Wednesday, 7 May 2025
POLITICS NEWS

พท.อัด “ศักดิ์สยาม” โกหก ทำตัวอภิสิทธิ์ชน ไม่รับผิดชอบสังคม ทำ ปชช.รับกรรม

เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2564 นางสาวอรุณี กาสยานนท์ โฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวกรณีที่นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ติดเชื้อโควิด-19 ทั้งที่นายศักดิ์สยามเพิ่งให้สัมภาษณ์กับสื่อเมื่อวันที่ 6 เมษายน 2564 ร่างกายยังแข็งแรงดีและได้ผ่านการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ครบ 2 โดสแล้ว แต่วันนี้กลับคำให้สัมภาษณ์ว่าได้รับวัคซีน 1 โดส ว่า นายศักดิ์สยามกำลังโกหกประชาชนกำลังลดทอนความเชื่อมั่นให้กับรัฐบาลเสียเอง ใช้วัคซีนป้องกันโควิด-19 เป็นยันต์กันผี ฉีดแล้วจะปฏิบัติตัวอย่างไรก็ได้ ทั้งที่รัฐมนตรีและรัฐบาลในฐานะที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ต้องปฏิบัติตัวให้เป็นแบบอย่างกับสังคม ต้องมีความรับผิดชอบสูงกว่าประชาชน แม้จะได้รับวัคซีนแล้วไม่ได้หมายความว่าจะสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติโดยปราศจากการรักษาระยะห่างทางสังคม ต้องป้องกันตัวเองด้วยมาตรการเข้มข้นตามที่กำหนดไว้อย่างต่อเนื่อง   

เพราะประชาชนจำนวนมากยังไม่ได้รับวัคซีน มีเพียงบางส่วนเท่านั้นที่ได้รับวัคซีนเพียง 1 โดส นายศักดิ์สยามและรัฐมนตรีอีกหลายคนที่ต้องกักตัว ไม่ควรเป็นหนึ่งในสาเหตุของการแพร่ระบาดในคลัสเตอร์ทองหล่อ  ล่าสุด ศบค.รายงานจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้มี 334 ราย เป็นการติดเชื้อในประเทศ 327 ราย พบมากที่สุดในกรุงเทพฯ 210 ราย ส่วนใหญ่พบจากกลุ่มสถานบันเทิงใน กทม. ยิ่งตอกย้ำว่าการระบาดครั้งนี้อาจจะกลายเป็นการระบาดระลอกที่ 3 หรือไม่

“รัฐบาลกำลังทำลายความน่าเชื่อถือให้กับวัคซีนที่ตนเองเป็นผู้สั่งซื้อ และยังผูกขาดการเข้าถึง จากนี้ไปรัฐบาลต้องทำความเข้าใจกับประชาชนทั้งที่ได้รับวัคซีนแล้วและยังไม่ได้รับวัคซีน ว่าวัคซีนไม่ใช่ยาวิเศษที่เมื่อได้รับไปแล้วจะทำให้ตัวเองไม่ติดเชื้อโควิด-19 ได้ หลังได้รับวัคซีนโดสที่ 2 แล้วจะต้องรักษาระยะห่างทางสังคม และป้องกันตนเองอย่างเข้มข้นต่อไป เพราะวัคซีนมีระยะการสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกายหลังฉีดเข็มที่ 2 แล้ว 14-28 วัน ข้อมูลเหล่านี้สำคัญในการดำเนินชีวิตของประชาชนเป็นอย่างมาก 

รัฐมนตรีที่ติดเชื้อโควิดไม่รับผิดชอบต่อสังคม ซ้ำยังปกปิดข้อมูล ทำตัวเป็นอภิสิทธิ์ชน ลอยตัวเหนือปัญหาที่ตนเองเป็นผู้ก่ออยู่เสมอ ประชาชนต้องรับกรรมแทนทุกครั้ง” นางสาวอรุณี กล่าว

“บิ๊กตู่”โวเปิดเส้นทาง”กรุงเทพฯ-โคราช”บรรเทาความเดือดร้อนช่วงสงกรานต์ “ย้ำ”ระมัดระวังเดินทาง มีสติ อย่านึกถึงแต่ตัวเอง “อ้อน”รัฐพยายามแก้ปัญหาให้ ขอเพียงกำลังใจเท่านั้น

วันที่ 7 เมษายน 2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ว่าบ่ายวันนี้ตนจะเดินทางไปเป็นประธานการเปิดใช้งานทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางประอิน-สระบุรี -นครราชสีมา ช่วงอ.ปากช่อง-อ.สีคิ้ว ตนจะไปดูเส้นกรุงเทพ-โคราชที่เปิดช่วงแรก ที่จะสามารถบรรเทาความเดือดร้อนในเรื่องของการเดินทางได้ในช่วงเทศกาลสงกรานต์นี้ 

“การเดินทางไปต่างจังหวัดขอให้ระมัดระวัง โดยเฉพาะการใช้ยานพาหนะ รถต้องพร้อม คนต้องพร้อม ไม่ดื่มสุรา พักผ่อนให้เพียงพอ สนุกสนานอะไรก็อย่าให้เกินเลยเพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดคือชีวิตตัวเอง ชีวิตครอบครัวและชีวิตคนอื่นที่ได้รับผลกระทบจากเราไปด้วย นี่แหล่ะคือจิตสำนึกของคนไทยทั้งประเทศ เราควรจะต้องนึกแบบนี้ อย่านึกถึงแต่ตัวเอง นึกถึงแต่ความสนุกชั่วคราว จะทำอะไรก็ตามจะต้องมีสติสัมปชัญญะในการดำรงชีวิตต่อไปเพื่อตัวเอง เพื่อครอบครัวและเพื่อคนอื่นด้วย รัฐบาลมีหน้าที่ในการบริหารสิ่งเหล่านี้ให้บูรณาการซึ่งกันและกัน ทุกอย่างเริ่มจากมนุษย์ จากคนทั้งสิ้น รัฐบาลพยายามจะแก้ปัญหาทุกเรื่อง อย่างไม่ย่อท้อ ขอเพียงกำลังใจให้รัฐบาลเท่านั้นเอง อะไรที่มีปัญหาก็พูดคุยกัน แก้ปัญหาได้ก็แก้ให้ แต่ก็ขอให้เป็นไปตามกฎระเบียบ หรือกฎหมายที่เกี่ยวข้อง หลายอย่างเรากำลังปรับแก้ในเรื่องของกฎหมาย ซึ่งมีหลายตัว เสนอไปที่สภาจำนวนหนึ่งแล้วก็คงต้องฝากกระบวนการรัฐสภาให้เร่งผ่านกฎหมายเหล่านี้ที่มีความเร่งด่วน การอำนวยความสะดวกประชาชน เรื่องกระบวนการยุติธรรมเหล่านี้ที่จะเกิดผลดีกับประชาชน เกิดผลดีกับการค้า การลงทุนซึ่งเป็นเรื่องที่เราจะต้องให้ความสำคัญในช่วงนี้” นายกฯกล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า นอกจากเรื่องโควิดที่ให้ความสำคัญแล้ว ยังมีเรื่องการเดินหน้าประเทศให้สอดคล้องกับสถานการณ์หลังโควิด เราต้องเตรียมความพร้อมในช่วงนี้ ต้องเร่งรัดการเจรจา การพูดคุยหรือการทำข้อตกลงกับต่างประเทศ ต้องเร่งรัดดำเนินการกับทุกกลุ่มประเทศไม่ว่ากลุ่มประเทศใหญ่ ประเทศเล็ก กลุ่มอียู กลุ่มตะวันตกต่างๆ ก็ต้องพูดคุยกันตลอดเวลา ประชุมผ่านทางไกลกันก็ได้ ซึ่งวันนี้ตนก็ได้ตั้งคณะกรรมการไปติดตามเรื่องการลงทุนแล้ว เชื่อมต่อกับบริษัทเอกชนต่างประเทศที่เขาสนใจ ใครอยากจะมา มาทำอะไรและเราดูแลอะไรเขาได้บ้างตามมาตรฐานของสากลในปัจจุบัน ไม่เช่นนั้นเราแข่งขันกับใครไม่ได้ ถ้าเรายังคิดแบบเดิมอยู่เราจะแก้ปัญหาอะไรไม่ได้เลย ตนขอให้มีความรักความสามัคคีและฟังรัฐบาลบ้าง เชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ บรรดาสื่อโซเชียลฯต่างๆที่ออกมากันมากมาย ตนห้ามใครไม่ได้ แต่ทุกคนต้องมีการใคร่ครวญให้ดีว่าใช่หรือไม่ใช่  จริงหรือไม่จริง ควรเชื่อหรือไม่เชื่อ ตนไม่ต้องการให้สร้างความเกลียดชังกันต่อไป เพราะมันเป็นอันตรายต่อประเทศอย่างยิ่ง

กระแสโซเชียลกดดัน "ศักดิ์สยาม ชิดชอบ" รัฐมนตรีคนแรกของไทยที่ติดเชื้อโควิด -19 เร่งเปิดไทม์ไลน์ส่วนตัวโดยด่วน ทั้งเวลาราชการและเวลาส่วนตัว ไปทำอะไรที่ไหนมาบ้างก่อนติดเชื้อโควิด เพื่อประชาชนจะได้ป้องกันตัวเองและตรวจหาเชื้อ

กรณีนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มีผลตรวจการหาเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (COVID-19) ยืนยัน "เป็นบวก" นั้น ล่าสุด ผู้สื่อข่าวได้เปิดไทม์ไลน์การปฏิบัติงานของนายศักดิ์สยาม ในช่วงที่ผ่านมา จากการตรวจสอบเบื้องต้น มีดังนี้

วันที่ 24 มี.ค. 2564 นายศักดิ์สยาม เข้าพบกับนายอัลอัล แมคคินนอน เอกอัครราชทูตออสเตรเลียประจำประเทศไทย เข้าพบเพื่อเยี่ยมคารวะและหารือ ที่ห้องประชุมกระทรวงคมนาคม

วันที่ 25 - 28 มี.ค. 2564 ไม่ระบุแน่ชัด

วันที่ 29 มี.ค. 2564 เป็นประธานในพิธีลงนามสัญญาการก่อสร้างโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาคช่วงกรุงเทพมหานคร หนองคาย (ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพมหานคร นครราชสีมา) จำนวน 3 สัญญา ณ กระทรวงคมนาคม

ช่วงบ่าย เข้าพบ นายยอน ทัวร์กอร์ด (H.E. Mr.Jon Thorgaard) เอกอัครราชทูตเดนมาร์กประจำประเทศไทย ณ กระทรวงคมนาคม

วันที่ 30 มี.ค. 2564 เข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ทำเนียบรัฐบาล และช่วงบ่ายเข้ามาที่กระทรวงคมนาคม เพื่อประชุมหัวหน้าหน่วยงานต่าง ๆ ในสังกัดของกระทรวงคมนาคม

วันที่ 31 มี.ค. 2564 เป็นประธานในการประชุมเพื่อเตรียมการรองรับการเดินทางของประชาชนช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2564 ที่กระทรวงคมนาคม

ร่วมอีเวนต์ที่อยุธยา

วันที่ 1 เม.ย. 2564 ช่วงเช้าประชุมคณะกรรมการนโยบายการขนส่งทางบก ที่กระทรวงคมนาคม

และช่วงบ่ายเป็นประธานในพิธีงานเริ่มต้นใช้ความเร็ว 120 กม./ชม. บนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 32 (ช่วงหมวดทางหลวงบางปะอิน-ทางต่างระดับอ่างทอง) ช่วงกม.4+100 กม. 50+000 ทั้งขาเข้าและขาออก ระยะทาง 45.9 กม. ที่หมวดทางหลวงบางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา

วันที่ 2 - 5 เม.ย. 2564 ไม่ระบุแน่ชัด

วันที่ 6 เม.ย. 2564 เดินทางไปทำบุญครบรอบตั้งพรรคภูมิใจไทยที่สำนักงานพรรค ถ.พหลโยธิน และเดินทางไป จ.บุรีรัมย์ เพื่อร่วมงานถวายพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช

แต่ทราบว่ามีทีมงานหน้าห้องติดเชื้อโควิด-19 จึงเดินทางไปตรวจหาเชื้อและกักตัวเป็นเวลา 14 วัน

และวันที่ 7 เม.ย. 2564 ผลตรวจเป็นบวก เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลบุรีรัมย์

ทั้งนี้ ด้านผู้บริหารกระทรวงที่ร่วมงานและการประชุมกับ นายศักดิ์สยาม มีไปตรวจเชื้อโควิดบ้างแล้ว เช่น นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวงที่ร่วมงานพิธีเปิดความเร็ว 120 กม./ชม. และยังได้สั่งการให้ข้าราชการกรมที่ใกล้ชิดกับทีมงานนายศักดิ์สยามไปตรวจหาเชื้อโควิดด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มีการเปิดเผยไทม์ไลน์ส่วนตัวของนายศักดิ์สยามออกมาอย่างเป็นทางการ ซึ่งไทมไลน์ที่นอกเหนือเวลาราชการนั้น เป็นหน้าที่ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมต้องเปิดเผยด้วยตัวเอง

ขณะที่โลกโซเชียลได้กดดันให้นายศักดิ์สยาม ออกมาเปิดเผยไทม์ไลน์ โดยด่วน เพื่อให้บุคคลที่ไปยังสถานที่ที่นายศักดิ์สยามเดินทางไปเข้ารับการตรวจหาเชื้อ เพื่อความปลอดภัยของประชาชนทุกคน ตามนโยบายของกระทรวงสาธารณสุข ที่มีนายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นผู้กำกับดูแล


ที่มา : https://www.nationtv.tv/main/content/378820446/?aig=

ครม. เคาะ แผน “สงกรานต์สุขใจ ขับขี่ปลอดภัย ห่างไกลโควิด” ป้องกัน-ลดอุบัติเหตุ สงกรานต์นี้

เมื่อวันที่ 7 เมษายน ที่ทำเนียบรัฐบาลนางสาวไตรศุลี  ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ว่า ครม. รับทราบแผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ตามที่ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน(ศปถ.)เสนอ โดยใช้ชื่อในการรณรงค์ว่า “สงกรานต์สุขใจ ขับขี่ปลอดภัย ห่างไกลโควิด” มุ่งเน้นบริหารจัดการในลักษณะพื้นที่เป็นตัวตั้งควบคู่กับการดำเนินการตามมาตรการและแนวทางการดำเนินการเพื่อเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโควิด -19 โดยบูรณาการร่วมกับทุกภาคส่วนอย่างเข้มแข็งและต่อเนื่อง ควบคู่กับการสร้างจิตสำนึกและความตระหนักด้านความปลอดภัยให้แก่ผู้ใช้รถใช้ถนนและประชาชน

นางสาวไตรศุลี กล่าวว่า ได้กำหนดตัวชี้วัดผลการดำเนินงานที่สำคัญดังนี้คือ จำนวนครั้งการเกิดอุบัติเหตุ จำนวนผู้เสียชีวิต และจำนวนผู้บาดเจ็บลดลงไม่น้อยกว่าร้อยละ 5  เมื่อเทียบกับสถิติในช่วงเทศกาลสงกรานต์เฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปี จำนวนผู้ถูกดำเนินคดีในพฤติกรรมเสี่ยงหลัก เช่น ขับรถเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนด ดื่มแล้วขับ ไม่สวมหมวกนิรภัยและไม่คาดเข็มขัดนิรภัยเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับสถิติในช่วงเทศกาลสงกรานต์เฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปี 

นางสาวไตรศุลี กล่าวว่า สำหรับมาตรการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนประกอบด้วย 5 ด้าน ได้แก่ 1.ด้านการบริหารจัดการ  เช่น จัดตั้งศูนย์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ระดับส่วนกลาง จังหวัด กรุงเทพมหานคร อำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จัดทำประชาคมชุมชนหรือหมู่บ้าน จัดตั้งด่านชุมชน รณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเดินทางท่องเที่ยวอย่างระมัดระวัง 2.ลดปัจจัยเสี่ยงด้านถนนและสภาพแวดล้อม เช่น สำรวจและตรวจสอบถนน จุดเสี่ยง จุดอันตราย จุดที่เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง และดำเนินการปรับปรุงแก้ไขให้มีความปลอดภัย กำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาบริเวณจุดตัดทางรถไฟ 

3.ลดปัจจัยเสี่ยงด้านยานพาหนะ เช่น กำกับดูแล ควบคุม รถโดยสารทุกประเภทให้ถือปฏิบัติตามระเบียบ กฎหมาย อย่างเคร่งครัด  ขอความร่วมมือผู้ประกอบการขนส่งด้วยรถบรรทุกหยุดประกอบกิจการในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 4.ด้านผู้ใช้รถใช้ถนนอย่างปลอดภัย เช่น การบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ทั้งการขับรถเร็ว ดื่มแล้วขับ การเสพยาเสพติดหรือของมึนเมา ขับรถย้อนศร  และดำเนินการตามมาตรการตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์อย่างเข้มข้น 5.ด้านการช่วยเหลือหลังเกิดอุบัติเหตุ เช่น จัดเตรียมความพร้อมของโรงพยาบาล แพทย์ พยาบาล และหน่วยบริการการแพทย์ฉุกเฉิน จัดเตรียมความพร้อมของหน่วยกู้ชีพและกู้ภัย

ครม. ทุ่มงบกลาง 726 ล้านบาทเศษ ฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐาน ที่เสียหายจากอุทกภัย 4 จังหวัดภาคใต้

เมื่อวันที่ 7 เมษายน นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ว่า อนุมัติการขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2564 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน 726.25 ล้านบาท  เพื่อฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้จำนวน 4 จังหวัด จำนวน 14 รายการ แยกเป็นในส่วนของกรมทางหลวงจำนวน  539.50 ล้านบาท และกรมทางหลวงชนบท จำนวน 186.75 ล้านบาท ซึ่งระหว่างวันที่ 4-16 มกราคม 2564 ได้เกิดเหตุอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ 4 จังหวัดได้แก่  จังหวัดนราธิวาส  ปัตตานี  ยะลา และสงขลา ส่งผลให้ทางหลวงแผ่นดินและทางหลวงชนบทได้รับความเสียหาย สร้างความเดือดร้อนต่อประชาชนผู้ใช้เส้นทาง รวมทั้งส่งผลกระทบต่อการคมนาคมขนส่งและระบบโลจิสติกส์

ครม. ไฟเขียว แก้พ.ร.บ.เครื่องสำอาง เพื่อความรวดเร็ว ในการอนุญาต หวัง เพิ่มศักยภาพการแข่งขัน ภูมิภาคอาเซียน-การค้าโลก

วันที่ 7 เมษายน นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ว่า เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ)เครื่องสำอาง ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพ.ร.บ.เครื่องสำอางพ.ศ.2558 เกี่ยวกับกระบวนการพิจารณาเครื่องสำอาง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการพิจารณาอนุญาตเครื่องสำอางให้เหมาะสมและรวดเร็ว ซึ่งกำหนดให้ผู้เชี่ยวชาญ องค์กรผู้เชี่ยวชาญ หน่วยงานของรัฐหรือองค์กรเอกชน ทั้งในประเทศและต่างประเทศทำหน้าที่ในการประเมิน การตรวจวิเคราะห์ และตรวจสอบทางวิชาการ เพื่อให้สอดคล้องกับความรู้และเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยผู้ยื่นคำขอเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ

นางสาวไตรศุลี กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขรายงานว่า  การผลิตเครื่องสำอางเพื่อขาย หรือการนำเข้าเครื่องสำอาง มีกระบวนการพิจารณาอนุญาตที่ซ้ำซ้อน และกำหนดให้ผู้ประกอบการต้องขอให้ตรวจสถานที่ เพื่อขอหนังสือรับรองประกอบการส่งออก  ซึ่งปัจจุบันเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านเครื่องสำอางพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ประกอบการเพิ่มมากขึ้นส่งผลให้การดำเนินการเกิดความล่าช้า จึงต้องเสนอแก้ไขเพิ่มเติมกระบวนการพิจารณาอนุญาตเครื่องสำอางดังกล่าว ซึ่งจะช่วยรองรับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ เพิ่มศักยภาพในการแข่งขันทางธุรกิจผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและสุขภาพ ทั้งในระดับภูมิภาคอาเซียนและระดับการค้าโลก

ครม.ไฟเขียว โครงการอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดีและย่านนวัตกรรมโยธี วงเงิน 11,629 ล้านบาท

เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2564 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ครม.เห็นชอบหลักการโครงการอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดีและย่านนวัตกรรมโยธี กรอบวงเงิน 11,629.65 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ 6 ปี (2565-2570) เป็นเงินงบประมาณจำนวน 7,764.00 ล้านบาท และ เงินนอกงบประมาณ จำนวน 3,865.65 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดีอาคารใหม่ ทดแทนอาคารเดิมที่ใช้งานมากว่า 50 ปี รวมทั้งขับเคลื่อนความร่วมมือย่านนวัตกรรมโยธี เชื่อมโยงสถาบันทางการแพทย์เป็นเครือข่ายที่จะใช้ทรัพยากรร่วมกันให้เกิดประโยชน์สูงสุด 

โดยโครงการดังกล่าวฯเป็นการก่อสร้างอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดีอาคารใหม่ จำนวน 4 อาคาร ในที่ดิน 16 ไร่ 3 งาน 30 ตารางวา ด้านหน้าขององค์การเภสัชกรรมที่ตั้งอยู่ตรงข้ามคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี  รวมพื้นที่ก่อสร้างทั้งสิ้น 275,000 ตารางเมตร ประกอบด้วย 1.อาคารโรงพยาบาลมีความสูง 28 ชั้น ชั้นใต้ดิน 2 ชั้น พื้นที่ 191,000 ตารางเมตร ให้บริการสุขภาพแก่ประชาชนทั่วไป ได้แก่ พื้นที่สำหรับหน่วยเวชระเบียน ประชาสัมพันธ์ แผนกพยาธิวิทยา แผนกรังสีวิทยา นิติเวชวิทยา แผนกผ่าตัด หน่วยตรวจผู้ป่วยนอก หอผู้ป่วยในสามัญ หอผู้ป่วยพิเศษ และหอผู้ป่วยวิกฤตรวมมีขนาดประมาณ 800 เตียง และเป็นพื้นที่ย่านนวัตกรรมโยธี ประกอบด้วย ศูนย์พัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์(MIND CENTER: Medical Innovations Development Center)  Co Working Space ที่สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบตามความเหมาะสมของการใช้งาน Clinical research center  สำหรับการบริหารจัดการการทำวิจัยทางคลินิก และสำนักงานบริหารจัดการ (Administrative office) 

2.อาคารสาธารณูปโภคสูง 4 ชั้น พื้นที่ 8,000 ตารางเมตร เป็นพื้นที่สนับสนุนการให้บริการสุขภาพ ได้แก่ ฝ่ายสารสนเทศ ฝ่ายโภชนาการ หน่วยปลอดเชื้อ และงานผ้า

3.อาคารจอดรถสูง 10 ชั้น พื้นที่ 40,000 ตารางเมตร จอดรถได้ประมาณ 1,200 คัน

4.อาคารสำนักงานสูง 10 ชั้น (อาคาร Buffer) พื้นที่ 36,000 ตารางเมตร รองรับพื้นที่ใช้สอยเดิมขององค์การเภสัชกรรม ได้แก่ สำนักงาน สหกรณ์ออมทรัพย์ พื้นที่สวัสดิการต่าง ๆ และอื่น ๆ ก่อนย้ายออกไปใช้พื้นที่ใหม่ที่จังหวัดปทุมธานีในปี 2573

“การสร้างย่านนวัตกรรมโยธี Yothi medical Innovation District : YMID) สอดคล้องกับแนวคิดพัฒนาการบริการทางการแพทย์สู่อุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคต โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับคุณภาพการบริหารด้านสาธารณสุขและสุขภาพให้เข้าสู่ระดับสากล แข่งขันได้  มุ่งสู่ความเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ ในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งเป็นไปตามนโยบายที่ทุกรัฐบาลได้ผลักดันไว้

"ณัฐชา" จี้ รบ.เร่งจัดหาและกระจายวัคซีนป้องกันโควิด-19 ชี้ ต้องจัดการปัญหาที่ต้นเหตุ ไม่ใช่แก้ที่ปลายเหตุด้วยการสั่งปิดสถานบันเทิง

เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2564 นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กทม. ในฐานะโฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอก 3 ว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดครั้งนี้ ส่งผลต่อปากท้องความเป็นอยู่ของประชาชนโดยตรง ซึ่งเป็นระยะเวลา 1 ปีเต็มที่ประชาชนต้องแบกรับผลกระทบด้านเศรษฐกิจโดยไม่ได้รับการดูแลและเยียวยาอย่างทันท่วงทีและครบถ้วนจากรัฐบาล แน่นอนว่าเมื่อมีการแพร่ระบาดระลอก 3 แล้ว การระบาดระลอก 4-5 ก็ตามมาเช่นกัน คำถามคือ รัฐบาลเตรียมรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นไว้อย่างไรบ้าง 

นายณัฐชา กล่าวต่อว่า การจัดลำดับการฉีดวัคซีน รัฐบาลควรฉีดให้ผู้ทำงานที่มีกลุ่มเสี่ยง อย่างแรงงานและผู้ประกอบการกลางคืนเป็นอันดับเเรก เพื่อเป็นการป้องกันเเละแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุด แต่สิ่งที่รัฐบาลกระทำอยู่ คือให้ประชาชนรอความพร้อมของวัคซีนไปเรื่อยๆ จะมาเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น จะกระจายฉีดได้แค่ไหนก็แค่นั้น ไม่มีความตื่นตัวและเย็นชาต่อความเดือดร้อน แต่ที่เลวร้ายที่สุด คือ มักกล่าวโทษประชาชนอย่างสม่ำเสมอโดยไม่เคยดูพฤติกรรมของตนเองหรือรัฐมนตรีรอบข้างเลย นอกจากนี้ ยังไม่เคยเห็นการเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ระบาดในครั้งใหม่ที่พร้อมจะแรงขึ้นได้ตลอดเวลา รัฐบาลควรมีวิสัยทัศน์ในการไปมองไปข้างหน้าเพื่อแก้ไขปัญหาจากต้นตอมากกว่านี้ ไม่ใช่เมื่อเกิดเหตุทีก็กลับไปจัดการปัญหาที่ปลายเหตุ เพื่อให้ดูเหมือนว่าบริหารจัดการสถานการณ์แล้ว เช่น การสั่งปิดสถานบันเทิงโดยไม่เตรียมมาตรการเยียวยารองรับ ในภาวะเศรษฐกิจที่กำลังจะฟื้นตัวและผู้ประกอบการกำลังลืมตาอ้าปาก การสั่งแบบเหมารวมให้หยุดดำเนินธุรกิจย่อมส่งผลกระทบต่อครอบครัวของพวกเขาอีกหลายชีวิต การกระทำเช่นนี้เป็นการผลักภาระให้ประชาชน โดยไม่เคยหามาตรการในการเเก้ไขปัญหาปัญหาอย่างตรงจุดหรือชดเชยให้ประชาชนเเม้สักนิดเดียว 

“สิ่งที่เกิดขึ้นสะท้อนต่อการบริหารจัดการของภาครัฐเเละกระทรวงสาธารณสุข ในการบริหารจัดการวัคซีนล่าช้าจนส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตประชาชน เช่น ในพื้นที่เขตบางขุนเทียน มีประชาชนอีกหลายชีวิตที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน เเต่พวกเขายังต้องหาเลี้ยงครอบครัวไปพร้อมกับการปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุข สิ่งสำคัญที่สุด คือ รัฐควรมีมาตรการกระจายวัคซีนอย่างทั่วถึง เพื่อคืนชีวิตปกติให้กลับมาโดยเร็วและลดการกระจายความเสี่ยงในการเเพร่ระบาดของไวรัสโควิด” นายณัฐชา กล่าว

นายณัฐชา กล่าวอีกว่า ขอเรียกร้องไปยังรัฐบาลเเละนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีเเละรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เร่งการจัดหาวัคซีนและกระจายวัคซีนให้ประชาชนโดยเร็วที่สุด อีกทั้งควรจัดลำดับความสำคัญต่อการฉีดวัคซีนให้บุคลากรทางการเเพทย์อย่างครบถ้วน เพราะพวกเขาเปรียบเสมือนด่านหน้าในการรับมือโควิด นอกจากนี้ ผู้ประกอบการสถานบันเทิงเเละบุคลากรที่ทำงานกลางคืน หรือบุคลากรในภาคท่องเที่ยวก็ควรได้รับวัคซีนเป็นอันดับต้น ๆ เพื่อวางฐานรากในการฟื้นฟูภาคเศรษฐกิจเเละปากท้องของประชาชนให้คืนกลับมาได้โดยเร็ว 

รมว.แรงงาน เผยครม.เห็นชอบขยายเวลาตรวจโควิด-19  และตรวจอัตลักษณ์เพิ่ม 2 เดือน

ครม.มีมติเห็นชอบตามที่ กระทรวงแรงงาน เสนอขยายเวลาดำเนินการตรวจหาโรคโควิด-19 และจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล (Biometrics) ถึงวันที่ 16 มิ.ย. 64 

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากการประเมินสถานการณ์แรงงานต่างด้าวของที่ประชุมคบต. พบบางส่วนอาจไม่สามารถดำเนินการตรวจหาโรคโควิด-19 และจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล (Biometrics) ได้ทันกำหนดภายในวันที่ 16 เมษายน 64 ดังนั้น เพื่อให้คนต่างด้าวสามารถอยู่ในราชอาณาจักรและทำงานได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย นายจ้าง/สถานประกอบการมีแรงงานในการขับเคลื่อนกิจการได้ต่อไป  โดยคนต่างด้าวดังกล่าวก็อยู่ในการกำกับดูแลของหน่วยงานภาครัฐ สามารถบริหารจัดการความเสี่ยงของการแพร่ระบาดโควิด - 19 รวมถึงบริหารจัดการคนต่างด้าวที่ลักลอบอยู่ในราชอาณาจักรอย่างมีประสิทธิภาพ  ครม.จึงมีมติเห็นชอบให้แรงงานต่างด้าวตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2563 ประกอบกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2564  ขยายระยะเวลาดำเนินการตรวจโควิด - 19 และจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล (Biometrics) จากเดิมภายในวันที่ 16  เมษายน 64 เป็นวันที่ 16 มิถุนายน 64  และในส่วนขั้นตอนอื่นให้ดำเนินการตามแนวทางที่กำหนดเดิม

ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร รองปลัดกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ณ วันที่ 5 เม.ย. 64  พบว่ามีคนต่างด้าวที่ผ่านการตรวจโควิด - 19 และขึ้นทะเบียนประกันสุขภาพแล้วประมาณ 170,000 คน และมีคนต่างด้าวที่ผ่านการจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล (Biometrics) แล้วประมาณ 422,000 คน จากคนต่างด้าวลงทะเบียนทั้งสิ้น จำนวน 654,864คน ซึ่งประเมินสถานการณ์แล้วว่าไม่สามารถดำเนินการทันตามระยะเวลาที่กำหนด อย่างไรก็ตาม ต่อจากนี้ขอให้นายจ้าง/สถานประกอบการพาคนต่างด้าว นัดหมายเข้ารับการตรวจคัดกรองโควิด – 19 และซื้อประกันสุขภาพกับสถานพยาบาลของรัฐ  พร้อมทั้งดำเนินการจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล (Biometrics) กับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ให้เสร็จสิ้นตามกำหนด เนื่องจากจะไม่มีการผ่อนผันเพื่อขยายเวลาดำเนินการอีกต่อไป ทั้งนี้เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการ กรมการจัดหางานจะตรวจสอบ และดำเนินคดีอย่างจริงจัง 

“สำหรับผู้ต้องการสอบถามขั้นตอนขอรับใบอนุญาตทำงานของคนต่างด้าว ติดต่อได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 หรือที่ไลน์ @Service_Workpermit หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร. 1694 ซึ่งมีการจัดล่ามในภาษากัมพูชา เมียนมา และอังกฤษ ให้บริการข้อมูลข่าวสาร และแนะนำวิธีการดำเนินการ” นายไพโรจน์ฯ กล่าว

‘บิ๊กตู่’ยันแก้ปัญหาหนี้รถไฟฟ้าสายสีเขียว ยึดประโยชน์ ปชช.เป็นหลัก ‘วอน’ทุกส่วนร่วมมือแก้ อย่าทะเลาะขัดแย้ง จับผิดจนเดินต่อไม่ได้ ‘เผย’ขั้นตอนเหลือเพียงนำเข้า ครม.พิจารณา

วันที่ 7 เมษายน 2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) กรณีครบกำหนด 60 วัน ที่บีทีเอสทวงหนี้เดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย  ที่กทม.ติดค้างไว้เป็นจำนวนเงินกว่า 30,000 ล้านบาท รัฐบาลได้พิจารณาเรื่องนี้อย่างไร ว่า ตนทราบถึงความเดือดร้อน ซึ่งตนเอาความเดือดร้อนของประชาชนเป็นหลักในการพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป ขณะนี้ขั้นตอนเหลือเพียงนำเข้าครม.เพื่อพิจารณา และจะไปสู่เรื่องของการเจรจาที่มีการพูดคุยหารือมาบ้างแล้ว เพราะฉะนั้นอันนี้เป็นสิ่งที่ตนต้องคำนึงถึงที่สุด คือความเดือดร้อนของประชาชน ความต้องการของประชาชน เพราะฉะนั้นรัฐก็ต้องแก้ไข ทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องตรงนี้ก็ช่วยกันแก้ไข หลาย ๆ เรื่องบางทีปัญหาเกิดมาซับซ้อนหลายอย่างด้วยกัน เราก็ต้องมาแก้ เมื่อแก้ก็มีปัญหาอื่นตามมาด้วยเสมอ รัฐบาลก็จำเป็นต้องแก้ให้ถูกต้อง ไม่ให้เป็นปัญหาต่อรัฐบาลในอนาคตด้วย 

ก็ขอความร่วมมือกับภาคเอกชน ธุรกิจต่างๆด้วย ว่าจะทำอย่างไรให้สามารถเดินได้โดยเร็ว แล้วบรรเทาความเดือดร้อนประชาชน และราคาต้นทุนที่มันไม่สูงเกินไปนัก มันก็เดินได้หมด ถ้าทุกคนจะเอาคนละอย่างสองอย่าง แล้วมันหารือกันไม่ได้ ตกลงกันไม่ได้มันก็เดินไม่ได้ ทั้งที่เรามีความพร้อมที่จะเปิดเดินรถอยู่แล้ว และบางระยะเปิดให้บริการไปแล้วแต่ไม่ได้เก็บค่าโดยสาร นั่นคือสิ่งที่ประชาชนได้รับประโยชน์แล้วส่วนหนึ่ง ดังนั้น สิ่งใหม่คือต้องหาวิธีการที่เหมาะสม ถ้ามัวแต่ทะเลาะกัน ขัดแย้งกัน จับผิดจับถูกกันอยู่แบบนี้มันก็ไปไม่ได้สักอย่าง ขอฝากไว้ด้วยแล้วกัน รัฐบาลจะทำให้ดีที่สุด โดยคำนึงถึงผู้ได้รับประโยชน์คือประชาชนในทุก ๆ เรื่อง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top