Saturday, 10 May 2025
POLITICS NEWS

“บิ๊กตู่”ยันไม่ปรับลดเบี้ยผู้สูงอายุ ให้นโยบายรักษาสิทธิ์ผู้รับสิทธิ์เดิมไปจนตาย

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ตอบคำถามแทนพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ถึงกรณีการ การจ่ายเบี้ย ยังชีพให้กับผู้สูงอายุ ที่ขณะนี้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องเริ่มมีแนวคิดที่จะปรับให้เป็นการจ่ายเฉพาะผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยหรือคนจนเท่านั้น เพื่อลดภาระงบประมาณโดยรวม แต่มีกลุ่มคนบางส่วนคัดค้าน เพราะเห็นว่าแม้ผู้สูงอายุไม่ว่าจะมีฐานะอย่างไรก็ควรจะได้รับสิทธิ์ทั้งหมด ว่า  เรื่องดังกล่าวนายกรัฐมนตรีชี้แจงว่าขณะนี้การจ่ายเบี้ยพูดอย่างที่ผู้สูงอายุเป็นไปตามปกติไม่ได้มีการปรับรถแต่อย่างใด และหากมีการเปลี่ยนแปลงก็ได้ให้นโยบายไปว่าให้รักษาสิทธิ์กับผู้ที่รับสิทธิ์เดิมไปจนกว่าจะเสียชีวิต 

ครม.เห็นชอบ ลดเงินสมทบประกันสังคม 3 เดือน ก.ย.-พ.ย.ให้ลูกจ้าง-นายจ้าง ม.33- ผู้ประกันตน ม.39 ลดเหลือ 235 บาทต่อเดือน

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายธนกรวังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ว่า ครม.อนุมัติหลักการ ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ขยายเวลาปรับลดอัตราจ่ายเงินสมทบกองทุนประกันสังคมเพิ่มอีก  3 เดือน ตั้งแต่ 1 ก.ย. -30 พ.ย. 2564 โดยลดอัตราเงินสมทบผู้ประกันตนมาตรา 33 ทั้งในส่วนของนายจ้างและลูกจ้าง จากเดิมที่ส่งเงินสมทบเข้าระบบประกันสังคมเดือนละ 5 เปอร์เซ็นต์ของค่าจ้างลูกจ้าง ที่ใช้คำนวณเงินสมทบ จะลดเหลือ 2.5 เปอร์เซ็นต์ 

สำหรับผู้ประกันตน ตามมาตรา39จากเดิมที่จ่ายเดือนละ 432 บาท จะลดลงเหลือ เดือนละ235 บาท โดยจ่ายลดลงเป็นเวลา3เดือนตั้งแต่ก.ย.-พ.ย.โดยมีผลตั้งแต่วันที่1ก.ย.เป็นต้นไป

'แสนยากรณ์' ชี้!! ขยายเพดานหนี้ 70% เตรียมกู้เพิ่ม แผนหารายได้ต้องชัด ขอปล่อยกู้ฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยว รองรับการแข่งขันเปิดประเทศทั่วโลก เตือนถ้าแผนไม่ชัด คนโยงอัดเงินก่อนยุบสภาเลือกตั้งแน่ 

นายแสนยากรณ์ สิงห์วีรธรรม โฆษกพรรคกล้า กล่าวถึงกรณีขยายเพดานหนี้สาธารณะจากร้อยละ 60 เป็นร้อยละ 70 ของ GDP ตามมติคณะกรรมการวินัยการเงินการคลังว่า ขณะนี้หนี้สาธารณะอยู่ที่ 8.9 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 55.59 ของ GDP (ก.ค. 64) หากมีการใช้เงินกู้ครบถ้วนคาดว่าปลายปีนี้หรือไม่เกินต้นปี 2565 หนี้สาธารณะน่าจะทะลุเพดาน จึงเป็นเหตุให้ต้องขยายเพดานหนี้ชั่วคราว เพื่อฟื้นฟูวิกฤตเศรษฐกิจ แก้ไขปัญหาโควิด-19 แต่สาระที่น่าสนใจคือการกำหนดเงื่อนไขจะลดระดับกลับมาที่ร้อยละ 60 ในอีก 10 ปีข้างหน้า ซึ่งจะทำตามที่ตั้งเป้าไว้ได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์โควิด-19 จะยืดเยื้อหรือไม่ บวกกับสมรรถนะของรัฐในการหารายได้ 

“ราเมศ” เลคเชอร์ พรรคการเมืองเข้มแข็งเป็นพื้นฐานระบบประชาธิปไตยเข้มแข็ง ยึดหลักอุดมการณ์ ซื่อสัตย์ สุจริต เพื่อประโยชน์ชาติ นำไปสู่ความเป็นสถาบันทางการเมืองของประชาชน 

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ร่วมเป็นวิทยากร ผู้ทรงคุณวุฒิ ในฐานะตัวแทนพรรคที่ได้รับมอบจากนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรค ร่วมบรรยาย-อภิปราย การเมืองการปกครองและสถาบันการเมืองไทยในหัวข้อ “ความเข้มแข็งของพรรคการเมืองไทยวันนี้” หลักสูตรการเมืองการปกครองในระบบประชาธิปไตยสำหรับนักบริหารระดับสูงรุ่นที่ 25 (ปปร. 25) โดยมี ผู้แทนจากพรรคพลังประชารัฐ พรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกล ร่วมด้วย ผู้ดำเนินรายการโดย ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ  เศรษฐบุตร ณ ห้องประชาธิปก สถาบันพระปกเกล้า

นายราเมศ ได้กล่าวถึงความเข้มแข็งของพรรคการเมืองไทยวันนี้ ว่า “พรรคการเมืองเป็นสถาบันทางการเมืองที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากสำหรับการปกครองในระบบประชาธิปไตย ดังนั้นการที่พรรคการเมืองเข้มแข็งย่อมเป็นพื้นฐานของการมีระบบประชาธิปไตยที่เข้มแข็งด้วย พรรคการเมืองเป็นสถาบันทางการเมืองของประชาชนในฐานะเจ้าของประเทศ มีบทบาทในฐานะตัวกลางในการเชื่อมโยงประชาชน และสมาชิกพรรคเข้ากับสถาบันที่ใช้อำนาจทางการเมือง มุ่งเน้นในการให้ความรู้ทางการเมืองต่อประชาชน สรรหาบุคคลมาเป็นสมาชิกพรรคการเมือง 

โดยเน้นย้ำถึงความยังยืนของพรรคในความเป็นสถาบันทางการเมืองหนีไม่พ้นที่ประชาชนจะต้องเข้ามามีส่วนร่วมให้มากที่สุด ไม่ว่าจะเข้าเป็นสมาชิก ร่วมในการคิดนโยบายต่างๆ รากฐานของสถาบันทางการเมืองจะรุ่งเรืองได้จะต้องมีประชาชนที่ค้ำจุนมีส่วนร่วมในทุกเส้นทางเดินของพรรคการเมืองนั้น  โครงสร้างของพรรคการเมืองก็เป็นองค์ประกอบที่สำคัญโดยเฉพาะความจำเป็นที่จะต้องให้มีสาขาพรรคหรือตัวแทนพรรคประจำเขตเลือกตั้งในทุกจังหวัดเพื่อให้มีบทบาทและหน้าที่ในการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนสร้างรากฐานให้กับพรรคการเมืองในระดับชาติให้มีความเข้มแข็งยิ่งขึ้น ในแต่ละพื้นที่จะต้องมีการตอบสนองความต้องการของประชาชนที่มีความสนใจนโยบายและวิธีการดำเนินงานของพรรค 

 

โฆษกรัฐบาล แจงเหตุ 'บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม' ขยันลงพื้นที่ เพื่อช่วยกันทำหน้าที่ดูแลทุกข์สุขของประชาชน

21 ก.ย. 64 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงการลงพื้นที่ตรวจราชการของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ว่า การลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรีเป็นการลงพื้นที่ตามภารกิจปกติที่กำหนดไว้อยู่แล้ว ขณะที่ทาง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ก็แบ่งกันตรวจราชการเพื่อติดตามการแก้ไขปัญหาให้ประชาชนอยู่แล้วตามปกติ 

"แรมโบ้"เย้ย"พิชัย"กลัวพท.ถูกเอง หากรัฐบาลทำงานสำเร็จ ถ้าปชช.พ้นทุกข์ 

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ด้านเศรษฐกิจ ทักท้วงรัฐบาล ถึงปัญหาหนี้สาธารณะที่อาจจะเป็นปัญหาใหญ่ทำให้รัฐบาลมีปัญหาในการชำระหนี้ และไม่เชื่อว่าประเทศไทยจะเป็นประเทศที่มีรายได้สูง ว่า ตนไม่อยากถือสาคนคิดลบ ผมบาง เป็นธรรมชาติคนขี้ใจน้อย และอยากเรียกร้องความสนใจเวลานี้ บ้านเมืองมีแต่ความขัดแย้งเดินหน้าไม่ได้มากว่า 10 ปี เพราะนายโทนี่-นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ และรัฐบาลพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน พรรคเพื่อไทย ที่ไม่ว่าจะเปลี่ยนกี่ชื่อ แต่นิสัยไม่เคยเปลี่ยน ตนอยากจะถามว่าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ใช่หรือไม่ ที่ยุติความขัดแย้ง แล้วพลิกฟื้นประเทศจากอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ต่ำเตี้ย ให้โตเพิ่มขึ้น 4% ต่อ GDP และแม้จะเจอสงครามการค้าช่วงปี 62 แต่ก็ยังหารายได้เพิ่ม จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ เกือบ 40 ล้านคน มากที่สุดในประวัติศาสตร์ ดึงเงินเข้าประเทศกว่า 1.9 ล้านล้านบาท เสียดายที่ปี 63-64 เกิดวิกฤตโควิดทั่วโลก ทำให้ต้องปรับแผนกันใหม่หมด

นายพิชัย กล่าวว่า ถ้าจะกล่าวหาว่ารัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ชอบกู้ ชอบสร้างหนี้สาธารณะ แสดงว่านายพิชัยเจตนาบิดเบือนตาใส ใครก็รู้ว่ายามไม่ปกติแบบนี้ ทั่วโลกก็ต้องกู้เพื่อนำเงินมาช่วยเหลือพี่น้องประชาชน และพยุงเศรษฐกิจของประเทศทั้งนั้น โดยเฉลี่ยกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว มีการกู้เงินทำให้มีสัดส่วนหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นร้อยละ 19 ต่อ GDP ในขณะที่ประเทศไทยเพิ่มขึ้นน้อยกว่าเพียง 14% ต่อ GDP แต่สามารถช่วยเหลือพี่น้องประชาชนไปแล้ว 2 รอบ รอบแรก 41 ล้านราย และรอบสอง 40.37 ล้านราย ครอบคลุมกลุ่มผู้มีรายได้น้อย อาชีพอิสระ เกษตรกร กลุ่มเปราะบาง แรงงานประกันสังคม ผ่านโครงการเราไม่ทิ้งกัน โครงการเราชนะ โครงการ ม.33 เรารักกัน ที่สำคัญหนี้สาธารณะของไทย เป็นหนี้ในประเทศ 98.2% ของหนี้สาธารณะทั้งหมด เม็ดเงินก็ยังหมุนเวียนในประเทศ

นายเสกสกล กล่าวว่า ก่อนหน้าที่จะมีโควิด แม้รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จะมีการกู้เงิน แต่ก็เป็นการกู้เงินเพื่อลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน หรือลงทุนเพื่ออนาคต ยกระดับคุณภาพชีวิต ให้เกิดการกระจายรายได้ สร้างงาน สร้างอาชีพให้ประชาชนทุกคน ตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นมา ลงทุนไปแล้วมากกว่า 2 ล้านล้านบาท ทั้งเขื่อน ทางหลวง มอเตอร์เวย์ รถไฟความเร็วสูง รถไฟฟ้า รถไฟทางคู่-ทางสาม ท่าเรือน้ำลึก สนามบิน อินเตอร์เน็ตหมู่บ้าน  EEC และ SEZ เป็นต้น เคยมีรัฐบาลไหนที่ทำมากมายเท่ารัฐบาลนี้อีกหรือไม่ หากไม่หูหนวกตาบอด ก็คงได้เห็น ได้ยิน ได้ใช้ประโยชน์กันบ้างแล้ว ดีกว่าจำนำข้าวทุกเม็ดที่สร้างแต่หนี้บาป ชดใช้กันเป็น 10 ปี 

และถ้าจะแถต่อว่ารัฐบาลสร้างหนี้จนชนเพดาน นายพิชัยซึ่งเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย คงมีความรู้บ้างว่าประเทศพัฒนาแล้ว หลายประเทศ ที่มีหนี้สาธารณะต่อ GDP อยู่ในระดับเกินกว่า 100% เช่น สหรัฐ อิตาลี สิงคโปร์ ส่วนญี่ปุ่นนั้นเกิน 200% ต่อ GDP มานานแล้ว แต่ประเทศไทย ยังอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายวินัยการเงินการคลัง ที่ไม่เกิน 60% ของ GDP อย่างไรก็ตาม คิดง่ายๆ ใครจะกู้เงินก็มี 2 เหตุผลหลักๆ อย่างแรกคือลงทุน อีกอย่างคือเจ็บไข้ได้ป่วย-เกิดอุบัติเหตุ ประเทศชาติก็เหมือนกัน ช่วงปี 57-62 เป็นการลงทุนเพื่อให้เกิดรายได้ เกิดกำไรที่มากขึ้น แต่ช่วงปี 63-64 ก็ต้องกู้เพิ่มเพราะวิกฤตโควิด ซึ่งเป็นมาตรการ "ชั่วคราว" เมื่อจบวิกฤตก็กลับมาเหมือนเดิม แต่ถ้าต้องการมีรายได้-กำไรเพิ่มขึ้นอีก ก็ต้องกู้ ก็ต้องมีแผนการลงทุนอีก เหมือนมียุทธศาสตร์ชาติระยะยาว มีโครงการขนาดใหญ่อย่าง EEC มีการส่งเสริมอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ตอบสนองโลกอนาคต เป็นโอกาสงานของเยาวชนของเรา ที่กำลังเติบโตขึ้นในอีก 5-10 ปีข้างหน้า แต่รัฐบาลเตรียมพร้อมให้ตั้งแต่วันนี้

บิ๊กป้อม สั่ง กอนช.-กองทัพ-มหาดไทย-กทม. เร่งช่วย เกษตรกร-ประชาชน พื้นที่น้ำท่วม ยืนยัน ลงพื้นที่ อยุธยา พรุ่งนี้

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.ต.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผู้ช่วยโฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะ ผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนและเกษตรกร ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำท่วมขัง อันเนื่องมาจากฝนตกหนักในหลายพื้นที่ จึงได้สั่งการ ไปยัง กอนช. ,กองทัพ,มหาดไทย และกทม. เร่งให้ความช่วยเหลือประชาชนและเกษตรกร ที่ได้รับผลกระทบ อย่างเร่งด่วน โดยได้กำชับให้ทุกหน่วยงานลงพื้นที่ และให้นำเครื่องมือ เครื่องจักรกลทุกชนิด พร้อมยานพาหนะ เพื่อสนับสนุนการเคลื่อนย้าย และการระบายน้ำที่ท่วมขัง ออกนอกพื้นที่สัญจร โดยเร็ว

“เผ่าภูมิ” ซัด รบ.ใช้เงินกู้ 5 แสนล.ทั้งช้า ทั้งชุ่ย ตอกขยายเพดานหนี้ ยิ่งขยายความล้มเหลวซ้ำซาก อัดหนี้ไม่สร้างรายได้ ลงเอยกู้หนี้มาโปะหนี้

นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย และกรรมาธิการตรวจสอบ พ.ร.ก.กู้เงิน 5 แสนล้านบาทฯ แถลงข่าวความคืบหน้า พ.ร.ก.เงินกู้ 5 แสนล้านบาทและการขยับเพดานหนี้สาธารณะเป็น 70% ว่า พ.ร.ก.กู้เงิน 5 แสนล้านบาท ทั้งช้า ทั้งชุ่ย ทั้งนี้ ช้าเพราะไทยเจอการระบาดหนักทั้งระลอก 3 และ 4 เจอการล็อคดาวน์ที่เข้มข้น เจอเคอร์ฟิว เจอธุรกิจล้มละลาย แต่การใช้เงินกู้นี้เพื่อประคองเศรษฐกิจกลับเหมือนอยู่คนละโลก เชื่องช้า อืดอาด เสมือนใช้จ่ายงบประมาณปกติ เม็ดเงินที่ลงสู่ระบบนั้นน้อยนิด ใน 5 แสนล้านนั้นเพียง 5 หมื่นกว่าล้านที่ลงสู่ระบบ หรือเพียงราว 10% เท่านั้น เศรษฐกิจที่เสียหายจากการล็อคดาวน์เข้มข้นเดือนละ 1.5-2.5 แสนล้านบาท ถูกชดเชยด้วยเงินอัดฉีดเข้าระบบจากเงินกู้ก้อนนี้เฉลี่ยเพียงเดือน 1 หมื่นล้านบาท เมื่อเงินที่อัดฉีดเข้าระบบน้อยกว่าเงินที่หายไปถึง 15 เท่า แบบนี้เศรษฐกิจเดินต่อไม่ได้ ด้านสาธารณสุข วงเงิน 30,000 ล้าน เบิกจ่ายเพียง 1,828 ล้าน (หรือ 6%) ประเทศต้องการวัคซีนเร่งด่วน ต้องเร่งฟื้นฟูระบบสาธารณสุขทันที แต่งบปรับปรุงสถานพยาบาลกลับอนุมัติ 0% เบิกจ่าย 0% 

นายเผ่าภูมิ กล่าวต่อว่า ด้านการฟื้นฟูประเทศวงเงิน 170,000 ล้านบาทนั้น อนุมัติ 0% เบิกจ่าย 0% เช่นกัน ไม่มี ไม่ทำ ไม่สร้างโครงการรักษาระดับการจ้างงาน หรือมาตรการคงการจ้างงาน มีแต่ชื่อโครงการ ถึงวันนี้อนุมัติ 0% เบิกจ่าย 0% ต้องรอให้คนตกงานทั้งบ้านทั้งเมืองแล้วค่อยมาตามแก้อย่างนั้นหรือ การกระตุ้นการลงทุนยังไม่มีการใช้จ่ายเช่นกัน ท้ายสุดจะไปจบที่ “เราเที่ยวด้วยกัน ชิมช้อปใช้ คนละครึ่ง” โครงการชื่อสวย แต่ไร้ประโยชน์เช่นเคย ที่ชุ่ยเพราะในแผนงานเงินกู้ 5 แสนล้านบาทนั้น ทุกโครงการเป็นโครงการจ่ายทิ้ง ใช้แล้วหมดไปทั้งนั้น ไม่มีเงินฟื้นฟูที่เอาไปสร้างอนาคตประเทศ ไม่มีการสร้างโครงสร้างการพัฒนาให้กับประเทศเป็นชิ้นเป็นอัน ไม่มีการจัดสรรงบในส่วนนี้ และแรงงานนอกระบบกว่า 20 ล้านคนถูกละทิ้งจากเงินกู้ 5 แสนล้านนี้ พ่อค้าแม่ค้าในตลาด หาบเร่แผงลอย อาชีพกลางคืนที่ถูกเคอร์ฟิว เหล่านี้ถูกมองข้าม ไม่มีโครงการเยียวยากลุ่มนี้ 

นายเผ่าภูมิ กล่าวอีกว่า ส่วนขยายเพดานหนี้ ขยายความล้มเหลวซ้ำซาก พรรคพท.เข้าใจดีถึงความจำเป็นต้องใช้เงินในการประคองเศรษฐกิจ แต่ต้องเข้าใจเช่นเดียวกันว่าความจำเป็นของการต้องใช้เงินเพิ่มนี้ ทั้งหมดเกิดจากความล้มเหลวของการใช้เงินกู้ 2 ก้อนที่ผ่านมา หากใช้ให้ดีเงินกู้ 2 ก้อนนั้นมีขนาดที่เหลือเฟือ เราจะไม่เดินมาสู่จุดนี้ ความล้มเหลวของเงินกู้ 1 ล้านล้าน ตามด้วย 5 แสนล้าน และวันนี้เปิดช่องให้รัฐบาลกู้เพิ่มได้อีกราว 1.2 ล้านล้านบาท ไม่น่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ตลอด 7 ปีที่ผ่านมารัฐบาลสร้างหนี้ ไม่สร้างรายได้ หนี้โตเร็วกว่ารายได้ประเทศถึงกว่า 2 เท่าต่อปีโดยเฉลี่ย การขยายเพดานครั้งนี้ เป็นการเปิดช่องให้สร้างหนี้ที่ไม่สร้างรายได้อย่างก้าวกระโดด ความอันตรายไม่ได้อยู่ที่ความมั่นคงทางการคลัง แต่กลับอยู่ที่เรากำลังพึงพอใจกับค่านิยมล้มเหลวซ้ำซากเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เรากำลังสนับสนุนการกู้ไปเรื่อยๆ แบบไร้จุดหมาย กู้แล้วเจ๊ง ก็กู้ใหม่ กู้อย่างไม่มีขอบเขต เป็นวังวน

เทพไท คัดค้าน จ่ายเบี้ยยังชีพเฉพาะกลุ่ม แนะรัฐบาล จัดงบเพิ่มเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ดีกว่าแจกเงินโครงการประชานิยม

นายเทพไท เสนพงศ์ อดีตส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง กรณีที่ปรากฎเป็นข่าวว่า คณะอนุกรรมการนโยบายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ มีข้อหารือเรื่อง การกำหนดจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุแบบกำหนดกลุ่มเป้าหมาย โดยมีแนวโน้มว่า จะจ่ายเบี้ยยังชีพเฉพาะกลุ่มคนยากจน รวมทั้งมีข่าวว่า การจ่ายเงินเบี้ยยังชีพเกิดการล่าช้า จนนายอนุกูล ปีดแก้ว รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และ นางสุจิตรา พิทยานรเศรษฐ์ อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ ได้ออกมายืนยันว่า การเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุนั้น ยังเป็นเพียงการหารือขั้นต้น ของคณะอนุกรรมการกำหนดเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ซึ่งยังต้องมีอีกหลายขั้นตอนนั้น

ส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขดังกล่าว เพราะโครงการเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เป็นโครงการสำคัญที่เกี่ยวกับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ ที่เริ่มต้นมาตั้งแต่รัฐบาลนายชวน หลีกภัย ที่กำหนดให้คัดเลือกผู้มีอายุ 60 ปีขึ้นไป หมู่บ้านละ5คน ได้รับเบี้ยยังชีพ เดือนละ 300 บาท เพราะข้อจำกัดด้านงบประมาณ และมาเพิ่มเป็นเดือนละ 500 บาทต่อคน ในรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ จุลานนท์เท่านั้น นอกจากนั้นไม่มีรัฐบาลใด ให้ความสำคัญพัฒนาต่อยอดโครงการนี้เลย จนมาถึงรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้กำหนดให้เป็นนโยบายรัฐสวัสดิการ เปิดโอกาสให้ผู้มีอายุ 60 ปีขึ้นไปทุกคน มีสิทธิ์รับเบี้ยยังชีพคนละ 500 บาทต่อเดือนทุกคน และได้ปรับเปลี่ยนมาเป็นเบี้ยยังชีพแบบขั้นบันไดในปัจจุบันนี้

ราเมศ เผย คนจะไปก็ต้องไป พรรคไม่หวั่นไหวเดินหน้าทำงานต่อ

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงกรณีที่มี อดีต ส.ส.จังหวัดปทุมธานี นายเกียรติศักดิ์ ส่องแสง ย้ายพรรคไปพรรคเพื่อไทยว่า

ถ้าอยากทราบเหตุผลคงตอบแทนไม่ได้ ต้องไปถามเจ้าตัวถึงเหตุผลของการย้ายพรรค พรรคไม่ได้กังวลใจ พร้อมทำพื้นที่ต่อ มีบุคคลที่มีศักยภาพที่ต้องการลงพื้นที่ดังกล่าว ตลอดระยะเวลาที่ผ่านผมในฐานะโฆษกพรรคได้ลงช่วยพื้นที่ของ ดร เกียรติศักดิ์ ส่องแสง หลายครั้ง ได้ทำงานร่วมกับพรรคมาด้วยดีตลอด แต่ก็เข้าใจได้ เคารพในการตัดสินใจ คนจะไปอย่างไรก็ต้องไป เป็นเรื่องธรรมดา พรรคเป็นสถาบันทางการเมืองไม่ว่าจะเกิดอะไรในพื้นที่ใด เราก็ต้องเดินต่อ ไม่หวั่นไหว คนที่มีอุดมการณ์เดียวกันต้องการมาร่วมงานกับพรรคอยู่ตลอดระยะเวลา ถ้าหวั่นไหวก็ไม่ใช่สถาบันทางการเมือง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top