Wednesday, 7 May 2025
POLITICS NEWS

ทบ.เริ่มทยอยฉีดวัคซีนให้กำลังพลปฏิบัติงานกองกำลังชายแดน 5,361 นาย ตั้งแต่ มี.ค.แล้ว เหตุภารกิจด่านหน้าเสี่ยงต่อการสัมผัสโรคสูง

วันที่ 5 เมษายน 2564 ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก กล่าวว่า กองกำลังชายแดนยังคงดำรงภารกิจในการสนับสนุนการป้องกันการแพร่ระบาดของ COVID -19 ด้วยการช่วยคัดกรองโรค ณ จุดผ่านแดน การสกัดกั้นการลักลอบเมืองโดยผิดกฎหมายไม่ผ่านการคัดกรองโรค ด้วยการเฝ้าตรวจ ลาดตระเวน การติดตั้งเครื่องกีดขวางในพื้นที่ชายแดน รวมถึงการใช้เครื่องมือพิเศษในการเฝ้าตรวจ ซึ่งเป็นการทำงานที่มีความเสี่ยงต่อการสัมผัสโรค เพราะถือเป็นด่านหน้าหากตรวจพบผู้ลักลอบเข้าเมือง และเพื่อเป็นการให้กองกำลังชายแดนได้ปฏิบัติงานด้วยความปลอดภัย มีภูมิคุ้มกัน และเป็นไปตามมาตรการของสาธารณสุขในการป้องกันเจ้าหน้าที่หน้าด่าน ซึ่งมีความเสี่ยงสูงในการสัมผัสโรค ล่าสุดกระทรวงสาธารณสุขได้จัดสรรวัคซีนให้กับกำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่บริเวณแนวชายแดนไทย – เมียนมา จำนวน 5,361 นาย ซึ่งได้เริ่มฉีดให้กับกำลังพลที่ปฏิบัติงานใน กองกำลังนเรศวร, กองกำลังผาเมือง, กองกำลังสุรสีห์ และกองกำลังเทพสตรี ในห้วงเดือน มีนาคมที่ผ่านมา 

พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้การทำงานในพื้นที่ชายแดนซึ่งถือเป็นด่านหน้าในการป้องกัน COVID-19  ด้วย จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่กำลังพลจะต้องได้รับวัคซีน COVID ซึ่งขณะนี้ทางกรมแพทย์ทหารบกได้ประสานกับทางกระทรวงสาธารณสุข เพื่อดูแลให้กำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดนได้รับวัคซีนอย่างครบถ้วน สำหรับในภาพรวมของกองทัพบก กำลังพลที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ต่างๆ ได้รับการฉีดวัคซีน รวม 3,625 นาย  จำแนกเป็น บุคลากรทางการแพทย์ 1,830 นาย, สถานที่กักกันโรค 20 นาย, กองกำลังป้องกันชายแดน 567 นาย, พื้นที่ควบคุมสูงสุด (จ.สมุทรสาคร) 1,187 นาย และ พื้นที่เฝ้าระวัง 21 นาย

ทบ. จัดตรวจเลือกทหาร 1-20 เม.ย.นี้ ย้ำระบบสมัครใจ-คัดเลือก เผยเพิ่มโอกาสต่อยอดสู่ทหารอาชีพ สร้างแรงจูงใจให้คนสมัครเป็นทหาร ปลื้มภาพรวม4วันเรียบร้อย

วันที่ 5 เมษายน 2564 ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก กล่าวว่า ขณะนี้กองทัพบกอยู่ในระหว่างดำเนินการตรวจเลือกทหารประจำปี 2564 ระหว่าง 1 – 20 เมษายน 64 ภายใต้มาตรการป้องกัน COVID-19 ทั้งเรื่องสถานที่คณะกรรมการการตรวจเลือกจำกัดจำนวนผู้เข้ารับการตรวจเลือกโดยได้รับความร่วมมือจากทั้งฝ่ายปกครองของแต่ละจังหวัดและสาธารณสุข การตรวจเลือกฯ ผ่านมา 4 วันแล้วภาพรวมได้รับความร่วมมืออย่างดีจากชายไทยที่อยู่ในเกณฑ์เข้ารับการตรวจเลือกกองทัพบกขอขอบคุณชายไทยที่ได้ทำหน้าที่ของตนเองตามที่กฎหมายกำหนดและขอเชิญชวนสำหรับผู้ที่มีความพร้อมสมัครเป็นทหารกองประจำการในวันที่เข้ารับการตรวจเลือก

พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ กล่าวต่อว่า สำหรับนักศึกษาที่มีวันสอบของสถานศึกษาตรงกับวันที่เข้ารับการตรวจเลือกในปีนี้กองทัพบกได้อำนวยความสะดวกให้ เพราะถือว่ามีเหตุจำเป็นสุดวิสัย ขอให้ไปรายงานตัวกับสัสดีอำเภอ/เขต ตั้งแต่ 21 เมษายน -15 พฤษภาคม 64 และต้องเข้ารับการตรวจเลือกในปีถัดไป ล่าสุดในการตรวจเลือกฯ วันที่ 1-4 เมษายน 64 ที่ผ่านมา มีผู้ที่สมัครใจเป็นทหารกองประจำการถึง 11,834 คน ทั้งนี้ผู้บัญชาการทหารบกได้กำชับให้หน่วยงานที่ดำเนินการตรวจเลือกทหารกองประจำการอำนวยความสะดวกให้ผู้เข้ารับการตรวจเลือกตามขั้นตอนของทางราชการ โดยเฉพาะการเชิญชวนให้สมัคร ทำให้เกิดทัศนคติที่ดีต่อการเป็นทหาร

พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตามการคัดเลือกทหารกองประจำการในปีนี้จากนโยบายของกระทรวงกลาโหมที่มุ่งพัฒนาการตรวจเลือกทหารไปสู่ระบบทหารกองประจำการอาสาทดแทนการเรียกเกณฑ์ให้เป็นรูปธรรมในอนาคต ซึ่งกองทัพบกได้นำนโยบายดังกล่าวมาสู่การปฏิบัติ โดยเมื่อช่วง ก.พ.- มี.ค. ได้เปิดรับสมัครทหารกองเกินอายุ 18-20 และ 22-29 ปี เป็นทหารกองประจำการด้วยระบบออนไลน์ มีผู้สมัครและผ่านคุณสมบัติ จำนวน 3,220 คน และที่ผ่านมาก็รณรงค์ ประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้มีการสมัครเป็นทหารกองประจำการ  

เน้นการให้โอกาสต่อยอดสู่ทหารอาชีพโดยในปี 2564 กองทัพบกได้ปรับเพิ่ม พลทหารเป็นนักเรียนนายสิบสูงถึง 80% จากเดิม 50% และมีการเพิ่มคะแนนพิเศษให้กับทหารกองประจำการในการสอบเป็นข้าราชการของกองทัพบกการปรับและพัฒนาแนวทางการรับทหารกองประจำการดังกล่าว จะช่วยให้การตรวจเลือกที่ดำเนินการมาในลักษณะแบบผสมผสาน คือการรับสมัครและการคัดเลือกนำไปสู่การตรวจเลือกทหารโดยสมัครใจอย่างเต็มรูปแบบ การให้โอกาสต่อยอดสู่ทหารอาชีพที่กองทัพบกได้ดำเนินการในห้วง2ปีที่ผ่านมาได้รับการตอบรับทั้งจากทหารกองประจำการและประชาชน ถือเป็นการสร้างแรงจูงใจให้คนอยากเป็นทหารมากขึ้น             

ทบ.เข้มกฎเหล็กห้ามกำลังพลยุ่งการเมือง ยกคำสั่ง 388 / 2563 ขู่ หากฝืนตั้งกก.สอบฟันวินัย-อาญา จับตา “ม็อบจตุพร”

วันที่ 5 เมษายน 2564 ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พล.ท.สันติพงศ์ ธรรมปิยะ โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงกรณีการชุมนุมของนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำนปช.ประกาศชุมนุมต่อเนื่องว่า กองทัพบกมีระเบียบวินัยสำหรับกำลังพล โดยกองทัพบกได้ออกคำสั่งที่ 388 / 2563 ที่กำหนดไว้ว่ากำลังพลสามารถทำอะไรได้หรือไม่ได้บ้าง รวมถึงการโพชส์ข้อความตามโซเชียลต่างๆ เรามีข้อห้ามชัดเจนและหากกำลังพลกระทำผิด กองทัพบกก็ต้องตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนหากพบว่ามีความผิดก็ต้องได้รับโทษ หากเป็นความผิดทางวินัยก็ดำเนินการตามขั้นตอน แต่ถ้าไปเกี่ยวข้องกับคดีอาญาก็ต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ขณะนี้ทหารทำได้เพียงการติดตามข้อมูลข่าวสารการชุมนุมเท่านั้น ยืนยันว่าการชุมนุมเป็นสิทธิของประชาชนที่สามารถทำได้ หากไม่ขัดต่อกฎหมาย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ผ่านมากรมกำลังพลทหารบกได้ออกคำสั่งได้ออกข้อควรปฏิบัติและข้อไม่ควรปฏิบัติของกำลังพลสังกัดกองทัพบกโดยอ้างอิงจาก1.ข้อบังคับกระทรวงกลาโหมว่าด้วยข้าราชการกลาโหมกับการเมืองพ.ศ 2499 2. คําสั่งกองทัพบกที่ 388 / 2563 ลง 9 ก.ย.2563 เรื่องแนวทางการดำเนินการต่อกำลังพลที่กระทำผิดและหาก ผู้ใดฝ่าฝืนข้อบังคับกระทรวงกลาโหมและคำสั่งกองทัพบกถือว่ามีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาทหารมาตรา 33 ,11 และ 32 ตามแต่กรณี ทั้งนี้ กองทัพบก ได้ทำโปสเตอร์ติดภายในพื้นที่กองบัญชาการกองทัพบก โดยระบุ สิ่งที่กำลังพลสามารถทำได้ดังนี้ 1.การสมัครเข้าเป็นสมาชิกในพรรคการเมืองใดต้องรายงานให้ผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นจนถึงผู้บัญชาการทหารบกทราบ 2. การเข้าร่วมประชุมทางการเมืองในฐานะส่วนตัวได้แต่ต้องไม่สวมเครื่องแบบและไม่ใช้ในเวลาราชการ 3. ปฏิบัติราชการในหน้าที่ด้วยการวางตนเป็นกลางโดยไม่มุ่งหวังประโยชน์ของพรรคการเมืองใดโดยเฉพาะแต่ทั้งนี้ต้องปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาล 4. ลงคะแนนเสียง/ แสดงความคิดเห็นส่วนตัวต่อผู้ลงสมัครได้5. การแสดงความคิดเห็นทางการเมืองสามารถกระทำได้โดยไม่แต่งเครื่องแบบและไม่ใช้เวลาราชการทั้งนี้ในการเข้าร่วมประชุมในที่สาธารณะนั้นต้องเป็นไปอย่างสงบ

ส่วนสิ่งที่กำลังพลไม่สามารถกระทำได้ มีดังนี้1. ไม่กระทำการใดๆอันมีลักษณะพาดพิง ส่อเสียด ล้อเลียน สถาบัน รัฐบาล และผู้บังคับบัญชา 2. ไม่แต่งเครื่องแบบหรือชุดอื่นใดรวมถึงใช้ตราสัญลักษณ์ที่สื่อถึงความเป็นทหารเข้าร่วมประชุมกับพรรคการเมืองหรือไปร่วมชุมนุมในที่สาธารณะอันเป็นการประชุมที่มีลักษณะทางการเมือง 3. ไม่ประดับเครื่องหมายหรือแต่งเครื่องแบบของพรรคการเมืองเข้าไปในสถานที่ราชการ 4. ไม่บังคับผู้อยู่ในบังคับบัญชา ทั้งโดย ตรงหรือโดยปริยายให้เป็นสมาชิกในพรรคการเมืองใดและไม่กระทำการในทางให้คุณหรือให้โทษ 5. ไม่แทรกแซงในทางการเมืองหรือใช้การเมืองเป็นเครื่องมือเพื่อการทำกิจการต่างๆ 6. ไม่แสดงออกโดยตรงหรือโดยปริยายที่จะเป็นการช่วยเหลือสนับสนุนผู้สมัครรับเลือกตั้งในระยะเวลา ที่มีการสมัครรับเลือกตั้ง 7. ไม่โพสต์ข้อความทางการเมืองในเวลาราชการในสถานที่ราชการหรือใช้คอมพิวเตอร์ของราชการรวมถึงห้ามใช้ account ของราชการร่วมกิจกรรมทางการเมืองบนสื่อสังคมออนไลน์

“บิ๊กบี้” สั่งห้ามอาวุธ-ยุทโธปกรณ์เข้าออกชายแดน เชื่อไทยไม่โดนลูกหลง หลังเมียนมาสงบศึกชั่วคราว หยุดยิง 1 เดือน มั่นใจ กกล.ชายแดนตะวันตกเอาอยู่

วันที่ 5 เมษายน 2564 ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พล.ท.สันติพงศ์ ธรรมปิยะ โฆษกกองทัพบก แถลงภายหลังการประชุมหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก (นขต.ทบ.) ถึงการดูแลชายแดนไทย-เมียนมาว่า ช่วงวันที่ 26 - 27 มีนาคม 64 เกิดการสู้รบในประเทศเมียนมาใกล้ชายแดนไทยตรงข้าม อ.แม่สะเรียง และอ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน ซึ่งมีสภาพภูมิประเทศเป็นป่าภูเขา มีแม่น้ำสาละวินเป็นเส้นเขตแดนเป็นระยะทางประมาณ 118 กิโลเมตร สามารถใช้เรือโดยสารสัญจรข้ามไปมาได้ จากสถานการณ์ดังกล่าวทำให้ประชาชนชาวเมียนมา ซึ่งเป็นผู้หนีภัยความไม่สงบชาวเมียนมาตามแนวชายแดนเดินทางข้ามแม่น้ำสาละวินมายังฝั่งประเทศไทยรวมกันเป็นกลุ่มบริเวณพื้นที่ริมแม่น้ำสาละวินฝั่งไทยใน ต.แม่คง อ.แม่สะเรียง จำนวน 2,788 คน 

ทางกองกำลังป้องกันชายแดน กองกำลังนเรศวร โดยหน่วยเฉพาะกิจทหารพรานที่ 36 ได้ดำเนินการอำนวยความสะดวก เพื่อมนุษยธรรม ในพื้นที่พักรอ ภายใต้มาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่อาจจะมีผลกระทบต่อประเทศไทยด้วยมาตรการสูงสุด และการชี้แจงให้เข้าใจสถานการณ์ ต่อมาตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม ที่ผ่านมา มีประชาชนชาวเมียนมาได้เริ่มเดินทางกลับ หลังรับทราบสถานการณ์ จากการทำความเข้าใจกันและเดินทางกลับโดยสมัครใจ

พล.ท.สันติพงศ์ กล่าวว่า ทั้งนี้พื้นที่สู้รบที่อยู่ในความดูแลของไทยช่วง 40 กว่าปีที่ผ่านมา ไทยได้ดูแลประชาชนชาวเมียนมาตลอด โดยมีพื้นที่พักพิงชั่วคราวสำหรับผู้หนี้ภัยการสู้รบจากเมียนมาจำนวน 9 จุด ตั้งแต่จ.ตาก แม่ฮ่องสอน กาญจนบุรี และราชบุรี มีประชาชนเมียนมา 78,126 คน หรือ 21,221 ครัวเรือน บางเป็นที่เป็นผู้หนีภัยจากการสู้รบ 38,856 คน ผู้อาศัย 39,270 คน ในสถานการณ์ปัจจุบันพื้นที่ที่เกิดการสู้รบระหว่างเมียนมากับชนกลุ่มน้อยที่เป็นพื้นที่ที่มีเขาสูงทั้งฝั่งไทยและเมียนมา สถานการณ์ที่เกิดขึ้นตามที่เป็นข่าวหากจากชายแดนประมาณ 20-30 กิโลเมตร  และห่างจากพื้นที่ ที่มีประชาชนของทั้งสองประเทศข้ามไปมาประมาณ 35-40 กิโลเมตร 

ลักษณะภูมิประเทศเป็นพื้นที่สูงและเป็นแนวชายแดนในปกติกำลังทางทหารในประเทศใดก็ตาม หากจะใช้กำลังในพื้นที่ที่ติดกันประเทศนั้นๆจะต้องระมัดระวังในการใช้ยุทโธปกรณ์ โดยเฉพาะการใช้เครื่องบินหรืออากาศยานโจมตีต้องอยู่ให้ห่างจากชายแดน จะใช้อาวุธยิงก็ต้องระมัดระวังเพื่อไม่ให้ล้ำเขตแดนกัน โดยเฉพาะพื้นที่เขาสูง เชื่อได้ว่าตลอดแนวชายแดนแม่น้ำสาละวินค่อนข้างปลอดภัยทั้งฝั่งไทยและเมียนมา ส่วนสถานการณ์ที่มีประชาชนของเพื่อนบ้านบาดเจ็บ เราก็ทำหน้าที่ตามมนุษยธรรม โดยรับมาดูแลและส่งไปที่โรงพยาบาล

“นี่คือสิ่งที่กองกำลังชายแดนดำเนินการอยู่ ส่วนกรณีการค้าขายอาวุธยุทโธปกรณ์ตามแนวชายแดนถือเป็นหลักการที่เราไม่ให้เกิดขึ้น ซึ่งเราไม่ยอมอยู่แล้วในทุกเรื่อง ผบ.ทบ.ได้กำชับไม่ให้มียุทโธปกรณ์ผ่านเข้าออกตามแนวชายแดนอย่างเด็ดขาด แต่ที่ผ่านมามีการตรวจสอบการส่งกระสุนวัตถุระเบิดทางบริษัทของเอกชน ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมได้และดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป” พล.ท.สันติพงศ์ กล่าว

พล.ท.สันติพงศ์ กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตามผบ.ทบ.มีความเป็นห่วงชายแดนไทยเมียนมา โดยจะเห็นว่าเมื่อสองเดือนที่ผ่านมาผบ.ทบ.ให้ความสำคัญกับพื้นที่ภาคตะวันตกที่ติดกับฝั่งเมียนมา ห่วงใยความปลอดภัยของคนไทยเป็นที่สุด อีกทั้งสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19  เนื่องจากประเทศเพื่อนบ้านและทิศใต้มีการแพร่ระบาดอย่างหนัก จึงให้ความสำคัญกับกองกำลังแนวชายแดนในการตรวจ และสกัดรวมทั้งสร้างมาตรการอื่นๆให้เกิดความปลอดภัยมากที่สุด จึงให้ความมั่นใจได้ว่ากองกำลังป้องกันชายแดน โดยเฉพาะฝั่งตะวันตกมีประสิทธิภาพในการทำงาน

เมื่อถามว่า การใช้อากาศยานโจมตีต้องมีระยะห่างจากชายแดนฝั่งประเทศไทยเท่าไหร่ พล.ท.สันติพงศ์ กล่าวว่า ตนไม่ขอตอบ แต่ทุกประเทศต้องระมัดระวังในการปฏิบัติการตามแนวชายแดน เพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนต่อเส้นเขตแดน ทั้งในส่วนด้านตะวันตกที่เป็นแม่น้ำสาละวินและแม่น้ำเมย ซึ่งตามสนธิสัญญาถือเป็นแม่น้ำกลาง สองประเทศสามารถใช้ร่วมกันได้ แต่ถ้าข้ามไปฝั่งใดก็ถือเป็นสิทธิและอธิปไตยของประเทศนั้นที่ไม่ก้าวล่วงกัน ทหารฝั่งไทยหรือฝั่งของเมียนมาจะไม่ข้ามไปอีกฝั่งของลำน้ำ เราเคารพสิทธิซึ่งกันและกัน

เมื่อถามว่า โอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุการใช้อากาศยานของเมียนมาข้ามมาฝั่งไทยจนเกิดผลกระทบจะไม่เกิดขึ้นใช่หรือไม่ พล.ท.สันติพงศ์ กล่าวว่า เป็นข้อระมัดระวังของกองกำลังป้องกันชายแดนของทุกประเทศอยู่แล้ว ที่จะพยายามไม่ให้เกิดสิ่งนี้

เมื่อถามว่า ผบ.ทบ.ได้ให้แนวทางกับกองกำลังชายแดนอย่างไร หากการใช้อาวุธในฝั่งเมียนมาข้ามเข้ามาฝั่งไทย พล.ท.สันติพงศ์ กล่าวว่า เชื่อว่าสถานการณ์น่าจะยังอีกไกล เพราะทางรัฐบาลเมียนมาประกาศหยุดยิง 1 เดือน สถานการณ์ในเมียนมาคงจะมีความเรียบร้อย

มือโพสต์หมิ่นประมาท ‘บิ๊กตู่’ ดอดพบ ตำรวจนางเลิ้ง สารภาพผิด ขอนายกฯ เมตตาไม่เอาความ รับปากไม่ทำอีกเด็ดขาด ตำรวจจับปรับ 2 พัน ทนายเผย นายกฯ ใจดีปล่อยผีแค่รายนี้ พบใครโพสต์หมิ่นฯ อีกเอาเรื่องถึงที่สุด

จากกรณีที่ นายอภิวัฒน์ ขันทอง กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะทนายความประจำสำนักกฎหมาย อ.อัมพร ณ ตะกั่วทุ่ง และเพื่อน ได้รับมอบอำนาจจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ดำเนินคดีแก่ผู้เผยแพร่ข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี และการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ผ่านโซเชียลเน็คเวิร์ก นั้น

เมื่อวันที่ 4 เม.ย. น.ส.โชติกา ชนิดาประดับ ผู้ต้องหาในคดีดูหมิ่นโดยการโฆษณาต่อ พล.อ.ประยุทธ์ ได้เข้าพบพนักงานสอบสวน สน.นางเลิ้ง ภายหลังได้ถูกแจ้งดำเนินคดีจากโพสต์ข้อความลงในเพจเฟซบุ๊ก ชื่อ โชติกา ชนิดาประดับ ซึ่งเป็นเพจเฟซบุ๊กสาธารณะ บุคคลทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ ได้โพสต์ด่าทอนายกฯ เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. ด้วยข้อความว่า “ประยุทธ์ก็แค่เป็นสัตว์เลื้อยคลานตัวนึง”

โดยรายงานประจำวันของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ระบุว่า ข้อความดังกล่าวเป็นการนำไปเปรียบเทียบกับสัตว์เลื้อยคลาน ซึ่งเป็นสัตว์ที่บุคคลทั่วไปมองว่าเป็นชั้นต่ำ มีพฤติกรรมต่ำ เลวทราม เป็นคนไม่ดี ทำให้ได้รับความเสียหาย อย่างไรก็ตาม น.ส.โชติกา ได้ให้การรับสารภาพ และได้กล่าวขอโทษ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ได้กระทำล่วงเกิน พร้อมยืนยันจะไม่กระทำการดูหมิ่นเช่นนี้อีก เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ รับทราบ จึงได้ให้อภัยไม่ติดใจเอาความต่อ

“หนูขอโทษท่านนายกฯ ที่เคยว่ากล่าวว่าร้ายไม่ดีต่อท่านนายกฯในเฟซบุ๊ก ตอนนี้หนูสำนึกผิดแล้ว หนูขอความเมตตาท่านนายกฯด้วย ต่อไปหนูจะไม่ทำแบบนี้อีก” น.ส.โชติกา กล่าวในระหว่างบันทึกคลิปเพื่อเป็นหลักฐานในการสำนึกผิด

ทั้งนี้ พ.ต.ท.อิทธิธร ดอนนันชัย รอง ผกก.สอบสวน สน.นางเลิ้ง ได้ทำการสอบสวนพิจารณาแล้วเห็นว่า น.ส.โชติกา ได้กระทำความผิดจริง และให้การรับสารภาพ ซึ่งได้ทำการเปรียบเทียบปรับเป็นเงินจำนวน 2,000 บาท และ น.ส.โชติกา ได้ชำระค่าปรับแล้ว คดีอาญาเป็นอันยุติ

ด้าน นายอภิวัฒน์ ในฐานะทนายความนายกฯ ระบุว่า คดีนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ให้อภัย น.ส.โชติกา เพราะเห็นว่ายอมรับผิด และได้ขออภัยแล้ว แต่หลังจากนี้ หากมีการกระทำผิดอีก นายกฯจะดำเนินการคดีให้ถึงที่สุดทุกราย เพราะถือว่ามีตัวอย่างให้เห็นแล้ว หากเกิดการกระทำความผิดอีก ถือว่ามีเจตนา ซึ่งต้องได้รับการลงโทษตามกฎหมาย

“หลังจากนี้ นายกฯจะไม่ยอมความใครทั้งสิ้น หากใครทำผิดก็ต้องต่อสู้คดีในชั้นศาล เพราะถือว่าเป็นการกระทำผิดทางอาญา ต้องได้รับโทษตามที่กฎหมายกำหนด ไม่ใช่เปรียบเทียบปรับ 2,000 เหมือนในกรณีนี้” นายอภิวัฒน์ กล่าว


ที่มา : https://mgronline.com/politics/detail/9640000032235

"วรวุฒิ" รองหัวหน้าพรรคกล้า นำผู้ประกอบการ SMEs ส่งหนังสือร้องนายกฯ ช่วยเหลือ ถูก สสว.ฟ้องร้อง หลังเข้าร่วมโครงการลงทุน แต่ถูกทวงหนี้ ไม่เป็นไปตามเงื่อนไข

นายวรวุฒิ อุ่นใจ รองหัวหน้าพรรคกล้า นำตัวแทนผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม กว่า 40 ราย ที่ได้รับผลกระทบจากการเข้าร่วมโครงการ "5,000 ล้าน หุ้นส่วนใหม่ธุรกิจไทย" ของสํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาด กลางและขนาดย่อม หรือ สสว. ยื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการ สสว. ผ่านนายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี โดยโครงการเริ่มตั้งแต่ปี 2547 มีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับความสามารถการแข่งขันของธุรกิจไทย ผ่านการระดมทุนที่ปลอดภาระดอกเบี้ยจ่าย พร้อมระบบที่ปรึกษาให้คําแนะนําพัฒนาธุรกิจให้เติบโตจนสามารถเข้าจดทะเบียนและระดมทุนจากตลาดหลักทรัพย์

แต่ภายหลังอันเนื่องมาจากปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ ความขัดแย้งทางการเมือง รวมถึงปัจจัยด้านอื่นๆ ทำให้ไม่มีบริษัทใดพัฒนาจนเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ได้ ขณะที่ สสว. ทยอยฟ้องบริษัทที่เข้าร่วมสัญญา โดยเรียกค่าเสียหายพร้อมเบี้ยปรับในอัตราร้อยละ 15 ทั้งที่บริษัทเหล่านี้เข้าใจว่าเป็นการลงทุนลักษณะหุ้นส่วนแบ่งปันผลประโยชน์ ได้รับความเสี่ยงร่วมกันตามเงื่อนไขในโบรชัวร์ แต่กลับโดนฟ้องเหมือนกับการกู้เงิน 

รองหัวหน้าพรรคกล้า กล่าวว่า แนวทางที่ดีที่สุดคือ ควรตั้งคณะกรรมการชุดพิเศษ เปิดให้มีการทำความเข้าใจและหาทางออกร่วมกันระหว่างผู้ประกอบการและ สสว. ชะลอการใช้มาตรการฟ้องร้องทางกฎหมายไว้ ส่วน ระยะยาว  เสนอให้ตั้งสภาเอสเอ็มอี เพื่อเป็นหน่วยงานกลางประสานความต้องการของผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และกํากับดูแลการใช้งบประมาณที่เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือสนับสนุนการประกอบกิจการของผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมต่อไป 

"ในรายละเอียดเป็นสัญญาการร่วมทุน แต่พอผ่านระยะเวลามา 10 ปี ผู้ประกอบการกลับถูกฟ้องร้องในฐานะการกู้เงิน เป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ประกอบการหลายรายเดือนร้อน เนื่องจากดอกเบี้ยท่วมเงินต้นไป 2-3 เท่า หากสุดท้ายก็ลงเอยด้วยการฟ้องร้อง รัฐเองก็จะไม่ได้เงิน เพราะผู้ประกอบการก็จะถูกฟ้องล้มละลายไป ส่วนผู้ประกอบการเองสิ้นเนื้อประดาตัวเช่นกัน ดังนั้นรัฐกับผู้ประกอบการควรหาทางเจรจากัน พร้อมย้ำว่าผู้ประกอบการที่มาวันนี้ ทุกรายอยากจะชำระเงิน ไม่มีใครอยากเบี้ยวหนี้ แต่อยากมีให้พูดคุยเงื่อนไขการชำระเงินให้ถูกต้อง" นายวรวุฒิ กล่าว 

นายเสกสกล กล่าวว่า จะให้เจ้าหน้าที่สำนักปลัดนายกรัฐมนตรี จะทำรายงานส่งถึงนายกรัฐมนตรีเพื่อทราบ พร้อมจะเชิญผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบ ตัวแทนบอร์ด สสว. มาประชุมหารือหาทางออกร่วมกัน เพื่อให้เป็นไปตามข้อเรียกร้องของผู้ประกอบการ คาดว่า จะนัดประชุมได้หลังช่วงวันหยุดยาวสงกรานต์ แล้วเมื่อได้ข้อสรุปร่วมกัน ก็จะนำรายงานต่อนายกรัฐมนตรีในฐานะประธาน สสว. เพื่อดำเนินการแก้ปัญหา

“สุชาติ” ย้ำขอให้นายจ้างจัดให้ลูกจ้างหยุดงาน ในวันที่ 12 เมษายน เป็นวันหยุดเพิ่มเติมช่วงเทศกาลสงกรานต์

สุชาติ ชมกลิ่น รมว.รง. ย้ำขอความร่วมมือนายจ้างเจ้าของสถานประกอบกิจการจัดให้ลูกจ้างได้หยุดงานในวันที่ 12 เมษายน 2564 เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวการบริโภคสินค้าในประเทศตามนโยบายรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ

สุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2563 กำหนดให้วันจันทร์ที่ 12 เมษายน 2564 เป็นวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษ  ซึ่งจะทำให้มีวันหยุดต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 10 – 15 เมษายน 2564 รวม 6 วัน นั้น จุดประสงค์เพื่อให้ประชาชนได้เดินทางกลับไปเยี่ยมครอบครัว ณ ภูมิลำเนาของตัวเองและร่วมกิจกรรมตามประเพณีนิยมที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาในช่วงเทศกาลสงกรานต์ และเพื่อการส่งเสริมการท่องเที่ยวและบริโภคสินค้าภายในประเทศมากขึ้น

ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศตามนโยบายของรัฐบาล จึงได้มอบหมายให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานออกประกาศขอความร่วมมือนายจ้างเจ้าของสถานประกอบกิจการกำหนดให้วันดังกล่าวเป็นวันหยุดให้ลูกจ้างเพิ่มเติมด้วย ทั้งนี้ในการเดินทางกลับภูมิลำเนาขอให้ลูกจ้าง ผู้ใช้แรงงาน และประชาชนทั่วไปเดินทางด้วยความปลอดภัย ปฏิบัติตัวตามชีวิตวิถีใหม่ และแนวปฏิบัติในการป้องกันโรคตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด โดยให้หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรค COVID-19

นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวเพิ่มเติมว่า กสร.ได้ประกาศ ขอความร่วมมือสถานประกอบกิจการจัดให้ลูกจ้างได้หยุดงานเป็นกรณีพิเศษ ในวันจันทร์ที่ 12 เมษายน 2564 เพื่อให้สอดรับกับนโยบายของรัฐบาลที่กำหนดให้เป็นวันหยุดราชการ ทั้งนี้ สถานประกอบกิจการส่วนใหญ่ประกาศให้เป็นวันหยุดตามประเพณีเพิ่มเติมเพื่อให้ลูกจ้างได้มีวันหยุดต่อเนื่องสามารถเดินทางกลับภูมิลำเนามีเวลาพักผ่อนและใช้ชีวิตกับครอบครัวอย่างเพียงพอ สิ่งสำคัญในการเดินทางประการหนึ่งขอให้ลูกจ้างและนายจ้างใช้ความระมัดระวังในการขับขี่ยานพาหนะ  ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขณะเดินทาง รวมทั้งขอให้วางแผนการเดินทางไปและกลับเพื่อความสะดวกและปลอดภัย

“บิ๊กป้อม” ปัด ส่ง “ธรรมนัส” คุมเลือกตั้งผู้ว่ากทม. พร้อมหนุน ‘จักรทิพย์’ โว 5 ปี นั่งผบ.ตร.ทำเพื่อประชาชนมาตลอด

เมื่อเวลา 09.50 น. วันที่ 5 เม.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์กรณีที่มีข่าวว่าพล.อ.ประวิตร มอบหมายให้ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ คุมการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.และให้ส.ส.และส.ก.สนับสนุนพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีตผบ.ตร.ในการสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่ากทม. ว่า ไม่มี ตนไม่ได้พูด ยืนยันว่าพรรคพปชร.ไม่ส่งผู้สมัครในนามพรรคแน่นอน แต่จะสนับสนุนใครเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่สามารถทำได้

ผู้สื่อข่าวถามว่าบุคคลที่พรรคสนับสนุน คือ พล.ต.อ. จักรทิพย์ ใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ก็ยังไม่รู้ เมื่อถามย้ำว่าพล.ต.อ.จักรทิพย์ ระบุว่าพล.อ.ประวิตร แนะนำว่าถ้ายังไม่ทำอะไรให้มาลงสมัครผู้ว่าฯ กทม. พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่รู้ ต้องไปถามพล.ต.อ.จักรทิพย์ ส่วนตัวถ้าเขาจะลงก็ดี เพราะตั้งใจทำงาน เป็นผบ.ตร.มาตั้ง 5 ปี ทำงานให้กับประชาชนมาตลอด ก็ไม่มีอะไร เมื่อถามว่าการสนับสนุน พล.ต.อ. จักรทิพย์ ลงสมัครเพื่อเป็นนอมินีให้กับพรรคพปชร.หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เดี๋ยวดูก่อน

ผู้สื่อข่าวถามถึงกระแสข่าวปัญหาภายในของพรรคพปชร. ที่มีการแบ่งกลุ่ม 4 ว และกลุ่ม 4 ช เพื่อชิงเก้าอี้เลขาธิการพรรค พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่มี ๆ ส่วนจะมีการประชุมกรรมการบริหารพรรคเมื่อไหร่ เดี๋ยวบอกก็รู้เอง

เมื่อถามว่าจะเปลี่ยนตัวเลขาธิการพรรค ตามที่เป็นข่าวหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ยังไม่รู้แล้วแต่สมาชิกพรรค

“อนุทิน” เผย ไม่มี “การเมือง” แทรกแซง ” หมอพร้อม” ย้ำ สธ.ใจกว้าง พร้อมฟังทุกข้อเสนอแนะ

จากกรณีที่มีข่อสงสัยกันว่า แพลทฟอร์ม "หมอพร้อม" กำลังถูกฝ่ายการเมืองแทรกแซง ล่าสุด เมื่อวันที่ 5 เมษายน ที่ กระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ให้สัมภาษณ์ในประเด็นดังกล่าว ว่า 

เรื่องสุขภาพประชาชนเป็นเรื่องสำคัญมาก รัฐบาลใส่ใจเรื่องนี้ และที่ผ่านมา ทุกฝ่ายช่วยกันทำ ช่วยกันคิด และตัดสินใจบนหลักวิชาการเป็นสำคัญ ไม่มีใครเอาการเมืองเข้ามาเกี่ยวแน่นอน และในอนาคต ก็ไม่คิดว่า ใครจะเอาการเมือง เข้ามามีอิทธิพลต่อการตัดสินใจ เช่นกัน 

ขอย้ำว่า แพลทฟอร์มหมอพร้อม เป็นระบบข้อมูล เพื่อให้บริการประชาชน ซึ่งดำเนินการโดยกระทรวงสาธารณสุข ที่รับผิดชอบเรื่องสุขภาพของประชาชน และในช่วงการระบาดของโควิด-19 ก็ทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แพลทฟอร์มข้างต้น มีไลน์ หมอพร้อม และ แอพฯหมอพร้อม เดิมทีไลน์บัญชี  “หมอพร้อม” มีหน้าที่ส่งข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวกับโควิด-19 ให้กับประชาชน ต่อมาในระยะที่ประเทศไทยมีวัคซีนป้องกันโควิด-19 ทางกระทรวงสาธารณสุข จึงเห็นว่าควรให้เป็นช่องทางสื่อสาร ให้ประชาชนได้ใช้ไลน์แอพฯ ตรงนี้ อำนวยความสะดวกในการจองวัคซีน ไปจนถึงมีการบันทึกใบรับรองกรณีได้รับวัคซีนครบ

“ปัญหาคือ มีประชาชนจำนวนมากโหลดไลน์หมอพร้อมไปใช้ และได้เข้าไปจองวัคซีน โควิด-19 แต่ไม่มีรายชื่อ และเกิดความสงสัยขึ้น บางคนสงสัยว่าระบบมีปัญหา แต่ความเป็นจริงคือ ปัจจุบันนี้ อยู่ในช่วงของการให้วัคซีนระยะแรก เป็นการให้บริการวัคซีนแก่กลุ่มเป้าหมายที่กำหนดเท่านั้น เพื่อประคองระบบสาธารณสุข กลุ่มเป้าหมายดังกล่าว เช่น แพทย์ พยาบาล คนทำงานด่านหน้า ไปจนถึงประชาชนที่หากได้รับเชื้อ จะมีความเสี่ยงเสียชีวิตมากกว่าคนทั่วไป เป็นต้น

ดังนั้น ใครที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มนี้ จึงไม่มีรายชื่อ แต่ขอย้ำว่า จากนี้ เมื่อวัคซีนมีมากขึ้น การให้บริการจะอยู่ในแผนระยะต่อ ๆ ซึ่งประชาชน จะสามารถจองใช้บริการ มีรายชื่อปรากฏ และได้รับวัคซีนแน่นอน”

ที่ผ่านมา มีความพยายามให้หน่วยงานอื่นเข้ามาช่วยบรรเทางาน ซึ่งทางกระทรวงฯสาธารณสุข และตน ยินดี รับการสนับสนุนอยู่แล้ว หากจะทำให้การบริการเป็นประโยชน์แก่ประชาชนสูงสุด และไม่คิดว่านี่จะเป็นการแทรกแซง แต่เป็นเรื่องของการช่วยเหลือกันมากกว่า

นายอนุทิน กล่าวว่า ส่วนข้อกังวลสำหรับประชาชนที่ไม่มีโทรศัพท์สมาร์ทโฟน ได้วางแผนรองรับส่วนนี้ไว้แล้ว ให้ประชาชนสามารถติดต่อโดยตรงไปยังโรงพยาบาลที่ได้รักษาตัวประจำ และอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน(อสม.) จะทำการสำรวจประชากรและความต้องการรับวัคซีน เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงวัคซีนได้ครอบคลุม

“ณัฐวุฒิ” ยังกั๊กร่วมม็อบ “จตุพร-เยาวชน” หรือไม่ ขอดูสถานการณ์ เสนอสร้างจุดร่วมเรียกร้องอิสรภาพคนหนุ่มสาวที่ถูกขัง ไม่ห่วงเรื่องตำแหน่ง ชมหนุ่มสาวไม่มีตำแหน่งก็มีพลังในตัวเอง พร้อมสวมกอดให้กำลังใจแม่ “เพนกวิน-ไมค์”

วันที่ 5 เมษายน 2564 ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เดินทางมาตามที่ศาลนัดพร้อมคู่ความคดี นปช. ชุมนุมเมื่อปี 2552 ขับไล่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โดยภายหลังเข้าร่วมการพิจารณาแล้ว นายณัฐวุฒิ เปิดเผยว่า วันนี้นัดพร้อมฝ่ายโจทก์-จำเลย ซึ่งมีการสืบพยานกันมาระยะหนึ่งแล้ว แต่นัดหมายเดิมถูกยกเลิก เนื่องจากสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ศาลจึงนัดพร้อมคู่ความเพื่อกำหนดวันนัดหมายใหม่ จำเลยหลายท่านได้ขอศาลพิจารณาลับหลัง จึงไม่ต้องมาศาล แต่ตนมาทุกนัด เพราะก่อนหน้านี้ถูกคุมขังในเรือนจำต้องเบิกตัวมา จึงไม่ได้ทำเรื่องขอพิจารณาลับหลังไว้

ผู้สื่อข่าวถามความเห็นต่อการชุมนุมของกลุ่มสามัคคีประชาชนเมื่อวานนี้ (4 เมษายน) ที่มีนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ร่วมนำ นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ตนเคารพทุกการเคลื่อนไหวการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เวทีเมื่อคืนนี้ประกาศเป้าหมายขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ให้พ้นจากอำนาจ เป็นเรื่องที่ผู้รักประชาธิปไตยเรียกร้องมาตลอดอยู่แล้ว ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ จะพ้นจากอำนาจก็เป็นคุณูปการต่อประเทศชาติและประชาชน และถ้ามีการชุมนุมต่อเนื่องก็ต้องติดตามกันต่อไป 

อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตถึงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น คือการรวมตัวกันของแกนนำทุกฝ่าย ผู้รักประชาธิปไตยที่มาแสดงตัว น่าจะเป็นการรวมตัวกันภายใต้เป้าหมายเฉพาะหน้าทางการเมือง คือ ขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ ยังไม่เห็นรูปธรรมของการรวมตัวกันเชิงอุดมการณ์ ทั้งในระดับแกนนำ ผู้ปราศรัย ประชาชนผู้ชุมนุม คงจะไปคาดหวังรวบรัดเอาเร็วคงลำบาก เพราะเพิ่งเริ่มกันวันแรก ยังมีนัดหมายวันต่อไป ต้องดูพัฒนาการตรงนี้ว่าจะมีความชัดเจนเรื่องการหลอมรวมทางอุดมการณ์ได้มากน้อยแค่ไหนอย่างไร ตนมองได้ 2 แบบ อาจจะเติบโตขยายตัวเป็นการชุมนุมขนาดใหญ่ได้อย่างรวดเร็ว เพราะเป้าหมายสอดคล้องกับความต้องการของผู้คน หรืออาจจะมีความแตกต่างกันทางอุดมการณ์ เนื้อหาสาระ จนทำให้ความเคลื่อนไหวก้าวเดินได้ไม่เร็วนัก

ถามว่าต้องใช้เวลาดูแค่ไหน ในการตัดสินใจเข้าร่วมหรือไม่ นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ตนยังไม่ได้ตัดสินใจไปถึงตรงนั้น สถานการณ์การเมืองวันนี้มีความแหลมคม ซับซ้อน เมื่อปรากฏความเคลื่อนไหวตนต้องติดตามใกล้ชิดอยู่แล้ว คงจะดูสถานการณ์ด้านอื่นรวมกันไปด้วย เวทีนี้ปรากฏขึ้นใหม่ ในขณะเดียวกันการต่อสู้ของกลุ่มเดิมคือนิสิต นักศึกษา เยาวชน มวลชนที่ขับเคลื่อนก็ยังทำหน้าที่อยู่ นัดหมายชุมนุมเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง สองส่วนนี้ถึงที่สุดจะมีพัฒนาการอย่างไร แม้เวทีเมื่อคืนมีเป้าหมายชัดขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ ตนไม่ขัดข้องอยู่แล้ว แต่สิ่งที่น่าจะเป็นจุดร่วมกันได้ คือการเรียกร้องอิสรภาพให้กับเยาวชนคนหนุ่มสาวที่ถูกจองจำอยู่เวลานี้ และจะถูกจองจำในอนาคตอันใกล้ จากคดีความที่แต่ละคนแบกรับกันหลายสิบคดี น่าจะถูกขับเน้นให้ชัดในทุกเวทีที่มีการเคลื่อนไหวทางการเมือง

เมื่อถามถึงโอกาสที่นายณัฐวุฒิจะไปเคลื่อนไหวร่วมกับเยาวชน นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ยังคงติดตามสถานการณ์อยู่ ตนเพิ่งออกมาได้ไม่กี่วัน ช่วงเวลาที่เราต่อสู้อย่างเข้มข้นผ่านมาเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว ดังนั้นแต่ละก้าวเดินต้องรอบคอบ รัดกุม เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับพัฒนาการของประชาธิปไตยในประเทศไทย จุดยืนตนยืนยันชัดไปแล้ว ส่วนที่จะก้าวเดินก็ให้เวลา สถานการณ์เป็นตัวกำหนด

ถามต่อถึงกรณีนายจตุพรจะยกตำแหน่งประธาน นปช.ให้ หากร่วมกับเยาวชน นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า เป็นท่าทีของนายจตุพร ตนก็รับทราบ แต่การเคลื่อนไหวทางการเมืองหรือการแสดงจุดยืนทางการเมืองของตน คงไม่เกี่ยวกับตำแหน่งแห่งที่ในองค์กรไหน ไม่สัมพันธ์กับการมีหรือไม่มีตำแหน่งใดๆ ในการต่อสู้ทางการเมืองไม่ได้อยู่ที่ใครมีตำแหน่งไหนแล้วจะขับเคลื่อนได้มากได้น้อย มันอยู่ที่เราจะเดินไปทิศทางใด แล้วประชาชนจะให้ความเชื่อมั่นอย่างไร ต้องพิสูจน์ทราบโดยการกระทำ กาลเวลา มีสถานการณ์ให้พิสูจน์ตัวตนได้ตลอดทางจนกว่าจะแตกดับหรือยุติการต่อสู้

นายณัฐวุฒิ กล่าวด้วยว่า ยกตัวอย่างครั้งหนึ่งที่เมียนมาก็ยกอองซานซูจีเป็นจิตวิญญาณการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เมื่อชนะเลือกตั้งก็ถูกตั้งคำถามอย่างหนักเรื่องสิทธิมนุษยชน จนกระทั่งถูกยกเลิกรางวัลสำคัญระดับโลก วันหนึ่งมีการรัฐประหาร อองซานซูจีก็กลับมาเป็นสัญลักษณ์การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอีกครั้ง ระบอบประชาธิปไตยงดงามตรงนี้ ทุกคนทุกฝ่ายเดินหน้าไปในฐานะประชาชน คนที่มีหลักการเดียวกัน ทำได้หมด เยาวชนคนหนุ่มสาวนำพาการต่อสู้มาขนาดนี้ ไม่มีใครมีตำแหน่งอะไรก็ยังมีพลังในตัวเอง

เมื่อถามถึงวันครบรอบเหตุการณ์สลายชุมนุม นปช. เมื่อวันที่ 10 เมษายน และ 19 พฤษภาคม 2553 ในปีนี้จะมีกิจกรรมอะไรเป็นพิเศษหรือไม่ นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า เราทำมาทุกปี มากน้อยในรูปแบบไหนอย่างไร เราก็ทำมา ปีนี้กำลังหารือกำหนดรูปแบบอยู่ เราไม่สามารถลืมเหตุการณ์นี้ได้ ต้องการให้คนทั้งประเทศและทั่วโลกได้รับทราบ จดจำพูดถึงเหตุการณ์นี้ คนที่บาดเจ็บล้มตายจากเหตุการณ์ยังไม่ได้รับความยุติธรรม คดียังไม่ถึงศาล รายละเอียดถ้ามีความชัดเจนคงจะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังนายณัฐวุฒิให้สัมภาษณ์เสร็จ ปรากฏว่านางสุรีย์รัตน์ ชิวารักษ์ มารดาของนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน และนางยุพิน จาดนอก มารดาของนายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือไมค์ สองแกนนำกลุ่มราษฎร ที่เดินทางมายื่นประกันตัวบุตรชาย ได้เดินลงมาบริเวณบันไดหน้าศาลพอดี นายณัฐวุฒิจึงเข้าไปสวมกอดทักทายให้กำลังใจมารดาของแกนนำทั้งสอง โดยขอให้สู้ ๆ และหวังว่าบุตรชายจะได้ออกจากเรือนจำโดยเร็ว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top