป็นข่าวลือกันหรือไม่ ถ้าจริง ก็จะลบล้างกำหนดการเลือกตั้งที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ประกาศ ก่อนหน้านี้ และทำให้เวลาการสมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมืองเพื่อลงสมัครรับเลือกตั้งขยายเอาไป ซึ่งคงจะขยายไปถึงต้นเดือนเมษายน 66 ก็จะขยายเวลาตกปลาในอ่างได้อีกระยะหนึ่ง

จากนั้นก็ต้องติดตามข่าวกระบวนการเดินหน้าในเรื่องยุบพรรค โดยเฉพาะการยุบพรรคเพื่อไทย (พท.) ก้าวไกล (ก.ก.) และพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และขณะนี้ ก็มีเรื่องการยุบพรรคภูมิใจไทย (ภท.) และรวมไทยรักษาชาติ (รทสช.) ตามเข้ามาเป็นพรวนด้วย

3. การกล่าวหาเรื่องใช้อำนาจอ้างการตรวจราชการเพื่อหาเสียงเลือกตั้ง รวม 19 ครั้ง ที่พรรคเสรีรวมไทยโดยอาจารย์สมชัยและคุณวีระเป็นผู้กล่าวหานั้น ได้ยินว่ามีข้อพิสูจน์ง่ายมาก

~การกระทำทั้ง 19 ครั้งมีหลักฐานชัดเจนทั้งภาพถ่ายและคลิป รวมทั้งตัวบุคคล

~สามารถเปรียบเทียบการตรวจราชการในช่วง 3 ปีก่อนนี้ว่ามีลักษณะรูปแบบอย่างไรแตกต่างกับ ที่อ้างไปตรวจราชการในช่วงก่อนเลือกตั้งนี้อย่างไร ที่ชัดเจนคือการระดมบุคคลหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งจังหวัดมาต้อนรับ การจัดรายการพบปะราษฎรและการกล่าวปราศรัยหาเสียงเลือกตั้ง รวมทั้งการนำผู้ที่จะสมัครรับเลือกตั้งขึ้นโชว์ตัวกันเป็นตับ

อย่าทำเป็นเล่นไป เพราะถ้าวันใดกระบวนการยุติธรรมแสดงความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา ก็คงน่าดูชม ไม่ใครก็ใครอาจต้องหนีไปอยู่ต่างประเทศ

นิพนธ์ ลั่น จุรินทร์พร้อมนั่งนายกฯหากประชาชนให้ความไว้วางใจ เชื่อมั่น ผ่านงานหลายกระทรวง เป็นนักบริหารรัฐกิจมืออาชีพ และส.ส.หลายสมัย

เมื่อวานนี้ (19 มี.ค.66) บนเวทีปราศรัยใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์ ที่สนามช้างเผือก อ.เมือง จ.ยะลา นายนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์/ผอ.เตรียมการเลือกตั้งพรรคฯ กล่าวตอนหนึ่งว่า พรรคประชาธิปัตย์เลือกหัวหน้าพรรคมานั้นคน ๆ นั้นต้องพร้อมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี โดยขอยืนยันกับพี่น้องประชาชนว่า นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคปชป.นั้น เป็นผู้มีคุณสมบัติเหมาะสมของการเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดี เพราะจากการที่ไปนั่งบริหารงานในฐานะรัฐมนตรีหลายกระทรวงก็สามารถจัดการแก้ไขปัญหาที่ค้างคาสะสมได้ทั้งหมด 

‘จตุพร’ ถอดรหัสคำปราศรัย ‘เศรษฐา’​ จวก ทั้งชีวิตอยู่กับความร่ำรวย จะเข้าใจคนจนได้อย่างไร

(19 มี.ค. 66) นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน ‘ประชาชนอยู่ตรงไหน?’ โดยถามนายเศรษฐา ทวีสิน ว่าที่แคนดิเดตนายกฯ เพื่อไทยว่า คนไทยยากจน ทั้งชีวิตได้แต่เสาะแสวงหาความสุขและการอยู่รอด ดังนั้น ประชาชนผู้ทุกข์ยาก มากความเดือดร้อนอยู่ตรงไหนในหัวใจว่าที่ผู้นำที่จะมาเป็นผู้ปกครองมือใหม่ ผู้ยังไม่ปรากฎความเสียสละแก่สังคม แต่ทั้งชีวิตความสำเร็จอยู่กับความร่ำรวย อาจไม่เคยเห็นคุณค่าการเสาะแสวงหาใด ๆ เลย เพราะไม่เคยเสาะหา อยากได้สิ่งใดก็มีคนเอามาให้ แล้วจะเข้าใจประชาชนยากจนที่อยู่ปกครองได้อย่างไร

นายจตุพร ยกคำพูดตอนหนึ่งของนายเศรษฐา ทวีสิน ว่าที่แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย ที่ระบุบนเวทีจัดงาน ‘คิดใหญ่ ทำเป็น เพื่อไทยทุกคน’ เพื่อเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. ทั้ง 400 เขต มาวิพากษ์วิจารณ์บทบาทของผู้ปกครองมือใหม่ถอดด้ามที่อาสามาเป็นผู้นำของประเทศไทยที่มากด้วยคนยากไร้ เดือดร้อนทุกข์

พร้อมระบุคำพูดของนายเศรษฐา ว่า คนมีอภิสิทธิ์ ใหญ่คับฟ้าทำผิดไม่ผิด เห็นผู้นำไร้หัวใจไล่ประชาชนที่มีศักยภาพให้ออกจากแผ่นดินที่เขาเกิด เพียงแค่คนเหล่านี้ไม่อยู่ใต้โอวาท ประชาชนที่ได้ผลกระทบทุกคนต่างฝากความหวังไว้ในการเลือกตั้ง ซึ่งจะเป็นจุดเปลี่ยนประเทศ เขาอยากเลือกพรรคการเมืองที่จะสร้างโอกาสให้ชีวิตเขาดีขึ้น

นายจตุพร เริ่มกล่าวด้วยการยกคำพูดท่อนหนึ่งที่ระบุถึง ‘ผู้นำไร้หัวใจ’ มาวิพากษ์วิจารณ์ ว่า ผู้นำโลกและผู้นำไทยที่ผ่านมา ล้วนไม่เคยมีหัวใจ พร้อมถามนายเศรษฐา เมื่อช่วงเป็นซีอีโอ บริษัทอสังหาริมทรัพย์ สร้างบ้านขายกลุ่มคนรวยมาทั้งชีวิต

“คุณมีหัวใจหรือไม่ และเคยเห็นผู้ปกครองไทย ใครบ้าง เคยมีหัวใจ” นายจตุพร กล่าว

อย่างไรก็ตาม หัวใจคนจะเกิดก่อนที่มาเป็นผู้นำ หรือระหว่างวางแผนที่จะเข้าไปเป็นผู้นำ จากนั้นเมื่อมาเป็นผู้นำแล้ว หัวใจจะถูกเอาออกตามลำดับ จนอยู่ในสภาพคนไร้หัวใจ 

อีกทั้งกล่าวว่า ในระหว่างช่วงชิงอำนาจ หัวใจจะเริ่มดำสนิท แต่เมื่อมีอำนาจหัวใจจะไม่มี แล้วกลายเป็นมนุษย์พิเศษที่ไม่มีหัวใจในการทำงาน เพราะตลอดเวลาถ้าผู้นำมีหัวใจ ประเทศจะไม่อยู่ในสภาพแบบนี้ การตัดสินใจระหว่างผลประโยชน์ชาติกับประโยชน์ตัวเอง ถ้าผู้นำมีหัวใจทำไม่ได้ มือล้างได้ แต่ใจยากที่จะล้างออก ดังนั้น ที่บอกว่า ผู้นำไร้หัวใจ หวังว่านายเศรษฐา จะรักษาหัวใจเอาไว้ได้ จนถึงวันใฝ่ฝัน เพราะต้องการเป็นนายกฯ ตำแหน่งเดียว

ส่วนนายเศรษฐา กล่าวถึงผู้นำไร้หัวใจไล่คนไทยออกนอกประเทศนั้น นายจตุพร เห็นว่า ขึ้นอยู่กับการเข้าใจ อย่างไรก็ตาม ต้องรู้ให้ตรงกันก่อนว่า ไม่มีใครสามารถไล่คนไทยออกนอกประเทศได้ ขณะเดียวกันก็ไม่มีคนไทยคนใดที่จะห้ามคนไทย ไม่ให้กลับเข้าแผ่นดินไทยได้เช่นกัน อีกทั้งไม่มีกฎหมายห้ามคนไทยเข้าประเทศด้วย ดังนั้น การออกนอกประเทศคงเป็นเพราะเขาไม่ให้อยู่ หรือไม่อยู่เอง

อย่างไรก็ตาม ในอดีต ช่วงเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 จอมพลถนอม กิตติขจร และจอมพลประภาส จารุเสถียร ตัดสินใจออกนอกประเทศเอง โดยประชาชนขับไล่ แค่ต้องการให้ออกจากตำแหน่งเท่านั้น รวมทั้งนายปรีดี พนมยงค์ และจอมพล ป. พิบูลสงคราม ล้วนแต่เป็นการตัดสินใจออกนอกประเทศเองทั้งสิ้น แต่การไม่กลับมาแผ่นดินไทยนั้น ไม่มีใครห้ามปรามได้เลย

นายจตุพร กล่าวว่า เจตนาของนายเศรษฐา ที่พูดถึงการไล่คนออกนอกประเทศนั้น คงต้องการสื่อให้คนในห้องประชุมนึกถึงหน้าทักษิณ ชินวัตร หรือยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ พี่น้อง อย่างไรก็ตาม ควรต้องยึดหลักสำคัญว่า คนไทยไม่มีสิทธิ์ไล่ใครออกนอกประเทศ แม้จะมีการพูดจริง แต่ไม่มีอำนาจ ดังนั้น การไม่อยู่ในประเทศจึงเป็นเรื่องของแต่ละคนจะตัดสินใจ และถึงที่สุดแล้ว เมื่อนายเศรษฐาอาจได้เป็นนายกฯ ต้องเข้าใจตรงกันก่อนว่า แผ่นดินนี้ไม่มีใครบังคับให้คนไทยออกนอกประเทศได้ นอกจากจะออกไปเอง

“เมื่อคนไทยมีศักยภาพที่นายเศรษฐา บอกว่า เขาไม่อยู่ใต้โอวาท จึงถามว่า ใต้โอวาทของผู้นำคนไหน ที่ไม่ฟัง จึงต้องออกกันไป ซึ่งคำนี้เป็นคำละเอียดอ่อน ใช้ปลุกใจได้ ถ้าไม่เข้าใจบริบทแล้ว จะนำไปสู่ความขัดแย้งมากมาย” นายจตุพร กล่าว

รวมทั้ง เสนอว่า วันนี้ ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ กลับบ้านในไทยได้ตลอดเวลา และไม่มีใครขับไล่ออกนอกประเทศ ตลอดจนไม่มีใครห้ามทักษิณกลับไทยด้วย ดังนั้น คำพูดของนายเศรษฐา จึงเป็นการสร้างจินตนาการที่ใหญ่โตมาก

ประชาชาติจัดปราศรัยที่ อ.สุไหงโกลก ชนกับพรรคประชาธิปัตย์ ‘ทดดวีดดด สอดส่อง’ ลั่นไม่กังวล ชี้ประชาธิปัตย์ไม่มี ส.ส.เหลืออยู่ในพื้นที่แล้ว

พรรคประชาชาติจัดเวทีปราศรัยพบปะกลุ่มสตรีในจังหวัดนราธิวาส ที่ห้องประชุมปลายสยาม โรงแรมเคปเก็นติ้ง อ.สุไหงโกลก จ.นราธิวาส ซึ่งได้รับความสนใจจากกลุ่มสตรีจำนวนหลายร้อยคนมาร่วมรับฟังการศรัยจนแน่นเต็มห้องประชุม โดยนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ พร้อมด้วย พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ส.ส.บัญชีรายชื่อและเลขาธิการพรรคประชาชาติ และนายอารีเพ็ญ อุตรสินธุ์ รองหัวหน้าพรรคประชาชาติ มาปราศรัยช่วยหาเสียงในพื้นที่นราธิวาส เขต 2 ซึ่งพรรคประชาชาติส่งนายนายเจ๊ะซู ตาเหย็บ เป็นผู้ลงสมัคร นอกจากนี้ ยังมีนายสุรเชษฐ์ แวอาแซ อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ที่ได้ย้ายมาสังกัดพรรคประชาชาติ และล่าสุดเพิ่งจะได้รับเลือกเป็นรองหัวหน้าพรรค ได้ร่วมขึ้นเวทีปราศรัยด้วย ท่ามกลางเสียงปรบมือและเสียงเชียร์ตลอดเวลา

นายอารีเพ็ญ อุตรสินธุ์ รองหัวหน้าพรรคประชาชาติ พูดถึง ‘ฮิญาบ’ หรือผ้าคลุมศีรษะที่เป็นคุณค่าและอัตลักษณ์ของสตรีมุสลิม กล่าวว่า กว่าสตรีมุสลิมจะได้มีสิทธิเสรีภาพสวมฮิญาบอย่างภาคภูมิเช่นในวันนี้ ต้องผ่านการต่อสู้และเรียกร้องมาอย่างยาวนาน จนวันนี้โลกได้กำหนดให้ทุกวันที่ 1 กุมภาพันธ์ เป็นวันฮิญาบโลก และพรรคประชาชาติได้ต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพเรื่องนี้มาโดยตลอด

พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เริ่มการปราศรัยด้วยการพูดถึงการตอบคำถามจากสื่อมวลชน ว่าสื่อมวลชนถาม ในฐานะที่พรรคประชาชาติเป็นเจ้าของพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีความกังวลหรือไม่ที่มีแกนนำพรรคการเมืองหลายพรรคลงพื้นที่มาปราศรัยถี่มากในช่วงนี้ เช่นวันนี้มีพรรคประชาธิปัตย์มาปราศรัยที่ อ.สุไหงโกลกด้วย พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า “ผมก็พยายามนึกว่า ส.ส.ประชาธิปัตย์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้มีกี่คน ก็นึกได้ว่าไม่มีสักคน เดิมมี ส.ส.อันวาร์ สาและอยู่หนึ่งคน แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว นราธิวาสเขต 2 อ.ตากใบ อ.สุไหงโกลกแชมป์เก่าก็ไม่ใช่ประชาธิปัตย์ แต่เป็นของพลังประชารัฐ แต่หลังการเลือกตั้งครั้งนี้ เขตนี้จะเป็นของเจ๊ะซู พรรคประชาชาติ” 

‘อนุชา’ โชว์ผลงาน ‘ลุงตู่’ ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา พาไทยพัฒนารุดหน้า-ก้าวข้ามวิกฤต จนต่างชาติซูฮก

(18 มี.ค. 66) นายอนุชา บูรพชัยศรี ได้พูดถึงผลงานรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ.2562-2566) ในรายการคุยนอกเวลากับอนุชา บูรพชัยศรี โดยระบุว่า

การระบาดของโควิด 19 ถือเป็นปัญหาและความท้าทายที่สำคัญของรัฐบาลไทยและรัฐบาลทั่วโลก นับตั้งแต่การแพร่ระบาดในปี 2563 รัฐบาลภายใต้แกนนำของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ผนึกกำลังทุกภาคส่วน เพื่อร่วมมือกันต่อสู้กับวิกฤตครั้งนี้ ตั้งแต่วินาทีแรก ด้วยการควบคุมการแพร่ระบาดให้อยู่ในวงจำกัดแบบ Single command การจัดหาวัคซีนและยารักษาโรค ตลอดจนการช่วยเหลือเยียวยา ฟื้นฟู ผู้ที่ได้รับผลกระทบทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็น ผู้ใช้แรงงาน เจ้าของกิจการ ผู้ประกอบการอาชีพอิสระ เกษตรกร และผู้มีรายได้น้อย 

การบริหารจัดการของรัฐบาลไทย ได้รับการยกย่องจากองค์การอนามัยโลกหรือ WHO ให้เป็นต้นแบบของการรับมือกับโควิด 19 ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก 

โดยประชาชนได้รับวัคซีนในระดับความครอบคลุมสูง ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อลดลงอย่างต่อเนื่อง การตั้งเป้าหมายเชิงรุกให้ประชาชนอยู่กับโควิดได้อย่างปลอดภัยและดำเนินชีวิตได้อย่างเป็นปกติ ประกาศยกเลิกโควิดออกจากการเป็นโรคติดต่ออันตราย ควบคุมไปกับการยกเลิกกฎหมายที่เข้มงวดและเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ ไม่เพียงเท่านั้นประเทศไทยยังต้องเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจที่มาจากปัจจัยภายนอก 

โดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่างรัซเซียและยูเครน ซึ่งส่งผลให้เกิดปัญหาราคาพลังงานเพิ่มสูงขึ้นและมีเงินเฟ้อ รัฐบาลได้เร่งแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเพื่อประคับประคอง ให้ทุกกิจกรรมเดินหน้าต่อไปได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการช่วยเหลือผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ อุดหนุนเงินโครงการคนละครึ่ง ตึงราคาน้ำมันดีเซล ช่วยเหลือค่้าก๊าซหุงต้ม ค่าน้ำ ค่าไฟ เยียวยาผู้ใช้แรงงานนายจ้างและผู้ประกอบการ การประกันราคาสินค้าเกษตร ส่งเสริมธุรกิจ SME และ Start up ให้เข้าถึงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ รวมทั้งกระตุ้นการท่องเที่ยวผ่านโครงการ เราเที่ยวด้วยกัน

รัฐบาลได้สร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในประเทศ และตอกย้ำความเชื่อมั่นจากนานาชาติ โดยการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก หรือ APEC 2022 ในช่วงปลายปี 2565 ได้สำเร็จ ราบรื่นและได้รับเสียงชื่นชมเป็นอย่างมาก โดยได้ต้อนรับผู้นำและผู้แทนจาก 21 เขตเศรษฐกิจ แขกพิเศษและสื่อต่างชาติกว่า 4,000 คน ผู้นำเขตเศรษฐกิจได้ร่วมลงนามรับรองเป้าหมายกรุงเทพฯ ว่าด้วยเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว หรือ BCG Economy เพื่อขับเคลื่อนนโยบายระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่มุ่งเน้นการรักษาสิ่งแวดล้อม ควบคู่กับการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยมีการประเมินว่าการประชุมครั้งที่ผ่านมา สร้างเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจมากถึง 20,000 ล้านบาท ช่วยตอกย้ำบทบาทและยกระดับความเชื่อมันทุกด้านของไทยในเวทีโลก 

และอีกผลงานที่สำคัญ คือ การฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่าง ไทย-ซาอุดีอาระเบีย ในรอบ 30 ปี ส่งผลให้เกิดความร่วมมืออย่างก้าวกระโดดในทุกมิติ ทั้งด้านการเมือง การค้า การลงทุนแรงงาน การศึกษา การท่องเที่ยว และด้านอื่นๆอีกมากมาย

สิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการพลิกโฉมประเทศไทย เพื่อก้าวสู่ศตวรรษที่ 21 และการเป็นประเทศชั้นนำของโลก ก็คือการปฏิรูปกฎหมาย เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนและทุกภาคส่วนของประเทศ ตลอดจนการลงทุนเพื่ออนาคตอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ด้านคมนาคมขนส่ง ทั้งทางบก ทางราง ทางน้ำ และทางอากาศ รวมถึงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม การส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ การขับเคลื่อนประเทศด้วยนวัตกรรม ผลักดันการพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ต่างๆ เช่น EEC การพัฒนาชุมชนสู่เมืองอัจฉริยะ การสร้างเกษตรอัจฉริยะ และการเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลกในอนาคตอันใกล้ รวมทั้งการลดต้นทุน เพิ่มผลผลิตสินค้าเกษตร ส่งเสริมการขึ้นทะเบียน GI จัดสรรที่ดินทำกิน ส่งเสริมเกษตรแปลงใหญ่แก้ปัญหาความยากจน จัดสวัสดิการชุมชนแก้ไขปัญหาหนี้สิน ผลักดัน Soft Power สู่ระดับโลก และยกระดับอุตสาหกรรมไทยสู่ 12 อุตสาหกรรมแห่งอนาคต 

ด้านความมั่นคง รัฐบาลปกป้อง เชิดชู สถาบันพระมหากษัตริย์ สืบสานรักษาต่อยอดงานตามพระบรมราโชบาย สร้างเครือข่ายความมั่นคงชุมชน ปรับปรุงกฎหมายยาเสพติด เน้นยึดทรัพย์ และทำลายเครือข่าย ปราบปรามการค้ามนุษย์ สร้างตำบลมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ในจังหวัดชายแดนใต้ บริหารจัดการน้ำทั้งระบบ แก้ปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้ง 

ด้านสังคม อุดหนุนเงินเด็กแรกเกิด ปฏิรูปการเรียนรู้ทุกระดับเพื่อเตรียมพร้อมสู่ศตวรรษที่ 21 พัฒนาโรงเรียนคุณภาพและจัดทำโครงการ 1 ตำบล 1 มหาวิทยาลัย พัฒนาระบบสาธารณะสุขถูกมิติ สานต่อโครงการการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ จ่ายเงินสวัสดิการสังคมผ่านระบบออนไลน์และปรับเบี้ยความพิการแบบถ้วนหน้า 

ด้านสิ่งแวดล้อม รัฐบาลประกาศเป้าหมายมุ่งสู่การเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี 2050 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2065 ส่งเสริมเศรษฐกิจภายใต้ BCG Model ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติสร้างอุตสาหกรรมพลังงานชีวภาพ ชีวมวล และไฟฟ้า

ด้านการบริหารจัดการภาครัฐ ‘สมัยใหม่’ ยกระดับการให้บริการภาครัฐแบบเบ็ดเสร็จ ทางอิเล็กทรอนิกส์จัดทำบัญชีข้อมูลภาครัฐ พัฒนา Platform Digital ของรัฐ ส่งเสริมระบบธรรมาภิบาลและอำนวยความสะดวก ในการประกอบธุรกิจ สำหรับในระยะยาวรัฐบาลเดินหน้าขับเคลื่อนประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติและแผนปฏิรูปประเทศ เพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน แล้ววางรากฐานการพัฒนาประเทศเพื่ออนาคต ตามแนวทาง 3 แกน คือการผลักดันโครงสร้างพื้นฐานที่ใหญ่ที่สุดและบูรณาการมากที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย ส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมทั้งหมดให้ต่อเนื่องเชื่อมโยงกัน และการใช้ประโยชน์จากภาคการธนาคาร เพื่อกระตุ้นความมั่งคั่ง รุ่งเรือง 

เศษเสี้ยว 'คำตอบประเทศ' จากพื้นฐานบุคลากรในพรรคการเมือง 'ลุงชัช' ผู้ลัดเส้นทางให้ใช้ฟรี vs แสนสิริ ผู้หาวิธีโกย 10-20 บาท ก็เอา!!

เห็นแล้วก็อดไม่ได้!! ที่อยากจะเขียนถึง หลังจากไม่กี่วันมานี้ มีการนำเรื่องดี ๆ ที่น้อยคนจะรู้ของ 'ชัช เตาปูน' หรือ นายชัชวาลย์ คงอุดม, นายประสิทธิ์ จิตราธนวัฒน์ และบริษัทบางซื่อพลาซ่า ที่เปิดเส้นทางลัดไป 'ถนนเตชะวณิช' ให้ใช้ฟรี แถมเปิดเส้นทางลัดไปถนนพระราม 6 (ตัดใหม่) ให้ใช้ฟรีด้วยเช่นกัน 

ขอบอกก่อนนะหนูๆ ไอ้ที่ที่แชร์กันเนี่ย มันไม่ใช่เหตุการณ์ที่เพิ่งจะเริ่มเกิด แต่ถนนเส้นลัดนี้ ลุงชัชแกเปิดให้ใช้มานานร่วม 40 ปีแล้วเห็นจะได้ แต่ถ้าคิดจะหยิบมาเป็นเรื่องชื่นชมในตอนนี้ก็ไม่ว่ากัน...

อันที่จริง ถ้านอกจากเรื่องการเป็นเจ้าของบ่อนที่ถูกสังคมตราหน้าในทางลบ ลุงชัชแกก็ทำหน้าที่ผู้ใหญ่ใจดีแก่คนในชุมชนย่านเตาปูน-บางซื่อ มาตลอดชั่วชีวิต

เอ่อ...เท่าที่พอจะรวบรวมได้ก็เช่น...
ส่งเด็กเรียนหนังสือ เกือบ 200 คน ปั้นอนาคตของชาติให้มาช่วยประเทศ ผ่าน 40 ปีแล้ว จบปริญญาเอก มาแล้ว 4 คน มีท่านหนึ่งเป็นรองคณบดีสัตวแพทย์ มหาวิทยาลับเกษตรฯ ซึ่งเป็นนักเรียนทุนจบจากเยอรมัน บ้างก็จบแพทย์แล้วมาเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาล บ้างก็จบวิศวะ บ้างก็จบพยาบาล ซึ่งไม่ต้องชดใช้ทุนคืนสักบาทแต่เงื่อนไขต้องจบมาเพื่อช่วยเหลือประเทศ

แจกข้าวมากว่า 40 ปี ตั้งแต่ปี 22 จนราคาข้าวขึ้นสูงมาก จึงต้องหันมาปลูกข้าวแบบเกษตรอินทรีย์ เพื่อเอามาแจกคนจน

เคยช่วยหม่อมคึกฤทธิ์หาเสียง ในสมัยท่านเป็นนายกฯ และได้นับถือกันเป็นพ่อ-ลูก ในบั้นปลาย มรว.คึกฤทธิ์ได้มอบสยามรัฐให้ดูแลกิจการต่อและบอกว่า "อย่าให้สยามรัฐตายตามพ่อไปนะลูก"

ช่วยเหลือแรงงานไทยในประเทศลิเบีย กว่าหมื่นคน เพื่อให้กลับเข้าประเทศเราได้ ซึ่งแต่ละคนที่กลับมาไม่ได้มีความเป็นที่อยู่ที่ลำบากมาก นายจ้างเอารัดเอาเปรียบ บ้างก็ต้องนอนในโรงเพาะเห็ด ผิวหนังติดเชื้อ ขาดสารอาหารหลายราย ให้หากินวันละมื้อ จนต่อสู้ช่วยขอวีซ่านายจ้างกลับมาได้

เคยเป็นอดีต ส.ว. ปี 43 จากการเลือกตั้ง และ ผลงานผลักดัน...ตรวจสอบ หน่วยงาน ขสมก. ซึ่งทำให้รัฐเสียหายเป็นหมื่นล้าน จนผู้บริหารต้องลาออกจากราชการและบางท่านถูกพิพากษาจำคุก และกรณีปิดโรงงานถ่านหิน เพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อมและธุรกิจประมง ชาวประมง เกษตรกร

เกิดและเติบโตในสลัมย่านเตาปูน และปัจจุบันก็ยังอยู่ที่เดิม และคอยให้ความช่วยเหลือ ให้คำแนะนำ ชาวบ้านที่ตกทุกข์ได้ยากที่มาร้องขอเกือบทุกวัน

สำเร็จการศึกษาจาก นิติศาสตร์ รามคำแหง ใช้เวลาแค่ 3 ปีครึ่งและสำเร็จปริญญาโท สาขา เศรษฐศาสตร์และการบริหาร

วันหนึ่งไปมอบรั้วโรงเรียน เห็นเด็กดื่มน้ำขุ่นๆ กลัวจะเป็นนิ่ว จึงสร้างโรงกรองน้ำดื่ม ปัจจุบันได้บริจาคเพื่อสร้างโรงกรองน้ำดื่มกว่า 200 โรงเรียนแล้ว

ปลูกบ้านให้คนจนอยู่กว่า 200 หลังคาเรือน เพราะสาเหตุจากที่ชาวบ้านถูกไล่ที่ แล้วก็เรื่องการเปิดถนนส่วนบุคคลให้ชาวบ้านได้ใช้สัญจรฟรี มากว่า 40 ปี ตรงเส้นทางลัด 'เตชะวนิช-พระราม 6' แม้จะสามารถเก็บค่าผ่านทางได้ก็ตาม (หากวันนึงๆ ท่านเก็บค่าผ่านทางคงได้เยอะเลย)

แน่นอนว่า ช่วงนี้เป็นช่วงเข้าสู่ห้วงเวลาแห่งการเลือกตั้ง แล้วลุงชัช แกก็มีสังกัดเป็นตัวเป็นตนร่วมกับ รวมไทยสร้างชาติ ที่มีลุงตู่ร่วมขบวนอยู่ จะเรียกว่ากองเชียร์ เอามาอวยช่วยกัน ก็คงเป็นปกติวิสัย

***แต่บังเอิญ ไอ้เรื่องการเมือง มันก็มักมาพร้อมมากับเรื่องน้ำเน่า เพราะถ้ามีคนหนึ่ง 'ดี' มันก็ต้องมีอีกหนึ่งองค์ประกอบ 'เลว' โผล่ออกมาให้เกิดความสมดุลกัน...

ที่ว่าเช่นนี้เพราะ...พลันที่ชาวเน็ตบางส่วนดันเอา 'น้ำใจ' ส่วนนี้ของลุงชัชมาเผย ก็มีชาวเน็ตปากมากไม่น้อยมาเฉลยเชิงเปรียบกับ 'น้ำจิ้ม' ของบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) บริษัท พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่อันดับต้นๆ ของประเทศ ที่มียอดขายระดับแสนล้าน และกำไรเป็นหมื่นล้านต่อปี แต่กลับเรียกเก็บเงินค่าผ่านทางสะพานข้ามคลองพระโขนงจากประชาชน แม้แต่ผู้ซื้ออาคารชุดในโครงการของบริษัท ยังไม่เว้น!!

‘เสี่ยหนู’ ไม่กังวล เสียคะแนนนิยม ปม ‘ชูวิทย์’ โจมตี  ชี้ ปชช. มีสิทธิ์ตรวจสอบ เปรียบ ‘ภท.’ เป็นภูเขาทอง

(18 มี.ค. 66) ที่พรรคภูมิใจไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวภายหลังการเปิดตัวผู้สมัคร ส.ส.กทม. 33 เขต พรรคภูมิใจไทย ว่า ผู้สมัครและผู้บริหารพรรคลงพื้นที่ทุกวัน พบปะชาวบ้านในชุมชนย่อยต่าง ๆ ซึ่งพบว่า ประชาชนให้การตอบรับกระแสของพรรคดีขึ้นเป็นอย่างมาก ชาว กทม. ชื่นชมในนโยบายต่าง ๆ อาทิ นโยบายเรื่องสุขภาพ การแก้ปัญหาฝุ่นละอองทางอากาศ ค่าครองชีพ เป็นต้น

เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่หลังนายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ออกมาคัดค้านพรรคภูมิใจไทย จะทำให้เสียคะแนนนิยมในพื้นที่ กทม.หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวสั้น ๆ ว่า “ไม่กังวล” และการเคลื่อนไหวของนายชูวิทย์ก็ไม่มีปัญหา เพราะพรรคภูมิใจไทยเปรียบเหมือนภูเขาทอง ส่วนที่เหลือก็ไปคิดกันเอาเอง

‘นิพิฏฐ์’ อัด‘เศรษฐา’ คนรวยพูดถึงคนจน แนะ พกผ้าเช็ดหน้า เพราะน้ำลายไหลออกข้างปาก

(18 มี.ค. 66) นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) แสดงความคิดเห็นผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ถึงนายเศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาครอบครัวเพื่อไทย ว่า…

“เมื่อคนรวยพูดถึงคนจน จนน้ำลายไหลข้างปาก

เมื่อวาน ผมฟังคุณเศรษฐา ทวีสิน แกนนำพรรคเพื่อไทย พูดถึงคนจนหลายครั้ง พูดถึงคนรวยเอาเปรียยคนจนหลายครั้ง

ผมได้ยินผู้สนับสนุนโห่ร้องด้วยความพอใจ ผมก็นึกถึงอดีต ครั้งหนึ่งคุณทักษิณ ชินวัตร ก็เคยพูดอย่างนี้ จนคนคลั่งไคล้ จนเกิดสงครามกลางเมือง เกิดการแยกบ้านเมืองเป็น ‘หมู่บ้านเสื้อแดง’

จากนั้น คุณทักษิณ ก็โดนคดีทุจริตจนหนีออกนอกประเทศ

คุณเศรษฐา ทวีสิน พูดว่า รัฐบาลขับไล่คนเห็นต่างออกนอกประเทศ อันนี้ ท่านโกหกชัดครับ ไม่มีกฎหมายไหนที่สามารถขับไล่คนสัญชาติตัวเองออกนอกประเทศได้ มีแต่ห้ามคนสัญชาติตัวเองนอกประเทศเท่านั้น

น้ำ นิชนันท์ ขอให้มั่นใจ 'พรรคก้าวไกล' พร้อมเป็นตัวเลือกให้ 'ชาวสัตหีบ'

'ไอติม' นายพริษฐ์ วัชรสินธุ ผู้จัดการการสื่อสารและการรณรงค์นโยบายพรรคก้าวไกล นำ 'น้ำ' นิชนันท์ วังคะฮาต ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ชลบุรี พรรคก้าวไกล เขต 10 อ.สัตหีบ จัดงานเสวนาสื่อสารนโยบาย รับฟังข้อเสนอแนะจากประชาชนในพื้นที่ อ.สัตหีบ เรื่องการศึกษาไทยก้าวหน้า ยกเลิกการเกณฑ์ทหาร ยืนยันพรรคก้าวไกล ไม่มีนโยบายหรือแนวคิดที่จะตัดเงินบำนาญข้าราชการ พร้อมนำเสนอนโยบายพรรคก้าวไกล เป็นทางเลือกใหม่ของประชาชน โดยมีว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พรรคก้าวไกล ชลบุรี เขต 6 อ.ศรีราชา นาย กฤษฎิ์ ชีวะธรรมานนท์ และว่าที่ผู้สมัคร สส.ชลบุรี เขต 9 อ.บางละมุง ยอดชาย พึ่งพร เข้าร่วมเสวนาในวันนี้ด้วย ซึ่งได้รับความสนใจจากชาวสัตหีบ เป็นจำนวนมาก

'ไอติม' นายพริษฐ์ วัชรสินธุ กล่าวว่า วันนี้เรามาทำกิจกรรมกันในพื้นที่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี เพื่อมารณรงค์นโยบายของพรรคก้าวไกล ที่จะนำเสนอประชาชน ในการเลือกตั้งและเข้ามาแนะนำตัวว่าที่ผู้สมัคร สส.ของพรรคก้าวไกล ในพื้นที่จังหวัดชลบุรี โดยมีผู้เข้าร่วมเสวนาเป็นประชาชนหลากหลายช่วงวัย ที่มีความสนใจแตกต่างกันออกไป โดยได้มีการนำเสนอชุดนโยบายของพรรคก้าวไกล 3 ประเด็นหลัก ประเด็นที่ 1 ซึ่งเยาวชนที่เข้าร่วมเสวนาได้ให้ความสนใจจำนวนมาก คือนโยบายการศึกษา หากพรรคก้าวไกลได้เป็นรัฐบาล จะออกแบบหลักสูตรใหม่ภายใน 1 ปีแรก เพื่อเน้นทักษะที่สามารถใช้ได้จริง เพื่อทำให้การศึกษาเป็นการศึกษาที่ฟรีจริง ทำให้โรงเรียนเป็นพื้นที่ปลอดภัยไร้อำนาจนิยม ลดเวลาที่คุณครูเสียไปกับสิ่งที่ไม่ใช่การเรียนการสอนคืนครูให้กับห้องเรียน ประเด็นที่ 2 เสนอการยกเลิกการเกณท์ทหาร 

ซึ่งถือว่าวันนี้เป็นนิมิตรใหม่ที่ดีมากที่มีทั้งเยาวชนที่อาจจะต้องเข้าสู่กระบวนการ รวมถึงอดีตนายทหารที่มาเข้าร่วมรับฟังและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้วย ผลที่ออกมาคือทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่าประเทศไทย ควรจะมีการยกเลิกการเกณท์ทหารและใช้เฉพาะทหารที่มีความสมัครใจ น่าจะเพียงพอต่อการรักษาความมั่นคง เพราะการบังคับคนที่ไม่อยากเป็นทหาร มาเป็นทหารทำให้เขาต้องสูญเสียเสรีภาพในการประกอบอาชีพที่เขาอยากจะทำ ดึงเวลาเขาออกจากครอบครัว ทำให้โครงสร้างเศรษฐกิจมีจำนวนคนทำงานลดน้อยลง ท่ามกลางสภาวะสังคมสูงวัย ท้ายสุดได้พูดคุยเรื่องนโยบายสวัสดิการ ความต้องการของพรรคก้าวไกล ที่จะมาสร้างความมั่นคงในชีวิตให้กับคนในทุกช่วงวัย ไม่ว่าจะเป็นเงินเด็กเล็กที่เพิ่มจาก 600 เป็น 1,200 บาทต่อเดือน หรือว่าเงินผู้สูงวัยที่เพิ่มจาก 600 บาท เป็น 3,000 บาทต่อเดือน และขอยืนยันว่าพรรคก้าวไกลไม่มีนโยบายในการลดหรือตัดงบบำนาญของข้าราชการ เราเป็นพรรคที่ให้ความสำคัญของทุกกลุ่มว่าเงินก้อนนี้ เป็นเงินที่รัฐบาลได้สัญญากับพี่น้องข้าราชการที่มารับตำแหน่ง เพื่อเป็นหลักประกันของเขาในวัยหลังเกษียณ พร้อมย้ำว่าพรรคก้าวไกล ไม่มีนโยบายในการปรับลดบำนาญของข้าราชการ อย่างแน่นอน

‘บิ๊กตู่’ ลุยภูเก็ต ดูความพร้อมไทยเป็นเจ้าภาพ Expo 2028 ฟาก ‘บิ๊กป้อม’ นำทีมบุกเชียงใหม่ ปราศรัยใหญ่ 19 มี.ค. นี้

(18 มี.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 19 มีนาคม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม มีกำหนดการลงพื้นที่ตรวจราชการ จ. ภูเก็ต โดยมีพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน และนายธนกร วังบุญคงชนะ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมคณะ โดยจุดแรกตรวจติดตามความพร้อมการเตรียมการของประเทศไทยในการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพงาน Expo 2028 Phuket Thailand ที่ห้องประชุมท่าอากาศยานภูเก็ต แล้วไปยังสถานที่จัดงาน Expo 2028 Phuket Thailand ต.ไม้ขาว อ.ถลาง ช่วงบ่าย นายกรัฐมนตรีตรวจติดตามการใช้พื้นที่ป่าชายเลนภายใต้โครงการ 'ป่าในเมือง' ที่ชุมชนกิ่งแก้ว เทศบาลต.รัษฎา อ.เมือง และไปยังมหาวิทยาลัยราชภัฎภูเก็ต ต.รัษฎา อ.เมือง รับฟังการนำเสนอวิสัยทัศน์เรื่อง 'อันดามันพร้อม' โดยประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจ.ภูเก็ต จากนั้น นายกฯกล่าวแสดงทรรศนะและมอบทิศทางอนาคตอันดามัน จากนั้น เดินทางกลับกทม.

ปทุมธานีบิ๊กแจ๊สต้อนรับอุ๊งอิ๊ง เพื่อไทยเปิดตัว400ว่าที่ผู้สมัคร เฉลิมย้ำแจ็สยังไงก็เพื่อไทย

(17 มี.ค.66) เวลา 10.00 น. ที่อาคารยิมเนเซียม 4 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี พรรคเพื่อไทย นำโดย นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย , นางสาวแพทองธาร ชินวัตร (อุ๊งอิ๊ง) ประธานที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย และ นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย เป็น ร่วมจัดงาน 'คิดใหญ่ ทำเป็น เพื่อไทยทุกคน' เปิดตัวผู้ประสงค์ลงสมัครรับการเลือกตั้ง ส.ส.เขต ทั้ง 400 เขตทั่วประเทศ รวมถึงประกาศนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้ง โดยมีคณะกรรมการบริหารพรรค, สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.), ผู้ประสงค์ลงสมัครรับการเลือกตั้ง ส.ส., สมาชิกพรรค และผู้สนับสนุนพรรคเข้าร่วมงาน จนแน่นสถานที่

บรรยากาศการจัดงานเป็นไปอย่างคึกคักตั้งแต่เปิดเวที ในโอกาสนี้ พล.ต.ท.คำรณ ธูปกระจ่าง (บิ๊กแจ๊ส) นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี ร้อยตำรวจเอก ดร.ตรีลุพธ์ ธูปกระจ่าง นายกเทศมนตรีนครรังสิต ได้เดินทางมามอบดอกไม้ให้กำลังใจคุณอุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ชินวัตร พรรคเพื่อไทย โดยคุณอุ๊งอิ๊งได้กล่าวขอบคุณบิ๊กแจ๊ส ส่วนนายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้กล่าวกับบิ๊กแจ๊สว่าเรายังเหมือนเดิม ทางด้าน ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง ได้พูดว่า บิ๊กแจ๊สจะไปไหนได้ยังไงอยู่เพื่อไทย มีการโบกธงเพื่อไทย ป้ายสนับสนุนยกเชียร์ พร้อมตะโกนโห่ร้อง ตั้งแต่หน้างานจนถึงบริเวณจัดงาน อากาศครึกครื้นตลอดเวลา

สำหรับพรรคเพื่อไทยในจังหวัดปทุมธานีทั้ง 7 เขต ประกอบด้วย เขต 1.นายสุรพงษ์ อึ้งอัมพรวิไล ที่ครองแชมป์มายาวนาน เป็นถึงอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ขุมกำลังหลักอยู่ที่อำเภอลาดหลุมแก้วและเมืองปทุม, เขต 2.นายศุภชัย นพขำ ลูกชาย นายกแป๊ะ นายสายัณ นพขำ อดีตนายกเทศมนตรีตำบลบ้านกลาง เป็น สส.แชมป์เก่า และลงพื้นที่ตลอด, เขต.3 นายยุทธศักดิ์ ชูประเสริฐ นักการเมืองใหม่ที่เปิดตัวเดินลงพื้นที่มาหลายปีต่อเนื่อง อาสาอยากจะเข้ามาพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ , เขต 4.นายสุทิน นพขำ อดีต สส.ปทุมธานี น้องชาย นายกแป๊ะ นายสายัณ นพขำ อดีตนายกเทศมนตรีตำบลบ้านกลาง ครั้งนี้กลับมาลงสนามสู้ศึกอีกครั้ง , เขต 5.นายชัยยันต์ ผลสุวรรณ์ แชมป์เก่าเขตนี้ยังคงเหนียวแน่น ลงพื้นที่มาอย่างต่อเนื่องเป็น กมธ.การกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนฯที่รับฟังปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่มาโดยตลอด , เขต 6.นายมนัสนันท์ หลีนวรัตน์ อดีต ส.อบจ.ปทุมธานี เป็นและลูกชาย นายกฤษฎา หลีนวรัตน์ (นายกเบี้ยว) นายกเทศมนตรีตำบลธัญบุรี และ เขต.7 นายยงยุทธ มั่นบุปผชาติ นายกเทศมนตรีตำบลลำลูกกา ที่เตรียมพร้อมลาออกลงมาต่อสู้ในสนามการเมืองใหญ่และมีฐานเสียงที่มั่นในพื้นที่ลำลูกกา

'ไพบูลย์' พร้อมดัน พ.ร.บ.ปราบปรามการทรมานฯ หาก พปชร. นั่ง รบ. หลัง 'เฌอเอม' ทวงการเยียวยา 'อุ้มคนหาย-ทำร้าย' จากเหตุชุมนุม

เฌอเอม มิสแกรนด์ลำพูน 2023 ฟาดเดือด ไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ถามถึงการเยียวยาคนถูกอุ้มหาย ถูกทำร้ายจากการชุมนุม

กลายเป็นกระแสอีกครั้งสำหรับเวทีนางงามชื่อดังมิสแกรนด์ไทยแลนด์ซึ่งได้จัดงาน 'มิสแกรนด์ กับ อนาคตเมืองไทย หลังเลือกตั้งปี 66' ที่นำเอาผู้เข้าประกวดทั้ง 77 คน ซึ่งเป็นตัวแทนของคนไทยทั้ง 77 จังหวัด ถามคำถามกับนักการเมืองจากพรรคต่าง ๆ

ไฮไลต์ของงานเห็นจะเป็นนางงามฝีปากเอกอย่าง 'เฌอเอม' ชญาธนุส ศรทัตต์ อดีตผู้เข้าประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ ปี 2020 ที่ในปีนี้เข้าร่วมเวทีมิสแกรนด์ในฐานะ มิสแกรนด์ลำพูน

โดยเป็นคิวที่ ไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ขึ้นเวทีเพื่อแสดงวิสัยทัศน์พอดิบพอดี เฌอเอมได้กล่าวถึง พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ที่เสนอผ่านขั้นแรกไปในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา แต่โดน พ.ร.ก. ฉุกเฉินสั่งเลื่อนไปอีก

เฌอเอมถามว่า “การสูญหาย ความรุนแรง โดยเฉพาะความรุนแรงต่อผู้ชุมนุมเกิดขึ้นเยอะที่สุดในยุครัฐประหาร และต่อมาก็เป็นยุครัฐบาลของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตหัวหน้าพรรคของท่าน”

“ไม่ทราบว่าหากพรรคของท่านได้เป็นตัวแทนในสมัยหน้า จะทำอย่างไรในการเยียวยาครอบครัวผู้สูญเสียและทุกคนในสังคมที่เจ็บช้ำมีบาดแผลจากคณะท่านตั้งแต่วันปฏิวัติรัฐประหารเป็นต้นมา จะทำอย่างไรให้คนรู้สึกว่าถ้าเลือกท่านแล้วจะไม่มีการถูกใช้ความรุนแรงอีก”

“2 คนที่ดิฉันไม่ได้ทำงานร่วมด้วยเพราะเขาเสียชีวิตไปแล้ว คือ 1.บิลลี่ พอละจี รักจงเจริญ ชาวกะเหรี่ยง บ้านบางกลอย และ 2.คุณวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ เพราะฉะนั้นท่านช่วยพูดกับทุกคนในสังคมที่หวาดกลัวขณะต้องเรียกร้องสิทธิภายใต้รัฐบาลของท่านด้วยค่ะ”

ไพบูลย์ ได้ตอบคำถามนี้ว่า “ผมก็อยู่ในกรรมการชุดที่ทำ พ.ร.บ. นี้ สิ่งที่ต้องทำคือการก้าวผ่านความขัดแย้ง ผมผ่านยุคการชุมนุมมาหลายยุค ผ่านการปลุกปั่น ทุกฝ่ายก็สูญเสียและบาดเจ็บ สิ่งที่ต้องทำมี 2 อย่าง อย่างที่หนึ่งต้องไม่ให้เกิดอีก อย่างที่สองต้องเยียวยา”

‘ลุงป้อม’ ลุยใต้ ขอบคุณ ปชช.ร่วมช่วยพัฒนาท้องถิ่น พร้อมหนุนค่าอาหารกลางวันเด็ก-ค่าจ้างครูอย่างต่อเนื่อง      

(17 มี.ค. 66) พล.ท.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผู้ช่วยโฆษก รองนายกรัฐมนตรีไทย เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีไทย พร้อมด้วย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมและคณะ ได้เดินทางไปปฏิบัติราชการ ต่อเนื่องจากช่วงเช้า (จังหวัดยะลา) โดยในช่วงบ่ายได้พบปะผู้นำศาสนา และเครือข่ายโรงเรียนตาดีกา รวมถึงผู้นำท้องถิ่น ในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ ณ โรงเรียนประสานวิทยามูลนิธิ อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี โดย พล.อ.ประวิตร ได้กล่าวขอบคุณประชาชนทุกคนที่มาให้การต้อนรับ และให้ความร่วมมือ ช่วยกันพัฒนาท้องถิ่น ภายใต้สันติสุข ในการดำรงชีวิตที่ผ่านมาเป็นอย่างดี

ซึ่ง พล.อ.ประวิตร ยังได้กล่าวเจตจำนงในการเดินทางมาพบในครั้งนี้ เพื่อต้องการส่งเสริมการดำรงชีวิตตามหลักการศาสนาของพี่น้องมุสลิม สนับสนุนค่าอาหารกลางวันตาดีกาต่อเนื่อง รวมทั้งเพิ่มจำนวนครูผู้สอนให้เหมาะสมกับสัดส่วนนักเรียน และอื่น ๆ รวมทั้งการสนับสนุนครูโรงเรียนเอกชน ให้มีสิทธิ และการเพิ่มค่าตอบแทน/ค่าเสี่ยงภัยครู และผู้บริหารด้วย

‘สมศักดิ์’ เปิดใจ เหตุทิ้ง ‘พปชร.’ ย้ายซบ ‘เพื่อไทย’ เผย มีโอกาสแลนด์สไลด์ ชี้ เป็น รบ.หลายพรรคทำงานยาก

(17 มี.ค. 66) ที่ร้านกินเส้น สนามบินน้ำ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แถลงถึงเส้นทางการเมือง ที่จะย้ายไปอยู่พรรคเพื่อไทย ว่า แนวทางตัดสินใจ 3 ประเด็น คือ ฟ้า ดิน อากาศ โดยในส่วนของอากาศ คือข้อมูลพรรคการเมืองต่าง ๆ และต้องให้ความสำคัญกับทีมงาน แนวนโยบายนำไปสู่การปฏิบัติ โดยเฉพาะการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งเสถียรภาพรัฐบาลมีความสำคัญ

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมา พรรค พปชร.ได้ ส.ส.118 คน แต่ยังไม่สามารถทำเศรษฐกิจให้ประชาชนพอใจได้ เพราะเป็นรัฐบาลผสม มีการต่อรองกระทรวงและโควตาต่าง ๆ โดยพรรค พปชร.ไม่ได้ดูกระทรวงเศรษฐกิจทั้งหมด ทำให้ต้องคิดว่าการจะทำให้สิ่งต่าง ๆ ให้สัมฤทธิ์ผลช่วยประชาชนได้ คือดูพรรคที่จะแลนด์สไลด์ จะมีส่วนทำให้แนวนโยบายรัฐบาลใหม่ประสบผลสำเร็จ เป็นที่พึ่งของประชาชนใจในการแก้ปัญหาความยากจน จึงตัดสินใจสมัครเป็นสมาชิกเพื่อไทย โดยตนได้ทำหนังสือลาออกจากรัฐมนตรียุติธรรม และส่งเอกสารลงรับไปเรียบร้อยแล้ว โดยจะไม่ขอรักษาการรัฐมนตรี เพื่อความสบายใจต่อฝ่ายต่าง ๆ และทำหนังสือลาออกจากพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ซึ่งนายทะเบียนพรรคการเมืองลงรับเรียบร้อยแล้ว เพื่อให้เกิดความชัดเจน และได้สมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย โดยเอกสารจะเรียบร้อยในวันที่ 20 มี.ค.นี้

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี ไม่ได้ติดใจอะไร และขอให้โชคดี โดยนายกฯ พูดกับนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ฝากมาถึงตนด้วย และต้องขอบคุณ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ในการทำงานที่ผ่านมา ตนอยู่กับพลังประชารัฐก็ทำงานเต็มที่เมื่อไปอยู่กับเพื่อไทยก็จะทำเต็มที่ แม้จะยังไม่ได้เข้าไปที่พรรคเพื่อไทย แต่เมื่อมีข่าวออกมา และเห็นแนวทางทำงานของตน ทำให้คนในพรรคเพื่อไทย โทรมาแสดงความยินดีจำนวนมาก ส่วนตนจะไปดูพื้นที่ไหนในพรรคเพื่อไทย สุดแล้วแต่ผู้บริหารพรรคจะเห็นเหมาะสม ตนไม่เลือก ไปได้ทุกที่ และไม่ได้คาดหวังจะไปนั่งกระทรวงใด เพราะเวลาตั้งรัฐบาลแล้วหวังไว้ที่หนึ่ง แต่ไปได้กระทรวงอื่น จึงไม่ได้คิดอะไร ไม่คาดหวัง แล้วแต่ประชาชนจะสนับสนุน ทั้งนี้ หากไปอยู่เพื่อไทยแล้วได้อยู่ในลำดับไม่เกิน 50 ก็น่าจะได้เป็น ส.ส.

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ก่อนหน้านั้น ได้กราบลานายวิษณุ เครืองาม และ พล.อ.ประวิตร ทั้งคู่ได้ให้ศีลให้พร ยืนยันว่าไม่มีความแตกแยก แต่การเป็นพรรคร่วมรัฐบาลหลายพรรค ถือเป็นอุปสรรค และหากทีมงานที่ไม่สามัคคีจะเป็นอุปสรรค เพราะคนหนึ่งไปซ้าย คนหนึ่งไปขวา ส่วนพรรคเพื่อไทย นั้นทำงานเป็นระบบ และเป็นพรรคพวกกันมาก่อน จึงเข้าใจและพูดคุยกันได้

ผู้สื่อข่าวถามว่า แสดงว่าการทำงานในพรรค พปชร.ทำให้ทำงานลำบากหรือไม่ กล่าวว่า ไม่ลำบาก พล.อ.ประวิตร หัวหน้าพรรค เป็นปกติ แต่บางคนเกิดความรู้สึกติดขัดบ้างเล็กน้อย เช่น ตนเป็นประธานยุทธศาสตร์พรรค แต่เมื่อไม่เป็นหนึ่งเดียวกันก็ทำงานยาก

เมื่อถามว่ามั่นใจว่า พรรคเพื่อไทยจะแลนด์สไลด์ นายสมศักดิ์กล่าวว่า ดูจากโพลเมื่อ 2 เดือนที่แล้วได้ 220 เสียง แต่ถ้าเราไปช่วยอีกทาง คิดว่าจะขยับได้ เมื่อถามย้ำว่า เป้าหมายที่ไปพรรคเพื่อไทย เพราะเชื่อว่าจะเป็นรัฐบาลแน่นอน นายสมศักดิ์ กล่าวว่า หากเข้าไปช่วยหาเสียง มีนโยบายใหม่ จึงมั่นใจว่าจะได้เสียงมากขึ้นตามเป้าที่ผู้บริหารพรรคเพื่อไทยวางไว้ ส่วนตนจะช่วยให้ดีที่สุด เพราะการเป็นรัฐบาลเป็นความใฝ่ฝันของทุกพรรค แต่จะเป็นได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขที่มีมากน้อยของแต่ละพรรคจะดำเนินการ หากประชาชนช่วยเลือกเข้ามามาก จะได้แลนด์สไลด์ ส่วนจะได้ 310 เสียงหรือไม่ ตนไม่กล้าคิด เพราะไม่ได้ถือโพล หรือลงไปดูตรงนี้

เมื่อถามว่า หลังเลือกตั้งพรรค พปชร.จะจับมือกับเพื่อไทย หรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องของผู้บริหาร และผู้ใหญ่ของพรรคพูดคุยกัน โดยการพบกับ พล.อ.ประวิตร ท่านไม่ได้พูดเรื่องนี้ให้ฟัง แสดงว่าไม่มีคำตอบที่ชัดเจน จึงเชื่อว่ายังไม่ได้พูดคุยกัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top