Wednesday, 7 May 2025
POLITICS NEWS

“ศรีสุวรรณ” จี้! บิ๊กตู่ เปิดใช้มอเตอร์เวย์โคราช ทั้งที่ค้างจ่ายค่าเวนคืนชาวบ้าน ขู่ ร้อง ป.ป.ช.

นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า ตามที่นายกรัฐมนตรีได้โพสต์เฟซบุ๊กแจ้งว่าได้สั่งการเพิ่มเติม ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคมเร่งรัดจัดการมอเตอร์เวย์บางปะอิน - โคราช เพื่อให้อย่างน้อยเราสามารถเปิดเส้นทางบางช่วงให้ประชาชนใช้สัญจรได้ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่กำลังจะมาถึง ซึ่งจะช่วยบรรเทาความหนาแน่นของการจราจร และอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนได้ในช่วงเทศกาลที่มีประชาชนจำนวนมากออกเดินทางกลับภูมิลำเนา หรือเดินทางไปท่องเที่ยว

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า ความห่วงใยของนายกฯ ต่อการเดินทางของประชาชนเป็นเรื่องที่ดี แต่ท่านจะทราบหรือไม่ว่า นับตั้งแต่ท่านนายกฯใช้อำนาจออก พรฎ. เวนคืนที่ดินฯเพื่อก่อสร้างเส้นทางดังกล่าวมาแล้ว 2 ครั้งคือ ตั้งแต่ 26 เมษายน 2556 และ 31 พฤษภาคม 2560 จวบจนปัจจุบันกว่า 9 ปีแล้ว กรมทางหลวงและหรือกระทรวงคมนาคม ยังจ่ายค่าเวนคืนที่ดินให้กับชาวบ้านยังไม่หมดและยังไม่ครบเลย ทั้ง ๆ ที่ชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่ขัดขืน ไม่นำคดีไปฟ้องร้องต่อศาลปกครองแต่อย่างใด แต่จนบัดนี้เขาเหล่านั้นก็ยังไม่ได้รับเงินค่าเวนคืนเลย ถือได้ว่าเป็นการทำงานที่เช้าชามเย็นชามที่ชุ่ยมาก

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า การที่นายกฯพยายามจะสร้างภาพโดยสั่งการให้เร่งเปิดใช้มอเตอร์เวย์สายดังกล่าวในบางช่วงในข่วงเทศกาลสงกรานต์นี้นั้น ถือเป็นการเยอะเย้ยดูหมิ่นเจ้าของที่ดินและหรืออสังหาริมทรัพย์ที่ยังไม่ได้รับเงินค่าเวนคืนโดยตรง และไม่มีความละอายใจในการใช้อำนาจดังกล่าวเลย ความรู้สึกของเจ้าของที่ดินเขาจะคิดอย่างไร เมื่อที่ดินของตนถูกรัฐใช้อำนาจทางกฎหมายยึดไปสร้างมอเตอร์เวย์ให้คนใช้ ให้นายทุนมาประมูลเก็บเงิน แต่ตนเองยังไม่ได้รับเงินค่าเวนคืนเลย และต้องไร้ที่ดินทำกิน จะหาที่ดินใหม่มาทำกินก็ไม่ได้เพราะไม่มีเงิน และราคาที่ดินก็แพงขึ้นทุกวัน เงินค่าเวนคืนก็ไม่รู้จะได้เมื่อไหร่


 

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทยจึงทำหนังสือร้องไปยังนายกรัฐมนตรี กับรมว.คมนาคม และอธิบดีกรมทางหลวง ให้เร่งเคลียร์เงิน จ่ายเงินให้กับเจ้าของที่ดินเสีย ก่อนที่จะเปิดใช้บางส่วนในช่วงสงกรานต์นี้ ไม่เช่นนั้นสมาคมฯและชาวบ้านคงต้องนำความไปร้องเรียนต่อ ป.ป.ช.หรือฟ้องศาลปกครองเพื่อระงับการเปิดใช้เส้นทางดังกล่าวไว้พรางก่อน จนกว่าจะจ่ายเงินให้กับชาวบ้านเสียก่อน 

ศาลปกครอง เพิกถอนคำสั่ง ‘คลัง’ เรียกเงิน ‘ยิ่งลักษณ์’ จ่ายชดเชยทุจริตจำนำข้าวจำนวน 3.5 หมื่นล้าน ระบุ เป็นการทุจริตในระดับปฏิบัติ มีหลายส่วนราชการเกี่ยวข้อง

ศาลปกครองกลางพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งกระทรวงการคลังที่ให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จ่ายค่าชดเชยสินไหมในโครงการรับจำนำข้าว เนื่องจากเห็นว่าคำสั่งของกระทรวงการคลังเป็นคำสั่งมิชอบ เนื่องจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่ใช่บุคคลเพียงคนเดียวที่มีอำนาจสั่งการ แต่เป็นการดำเนินการผ่านคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) และคณะรัฐมนตรี (ครม.) อีกทั้งยังมีส่วนราชการอื่นๆที่ร่วมพิจารณาด้วย

ศาลฯ ได้รวมพิจารณา 4 คดีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และ นายอนุสรณ์ อมรฉัตร สามี ยื่นฟ้อง นายกรัฐมนตรี, รมว.คลัง, รมช.คลัง, ปลัดกระทรวงการคลัง, สำนักนายกรัฐมนตรี, กระทรวงคลัง, กรมบังคับคดี, อธิบดีกรมบังคับคดี และเจ้าพนักงานบังคับคดี สำนักงานบังคับคดีแพ่งกรุงเทพมหานคร

เนื่องจากถูกเรียกให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน 3.57 หมื่นล้านบาท จากการทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีและประธาน กขช. ปล่อยให้มีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว และเพิกเฉยไม่ระงับยับยังความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ทางราชการ

โดยศาลพิจารณาแล้ว แม้ฟังได้ว่ามีการทุจริตเกิดขึ้น การตรวจสอบคุณสมบัติเกษตรกร การลักลอบนำเข้าข้าวจากต่างประเทศมาสวมสิทธิ การเก็บรักษาที่ไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งการทุจริตดังกล่าวเกิดขึ้นในระดับปฎิบัติการที่มีเจ้าหน้าที่หลายคนเกี่ยวข้อง แต่การสอบสวนของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดกลับไม่ได้มีการดำเนินสอบสวนให้ได้ว่าเจ้าหน้าที่คนใดควรต้องรับผิดเป็นจำนวนเท่าใดจากการทุจริต

อีกทั้ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี รับรู้เฉพาะขั้นตอนการทำเอ็มโอยูเพื่อให้มีการซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ แต่ในส่วนการทำสัญญาระบายข้าวไม่ได้เกี่ยวข้อง ส่วนการเป็นประธาน กขช.ก็เข้าประชุมครั้งแรกเพียงครั้งเดียว และมีมาตรการตรวจสอบทุจริตเรื่อยมา จึงไม่ใช่การกระทำที่จงใจปล่อยให้เกิดการทุจริต และไม่ยับยั้งหลังมีหน่วยงานท้วงติง เนื่องจากเป็นการกำกับดูแลของ กขช. ที่มีหลายส่วนราชการ

นอกจากนี้ กระทรวงการคลังรับว่าไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นผู้กระทำให้เกิดความเสียหายโดยตรง และขั้นตอนการตรวจสอบของคณะกรรมการสอบสวนความรับผิดทางละเมิดก็ไม่ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด

ขณะเดียวกัน โครงการรับจำนำเป็นนโยบายสาธารณะที่รัฐบาลแถลงต่อรัฐสภา ไม่ใช่นโยบายแสวงหากำไร จึงไม่สามารถประเมินเรื่องความคุ้มค่าจากผลกำไรขาดทุน การคิดคำนวณความเสียหาย โดยไม่หักรายได้จากการระบายข้าวในอนาคต หรือสินค้าเหลือคงคลัง

ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม ‘สามารถ เจนชัยจิตรวนิช’ เย้ย ‘ปิยะบุตร’ เปรียบดัง ‘มวยไม่มีราคา ม้าไม่มีชั้น’ ไม่ให้ราคา ปมล่า 1 ล้านรายชื่อ รื้อระบอบประยุทธ์ ชี้สุดสงสาร ยิ่งนานวันคนติดตามยิ่งน้อยลง

นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวชื่อ “สามารถ เจนชัยจิตรวนิช” ว่า ตนได้รับข้อมูลจากพ่อแม่พี่น้องประชาชนที่ส่งมาให้กรณี นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ต้องการที่จะล่ารายชื่อ 1 ล้านรายชื่อ เพื่อ "ขอคนละชื่อรื้อระบอบประยุทธ์" ในวันที่ 6 เม.ย.64 โดยตนคิดว่าคนอย่าง นายปิยบุตร เป็นคนไม่มีราคา ไม่มีค่าพอที่จะให้ความสำคัญ และคงไม่มีใครบ้าจี้ไปลงชื่อเพราะกลัวว่าในอนาคตอาจจะต้องเดือดร้อนหรือติดคุกตามไปด้วย

“ทั้งนี้ ผมก็อยากตั้งโต๊ะล่ารายชื่อเพราะมั่นใจว่าจะได้รับเสียงจากประชาชนเพราะทุกวันนี้ก็มีชาวบ้านเสนอมาว่าให้ช่วยบอก นายปิยบุตร ออกนอกประเทศไปเสียที หากมีการตั้งโต๊ะล่ารายชื่อนายปิยบุตรจริง คาดว่าคงมีคนเกือบทั้งประเทศที่จะออกมาลงชื่อขับไล่ นายปิยบุตร ออกนอกประเทศ แต่จริงแล้วไม่มีกฎหมายใดให้อำนาจที่จะขับไล่ใครคนใดออกนอกประเทศจริง มีแต่คนที่ไม่อยากอยู่บ้านไหนก็สามารถเดินทางไปบ้านอื่นได้ ตัวอย่างในต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา หากไม่พอใจกฎหมายรัฐหรือเมืองไหนก็สามารถย้ายถิ่นฐานไปอยู่รัฐอื่นได้”

นายสามารถ เผยอีกว่า นายปิยบุตรก็เช่นเดียวกัน ถ้าไม่พอใจกฎหมายในประเทศไทย ไม่พอใจระบบสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักยิ่งของประชาชนทั้งประเทศ นายปิยบุตรก็ควรเดินทางออกไปนอกประเทศ ไปอยู่ประเทศที่อยากจะอยู่แต่ไม่รู้ว่าประเทศนั้นๆ เขาอยากจะให้ นายปิยบุตร อยู่หรือไม่เพราะกลัวว่าอาจจะไปเผาบ้านเมืองเขาอีก โดยตนขอยกคำโบราณว่า "เกิดเป็นคนต้องรู้จักสำนึกบุญคุณ ชีวิตไม่มีทางมืดมน มีแต่จะรุ่งโรจน์เฟื่องฟู" ที่ยกขึ้นมาก็เพื่อเตือนสติ นายปิยบุตร อีกทั้ง ทุกวันนี้ตนรู้สึกสงสาร นายปิยบุตร เพราะยิ่งนานวัน คนที่เดินตามยิ่งน้อยลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเลือกตั้งเทศบาลหรือท้องถิ่นที่ผ่านมา ทีมของคณะก้าวหน้าก็ได้แค่ 10 เทศบาลเท่านั้นจากทั้งหมด 2,472 แห่ง คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์เสียด้วยซ้ำ

นายสามารถ เผยต่อว่า การที่ นายปิยบุตร จะมาขอรายชื่อไล่ระบอบประยุทธ์นั้น ขอยืนยันว่าประเทศไทยไม่มี “ระบอบประยุทธ์” ประเทศไทยมีแต่ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งคนไทยเทิดทูนไว้เหนือเกล้า เพราะคนไทยรักสถาบันพระมหากษัตริย์ และวันที่ 6 เม.ย. ตรงกับวันจักรี ซึ่งพ่อแม่พี่น้องประชาชนจะรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ และในวันที่1 เม.ย. คือตรงกับวันเลิกทาส สมัยรัชกาลที่ 5 อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านรู้ทัน นายปิยบุตร กันหมดฝากบอกมาว่า “มวยไม่มีราคา ม้าไม่มีชั้น” เหตุจากผลการเลือกตั้งล่าสุดคงจะชัดเจนแล้ว

โฆษกรัฐบาล เผย เตรียมใช้แอปพลิเคชันใหม่ "กระเป๋าสุขภาพ - หมอพร้อม" ให้ ปชช. ลงทะเบียนฉีดวัคซีนโควิด-19 ย้ำ นายกฯหวังคนไทยได้รับวัคซีนไม่น้อยกว่า 60 % เพื่อพร้อมเปิดประเทศได้ปี 65 

วันที่ 2 เมษายน 2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า จากการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. ชุดเล็กที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประธานเมื่อช่วงเช้า ได้มีการพูดถึงการเตรียมความพร้อมให้ประชาชนลงทะเบียนรับวัคซีนที่ขณะนี้ได้ทยอยจัดสรรเข้ามาในประเทศ และได้ทยอยฉีด เพื่อให้ครอบคลุมทุกจังหวัดโดยได้พิจารณาระบบแอปพลิเคชันเพื่อให้ประชาชนลงทะเบียน เพื่อให้เกิดความชัดเจนและกระจายที่ถูกต้อง และเก็บข้อมูลได้ครบถ้วนสมบูรณ์ 

เป็นการต่อยอดจากแอปพลิเคชัน “เป๋าตังค์” มาเป็นแอปพลิเคชันกระเป๋าสุขภาพหรือ "Health wallet” ซึ่งดำเนินการโดยกระทรวงการคลังและธนาคารกรุงไทย พร้อมประสานหน่วยงานของกระทรวงสาธารณสุข จัดทำแอปพลิเคชัน “หมอพร้อม" เพื่อบริหารจัดการลงทะเบียนให้ประชาชนที่ต้องการฉีดวัคซีน โดยจะประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบต่อไป

นายอนุชา กล่าวว่า เรื่องนี้นายกฯ ให้ความสำคัญและเร่งดำเนินการบริหารจัดการให้ประชาชนคนไทยได้รับการฉีดวัคซีนเพื่อจะได้เปิดประเทศอย่างเต็มที่ตามที่ได้เคยพูดกันไว้ โดยนายกฯต้องการให้ประชาชนได้รับการฉีดวัคซีนไม่น้อยกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ในปลายปี 64 จะทำให้เปิดประเทศได้อย่างเป็นทางการได้ต้นปี 65

พท.ชี้! เหตุเข่นฆ่า ปชช.เมียนมา วัดระดับความเป็นมนุษย์ของ "ประยุทธ์" ซัดเลิกหนุนทหารพม่า

วันที่ 2 เมษายน 2564 ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นางสาวอรุณี กาสยานนท์ โฆษกพรรค พท.กล่าวกรณีทหารเมียนมากระทำรุนแรงเข่นฆ่าประชาชนและชาวกะเหรี่ยงไทใหญ่จนบาดเจ็บล้มตาย สร้างความสะเทือนใจให้กับชาวโลกเป็นอย่างมากว่า กะเหรี่ยงที่ยังมีชีวิตรอดนับพันคนหลบหนีเข้ามาในชายแดนไทยหวังรักษาชีวิต แต่กลับถูกกีดกันไม่ให้เข้ามาในพื้นที่ โดยทหารไทยที่บริเวณแม่สามแลบ จ.แม่ฮ่องสอน ที่ตรึงกำลังกั้นแนวชายแดน ห้ามไม่ให้ผู้ลี้ภัยกะเหรี่ยงข้ามแดนเข้ามา ถือเป็นการกระทำที่สวนทางคำพูดที่สวยหรูของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่บอกว่าพร้อมเปิดรับผู้ลี้ภัยและดูแลเต็มที่ 

จึงปฏิเสธได้ยากว่าประเทศไทยไม่ใช่ผู้สมรู้ร่วมคิดการกระทำที่เข้าข่ายอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ การผลักดันคนหนีตายให้กลับไปในแดนสงครามจึงเท่ากับไล่เขาให้ไปตาย ในทางปฏิบัติแม้ประเทศไทยไม่ได้เป็นภาคีในอนุสัญญาผู้ลี้ภัยปี ค.ศ.1951 และไม่มีกฎหมายว่าด้วยผู้ลี้ภัยอย่างเป็นทางการ แต่ไทยเป็นสมาชิกคณะกรรมการบริหารด้านประเด็นผู้ลี้ภัย (Executive Committee : ExCom) ของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ด้านผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) และยังอยู่ในภาคีกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิมนุษยชนอย่างน้อย 7 ฉบับ ดังนั้นรัฐบาลไทยควรปฏิบัติกับชาวกะเหรี่ยงตามหลักสิทธิมนุษยชนสากลเหล่านี้ โดยควรให้ที่พักพิงหรือปัจจัยสี่ตามสมควรแก่การดำรงชีวิตอยู่ หากสถานการณ์สงบลงแล้วจึงควรเนินการส่งผู้ลี้ภัยกลับถิ่นในภายหลัง

นางสาวอรุณี กล่าวต่อว่า ประเทศไทยเป็น 1 ใน 5 ชาติที่มีบทบาทสำคัญในการก่อตั้งประชาคมอาเซียน อีกทั้งยังเคยเป็นประธานอาเซียนมาก่อน แต่ท่าทีของไทยต่อสถานการณ์ในเมียนมาซึ่งเป็นประเทศสมาชิกอาเซียนด้วยกันกลับไม่ชัดเจน แม้กระทั่งในเรื่องมนุษยธรรมขั้นพื้นฐานที่ควรกระทำ ในฐานะที่เป็นมนุษย์คนหนึ่งจึงอยากขอร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์เห็นคุณค่าของชีวิตคนให้เท่ากัน โดยขอให้ดูแลผู้ลี้ภัยจากเมียนมาทันทีภายใต้การดูแลป้องกันการระบาดของโรคโควิด-19 อย่างเข้มข้น และอย่าให้เกิดปัญหาซ้อนปัญหาตามมาภายหลัง สิ่งที่เกิดขึ้นในเมียนมาขณะนี้คือสงคราม เหตุใดเพื่อนบ้านอย่างไทย จึงสนับสนุนอุ้มชูทหาร แต่นิ่งเฉยดูดายกับการเข่นฆ่าประชาชน เหตุการณ์ในครั้งนี้จะเป็นการวัดระดับความเป็นมนุษย์ วัดระดับสติปัญญาและความสามารถในการบริหารจัดการปัญหาระหว่างประเทศของ พล.อ.ประยุทธ์ ได้เป็นอย่างดี

‘โรม’ เดือด เดินหน้าฟ้องหมิ่นฯ ‘สิระ – ชัยยันต์’ กรณีแถลงกล่าวหาใช้เจ้าหน้าที่รัฐคุกคาม ไล่ที่ชาวบ้านเกาะงำ จ.ภูเก็ต เรียกค่าเสียหายทางแพ่ง 50 ล้าน

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 2 เม.ย. ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก นายรังสิมันต์ โรม ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เดินทางมาพร้อมทีมทนายส่วนตัวเพื่อยื่นฟ้อง นายสิระ เจนจาคะ ส.ส. พรรคพลังประชารัฐ และ นายชัยยันต์ ผลสุวรรณ์ ส.ส. ปทุมธานี พรรคเพื่อไทย (พท.) ข้อหาหมิ่นประมาท ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง

นายรังสิมันต์ เปิดเผยว่า วันนี้ตนเดินมาที่ศาลอาญา เพื่อจะมาฟ้องนายสิระ ในฐานะประธาน ในฐานะประธานกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร รวมถึงนายชัยยันต์ เนื่องจากทั้งสองคนได้แถลงข่าวในลักษณะที่พยายามทำให้สังคมเข้าใจว่า ตนมีส่วนเกี่ยวข้องใน การสั่งการให้เจ้าหน้าที่ป่าไม้ จับเด็กไล่ที่ชาวบ้านออกจากที่ดินที่เป็นที่อยู่อาศัยบนเกาะงำ จ.ภูเก็ต การแถลงข่าวดังกล่าวตนขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริง เพราะตนในเวลานั้นเป็น ส.ส. ที่มีอายุงานประมาณ 6 เดือน และเป็น ส.ส. ฝ่ายค้านคงไม่สามารถไปสั่งการให้เจ้าหน้าที่รัฐกระทำการในลักษณะดังกล่าวได้

ดังนั้นการใส่ความดังกล่าวตนเห็นว่าเป็นเรื่องที่หมิ่นประมาททำให้ตนได้รับความเสียหาย จึงขอมาใช้สิทธิ์ทางศาลเป็นการคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา มูลค่าการฟ้องของทางแพ่งจะอยู่ที่ 50 ล้านบาท ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร แต่ก็หวังว่าจะได้รับความเป็นธรรมจากกรณีดังกล่าว

เมื่อถามว่าการแถลงข่าวดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อใด นายรังสิมันต์ กล่าวว่า เกิดขึ้นก่อนช่วงการอภิปรายไม่ไว้วางใจไม่กี่วันเป็นน่าจะเป็นวันที่ วันที่ 8 - 9 ก.พ. ตอนนั้นตนเองก็ได้ยืนยันกับทางสื่อมวลชนโดยมีรูปภาพ ข้อมูล หลักฐานพร้อมที่จะยืนยันได้ว่าตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีดังกล่าวแน่นอน ว่า โดยการชี้แจงของตนก็ชัดเจน เพราะเท่าที่ทราบนายสิระ และนายชัยยันต์ ก็ไม่ได้มีการขยายความต่อมากนัก แต่สิ่งที่ได้ทำไปแล้ว ตนขอใช้สิทธิ์ทางศาลอยู่ดี ไม่เช่นนั้นก็จะมีกรณีการใส่ความ และเผยแพร่กระจายออกไปทำให้ไม่สามารถอธิบายให้สังคมเข้าใจได้ทั้งหมด

นายรังสิมันต์ เปิดเผยต่อว่า จริง ๆ ตนผิดหวังและเกรงใจ เนื่องจากว่านายชัยยันต์ ก็เป็นส่วนหนึ่งของพรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นพรรคร่วมฝ่ายค้าน เหมือนกับพรรคก้าวไกล แต่กรณีนี้ตนคิดว่าเป็นกรณีส่วนบุคคลดำเนินการแถลงข่าวดังกล่าว และตนได้มีโอกาสพูดคุยกับทางผู้ใหญ่ของพรรคเพื่อไทยแล้วเรื่องที่จะต้องมาใช้สิทธิ์ทางศาลในวันนี้

นฤมล ยกระดับศักยภาพพลเมืองออทิสติก สร้างอาชีพ

วันที่ 2 เมษายน 2564 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดงานวันรณรงค์ตระหนักรู้ออทิสติกโลกออนไลน์ และเยี่ยมชมระบบการเตรียมความพร้อมเพื่อการทำงานและประกอบอาชีพสำหรับบุคคลออทิสติก บุคคลที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาและการเรียนรู้ มูลนิธิออทิสติกไทย รวมถึงชมการแสดงศักยภาพของบุคคลออทิสติก รับฟังรายงานการขับเคลื่อนและสนับสนุน STS แฟลตฟอร์มสำรวจและคัดกรองเบื้องต้นบุคคลที่มีความจำเป็นพิเศษ การแนะนำ Ambassador ของมูลนิธิออทิสติกไทย การแถลงสาส์นวันออทิสติกโลก และเยี่ยมชมศูนย์ฝึกอบรมเพื่อการทำงานมูลนิธิออทิสติกไทย โดยมีหม่อมหลวงปุณฑริก สมิติ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมคณะ เข้าร่วมด้วย

ศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวว่า นโยบายการพัฒนาฝีมือแรงงาน เพื่อยกระดับกระทรวงแรงงานเป็นกระทรวงด้านเศรษฐกิจ ภายใต้แนวคิด 3 ประการ คือ สร้าง ยก ให้ รวมไทยสร้างชาติได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาและส่งเสริมอาชีพสำหรับกลุ่มเปราะบาง รวมถึงคนพิการและบุคคลที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษและครอบครัว ให้เข้าถึงการพัฒนาฝีมือแรงงาน รวมทั้งเพิ่มโอกาสในการประกอบอาชีพ สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก เพื่อให้อยู่รอดได้ท่ามกลางวิกฤตการณ์ มีอาชีพ มีรายได้อย่างยั่งยืน มีความเข้มแข็ง และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในระยะยาวของแรงงานและครอบครัว

รมช.แรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) กระทรวงแรงงาน ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการจัดหลักสูตรการอบรมการเตรียมความพร้อมด้านอาชีพเพื่อการมีงานทำสำหรับบุคคลออทิสติก บุคคลที่มีความพกพร่องทางสติปัญญา การเรียนรู้ใน 5 หลักสูตรและส่งต่อบุคคลออทิสติกเข้าสู่ระบบการจ้างงานและประกอบอาชีพอิสระ รวมถึงการจัดตั้งวิสาหกิจเพื่อสังคมสำหรับกลุ่มคนพิการเป็นลำดับต้น ของประเทศไทย ซึ่งปีนี้มีผู้เข้าการอบรมกว่า 100 คน และได้จัดศูนย์ต้นแบบ เพื่อสนับสนุนระบบการเตรียมความพร้อมเพื่อการทำงานและประกอบอาชีพสำหรับคนพิการในประเทศไทย ตามแผนพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการต่อไป

การเปิดให้บุคคลออทิสติกได้รับบริการพื้นฐานจากภาครัฐในด้านต่าง รวมถึงการฝึกทักษะด้านอาชีพ จะทำให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีคุณค่า มีศักดิ์ศรี และพึ่งพาตนเองได้ ภายใต้แนวคิด เพิ่มการจ้าง สร้างการจัด และลดการจ่ายด้วยการสร้างเครือข่ายทุกภาคส่วนให้เข้ามาร่วมมือมากยิ่งขึ้น เพราะการช่วยคนพิการ 1 คน สามารถช่วยคนในครอบครัวคนพิการได้ 3 - 4 คน นำไปสู่การมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างมั่นคงต่อไปรมช. แรงงาน กล่าวทิ้งท้าย

 

'พุทธะอิสระ' เผยสถานการณ์ม็อบวันนี้ จากม็อบล้มเจ้า เอาไม่ชนะเลยต้องไปผสมพันธุ์กับคนปล้นชาติ แฉ 'ฝรั่ง - นักโทษหนีคดีผู้มั่งคั่ง' ส่งสัญญาณนักรบรับจ้างรุ่นเก่ามาสมทบ สารพัดสีเสื้อผสมโรงเหม็นหน้ารัฐบาล หวังจะเผด็จศึกรัฐบาล

พุทธะอิสระ อดีตเจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย ในฐานะอดีตแกนนำกปปส. โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊ก "หลวงปู่พุทธะอิสระ (Buddha Isara)" เมื่อวันที่ 1 เมษายน 64 โดย ระบุว่า...

ฝนตกขี้หมูไหล คนจัญไรมาเจอกัน

๑ เมษายน ๒๕๖๔

สถานการณ์ม็อบวันนี้ จากม็อบล้มเจ้า เอาไม่ชนะเลยต้องไปผสมพันธุ์กับคนปล้นชาติ เพื่อหวังจะเผด็จศึกรัฐบาล

แต่เนื้อแท้แล้ว เป้าก็คือ สถาบันพระมหากษัตริย์ นั่นเอง

วันนี้จึงขอแนะนำกลุ่มคนที่กำลังเอาคนไทย ประเทศไทยเป็นตัวประกัน ทั้งยังซ้ำเติมสถานการณ์ในวิกฤตโควิด ให้คนไทยต้องมาทุกข์ยากมากขึ้น

เดิมทีก็มี กลุ่มสามสัส ที่หลอกใช้เด็กให้ติดคุกแทนตน

กลุ่มอาจารย์ปลวก ที่คอยเสี้ยมสอนให้ลูกไทยเกลียดชังรากเหง้าเผ่าไทย

กลุ่มนักการเมือง ที่มีภารกิจจำเป็นเร่งด่วนในการล้มกฎหมายคุ้มครอง สถาบันพระมหากษัตริย์ และล้มรัฐบาล

กลุ่มนักโทษ ที่อ้างว่าเป็นนักวิชาการ หนีคดีไปอยู่เมืองนอก ที่คอยส่งเสียงเห่าหอนอย่างโหยหวน ขับกล่อมให้เด็กไทยไร้สมองหลงเชื่อ

กลุ่มผู้ตกเป็นเหยื่อถูกยุยงให้หลงเชื่อ และกำลังจะทยอยติดคุกกันทั่วหน้า

กลุ่มแกนนำรับจ้าง ซึ่งก็มีชีวิตเป็นอยู่อย่างอู้ฟู่

กลุ่มฝรั่งล่าอาณานิคม ที่ตั้งตัวเป็นศาสดาประชาธิปไตย และเรียกร้องให้ทุกคนเคารพสิทธิในความเท่าเทียมกันของมนุษย์ แต่ก็ไล่กระทืบคนผิวสีและคนเอเชีย

แต่หลังจากยุยงปลุกปั่นม็อบ รุกไล่รัฐบาล จ้องล้มสถาบัน มาเป็นเวลาแรมปี ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ

บัดนี้หุ้นส่วนใหญ่ในต่างประเทศ ซึ่งก็มีทั้งฝรั่งและนักโทษหนีคดีผู้มั่งคั่ง ได้พยายามส่งสัญญาณให้นักรบรับจ้างรุ่นเก่า เตรียมออกมาสมทบ

เห็นว่างานนี้ มีบรรดาสารพัดสีเสื้อ ที่เหมือนจะเหม็นหน้ารัฐบาล เหม็นหน้านายก แว่ว ๆ มาว่าจะเข้าร่วมด้วย โทษฐานรัฐบาลชอบตัดหางพวกเดียวกันและพวกที่เคยสนับสนุน

ทั้งยังมีกลุ่มภิกษุ ผู้ได้รับผลกระทบจากการบังคับใช้กฎหมายของรัฐบาล เริ่มตั้งแต่อดีตกรรมการมหาเถรและกองเชียร์ ผสมโรงกับลัทธิธรรมกาย ที่เจ้าสำนักยังลี้ภัยอยู่ในรู

ตามด้วยกลุ่มที่มีคดี หากล้มรัฐบาล ล้มรัฐธรรมนูญชุดนี้ลงได้ จะได้แก้ไขกฎหมายให้เอื้อต่อคดี หรือถ้าล้มไม่ได้ก็จะใช้สถานการณ์ม็อบต่อรองกับรัฐบาลและผู้มีอำนาจ ให้ต้องออกกฎหมายพ้นโทษ

แต่ไม่ว่าจะกลุ่มไหนก็ตาม ล้วนแต่ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มสามสัสทุนหนา และนักโทษปล้นชาติหนีคดีผู้ร่ำรวย และฝรั่งศาสดาประชาธิปไตยผู้ล่าอาณานิคม

โดยมีเป้าเดียวกันคือ ล้มสถาบันพระมหากษัตริย์ และพยายามกำจัดรัฐบาลที่แสดงพฤติกรรมปกป้องสถาบันอย่างเด่นชัด

ที่หยิบยกมาให้ท่านได้รู้ ก็เพื่อจะได้เตรียมตัว รับสถานการณ์ที่จะเกิดในบ้านเมืองนี้ อย่างมีสติปัญญา

พุทธะอิสระ


ที่มา : https://www.facebook.com/photo?fbid=157354712923473&set=a.107732904552321

ไทยพบผู้ติดเชื้อ 58 ราย มี 1 ราย เชื่อมโยงสถานบันเทิง กลุ่มสัมผัสเพียบ ศบค.ผวาซ้ำรอยห่วง สงกรานต์นี้ ให้ทุกคนดูแลตัวเอง - ครอบครัว ย้ำ สถานบันเทิง เป็นเรื่อง น่ากังวลใจ 

ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. แถลงสถานการณ์ประจำวัน ว่า มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 58 ราย เป็นการติดเชื้อในประเทศ 45 ราย มาจากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการ 42 ราย มาจากค้นหาเชิงรุก 3 ราย นอกจากนี้ เป็นผู้ที่เดินทางมาต่างประเทศ 13 ราย ทำให้มียอดผู้ติดเชื้อสะสม 28,947 ราย หายป่วยสะสม 27,606 ราย อยู่ระหว่างรักษา 1,247 ราย ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตเพิ่มเติม ยอดสะสมคงที่ 94 ราย ขณะที่สถานการณ์โลก มีผู้ติดเชื้อสะสม 130,157,191 ราย เสียชีวิตสะสม 2,839,987 ราย

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า สำหรับผู้ติดเชื้อวันนี้ มี 1 ราย อยู่ใน กทม. เป็นนักศึกษา อายุ 19 ปี วันที่ 20 – 24 มีนาคม พักอยู่ที่หอพักย่านศาลายา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม โดยวันที่ 23 มีนาคม ไปเที่ยวสถานบันเทิงย่านพุทธมณฑลกับเพื่อน 11 คน จากวันที่ 25 – 29 มีนาคม เดินทางโดยเครื่องบินไปเที่ยว จ.ภูเก็ตกับเพื่อน 9 คน และเข้าพักที่รีสอร์ท เช่ารถขับ ต่อมาวันที่ 29 มีนาคม เดินทางโดยเครื่องบินกลับ กทม. ซึ่งมารดาขับรถส่วนตัวมารับที่สนามบิน วันที่ 30 มี.ค. ไปตีแบดมินตันกับเพื่อนที่ศาลายา 8 คน วันที่ 31 มีนาคม ไปเรียนที่มหาวิทยาลัย มีเพื่อนในห้องเรียน 50 คน 

มีการรับประทานอาหารที่โรงอาหารมหาวิทยาลัย มีการเดินทางโดยรถส่วนตัวกับเพื่อน 1 คนไป กทม. โดยวันเดียวกันทราบว่ามีพนักงานในสถานบันเทิงย่านศาลายาติดโควิด-19 จึงไปตรวจที่โรงพยาบาลรามาธิบดีแล้วพบว่าติดเชื้อโควิด-19 นอกจากนี้ มีผู้ติดเชื้อ 1 ราย ที่ อ.วังสะพุง จ.เลย มีประวัติเชื่อมโยงกับสถานบันเทิงแห่งหนึ่งใน กทม. อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เรากำลังเข้าสู่เทศกาลสงกรานต์ที่มีการหยุดยาว ซึ่ง ศบค.ได้ผ่อนคลายให้ แต่เรากังวลใจว่าจากการระบาดในตลาดและกำลังไปสู่สถานบันเทิง ปีที่แล้วเราเคยเผชิญสถานการณ์แบบนี้ ต้องใช้เวลาถึงช่วงหนึ่งกว่าจะควบคุมได้ 

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า สำหรับการกระจายวัคซีนตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ – 1 เมษายน มีการจัดสรรวัคซีนซิโนแวค 322,040 โดส แอสตราเซเนกา 85,880 โดส มีจำนวนผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่หนึ่ง 166,243 ราย เข็มที่สอง 37,407 ราย อย่างไรก็ตาม ที่มีข่าวเกี่ยวกับผู้ได้รับผลกระทบจากการฉีดวัคซีนที่ระบุว่าบางคนถึงกับเสียชีวิต อย่างกรณีหมอในต่างประเทศฉีดแล้วมีเส้นเลือดแตกในช่องท้องนั้นไม่ใช่ ส่วนกรณีผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์มรณภาพหลังฉีดวัคซีนได้วันเดียวอยู่ระหว่างการหาสาเหตุที่แท้จริง ส่วนผู้ที่ฉีดแล้วมีอาการไม่พึงประสงค์ เช่น แพ้ ผื่นขึ้น หายใจติดขัด ขณะนี้มีอยู่ 4 ราย ซึ่งหายเป็นปกติแล้ว 

นพ.ทวีศิลป์ ตอบข้อซักถามถึงการลดจำนวนวันกักตัวของผู้ที่จะเดินทางเข้าประเทศไทย ว่า ราชกิจจานุเบกษาได้ประกาศรายละเอียดข้อกำหนดแล้วกว่า 30 หน้า ซึ่งผู้ที่จะเดินทางเข้าประเทศไทยต้องศึกษาและทำความเข้าใจ ทั้งนี้มีวัคซีนเข้ามาแล้วบรรยากาศของการผ่อนคลายจึงต้องมีเพื่อลดระยะเวลาการกักตัว

1.) คนที่ได้รับวัคซีนครบสองเข็ม แล้วนับจากวันที่ได้รับวัคซีนไปอีก 14 วันก่อนสามารถเดินทางเข้าประเทศไทยได้ และได้รับการกักตัว 7 วัน โดยต้องนับจากเข็มที่สองไปครบ 14 วันก่อน เพื่อให้มีภูมิคุ้มกันเกิดขึ้นในร่างกายอย่างเต็มที่ คือ 14 วันหลังเข็มสอง 

2.) ผู้ที่ได้รับวรรคสี่แต่ยังไม่ครบสองเข็มจะต้องได้รับการกับตัว 10 วัน เนื่องจากมีเปอร์เซ็นต์ในการติดเชื้อไม่มากนักสามารถรอรับความเสี่ยงได้ กักตัว 10 วันก็พอ จะได้เป็นการลดค่าใช้จ่ายของรัฐ 

3.) ผู้ที่มาจากประเทศที่สงสัยว่ามีการติดเชื้อของไวรัส โควิด-19 กลายพันธุ์ เช่น จากประเทศ แอฟริกา แทนซาเนีย โมซัมบิก ต้องได้รับการกักตัว 14 วัน อย่างไรก็ตามในรายละเอียดในเรื่องของ การตรวจหาเชื้อ ตามกำหนดซึ่งแต่ละกลุ่มจะต้องแตกต่างกันไป แต่ที่สำคัญทั้งสามกลุ่มจะต้องมีระบบการติดตามตัวซึ่ง ศบค. ได้หารือกันว่าจะต้องมีระบบไทยแลนด์พลัส ซึ่งเป็นแอพพลิเคชั่นที่ชาวต่างชาติคุ้นเคย เพื่อติดตามตัวในการควบคุมโรคโควิด-19

และในขณะที่เราเน้นย้ำผู้ที่กำลังจะเข้ามาในประเทศไทยเราก็ต้องเน้นย้ำโรงแรมในประเทศ ที่เป็นสถานที่กักตัว ที่เข้าร่วมโครงการกับ ศบค. ขอให้ประสานไปยังกรมสนับสนุนบริการสุขภาพเพื่อที่จะปรับช่วงเวลา และการดูแล รวมถึงวัน และระบบการรายงานต่าง ๆ เพื่อให้ทางกรมฯติดต่อและจัดทำเทเลคอนเฟอร์เรน ขอให้โรงแรมทุกแห่งให้ความสนใจในการปรับมาตรการนี้ไปพร้อมกันด้วย เพื่อปรับมาตรการไปพร้อมกันและเพื่อประโยชน์ของคนไทยและคนต่างชาติที่จะเข้ามาในประเทศไทย

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีการมรณภาพของผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ นพ. ทวีศิลป์ กล่าวว่า จากที่เป็นข่าวคือผู้ช่วยเจ้าอาวาสซึ่งมีโรคประจำตัวเป็นเบาหวาน ความดันสูง ฉีดวัคซีนไปตั้งแต่เวลาประมาณ 11.00 น. ของวันที่ 31 มีนาคม หลังสังเกตุอาการก็ไม่มีสิ่งผิดปกติ เมื่อกลับวัดและพบครั้งสุดท้ายเมื่อเวลาประมาณ 16.00 น. ของวันที่ 1 เมษายน หลังจากนั้นข้ามคืนไปท่านไม่ได้ออกจากกุฎิ เมื่อมีคนไปเคาะประตูไม่มีเสียงตอบรับจึงได้เข้าดูพบว่ามรณภาพแล้ว ซึ่งต้องขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวและทางวัดด้วย ขณะนี้ยังต้องดำเนินการชันสูตรศพ โดยโรงพยาบาลตำรวจ แต่จะมีผลออกมาอย่างไรต้องให้โรงพยาบาลดูแลก่อน 

ยืนยัน ว่าอาการที่ไม่พึงประสงค์ ที่มีความรุนแรง เช่น มีผื่นขึ้น หายใจติดขัด หายใจลำบาก เมื่อได้รับการฉีดยาแก้แพ้ก็หายเป็นปกติ ตามที่ได้รับรายงานล่าสุดจนถึงปัจจุบันนี้ยังคงตัวเลขอยู่ที่ 4 คนเท่านั้น และขณะนี้หายเป็นปกติแล้ว ดังนั้นผู้ที่เสียชีวิตไม่ได้โยงกับ4รายดังกล่าว เพราะเป็นการเสียชีวิตจากโรคอื่นๆซึ่งเป็นโรคประจำตัว ส่วนผู้ช่วยเจ้าอาวาสรายนี้ขอให้รอผลชันสูตรก่อน ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน ทั้งนี้การฉีดวัคซีนยังเดินหน้าต่อ ตนเองก็ฉีดแล้ว อาการปกติดี

ในช่วงท้ายนี้ขอฝากว่าเทศกาลสงกรานต์เป็นช่วงที่สำคัญของประชาชนที่จะต้องใช้ชีวิตวิถีใหม่ ซึ่งจากการรายงานพบว่าวัคซีนคือทางออกแต่พบว่าในเวลานี้ยังไม่ได้เป็นคำตอบถึงที่สุดเนื่องจากวัคซีนจะต้องได้รับการฉีดถึง 60% จึงจะมีภูมิคุ้มกันของประเทศซึ่งตอนนี้วัคซีนกำลังทยอยเข้ามา และในต่างประเทศก็ทยอยฉีด และเราจะพบประสบการณ์ที่เป็นอุทาหรณ์แล้วว่าหากมีความย่อหย่อนในเรื่องการสวมหน้ากากอนามัย การ์ดตก จึงยังมีความจำเป็น และในช่วงเทศกาลสงกรานต์นี้ขอฝากให้ทุกคนดูแลตัวเองและครอบครัว และขอย้ำว่าสถานบันเทิงยังเป็นเรื่องที่น่ากังวลใจในขณะนี้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top