Tuesday, 1 July 2025
POLITICS NEWS

เทพไท เปรียบ แก้ รธน.รายมาตรา เหมือนซ่อมรถแบบ “ปะผุ” ต้องซื้อใหม่ทั้งคัน วางสเปก 6 ข้อ

นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง การเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ แบบรายมาตรา ของพรรคพลังประชารัฐว่า เป็นการเสนอการแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วยความจำใจ เพื่อต้องการจะอธิบายกับสังคมว่า รัฐบาลชุดนี้ได้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตามนโยบายเร่งด่วน ที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภาแล้ว การเสนอแก้ไขเป็นรายมาตรา ซึ่งถ้าจะเปรียบรัฐธรรมนูญ ปี 2560 เหมือนกับรถยนต์คันหนึ่ง การแก้เป็นรายมาตรา ก็เปรียบเสมือนการซ่อมสี “ปะผุ” ซึ่งรถยนต์คันนี้มีสภาพแชสซีคต เสียศูนย์ ไม่สามารถใช้งานต่อไปได้ จึงจำเป็นต้องซื้อรถยนต์คันใหม่ ซึ่งเปรียบเสมือนการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ

ส่วนตัวสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ(สสร.) เพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ เพราะการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรา จะไม่ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนทั้งประเทศ ตนในฐานะที่เป็นผู้ริเริ่มการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาปัญหาและแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญเห็นว่า รัฐธรรมนูญในฝันของตนนั้น อยากให้มีลักษณะดังนี้คือ 

1.) เป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตย มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ซึ่งเป็นรูปแบบการปกครองที่ดีที่สุด และเหมาะสมกับสภาพของประเทศไทยมากที่สุด

2.) เป็นระบบรัฐสภา มีสภาคู่ เช่นเดียวกับรูปแบบการปกครองของประเทศอังกฤษ ที่เป็นต้นแบบของการปกครองแบบรัฐสภา ที่มีสถาบันพระมหากษัตริย์เหมือนกับประเทศไทย

3.) ส.ส.มาจากระบบเขตเลือกตั้งทั้งหมด ไม่จำเป็นต้องมี ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ ซึ่งรูปแบบของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เป็นรูปแบบลูกผสม ที่ใช้แบบอังกฤษผสมกับแบบเยอรมันและฝรั่งเศส ขัดกับการปกครองรูปแบบรัฐสภาที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

4.) สมาชิกวุฒิสภา จะมาจากการแต่งตั้ง หรือเลือกตั้งก็ได้ ต้องขึ้นอยู่กับบทบาทและหน้าที่ ถ้ามาจากการเลือกตั้งของประชาชน จะมีหน้าที่แต่งตั้ง ถอดถอน ตรวจสอบองค์กรอิสระได้ ถ้ามาจากการแต่งตั้งก็ควรมีหน้าที่เพียงการกลั่นกรองกฎหมายเท่านั้น

5.) คณะรัฐมนตรีต้องมาจาก ส.ส.เท่านั้น เพราะถือว่าเป็นบุคคลที่ได้ผ่านการคัดเลือกของประชาชนมาแล้ว มีความยึดโยงกับประชาชน เป็นการป้องกันบุคคลภายนอก กลุ่มทุน ที่ฉวยโอกาสเข้ามาเป็นรัฐมนตรี

6.) จำนวน ส.ส.มีไม่เกิน300คน และ ส.ว.มีไม่เกิน150คน เพราะเป็นจำนวนที่เหมาะสมกับประชากรของประเทศ เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศทั่วโลก และเป็นการประหยัดงบประมาณของประเทศชาติอีกด้วย 

ผมได้แต่ฝันว่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จะเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง แม้ว่าจะฝันที่เป็นไปไม่ได้ก็ตาม ก็ขอแค่ได้ตั้งความหวังเอาไว้ ตามอุดมคติ “ฝันให้ไกล ไปให้ถึง”

“ผบ.ทร.” ไม่ติดโควิด แต่ยัง Work From Home - กักตัว 14 วัน ด้าน “โฆษกทร.” เผยกักตัว 30 ทหารเรือร่วมชมฝึกวงสอง เตรียม 3 รพ.สนาม รองรับผู้ป่วยจากรพ.ชลบุรีแล้ว

เมื่อวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2564 พล.ร.อ.เชษฐา ใจเปี่ยม โฆษกกองทัพเรือ  เปิดเผยว่า  พล.ร.อ.ชาติชาย ศรีวรขาน ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) ได้ทำการตรวจโควิด-19 Swab แล้ว ซึ่งผลออกมาเป็นลบ ไม่ติดเชื้อโควิด-19 เพราะไม่ได้ใกล้ชิด ร้อยโทหญิง ที่อยู่ในวงที่สาม และนั่งชมการฝึกในพื้นที่เปิดโล่ง และทิ้งระยะห่างๆ ใช้เวลา 1 ชั่วโมง 30 นาทีเท่านั้น  รวมถึงไม่ได้อยู่รับประทานอาหารกับกลุ่มนายทหารจากกองทัพไทยที่เป็นกลุ่มเสี่ยง แต่ ผบ.ทร.ก็จะกักตัว 14 และ Work From Home เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย โดยจะตรวจโควิด-19 ซ้ำ อีกครั้งในวันที่  15 เมษายนนี้ อย่างไรก็ตาม  ได้ทำการกักตัวนายทหารเรือ 30 นายที่เข้าร่วมฝึกของกองทัพเรือประจำปี 2564 เข้ากักตัวใน SQ แล้ว เพราะเป็นกลุ่มที่ไปรับประทานข้าวเที่ยงต่อ บริเวณพื้นที่ฝึก ซึ่งถือเป็นวงที่ 2 ที่ใกล้ชิดกับกลุ่มเสี่ยง

พล.ร.อ.เชษฐา กล่าวต่อว่า กองทัพเรือ ได้จัดตั้งโรงพยาบาลสนามของกองทัพเรือ ใน 3 แห่ง รองรับผู้ป่วยได้รวม 726 เตียง เช่น  1. โรงพยาบาลสนาม ศูนย์การฝึกหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง (เกล็ดแก้ว) อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี จำนวน 320 เตียง 2. โรงพยาบาลสนาม ค่ายพระมหาเจษฎาราชเจ้า หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี จำนวน 174 เตียง และ3. โรงพยาบาลสนาม สนามฝึกกองทัพเรือ หมายเลข 16 บ้านจันทเขลม จังหวัดจันทบุรี จำนวน 232 เตียง โดยโรงพยาบาลสนามศูนย์การฝึกหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและฝั่ง(สอ.รฝ.)ได้รับผู้ป่วย จากโรงพยาบาลชลบุรีแล้ว  แบ่งเป็นผู้ป่วยชาย 24 ราย และผู้ป่วยหญิง 22 ราย

เด็ก พปชร. วอน ประชาชนเชื่อมั่น ข้อมูลวิชาการ ฉีดวัคซีน จวก ฝ่ายค้าน หยิบเป็นประเด็นการเมือง

เมื่อวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2564 นางสาวทิพานัน ศิริชนะ อดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีกระแสข่าวอาจารย์แพทย์ ให้ความเห็นส่วนบุคคลเกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19 ถึงประสิทธิภาพของวัคซีนที่บิดเบือน ว่า ขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อ เพราะคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ออกคำแถลงชี้แจงย้ำชัดเจนแล้วว่าข้อมูลดังกล่าวเป็นเพียงความคิดเห็นส่วนบุคคล ไม่ได้เป็นความเห็นทางวิชาการของคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ

นอกจากนี้ ยังมีการยืนยันจากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ว่า วัคซีนโควิดที่ประเทศไทยนำเข้าทั้งซิโนแวค และแอสตราเซเนกา มีประสิทธิภาพตามมาตรฐานที่องค์การอนามัยโลกกำหนด และยังมีประสิทธิภาพต่อเชื้อโรคกลายพันธุ์สายพันธุ์อังกฤษที่กำลังระบาดอยู่ในขณะนี้ ซึ่งสอดคล้องกับการยืนยันของ ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก จุฬาฯ ว่าวัคซีนทั้ง 2 ตัวที่ไทยกำลังฉีดอยู่ป้องกันการเสียชีวิตได้ 100% และลดอาการป่วยรุนแรงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นการฉีดวัคซีนโควิด-19 ยังจำเป็นเพื่อป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาด สร้างภูมิคุ้มกันหมู่ และมีประสิทธิภาพต่อการลดความรุนแรงของโรคของผู้ที่ติดเชื้อตามมาตรฐานสากล

นางสาวทิพานัน กล่าวว่า “ในขณะนี้มีกระบวนการด้อยค่าทีมทำงานของรัฐบาลและสาธารณสุข โดยมุ่งเรื่องวัคซีนเป็นตัวนำ โดยมีพฤติกรรม ขยายผลบิดเบือนเรื่องประสิทธิภาพวัคซีน กล่าวหาเลื่อนลอยเรื่องรัฐผูกขาดนำเข้าวัคซีน จนสร้างความตื่นตระหนกสับสนในสังคม ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยในชีวิตของพี่น้องประชาชน ที่อาจตัดสินใจไม่ให้ความร่วมมือมารับการฉีดวัคซีน อันส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่น การฟื้นฟูเศรษฐกิจ และกำลังใจของทีมนักรบชุดขาวที่กำลังทำงานอย่างเต็มที่ เพียงเพื่อมุ่งหวังให้เกิดความเสียหายและหวังผลทางเมือง โดยเอาสุขภาพของประชาชนมาเป็นเหยื่อ ดังนั้นจึงขอประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลที่ไม่มีหลักวิชาการอ้างอิง ที่กำลังระบาดตอนนี้ 

ที่น่าผิดหวังก็คือ นักการเมือง ผู้แทนของประชาชน โดยเฉพาะฝ่ายค้าน เช่น นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊กกล่าวหารัฐบาลฉีดวัคซีนที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันต่ำ โดยไม่คำนึงว่าจะส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยในชีวิตของพี่น้องประชาชน และกระทบต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างไร ทำให้สังคมสงสัยและตั้งคำถามว่าคิดแต่ความได้เปรียบทางการเมืองมากกว่าข้อมูลที่ถูกต้องหรือไม่

ศรีสุวรรณ รวบรวม ข้อมูลทุจริตลต.เทศบาลนครเชียงใหม่ จ่อ ร้องกกต.

เมื่อวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2564 นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า มีชาวบ้านในเขตเทศบาลนครเชียงใหม่ ส่งข้อมูลและหลักฐานการทุจริตหรือการซื้อสิทธิขายเสียงในการแข่งขันเลือกตั้งนายกเทศมนตรีและสมาชิกสภาเทศบาล เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 64 ที่ผ่านมา มาให้สมาคมฯเป็นจำนวนมาก แทบไม่น่าเชื่อว่าจะมีหลักฐานโจ๋งครึ่มทำกันได้ขนาดนี้

ในเขตเทศบาลนครเชียงใหม่ มีการแบ่งเขตเลือกตั้งออกเป็น 4 แขวง คือ แขวงนครพิงค์ แขวงกาวิละ แขวงเม็งราย และแขวงศรีวิชัย ซึ่งมีหลักฐานชี้ชัดว่าพื้นที่เขตเลือกตั้งดังกล่าวมีการซื้อขายเสียงกันดุมากตั้งแต่หัวละ 1,000 - 2,000 บาทเลยทีเดียว โดยส่วนใหญ่หัวคะแนนที่นำเงินมาซื้อเสียงนั้นจะเป็นประธานชุมชน หรือแกนนำชุมชนซึ่งเป็นที่รู้จักและเกรงใจกันของลูกบ้าน ทั้ง ๆ ที่ประธานชุมชนถือว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของเทศบาล ซึ่งควรที่จะวางตัวเป็นกลาง แต่กลับมามีพฤติกรรมเป็นหัวคะแนนให้กับผู้สมัครรับเลือกตั้งอย่างไม่ละอาย 

ยังมีผู้สังเกตการณ์เลือกตั้งได้มาร้องเรียนว่าพบเห็นหัวคะแนนของผู้สมัครนายกเทศมนตรีรายหนึ่ง มายืนจ่ายเงินซื้อเสียงกันบริเวณหน้าหน่วยเลือกตั้งเลยทีเดียว ซึ่งเป็นที่น่าแปลกใจว่าคณะกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งดังกล่าว กลับไม่มีใครรู้ใครเห็นเลยหรืออย่างไร อีกทั้งผู้สมัครบางรายมีการจัดทำป้าย คัตเอ้าท์ และการโพสต์ในสื่ออนไลน์หาเสียง ในลักษณะสัญญิงสัญญามากมายว่าหากได้รับการเลือกตั้งแล้วจะดำเนินการให้สิ่งนั้นสิ่งนี้แก่ผู้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งมากมาย เช่น การจ้างงานแก้โควิด-19 เป็นต้น

ซึ่งกรณีดังกล่าวจะปล่อยให้ผ่านเลยไปไม่ได้ เพราะถือได้ว่าเป็นการเลือกตั้งที่เป็นไปโดยไม่สุจริตและเที่ยงธรรม ซึ่งตาม พรบ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น 2562 กำหนดข้อห้ามและบทลงโทษเอาไว้ชัดเจน ผู้ใดฝ่าฝืนย่อมมีความผิด ทั้งหัวคะแนน และพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ทำตัวละเว้นเพิกเฉย

อย่างไรก็ตาม ตามกฎหมายข้างต้น ม.65(1)(2) กำหนดห้ามมิให้ผู้สมัครหรือผู้ใดกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ลงคะแนนให้แก่ตนเองหรือผู้สมัครอื่น ให้งดเว้นการลงคะแนนให้แก่ผู้สมัคร หรือการชักชวนให้ไปลงคะแนนไม่เลือกผู้ใดเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น ด้วยวิธีการจัดทำให้ เสนอให้ สัญญาว่าจะให้ หรือจัดเตรียมเพื่อจะให้ทรัพย์สิน หรือ ผลประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้แก่ผู้ใด และหรือให้ เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดไม่ว่าจะโดยตรง หรือโดยอ้อมแก่ชุมชน เป็นต้น

สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จะได้รวบรวมข้อมูลพยานหลักฐานเพื่อนำไปร้องเรียนต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ทันทีที่เปิดทำงานตามปกติหลังเทศกาลสงกรานต์ เพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยเอาผิดและลงโทษผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด รวมทั้งผู้สมัครที่มีส่วนรู้เห็นและหรือเป็นต้นเหตุของการกระทำดังกล่าวด้วย

ทบ. ส่งกำลังพลสนับสนุน พร้อมเตียงเครื่องนอน ตั้งรพ.สนามในหลายจังหวัดกว่า 2,000 เตียง

เมื่อวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2564 พ.อ.หญิงศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า ทางกองทัพบก ได้จัดตั้งโรงพยาบาลสนามในพื้นที่ค่ายทหาร ตามที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลและ ศบค. แล้ว ล่าสุดได้สนับสนุนกำลังพล และยุทโธปกรณ์ในการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามตามจังหวัดต่าง ๆ ในหลายพื้นที่

รวมทั้งการสนับสนุนอุปกรณ์ให้กับโรงพยาบาลเพื่อเตรียมรองรับผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ในแต่ละพื้นที่อย่างเต็มศักยภาพ

โดยมีการดำเนินการแล้วในหลายพื้นที่ อาทิ โรงพยาบาลสนามจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งกองพลทหารราบที่ 7 และมณฑลทหารบกที่ 33 ได้ส่งกำลังพลเข้าช่วยลำเลียงเตียงนอนจากโรงแรมและสถานที่ต่าง ๆ ในจังหวัด พร้อมติดตั้งเตียงนอนและเครื่องมือในการดูแลผู้ป่วย ที่ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา ต.ช้างเผือก อ.เมือง ซึ่งทางจังหวัดเชียงใหม่ได้จัดโรงพยาบาลสนาม และเปิดให้บริการรักษาผู้ติดเชื้อแล้วตั้งแต่ 9 เมษายน

พ.อ.หญิงศิริจันทร์ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้โรงพยาบาลสนามที่จัดตั้งขึ้น สามารถรองรับผู้ติดเชื้อได้ขั้นต้น 400 เตียง และขยายได้ถึง 1,000 เตียง ซึ่งปัจจุบันกำลังพลจิตอาสายังคงเข้าช่วยอำนวยความสะดวกในพื้นที่โรงพยาบาลสนามต่อเนื่อง ทั้งนี้หากจังหวัดเชียงใหม่มีความต้องการขยายพื้นที่โรงพยาบาลสนามเพิ่มเติม ทางมณฑลทหารบกที่ 33 ได้จัดเตรียมสถานที่ภายในศูนย์ฝึกนักศึกษาวิชาทหาร มณฑลทหารบกที่ 33 พร้อมอุปกรณ์เครื่องนอน ไว้รองรับผู้ป่วยโควิด-19 ที่อาจมีจำนวนมากขึ้น และพร้อมดำเนินการทันทีเมื่อมีการประสาน

นอกจากนี้กองทัพบกยังได้สนับสนุน เตียงเหล็ก ที่นอนและอุปกรณ์เครื่องนอนจำนวน 200 ชุด ให้กับ โรงพยาบาลสนาม ของ กทม ที่โรงพยาบาลผู้สูงอายุบางขุนเทียน ซึ่งเป็นการขยายขีดความสามารถในการรองรับผู้ติดเชื้อโควิดจากเดิม 300 เตียง เพิ่มอีก 200 เตียง โดยกองทัพบกได้ขนส่งอุปกรณ์ดังกล่าวจากกรมพลาธิการทหารบกไปยังโรงพยาบาลผู้สูงอายุฯเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 11 เมษายน พ.ศ.2564

ส่วนที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ กองทัพบกโดย ศูนย์การทหารราบ ได้สนับสนุนเตียงสนาม 70 ชุดพร้อมเครื่องนอนให้กับโรงพยาบาลหัวหิน เพื่อจัดตั้ง รพ.สนาม ณ วิทยาลัยเทคโนโลยีพณิชยการหัวหิน รองรับผู้ป่วยโควิด-19 ตั้งแต่ 9 เมษายน เช่นกัน

สำหรับความคืบหน้าในการจัดเตรียมสถานที่โรงพยาบาลสนามของกองทัพบกในพื้นที่ กทม.คือที่ กรมทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 1 ถนนแจ้งวัฒนะ กทม. รองรับได้ 200 เตียง นั้น ปัจจุบันกองทัพบกได้ส่งทหารช่างเข้าปรับปรุงอาคารจำนวน 5 หลังในพื้นที่ดังกล่าว ที่จะใช้เป็น อาคารนอน ห้องน้ำ

รวมถึงอาคารที่ใช้เป็นสถานที่ทำงานและที่พักของบุคลากรทางการแพทย์และได้ดำเนินการติดตั้งรั้วโดยรอบโรงพยาบาลสนามเรียบร้อยแล้ว

ทั้งนี้ในภาพรวมขณะนี้กองทัพบกได้จัดเตรียมโรงพยาบาลสนามเพื่อรองรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 ไว้แล้วจำนวน 12 พื้นที่ทั่วประเทศสามารถรองรับได้ 2,220 เตียง “กองทัพบกจะดำรงการช่วยเหลือและสนับสนุนอุปกรณ์ให้กับหน่วยงานในการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามประจำจังหวัด รองรับการดูแลประชาชนและผู้ติดเชื้ออย่างดีที่สุดต่อไป” พ.อ.หญิงศิริจันทร์ กล่าว

นายกฯ ไทย - ญี่ปุ่นหารือชื่นมื่นพร้อมต่อยอดความร่วมมือทางเศรษฐกิจ โดยไทยพร้อมเป็นฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาค  พร้อมจับมือไทยสนับสนุนลดความตึงเครียดในเมียนมาด้วยสันติวิธี และให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมกับผู้หนีภัย

วันที่ 9 เมษายน 2564 ที่ห้องโดม ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หารือทางโทรศัพท์กับนายซูกะ โยชิฮิเดะ (H.E. Mr. Suga Yoshihide) นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ในโอกาสที่นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นเข้ารับตำแหน่ง

นายกรัฐมนตรี กล่าวแสดงความยินดีในโอกาสที่ได้มีโอกาสหารือกับนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก ทราบว่านายกรัฐมนตรีได้เคยทำหน้าที่เป็นประธานร่วมฝ่ายญี่ปุ่นของคณะกรรมาธิการร่วมระดับสูงไทย -ญี่ปุ่น (High Level Joint Commission: HLJC) สมัยที่ดำรงตำแหน่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น จึงหวังว่าจะสานต่อความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างไทย - ญี่ปุ่น ได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ รัฐบาลไทยมุ่งมั่นที่จะกระชับความร่วมมือกับญี่ปุ่นในฐานะประเทศหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน ซึ่งที่ผ่านมาแม้ว่าทั่วโลกจะพบกับความท้าทายจากสถานการณ์โควิด-19 รัฐบาลไทยและรัฐบาลญี่ปุ่นยังมีการติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง โดยไทยได้อำนวยความสะดวกการเดินทางระหว่างนักธุรกิจและประชาชนของทั้งสองฝ่ายตามมาตรการควบคุมโรคของรัฐบาลไทย  

ด้านนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น กล่าวยินดีที่ได้หารือกับนายกรัฐมนตรีเป็นครั้งแรก พร้อมระบุว่า จากที่มีโอกาสทำหน้าที่สนับสนุนความร่วมมือระหว่างญี่ปุ่นกับไทย และเคยเยือนไทยเพื่อเข้าร่วม การประชุมสุดยอดอาเซียนและการประชุมที่เกี่ยวข้องเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2562 ทั้งนี้ ญี่ปุ่นชื่นชมการจัดการเพื่อควบคุมโควิดของไทย และญี่ปุ่นพร้อมให้ความสนับสนุนอุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น ตู้แช่วัคซีน และบริการขนส่งแก่ไทย และประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นๆ ภายใต้ โครงการให้ความช่วยเหลือแบบให้เปล่าฉุกเฉินผ่านองค์การ UNICEF และ JICA ซึ่งจะช่วยทำให้แจกจ่ายวัคซีนให้แก่ประชาชนมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

จากนั้นทั้งสองฝ่ายได้หารือเกี่ยวกับความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ ซึ่งนายกรัฐมนตรีขอบคุณญี่ปุ่นที่สนับสนุนการค้าการลงทุนกับไทย และให้ความสำคัญกับการลงทุนในเขตEEC มาโดยตลอด รัฐบาลไทยเตรียมการที่จะปรับปรุงแก้ไขอุปสรรคด้านการลงทุนต่าง ๆ พร้อมยกระดับสภาพแวดล้อม การทำธุรกิจภายในประเทศเพื่อให้เอื้อต่อการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติที่มีศักยภาพและมีความสนใจ ซึ่งนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นประสงค์ให้มีความร่วมมือระหว่างกันอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น ทั้งสองฝ่ายพร้อมสนับสนุนให้จัดการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมระดับสูงไทย - ญี่ปุ่น (High Level Joint Commission: HLJC) ครั้งที่ 5 เพื่อขับเคลื่อนความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะมีส่วนฟื้นฟูสำคัญภายหลังสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงนโยบายที่รัฐบาลให้ความสำคัญ คือ การพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy : BCG Model) อนุรักษ์พลังงานและการรักษาสิ่งแวดล้อม จึงเชิญชวนให้ญี่ปุ่นพิจารณาไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในรูปแบบต่างๆ ในประเทศไทย 

ในส่วนของความร่วมมือพหุภาคี ญี่ปุ่นเชื่อมั่นบทบาทของไทยการเป็นผู้นำในหลายด้านของภูมิภาค และพร้อมสนับสนุนความร่วมมือกับไทยเพื่ออนาคตความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น (Mekong-Japan Cooperation - MJ) ที่ญี่ปุ่นให้ความสำคัญ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่าไทยพร้อมร่วมมือกับญี่ปุ่นและประเทศสมาชิกอาเซียนในโอกาสที่ไทยเป็นผู้ประสานงานความสัมพันธ์อาเซียน – ญี่ปุ่น ช่วงปี 2564-2567 ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นพร้อมสนับสนุนการเป็นเจ้าภาพของไทย และร่วมมือกับไทยอย่างใกล้ชิดในห้วงที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมผู้นำเอเปคในปี 2565 

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับญี่ปุ่นต่อสถานการณ์ในเมียนมา ซึ่งฝ่ายญี่ปุ่นชื่นชมบทบาทของไทยและอาเซียน ทั้งนี้ทั้งสองฝ่ายพร้อมให้การสนับสนุนเมียนมาให้ลดความตึงเครียดของสถานการณ์ด้วยสันติวิธี และยืนยันให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมสำหรับผู้หนีภัยความไม่สงบในเมียนมาตามหลักมนุษยธรรม 

รมว.สุชาติ หารือร่วม ผู้ว่าฯ นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ ขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้การต้อนรับผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ หารือร่วมเร่งเดินหน้านโยบายขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน บูรณาการทุกภาคส่วน ส่งเสริมการมีงานทำ สร้างหลักประกันความมั่นคงแก่แรงงานทุกคน สอดคล้องกับบริบทในพื้นที่
        
เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ที่ห้องจัตุมงคล ชั้น 6 อาคารกระทรวงแรงงาน ให้การต้อนรับ นายสุจินต์ ไชยชุมศักดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี และนายชัยพจน์ จรูญพงศ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ ในโอกาสเข้าพบเพื่อหารือการดำเนินงานของคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน และแนวทางในการปฏิบัติงานของคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน โดยมี นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน และผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย 

โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า รัฐบาล ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาในระดับพื้นที่ โดยเริ่มจากปัญหาที่เป็นความเดือดร้อนเร่งด่วนเพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรมและรวดเร็วทันเหตุการณ์ ในส่วนของกระทรวงแรงงาน ผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้รับมอบหมายจากท่านนายกรัฐมนตรีให้รับผิดชอบแนวคิดการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับพื้นที่จังหวัดนนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ
        
นายสุชาติ กล่าวต่อว่า ในวันนี้ผมได้ต้อนรับท่านผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 3 จังหวัด คือ นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ ในโอกาสเข้าพบเพื่อหารือการดำเนินงานของคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน และแนวทางในการปฏิบัติงาน ตลอดจนรับทราบความก้าวหน้า ปัญหาอุปสรรค และข้อเสนอแนะของจังหวัด เพื่อนำข้อมูลไปประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันตามภารกิจของกระทรวงแรงงาน 

ทั้งนี้ รมว.แรงงาน ยังได้เน้นย้ำกับผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 3 จังหวัดให้บูรณาการทำงานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ และรับฟังความคิดเห็นจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน อาทิ ด้านส่งเสริมสินค้าเกษตรและสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ในพื้นที่ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ การยกระดับการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานทั้งระบบไฟฟ้า น้ำประปา และติดตั้งกล้องวงจรปิดตามแหล่งท่องเที่ยวเพื่อสร้างมั่นใจและเพิ่มความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยว 

โดยหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานจะเข้าไปสนับสนุนตามภารกิจ อาทิ การฝึกอบรมฝีมือแรงงานโดยต่อยอดให้พี่น้องแรงงานในพื้นที่สามารถนำไปประกอบอาชีพได้ ส่งเสริมระบบตลาดออนไลน์ การส่งเสริมการมีงานทำในระดับชุมชนพื้นที่ การพัฒนาทักษะฝีมือ Up – skill Re – skill และ New – skill ตามความต้องการของแรงงานทุกกลุ่ม การคุ้มครองดูแลให้พี่น้องผู้ใช้แรงงานทั้งแรงงานในระบบและแรงงานนอกระบบได้รับสิทธิประโยชน์และมีหลักประกันความมั่นคงในชีวิต เป็นต้น

ศบค.มท. แจ้งทุกจว. อนุญาตผ่อนคลายเฉพาะการซ้อมชนโค ชนไก่ กัดปลาโดยไม่มีผู้เข้าชมในสนาม

เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2564  ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) เปิดเผยว่า ด้วยคณะรัฐมนตรี มีมติเมื่อวันที่ 23 มี.ค. ให้กระทรวงมหาดไทยหรือหน่วยงานผู้มีอำนาจตามกฎหมาย พิจารณาผ่อนคลายกิจกรรมตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก. การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 18) กรณีสนามชนโค สนามชนไก่ สนามกัดปลา สนามฝึกซ้อมหรือแข่งขันหรือการจัดกิจกรรมอื่นในลักษณะทำนองเดียวกัน โดยให้สามารถจัดการฝึกซ้อมหรือแข่งขันได้แบบไม่มีผู้ชม และปฏิบัติตามมาตรการ D-M-H-T-T อย่างเคร่งครัด และเพื่อให้การดำเนินการตามมติครม.เป็นไปในแนวทางเดียวกันทุกจังหวัด 

รวมทั้งเป็นการส่งเสริมให้เกษตรกรผู้เลี้ยงโค ไก่ชน และปลากัด ได้กลับมาประกอบอาชีพอีกครั้ง นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทยในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับการสั่งการและประสานกับผู้ว่าฯ และผู้ว่าฯ กทม. ได้สั่งการให้ผู้ว่าฯ ทุกจังหวัดเสนอคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด พิจารณาอนุญาตผ่อนคลายกิจกรรมพื้นบ้านได้เฉพาะการซ้อมชนโค ชนไก่ และกัดปลา โดยไม่มีผู้เข้าชมในสนาม โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด และต้องปฏิบัติตามมาตรการ D-M-H-T-T อย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ หากพบว่ากิจกรรมใดไม่ปฏิบัติตามมาตรการทางสาธารณสุข ให้เสนอคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดพิจารณาสั่งปิดเป็นรายกรณีต่อไป

ประกันสังคม เปิดรับสมัคร รพ.เอกชน เพื่อให้บริการทางการแพทย์แก่ผู้ประกันตน ประจำปี 2565

นายทศพล กฤตวงศ์วิมาน เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน กล่าวถึงการดำเนินการจัดหาสถานพยาบาลเพื่อให้บริการทางการแพทย์ให้แก่ผู้ประกันตน ว่าสำนักงานประกันสังคม ได้เปิดรับสมัครสถานพยาบาลเอกชนเข้าร่วมเป็นสถานพยาบาลเพื่อให้บริการ ทางการแพทย์แก่ผู้ประกันตนประจำปี พ.ศ. 2565 โดยสถานพยาบาลเอกชนที่มีความประสงค์เข้าร่วมเป็นสถานพยาบาลคู่สัญญากับสำนักงานประกันสังคม สามารถขอรับและยื่นใบสมัครได้ที่สำนักจัดระบบบริการทางการแพทย์ สำนักงานประกันสังคม เลขที่ 88/28 หมู่ที่ 4 ถนนติวานนท์ ตำบลตลาดขวัญ อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี หรือสำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ สำนักงานประกันสังคมจังหวัด/สาขา ในท้องที่ที่สถานพยาบาลตั้งอยู่ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป 

จนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 ในวันและเวลาราชการ โดยสามารถดูข้อมูลและดาวน์โหลดเอกสารการรับสมัครได้ที่เว็บไซต์สำนักงานประกันสังคม http://www.sso.go.th หากมีข้อสงสัยสอบถามเพิ่มเติมได้ที่สำนักจัดระบบบริการ ทางการแพทย์ หรือติดต่อสำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ 12 แห่ง/จังหวัด/สาขา ทั่วประเทศ ทั้งนี้ การเปิดรับสมัครสถานพยาบาลเอกชนเข้าร่วมเป็นคู่สัญญากับประกันสังคมเป็นประจำทุกปี นอกเหนือจากการให้บริการทางการแพทย์แก่ผู้ประกันตนเป็นไปอย่างต่อเนื่องแล้ว ยังจะช่วยรองรับจำนวนผู้ประกันตนที่เพิ่มมากขึ้นในแต่ละปี และเป็นการกระตุ้นให้สถานพยาบาลเอกชนเกิดการแข่งขันทั้งด้านการให้บริการและคุณภาพในการรักษาพยาบาลแก่ผู้ประกันตนอีกด้วย

"ชัยวุฒิ" โชว์ผลตรวจเป็นลบ ไม่พบเชื้อโควิด หลังร่วมเปิดงาน หลักสูตรDigital Tranformation For CEO#3 ที่จัดโดยเครือเนชั่น งานเดียวกับที่พ่อปันปันไปร่วมงานเลี้ยง

ภายหลังจากที่ นายสุรศักดิ์ อุดมศิลป์ หรือ พ่อของน.ส.สุทัตตา อุดมศิลป์ หรือ ปันปัน ดารานักแสดงชื่อดัง ที่ไปร่วมงานเลี้ยงเปิดตัวหลักสูตร Digital Tranformation For CEO#3 ช่วงค่ำของวันที่ 2 เม.ย.ที่ผ่านมา และได้ไปตรวจหาเชื้อโควิด-19 ซึ่งผลออกมาวันนี้ พบว่าติดเชื้อโควิด โดยในงานดังกล่าว มีนายชัยวุฒิ  ธนาคมานุสรณ์  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ได้ไปเป็นประธานเปิดงาน ในช่วงเวลา 14.30 – 15.30 น. แล้วได้เดินทางกลับทันที ไม่ได้อยู่ในช่วงงานเลี้ยงอาหารค่ำแต่อย่างใด

ล่าสุดนายชัยวุฒิ เปิดเผยว่า หลังจากทราบข่าวกรณีที่ตนไปเปิดงานหลักสูตรDTC ดังกล่าว แล้วเกิดพบว่ามีผู้ติดโควิดมาร่วมในงานด้วยนั้น จึงได้ไปตรวจหาเชื้อโควิดตั้งแต่ช่วงเย็นของวันที่ 7 เม.ย. 64 แล้ว ส่วนตัวไม่รู้สึกกังวลอะไรเพราะไม่ได้อยู่ร่วมในงานเลี้ยงอาหารค่ำ จึงไม่ได้สัมผัสกับผู้ติดเชื้อโดยตรง แต่เพื่อให้เกิดความสบายใจแก่เจ้าหน้าที่ หน่วยงานในสังกัดกระทรวงที่ตนเองได้ร่วมประชุม และหารือการทำงานให้เกิดความมั่นใจ และปลอดภัยจึงไปตรวจไว้

ทั้งนี้ทางแพทย์โรงพยาบาลพญาไท ได้แจ้งผลตรวจหาเชื้อโควิดออกมาแล้ว โดยพบว่า ผลเป็นลบ ไม่พบเชื้อโควิด-19 แต่อย่างใด ซึ่งหลังจากนี้ก็ต้องเข้มเรื่องมาตรการป้องกันโควิดมากขึ้น และที่สำคัญพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีก็ได้กำชับรัฐมนตรีและครม. ให้ไม่ประมาทในการไปร่วมงานต่าง ๆ พบปะประชาชนต้องเข้มมาตรการด้านสาธารณสุขมากขึ้นกว่าเดิม


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top