Saturday, 10 May 2025
POLITICS NEWS

'เพื่อไทย' ชี้!! แนวคิดซื้อสัมปทานรถไฟฟ้าคืนรัฐ ยังอยู่ระหว่างการศึกษา วอน!! ไม่อยากให้มุ่งค้านทุกเรื่องที่รัฐบาลเสนอโดยไม่สนใจการศึกษาใดๆ

(29 ส.ค. 67) นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ สส.บัญชีรายชื่อ และรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่มีการแสดงความเห็นคัดค้านแนวคิดการซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้าว่า รัฐบาลพรรคเพื่อไทยเดินหน้านโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายมาอย่างต่อเนื่อง โดยนำร่องด้วยวิธีชดเชยค่าโดยสารในสายสีม่วงและสายสีแดง ผลลัพธ์ออกมาทางบวกทั้ง 2 ส่วน สามารถแบ่งเบาภาระค่าเดินทางประชาชน และส่งเสริมให้รถไฟฟ้าเป็นขนส่งสาธารณะ เป็นบริการสาธารณะที่สร้างความเท่าเทียมในการเดินทางให้กับพี่น้องประชาชน

ส่วนแนวคิดการซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้ากลับคืนมาที่รัฐ เพื่อให้รัฐสามารถควบคุมราคาได้เองอย่างยั่งยืน ไม่ต้องแบกรับภาระการชดเชยไปตลอด เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่อยู่ระหว่างการศึกษา  จึงต้องรอผลการศึกษาที่ชัดเจน มีข้อมูลครบถ้วนก่อนจะออกมาวิจารณ์คงจะเหมาะสมกว่า มิใช่มุ่งจะค้านทุกเรื่องที่รัฐบาลเสนอโดยไม่สนใจการศึกษาใด ๆ

นายชนินทร์ กล่าวว่า ส่วนที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงความตั้งใจในการกระจายอำนาจเรื่องการขนส่งสาธารณะไปยังท้องถิ่นต่างๆ ภายหลังการโหวตไม่รับหลักการร่างพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก ของอดีตพรรคก้าวไกลนั้น ที่ผ่านมารัฐบาลได้มีการให้อำนาจท้องถิ่นในเรื่องนี้เพิ่มเติมแล้วในหลายลักษณะ เช่น มีการออกกฎกระทรวง (ฉบับที่ 64 พ.ศ. 2567) ให้อำนาจกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถเข้ามามีส่วนร่วมเป็นผู้ดำเนินการให้บริการระบบการขนส่งด้วยรถโดยสารสาธารณะเองได้แล้ว และปัจจุบันคณะกรรมกลางฯตามพระราชบัญญัติฉบับนี้เอง ก็ได้มีการผ่องถ่ายอำนาจการกำหนดราคาค่าโดยสาร และการออกใบอนุญาตประกอบการ ให้คณะกรรมการในระดับจังหวัดเป็นผู้ดำเนินการแทนแล้ว และยังมีแนวคิดที่จะทยอยเพิ่มอำนาจการกำกับดูแลอื่นๆให้คณะกรรมการในระดับจังหวัดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผ่านกลไกของฝ่ายบริหาร 

นอกจากนี้ในงบประมาณฯปี 2568 ที่กำลังพิจารณาในสภาอยู่ กรมขนส่งทางบกเอง ก็ยังมีการตั้งโครงการเพื่อศึกษารูปแบบการอุดหนุนของรัฐที่ยั่งยืนในระบบโดยสารสาธารณะไว้ด้วย เพื่อออกแบบโมเดลการสนับสนุนของภาครัฐในการส่งเสริมให้ท้องถิ่นมีศักยภาพในการมีระบบขนส่งสาธารณะของตัวเองให้ได้อย่างยั่งยืน เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าผลการศึกษานี้จะเป็นประโยชน์กับท้องถิ่นต่างๆทั่วประเทศอย่างแน่นอน ทุกอย่างมีการดำเนินการอยู่ ไม่ใช่ว่ารัฐบาลไม่ทำอะไรเลย  และคงไม่ช้าเกินไปหากในเวลานั้นเราจะหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาพิจารณากันอีกครั้ง ในแง่มุมที่ครบถ้วนรอบด้านมากขึ้น

“พรรคเพื่อไทยยืนยันเดินหน้านโยบาย 20 บาทตลอดสายให้สำเร็จตามแผนงานที่เคยประกาศไว้อย่างชัดเจน ทั้งที่โดนปรามาสมาตลอดว่า ทำไม่ได้จริง หรือ ไม่ควรทำ เพราะเรามั่นใจว่าจะเป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชน พร้อมกับอีกหลายนโยบายในการยกระดับขนส่งสาธารณะอื่นๆทั้งรถเมล์ และรถไฟทางไกล เพื่อให้ขนส่งสาธารณะเป็นโครงสร้างพื้นฐานในการบริการพี่น้องในแต่ละพื้นที่อย่างยั่งยืนต่อไป“ นายชนินทร์ กล่าว

'สื่ออาวุโส' สแกนทิศทางการเมืองไทยจากนี้ ใต้ 17 ความเป็นไปได้จากแรงกระแสธารข่าว

(29 ส.ค. 67) เถกิง สมทรัพย์ สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

เขียนตามที่เห็นข่าว...ผมไม่มีข้อมูลอินไซด์อะไรเลยนะครับ…ไม่ต้องอ่านก็ได้

1. ใครบางคน น่าจะกำลังทำให้พรรคเพื่อไทยรวบรวมเสียงจากพรรคอื่น ๆ มาให้มากที่สุดเพื่อเป็นพรรคใหญ่ที่สุดในรัฐสภา

2. พรรคพลังประชารัฐแม้จะออกไปทั้งพรรค แต่สส.ร่วม ๆ 30 คนน่าจะรอเวลา U-TURN มาร่วมมือกับเพื่อไทย...ถึงขั้นมาร่วมพรรคกันในอนาคต

3. พรรครวมไทยสร้างชาติผนึกกับเพื่อไทยแน่น

4. พรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา และพรรคขนาดเล็กอื่น ๆ น่าจะร่วมเดินทางไปด้วยกันกับเพื่อไทยอีกนาน

5. พรรคประชาชน…น่าจะอยู่ในสภาพอัมพฤกษ์ไปจนกว่าจะชัดเจนเรื่อง 44 สส. (และข่าวเรื่องมีการติดต่อขอตัวย้ายพรรคนั้นยังเชื่อว่าจะจริง ดังนั้นนี่จะเป็นอีกหนึ่งกำลังของรัฐบาลเพื่อไทย)

6. รัฐบาลเพื่อไทยน่าจะจัดหาจำนวน สส. มาไว้ข้างตัวเองเกือบ ๆ 400 เสียงเพื่อความมั่นคงในช่วงนี้ และเพื่อลงสนามเลือกตั้งคราวหน้า

7. พรรคเพื่อไทยกับพรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบัน ต้องสร้างผลงานให้ดีเป็นที่ประจักษ์ต่อประชาชน และทำงานการเมืองเพื่อเป็นพรรคเสียงข้างมากอีกสมัย  ด้วยการเอาชนะพรรคประชาชนให้ได้อย่างเด็ดขาด…มันเป็นไฟท์บังคับที่ต้องทำเพราะกติกาการเมืองไทยเป็นแบบนี้

8. พรรคประชาชน จะผ่านการเมืองช่วงนี้ไปถึงไหน…ต้องรอชมบทบาทในสภาฯ ในฐานะฝ่ายค้าน และในฐานะพรรคที่มาแรงที่สุดในปัจจุบัน

9. พลเอกประวิตร ยังสู้ไม่ถอย ยังเคลื่อนไหวต่อสู้ทางการเมืองกับเพื่อไทย โดยที่การเป็นคนมีอำนาจมาก จึงทำให้เพื่อไทยไม่วางใจ เพราะโดนสอยมาหลายครั้งแล้ว

10. คุณชวน หลีกภัย น่าจะอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ต่อไป…เพราะกลุ่มนำของพรรคในปัจจุบันคงจะหาทาง 'ขับ' ท่านออกจากพรรคยาก เพราะคุณชวนไม่ได้ทำอะไร 'ผิดข้อบังคับพรรค' และถ้าจะขับท่านออก ก็ต้องใช้มติของกรรมการบริหารกับสส.ในสภา ที่จะต้องใช้เสียงถึง 3 ใน 4 ซึ่งยากมาก

11. แต่คุณชวน หลีกภัย ไม่เหมือนพลเอกประวิตร...ถึงแม้คุณชวนจะไม่เห็นด้วยกับการเข้าร่วมรัฐบาล แต่คุณชวนไม่เคลื่อนไหวล้มรัฐบาลเพื่อไทยหรือไม่สร้างปัญหาให้กับเสถียรภาพของรัฐบาล…คุณชวนมุ่งที่จะสร้างเครดิตให้กับพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้น

12.ในข้อบังคับพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า ถ้าจะมีการควบรวมพรรคกับใคร ต้องใช้ชื่อ 'พรรคประชาธิปัตย์' เท่านั้น...อันนี้น่าคิดว่า ถ้ากลุ่มผู้นำพรรคประชาธิปัตย์ในปัจจุบันวางมือจากพรรคในคราวหน้า ไม่เอาพรรคไปรวมกับใครหรือรวมแล้วยังใช้ชื่อ ประชาธิปัตย์ เหมือนเดิม...โอกาสที่สมาชิกพรรคที่มีแนวคิดเหมือนเดิมก็จะมีโอกาสมาฟื้นฟูพรรคตามแนวทางเดิม

13. และคงจะไม่มีใครบริหารพรรคประชาธิปัตย์ให้ถูกยื่นยุบพรรคอีก หรือถ้าใครจะไปทำ ก็เห็นได้ชัดว่าคุณชวนก็พูด ๆ เหมือนจะวางแนวทางอะไรบางอย่างไว้แล้วว่าถ้ามีวิกฤตินี้มาจะทำยังไง

14. คุณชวน น่าจะยังอยู่กับประชาธิปัตย์ต่อไป และทำงานในฐานะสมาชิกสภาฯ ต่อไป...แต่น่าจะมีบทบาทให้ข้อคิดกับสังคมมากขึ้น สร้างความหวังให้กับคนที่เคยสนับสนุนประชาธิปัตย์ให้มาร่วมกับกอบกู้พรรค  

15. แม้จะมีคนห่วงท่านว่าท่านอายุมากแล้ว แต่คำพูดของคนอายุจะใกล้ 90 สามารถปลุกพลังผู้คนได้มากกว่าคนอายุน้อย ๆ ที่ไม่คิดจะสู้

16. กำลังกายอ่อนลง กำลังทางการเมืองอ่อนลง แต่คำพูดที่ยึดมั่นในหลักการกลับทรงพลังอย่างไม่น่าเชื่อ

17. คุณชวน ต้องอยู่ในสภาฯ เพื่อมีพื้นที่ทำงานทางความคิดต่อไป

แม่นบ่

'ศิริโชค โสภา' ยื่นใบลาออก ปิดฉาก 30 ปี คนพรรคประชาธิปัตย์ ทิ้งท้าย!! นักการเมืองต้องมีสัจจะวาจา และอุดมการณ์ที่ต้องรักษา

(29 ส.ค. 67) นายศิริโชค โสภา อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสงขลา และรองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ได้แจ้งข่าวการลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า...

เรียน  พี่น้องประชาชน และสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ที่เคารพ

กระผมเริ่มชีวิตการเป็นนักการเมือง โดยเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครั้งแรก เมื่อปีพ.ศ. 2544 และได้รับการเลือกตั้งต่อเนื่องอีก 4 สมัย  แม้ว่าจะเป็นฝ่ายค้านเป็นส่วนใหญ่ก็ตาม แต่ผมก็ภูมิใจ ที่ได้ทำหน้าที่ในฐานะพรรคฝ่ายค้าน ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล และได้มีส่วนร่วมกับทีมประชาธิปัตย์ทุกครั้งที่มีการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ 

ผมยังจำบรรยากาศในสมัยแรก ที่ผมเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่ต้องลุกขึ้นอภิปราย ไม่ไว้วางใจ เป็นเวลากว่า 2 ชั่วโมงครึ่ง กรณี บริษัทโทรคมนาคม แห่งหนึ่ง ถูกกล่าวหาว่าหลีกเลี่ยงการเสียภาษีศุลกากร จนได้รับการเลือกจากสื่อมวลชนให้เป็นดาวสภาฯ และผลจากการอภิปรายฯ ในครั้งนั้น ทำให้ถูกฟ้องเรียกค่าเสียหายกว่า สองหมื่นล้านบาท

คณะบุคคลที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ ที่ผมต้องขอบคุณ มา ณ ที่นี่ ก็คือ พี่น้องสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สังกัด พรรคประชาธิปัตย์ทุกท่านที่ช่วยกันต่อสู้ในสภาฯ อย่างเต็มที่ และที่ต้องขอบคุณเป็นพิเศษคือ นายชวน หลีกภัย และนาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่คอยสนับสนุน และให้คำปรึกษาผมมาตลอด  และที่ขาดไม่ได้คือ พี่ถาวร เสนเนียม ที่คอยช่วยกัน ดูแลพยานปากสำคัญของผม ที่แม้ตอนหลังพยานผมจะเสียชีวิตก็ตาม 

ผมไม่เคยที่จะลืมบุญคุณ บุคคลคนเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พรรคประชาธิปัตย์ และพี่น้องประชาชนในเขตเลือกตั้งที่ 7 จังหวัด สงขลา ที่ให้โอกาสผมในการทำงาน เป็นระยะเวลากว่า 10 ปี 

ผมไม่เคยคิดว่า วันนี้จะมาถึง เพราะตลอดระยะเวลาเกือบ 30 ปี ที่ผมเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ผมคิดเสมอว่า ที่นี่คือบ้านเดียวและบ้านหลังสุดท้ายของผม แต่เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ในปัจจุบัน มีอุดมการณ์ ที่ต่างไปจากพรรคประชาธิปัตย์ในอดีต เป็นอย่างมาก ผมจึงมีความจำใจ ต้องเดินจากไป แม้จะมีความอาลัย อาวรณ์ต่อพรรคมากก็ตาม เพราะผมเชื่อเสมอว่า นักการเมืองต้องมีสัจจะวาจา และอุดมการณ์ที่ต้องรักษา หากปราศจากทั้งสองสิ่งนี้ ก็เป็นได้แค่นักเลือกตั้ง

คืนนี้ทั้งคืน เป็นคืนที่ผมนอนไม่หลับ เพราะเช้านี้แล้ว ที่ผมจำต้องยื่นหนังสือลาออกจากพรรคฯ ที่ผมรักและเทิดทูนที่สุด ทั้งน้ำตา 

แต่ผมก็ยังหวัง แม้จะเป็นความหวังอันน้อยๆ ว่าสักวัน พรรคประชาธิปัตย์จะกลับมายิ่งใหญ่ อีกครั้ง พร้อมกับอุดมการณ์ที่มั่นคง และเป็นที่พึ่ง ที่หวังของประชาชนได้ แล้วผมจะเฝ้ารอดูครับ 

ขอแสดงความนับถือ 

นาย ศิริโชค โสภา 
อดีตสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์

ในหลวง รัชกาลที่ 7 ตอบกลับการขอขมาของคณะราษฎร “อภัยโทษแก่ท่านทั้งหลายมานานแล้ว”

มายาธิปไตย 2475 #เทสที่สร้าง #ร่างที่เป็น

2475: การเปลี่ยนแปลง การเรียนรู้ และการให้อภัย

“ข้าพเจ้าขอขอบใจท่านทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง ในการที่ได้มาทำพิธีขอขมาต่อตัวข้าพเจ้าและพระราชวงศ์จักรีในวันนี้…

“การกระทำของท่านในวันนี้ทำให้รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ไม่ใช้ยินดีที่ท่านมาขอขมาตัวข้าพเจ้าโดยเฉพาะ เพราะข้าพเจ้าเองก็ให้อภัยโทษแก่ท่านทั้งหลายมานานแล้ว เพราะเข้าใจในความประสงค์ของท่านดี…

“ท่านกระทำการในคราวนี้ก็เพื่อหวังประโยชน์ต่อชาติจริง ๆ ข้าพเจ้าได้ตั้งใจช่วยเหลือให้ท่านทำการงาน สำเร็จเรียบร้อยอย่างดีที่สุดที่จะเป็นไปได้ โดยที่ข้าพเจ้ามีความเห็นใจในความคิดของท่าน…

“ข้อที่ข้าพเจ้าดีใจมากนั้น คือในคำขอขมานั้น ท่านได้กล่าวถึงสมเด็จพระมหากษัตริย์ และเจ้านายในราชวงศ์จักรีว่า ได้ทรงมีส่วนในการนำความเจริญมาสู่ประเทศสยามด้วยหลายพระองค์ด้วยกัน ซึ่งเป็นความจริง”

พระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) ตอบกลับการขอขมาของคณะราษฎร

เรียบเรียงโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เพิ่มศักดิ์ จะเรียมพันธ์ กลุ่มวิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง

'เสี่ยเท้ง' แจงดรามาไม่แจกของน้ำท่วม เพราะอยู่ในช่วง 180 วันก่อนเลือกตั้ง

(28 ส.ค. 67) ที่รัฐสภา นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน เปิดเผยถึงดรามาพรรคประชาชนไม่แจกของน้ำท่วม ว่า เป็นข้อเท็จจริงในเชิงกฎหมาย ภายใน 180 วันก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง ไม่สามารถแจกของได้ ตัวแทนของพรรคประชาชนก็ต้องระมัดระวัง แต่ที่ตนพูดในเวทีปราศรัยไม่ได้หมายความว่าการแจกของเป็นสิ่งที่ผิด

ทั้งนี้ หากย้อนไปดูงานต่าง ๆ ของสส.ในพรรค ช่วงวิกฤตที่ประชาชนต้องการจริง ๆ พวกข้าวสารอาหารแห้งก็เป็นสิ่งที่ทำได้ เพราะฉะนั้นการแจกของก็ดูที่ความเหมาะสมความต้องการของประชาชน ไม่ใช่แจกเพื่อระบบอุปถัมภ์ ให้ประชาชนในพื้นที่รู้สึกว่าต้องตอบแทน

ส่วนที่มีคนเอาไปเทียบกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นั้น นายณัฐพงษ์กล่าวว่า เป็นเรื่องที่องค์กรอิสระ ซึ่งกกต.หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงไปดูว่าพรรคอื่นทำผิดหรือไม่ผิด

'ชัยวุฒิ' ลั่น!! พปชร.พร้อมไปต่อ เมิน!! ระบบดูดคน ทำทะเลาะกัน แง้ม!! เตรียมคุยกับพรรคปชช. แต่ไม่เอี่ยวทุกเรื่อง โดยเฉพาะ 112

(28 ส.ค.67) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์กรณีที่กรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย มีมติไม่ร่วมรัฐบาลกับ พรรค พปชร.ว่า...

"ที่จริงพอจะทราบแนวทางมาว่า เขาไม่เห็นด้วยและไม่ยอมรับรายชื่อรัฐมนตรีที่เราเสนอ โดยสร้างเงื่อนไขบางอย่างขึ้นมา เมื่อมีมติออกมาแบบนี้ก็ชัดเจน เราทำหน้าที่ฝ่ายค้าน ส่วนที่อ้างเหตุผลว่าพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคพปชร.ไม่ให้ความร่วมมือ ไม่ลงมติโหวต น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกฯ เราชี้แจงไปแล้วว่าหัวหน้าพรรคติดภารกิจ ไม่สามารถไปโหวตได้ แต่สส. 39 เสียงไปโหวตให้หมด จึงไม่น่าใช่สาระสำคัญที่ไม่นำพปชร.ไปร่วมรัฐบาล สำหรับสส.พปชร.ฝั่ง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรค ยังไม่มีการดำเนินการอะไร เพราะพล.อ.ประวิตร ถือว่าทุกคนเป็นสมาชิกพรรค อย่าทะเลาะกัน"

เมื่อถามว่ามองทิศทางการเมืองจากนี้อย่างไร? นายชัยวุฒิ กล่าวว่า "การที่เขาทำการเมืองแบบนี้ การเมืองแบบดูด สส.ไม่มีระบบการเมืองที่ชัดเจน ทำตามข้อตกลงหรือผลประโยชน์ที่ตกลงกัน เชื่อว่า สุดท้ายจะมีการขัดกันหรือไม่เป็นไปตามข้อตกลง จะมีการเรียกร้องอะไรบางอย่างที่ทำไม่ได้ จะมีปัญหาในอนาคต เพราะการเมืองไม่ได้เป็นระบบพรรค ไม่เข้มแข็ง ไม่อยู่ในกรอบกติกา สุดท้ายเชื่อว่า จะเกิดการทะเลาะกันเพราะผลประโยชน์ไม่ลงตัว การเมืองจะไม่นิ่ง ทำงานยาก และไม่ราบรื่น" 

ผู้สื่อข่าวถามว่า หาก สส.ฝั่ง ร.อ.ธรรมนัส โหวตไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกับพรรคจะทำอย่างไร? นายชัยวุฒิ กล่าวว่า "เป็นแนวคิดของเขา ขณะนี้ยังไม่ถึงเวลาจึงตอบไม่ได้ว่าจะดำเนินการอย่างไร ให้ไปถึงจุดนั้นก่อน ขณะนี้พรรคพปชร.จะอยู่อย่างนี้ไปสักระยะ ยังไม่ขยับอะไร"

เมื่อถามว่าจะประชุมพรรค เพื่อหารือในเรื่องนี้หรือไม่? นายชัยวุฒิ กล่าวว่า "มีการประชุมพรรคเป็นประจำ และคุยกันตลอด วันนี้เราทำหน้าที่ฝ่ายค้าน พร้อมทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาล และนำเสนออะไรที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน"

เมื่อถามว่า จะทำงานร่วมกับพรรคประชาชน ที่มีแนวคิดทางการเมืองต่างกันได้หรือไม่? นายชัยวุฒิ กล่าวว่า "ต้องพูดคุยกัน เราไม่ได้เป็นพรรครัฐบาล มีหน้าที่ในการอภิปราย เรื่องการลงมติ การแบ่งเวลาอภิปราย ต้องคุยกันว่าจะไปในทิศทางใด และเชื่อว่าคงคุยกันได้"

เมื่อถามย้ำว่า เรื่องแก้ไขมาตรา 112 ทั้งสองพรรคเดินเหมือนเส้นขนาน? นายชัยวุฒิ กล่าวว่า "คงไม่ถึงขนาดไปในทางเดียวกันทุกเรื่อง พรรคร่วมฝ่ายค้านในอดีตก็ไม่ได้ไปในทางเดียวกันทุกเรื่อง และเรื่องมาตรา 112 มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญอยู่ว่าไม่สามารถแก้ไขได้"

‘บิ๊กป้อม’ เซ็นมอบ ‘วัน อยู่บำรุง’ คุม ‘พลังประชารัฐ กทม.’ ดำเนินกิจกรรมทางการเมือง ตามอุดมการณ์-นโยบายพรรคฯ

(28 ส.ค. 67) มีรายงานข่าวจากพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) แจ้งว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้ลงนามในคำสั่งพรรค พปชร.ที่ 7/2567 เรื่อง มอบหมายผู้รับผิดชอบพื้นที่กรุงเทพมหานคร มีเนื้อหาว่า เพื่อให้การบริหารงานของพรรคพลังประชารัฐเป็นไปด้วยความเรียบร้อย บรรลุตามอุดมการณ์ วัตถุประสงค์และนโยบายของพรรค

อาศัยอำนาจตามข้อบังคับพรรคพลังประชารัฐ พ.ศ. 2561 และแก้ไขเพิ่มเติม ข้อ 17 (1) (จ) จึงขอมอบหมายให้นายวัน อยู่บำรุง เป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินงานและการประสานงาน งานกิจกรรมทางการเมืองของพรรคในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

‘เอกนัฏ’ แจง ไปให้การศาลและเจ้าพนักงานเป็นประจำ ยัน!! ไม่เคยพูด “คำพูดของทักษิณ ไม่เข้ามาตรา 112”

(27 ส.ค. 67) รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'Harirak Sutabutr' ระบุข้อความว่า...

คุณวัชระ เพชรทอง ออกมาให้ข่าวว่า คุณเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ มีชื่อเป็นพยานให้คุณทักษิณ ในคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่อัยการสั่งฟ้องไปแล้ว จากนั้นสำนักข่าวต่าง ๆ ต่างก็รายงานข่าวกันอย่างกว้างขวาง 

ฟังรายงานข่าวแล้วค่อนข้างสับสน บางสำนักรายงานว่า การไปเป็นพยานแต่ละฝ่ายคือ โจทก์และจำเลย จะต้องระบุรายชื่อพยานทางฝ่ายตัวเองยื่นต่อศาล แสดงว่าคุณทักษิณเสนอชื่อคุณเอกนัฏเป็นพยานฝ่ายจำเลย จึงมีคำถามว่า เหตุใดคุณทักษิณจึงเลือกคนที่เป็นศัตรูไปเป็นพยาน หรือเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับการที่พรรครวมไทยสร้างชาติเสนอชื่อคุณเอกนัฏเป็นรัฐมนตรี ทำให้คนที่ไม่ได้ตามข่าวอย่างละเอียดเข้าใจไปต่าง ๆ นานา จนกระทั่งคุณอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ออกมาให้ข่าวแทนคุณเอกนัฏว่า ที่คุณเอกนัฏไปเป็นพยานนั้น เป็นการให้ปากคำในชั้นการสอบสวนของตำรวจ ตำรวจมีหมายเรียกให้ไปให้ปากคำ ซึ่งเสร็จสิ้นไปแล้วตั้งแต่ต้นปี จึงไม่เกี่ยวกับตำแหน่งรัฐมนตรีแต่อย่างใด 

หลังจากนั้นก็มีการตอบโต้คำอธิบายของคุณอรรถวิชช์จากฝ่ายต่าง ๆ ว่า ตำรวจจะไม่เรียกตัวไปให้ปากคำเองโดยไม่มีการระบุชื่อจากโจทก์หรือจำเลย ดังนั้นคุณทักษิณจะต้องระบุชื่อให้คุณเอกนัฏเป็นพยานฝ่ายจำเลยอย่างแน่นอน การที่คุณอรรถวิชช์ให้ข่าวเช่นนั้น จึงน่าจะไม่ใช่ความจริง

ในฐานะที่ผมเคยมีประสบการณ์ให้ปากคำกับตำรวจในคดีความผิดตามมาตรา 112 มาครั้งหนึ่ง จึงขอให้ข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงดังนี้...

1. เมื่อมีผู้ไปร้องต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจว่ามีผู้ที่กระทำสิ่งที่เข้าข่ายเป็นความผิดตามมาตรา 112 เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เป็นพนักงานสอบสวน จะทำการรวบรวมพยานหลักฐาน และถามความเห็นจากบุคคลต่าง ๆ ซึ่งอาจใช้เวลานานเป็นปี จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจมีความมั่นใจในพยานหลักฐานแล้วก็จะส่งต่อไปที่สำนักงานอัยการสูงสุด หากเห็นว่าไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอ ก็อาจไม่ส่งไปยังอัยการ และคดีก็จะจบลงในชั้นตำรวจ

2. ในชั้นการสืบสวนของตำรวจ ยังไม่มีโจทก์หรือจำเลย มีแต่ผู้ถูกกล่าวหา จึงยังไม่มีการเสนอรายชื่อพยานในชั้นนี้ไม่ว่าฝ่ายใด 

3. กรณีคุณทักษิณ เรื่องผ่านการรวบรวมพยานหลักฐานของตำรวจไปถึงอัยการ และอัยการสูงสุดสั่งฟ้องไปแล้ว เรื่องในขณะนี้อยู่ที่ศาล และมีการนัดตรวจสอบพยานหลักฐานไปแล้ว แต่ยังไม่ได้มีการสืบพยานแต่อย่างใด จะมีการสืบพยานครั้งแรกในเดือนกรกฎาคมปีหน้า

การที่คุณอรรถวิชช์ให้ข่าวว่าคุณเอกนัฏได้ไปให้การกับตำรวจไปตั้งแต่ต้นปีแล้ว น่าจะคลาดเคลื่อนเพราะจากที่เป็นข่าว คดีนี้ผ่านจากตำรวจไปถึงสำนักงานอัยการสูงสุดหลายปีแล้ว แต่ที่ยังไม่สั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องเป็นเพราะตัวคุณทักษิณอยู่ต่างประเทศ ไม่สามารถมาฟังคำสั่งของอัยการได้ แต่ก็อาจเป็นไปได้ว่า ตำรวจ ได้เชิญคุณเอกนัฏไปให้ความเห็นในคดีคุณทักษิณหลายปีมาแล้ว ซึ่งคุณเอกนัฏเท่านั้นที่สามารถบอกได้ 

ผมเองเคยได้รับการติดต่อจากตำรวจซึ่งเป็นรองผู้กำกับจากกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อไปให้ความเห็นเกี่ยวกับผู้ถูกร้องว่ากระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งไม่ใช่เป็นหมายเรียก และเราสามารถปฏิเสธไม่ไปก็ได้ แต่ผมก็ไป เมื่อไปถึงท่านรองผู้กำกับก็นำโพสต์ของบุคคลหนึ่งใน Social Media ซึ่งมีคำว่า 'เจ้านาย' ว่าอ่านแล้วคิดอย่างไร ซึ่งเราก็ต้องอ่านข้อความทั้งหมดเสียก่อน จึงจะให้ความเห็นได้ เพราะคำว่า 'เจ้านาย' จะหมายถึงใครย่อมขึ้นอยู่ว่าอยู่ในบริบทไหน ความเห็นเราจึงอาจเป็นคุณหรือเป็นโทษต่อผู้ถูกร้องก็ได้ ซึ่งก็น่าจะคล้าย ๆ กับคดีคุณทักษิณที่มีคำว่า 'Palace Circle' ที่จะต้องตีความว่า หมายถึงใครบ้าง 

ดังนั้นหากคุณเอกนัฏไปให้ความเห็นต่อตำรวจในลักษณะที่ผมเคยไป ก็แสดงว่าคุณเอกนัฏไม่ได้เป็นพยานให้แก่คุณทักษิณแต่อย่างใด เพียงไปให้ความเห็นต่อตำรวจที่เป็นพนักงานสอบสวนในคดีคุณทักษิณเท่านั้น 

อย่างไรก็ดี คุณเอกนัฏควรต้องออกมาแถลงด้วยตัวเองว่า ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ก่อนที่จะมีการวิพากษ์วิจารณ์กันจนเลอะเทอะ และทำให้เสียชื่อเสียงไปโดยใช่เหตุ 

หวังว่าที่ยังเงียบอยู่คงไม่ใช่เป็นเพราะคุณเอกนัฏมีชื่อเป็นพยานให้จำเลยคือ คุณทักษิณในชั้นศาลจริง ๆ ไม่ใช่เป็นแต่เพียงเป็นการให้ความเห็นในชั้นตำรวจอย่างที่คุณอรรถวิชช์ให้ข่าว หากเป็นเช่นนั้นจริงก็เป็นเรื่องน่าเสียดายมาก

ทั้งนี้ ด้านนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ สส.บัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ออกมาโพสต์คอมเมนต์ข้อความขอบคุณ รศ.หริรักษ์ ที่ช่วยขยายความ พร้อมทั้งให้ข้อมูลเพิ่มเติมดังนี้ว่า...

"ตำรวจออกหมายเรียกโดยอ้างว่าอัยการสูงสุดมีคำสั่งให้ไปสอบเพิ่มเมื่อต้นปีจริงครับ ช่วงเดือนมีนาคม ผมไม่เคยเจรจา ซักซ้อมใด ๆ ครับ ในหมายเรียกไม่ได้ระบุว่าเหตุการณ์ช่วงไหน ระบุแต่ผู้ถูกกล่าวหา ข้อหา แต่ไม่ได้บรรยายพฤติกรรมครับ ซึ่งไม่นานมานี้ ผมเคยถูกเชิญโดยตำรวจไปให้ข้อมูลเกี่ยวกับกรณีอื่น เราก็ไปตามหนังสือ ส่วนว่าจะต้องไปเป็นพยานในชั้นศาลหรือไม่นั้น ถึงวันนี้ ไม่ทราบเลยครับ ทราบแต่ว่าอัยการได้ส่งฟ้องไปแล้วครับ"

ขณะที่ด้าน ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็ได้ตอบคอมเมนต์ นายเอกนัฏ ด้วยว่า "ควรชี้แจงตั้งแต่ตอนโดนกล่าวหาแล้วนะครับ"

ขณะที่ รศ.หริรักษ์ ได้ตอบกลับคอมเมนต์ของ นายเอกนัฏ ด้วยว่า "เข้าใจแล้วครับ โล่งอกที่คุณเอกนัฏไม่ได้เป็นพยานให้จำเลย และไปให้ข้อมูลต่อตำรวจ เมื่ออัยการมีคำสั่งให้สอบเพิ่มเติม ขอบคุณที่ชี้แจงครับ"

ทั้งนี้ มีชาวเน็ตท่านหนึ่งเข้ามาถามคอมเมนต์ของนายเอกนัฏ ด้วยว่า "เรื่องตำรวจออกหมายเรียกหรือจะไปเองก็เรื่องนึง แต่สังคมอยากรู้ว่าคุณเอกนัฏพูดประโยคนี้ "…(การ)บอกว่าคำพูดของทักษิณไม่เข้ามาตรา 112 นั้น" ตามที่ วัชระ เพชรทอง กล่าวหา ว่าเป็นความจริงหรือป่าวก็แค่นั้นเอง"

ด้าน นายเอกนัฏ ตอบกลับทันทีว่า "ไม่เคยพูดประโยคนี้ครับ" ซึ่งชาวเน็ตก็มองว่า "หากมีการนำคำอ้างแบบนี้มาใช้ ก็สมควรดำเนินการฟ้องผู้กล่าวอ้างคืนเสียบ้าง"

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ในมุมมองของชาวเน็ตส่วนใหญ่ ยังเห็นไปในทางเดียวกันอีกด้วยว่า "นี่คือสิ่งที่น่าเป็นห่วงของพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ชอบทำอะไรเงียบๆ ไม่ค่อยออกมาตอบเรื่องใด ๆ ในทันที อย่างเรื่องดี ๆ ที่ทำไป ก็มักจะหายเข้ากลีบเมฆ แต่ถ้าเป็นเรื่องปมดรามาหรือประเด็นทางสังคม ก็มักจะปล่อยให้ถูกนำมาโจมตีและแพร่กระจายในโซเชียลโดยไม่มีการชี้แจงทันที... พรรค รทสช.ควรทำงานด้านการสื่อสารเพิ่มบ้าง"

'รศ.หริรักษ์' วิเคราะห์ปม 'เอกนัฏ' เชื่อ!! ไม่ได้เป็นพยานให้แก่คุณทักษิณแต่อย่างใด ด้านโซเชียล ติง!! 'เอกนัฏ' อย่าเป็น 'ผู้บริสุทธิ์' ที่สุดท้ายต้องถูกวิจารณ์กันเลอะเทอะ

(27 ส.ค.67) รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'Harirak Sutabutr' ระบุข้อความว่า...

คุณวัชระ เพชรทอง ออกมาให้ข่าวว่า คุณเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ มีชื่อเป็นพยานให้คุณทักษิณ ในคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่อัยการสั่งฟ้องไปแล้ว จากนั้นสำนักข่าวต่าง ๆ ต่างก็รายงานข่าวกันอย่างกว้างขวาง 

ฟังรายงานข่าวแล้วค่อนข้างสับสน บางสำนักรายงานว่า การไปเป็นพยานแต่ละฝ่ายคือ โจทก์และจำเลย จะต้องระบุรายชื่อพยานทางฝ่ายตัวเองยื่นต่อศาล แสดงว่าคุณทักษิณเสนอชื่อคุณเอกนัฏเป็นพยานฝ่ายจำเลย จึงมีคำถามว่า เหตุใดคุณทักษิณจึงเลือกคนที่เป็นศัตรูไปเป็นพยาน หรือเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับการที่พรรครวมไทยสร้างชาติเสนอชื่อคุณเอกนัฏเป็นรัฐมนตรี ทำให้คนที่ไม่ได้ตามข่าวอย่างละเอียดเข้าใจไปต่าง ๆ นานา จนกระทั่งคุณอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ออกมาให้ข่าวแทนคุณเอกนัฏว่า ที่คุณเอกนัฏไปเป็นพยานนั้น เป็นการให้ปากคำในชั้นการสอบสวนของตำรวจ ตำรวจมีหมายเรียกให้ไปให้ปากคำ ซึ่งเสร็จสิ้นไปแล้วตั้งแต่ต้นปี จึงไม่เกี่ยวกับตำแหน่งรัฐมนตรีแต่อย่างใด 

หลังจากนั้นก็มีการตอบโต้คำอธิบายของคุณอรรถวิชช์จากฝ่ายต่าง ๆ ว่า ตำรวจจะไม่เรียกตัวไปให้ปากคำเองโดยไม่มีการระบุชื่อจากโจทก์หรือจำเลย ดังนั้นคุณทักษิณจะต้องระบุชื่อให้คุณเอกนัฏเป็นพยานฝ่ายจำเลยอย่างแน่นอน การที่คุณอรรถวิชช์ให้ข่าวเช่นนั้น จึงน่าจะไม่ใช่ความจริง

ในฐานะที่ผมเคยมีประสบการณ์ให้ปากคำกับตำรวจในคดีความผิดตามมาตรา 112 มาครั้งหนึ่ง จึงขอให้ข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงดังนี้...

1. เมื่อมีผู้ไปร้องต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจว่ามีผู้ที่กระทำสิ่งที่เข้าข่ายเป็นความผิดตามมาตรา 112 เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เป็นพนักงานสอบสวน จะทำการรวบรวมพยานหลักฐาน และถามความเห็นจากบุคคลต่าง ๆ ซึ่งอาจใช้เวลานานเป็นปี จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจมีความมั่นใจในพยานหลักฐานแล้วก็จะส่งต่อไปที่สำนักงานอัยการสูงสุด หากเห็นว่าไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอ ก็อาจไม่ส่งไปยังอัยการ และคดีก็จะจบลงในชั้นตำรวจ

2. ในชั้นการสืบสวนของตำรวจ ยังไม่มีโจทก์หรือจำเลย มีแต่ผู้ถูกกล่าวหา จึงยังไม่มีการเสนอรายชื่อพยานในชั้นนี้ไม่ว่าฝ่ายใด 

3. กรณีคุณทักษิณ เรื่องผ่านการรวบรวมพยานหลักฐานของตำรวจไปถึงอัยการ และอัยการสูงสุดสั่งฟ้องไปแล้ว เรื่องในขณะนี้อยู่ที่ศาล และมีการนัดตรวจสอบพยานหลักฐานไปแล้ว แต่ยังไม่ได้มีการสืบพยานแต่อย่างใด จะมีการสืบพยานครั้งแรกในเดือนกรกฎาคมปีหน้า

การที่คุณอรรถวิชช์ให้ข่าวว่าคุณเอกนัฏได้ไปให้การกับตำรวจไปตั้งแต่ต้นปีแล้ว น่าจะคลาดเคลื่อนเพราะจากที่เป็นข่าว คดีนี้ผ่านจากตำรวจไปถึงสำนักงานอัยการสูงสุดหลายปีแล้ว แต่ที่ยังไม่สั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องเป็นเพราะตัวคุณทักษิณอยู่ต่างประเทศ ไม่สามารถมาฟังคำสั่งของอัยการได้ แต่ก็อาจเป็นไปได้ว่า ตำรวจ ได้เชิญคุณเอกนัฏไปให้ความเห็นในคดีคุณทักษิณหลายปีมาแล้ว ซึ่งคุณเอกนัฏเท่านั้นที่สามารถบอกได้ 

ผมเองเคยได้รับการติดต่อจากตำรวจซึ่งเป็นรองผู้กำกับจากกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อไปให้ความเห็นเกี่ยวกับผู้ถูกร้องว่ากระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งไม่ใช่เป็นหมายเรียก และเราสามารถปฏิเสธไม่ไปก็ได้ แต่ผมก็ไป เมื่อไปถึงท่านรองผู้กำกับก็นำโพสต์ของบุคคลหนึ่งใน Social Media ซึ่งมีคำว่า 'เจ้านาย' ว่าอ่านแล้วคิดอย่างไร ซึ่งเราก็ต้องอ่านข้อความทั้งหมดเสียก่อน จึงจะให้ความเห็นได้ เพราะคำว่า 'เจ้านาย' จะหมายถึงใครย่อมขึ้นอยู่ว่าอยู่ในบริบทไหน ความเห็นเราจึงอาจเป็นคุณหรือเป็นโทษต่อผู้ถูกร้องก็ได้ ซึ่งก็น่าจะคล้าย ๆ กับคดีคุณทักษิณที่มีคำว่า 'Palace Circle' ที่จะต้องตีความว่า หมายถึงใครบ้าง 

ดังนั้นหากคุณเอกนัฏไปให้ความเห็นต่อตำรวจในลักษณะที่ผมเคยไป ก็แสดงว่าคุณเอกนัฏไม่ได้เป็นพยานให้แก่คุณทักษิณแต่อย่างใด เพียงไปให้ความเห็นต่อตำรวจที่เป็นพนักงานสอบสวนในคดีคุณทักษิณเท่านั้น 

อย่างไรก็ดี คุณเอกนัฏควรต้องออกมาแถลงด้วยตัวเองว่า ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ก่อนที่จะมีการวิพากษ์วิจารณ์กันจนเลอะเทอะ และทำให้เสียชื่อเสียงไปโดยใช่เหตุ 

หวังว่าที่ยังเงียบอยู่คงไม่ใช่เป็นเพราะคุณเอกนัฏมีชื่อเป็นพยานให้จำเลยคือ คุณทักษิณในชั้นศาลจริง ๆ ไม่ใช่เป็นแต่เพียงเป็นการให้ความเห็นในชั้นตำรวจอย่างที่คุณอรรถวิชช์ให้ข่าว หากเป็นเช่นนั้นจริงก็เป็นเรื่องน่าเสียดายมาก

ทั้งนี้ ด้านนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ สส.บัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ออกมาโพสต์คอมเมนต์ข้อความขอบคุณ รศ.หริรักษ์ ที่ช่วยขยายความ พร้อมทั้งให้ข้อมูลเพิ่มเติมดังนี้ว่า...

"ตำรวจออกหมายเรียกโดยอ้างว่าอัยการสูงสุดมีคำสั่งให้ไปสอบเพิ่มเมื่อต้นปีจริงครับ ช่วงเดือนมีนาคม ผมไม่เคยเจรจา ซักซ้อมใด ๆ ครับ ในหมายเรียกไม่ได้ระบุว่าเหตุการณ์ช่วงไหน ระบุแต่ผู้ถูกกล่าวหา ข้อหา แต่ไม่ได้บรรยายพฤติกรรมครับ ซึ่งไม่นานมานี้ ผมเคยถูกเชิญโดยตำรวจไปให้ข้อมูลเกี่ยวกับกรณีอื่น เราก็ไปตามหนังสือ ส่วนว่าจะต้องไปเป็นพยานในชั้นศาลหรือไม่นั้น ถึงวันนี้ ไม่ทราบเลยครับ ทราบแต่ว่าอัยการได้ส่งฟ้องไปแล้วครับ"

ขณะที่ด้าน ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็ได้ตอบคอมเมนต์ นายเอกนัฏ ด้วยว่า "ควรชี้แจงตั้งแต่ตอนโดนกล่าวหาแล้วนะครับ"

ขณะที่ รศ.หริรักษ์ ได้ตอบกลับคอมเมนต์ของ นายเอกนัฏ ด้วยว่า "เข้าใจแล้วครับ โล่งอกที่คุณเอกนัฏไม่ได้เป็นพยานให้จำเลย และไปให้ข้อมูลต่อตำรวจ เมื่ออัยการมีคำสั่งให้สอบเพิ่มเติม ขอบคุณที่ชี้แจงครับ"

ทั้งนี้ มีชาวเน็ตท่านหนึ่งเข้ามาถามคอมเมนต์ของนายเอกนัฏ ด้วยว่า "เรื่องตำรวจออกหมายเรียกหรือจะไปเองก็เรื่องนึง แต่สังคมอยากรู้ว่าคุณเอกนัฏพูดประโยคนี้ "…(การ)บอกว่าคำพูดของทักษิณไม่เข้ามาตรา 112 นั้น" ตามที่ วัชระ เพชรทอง กล่าวหา ว่าเป็นความจริงหรือป่าวก็แค่นั้นเอง"

ด้าน นายเอกนัฏ ตอบกลับทันทีว่า "ไม่เคยพูดประโยคนี้ครับ" ซึ่งชาวเน็ตก็มองว่า "หากมีการนำคำอ้างแบบนี้มาใช้ ก็สมควรดำเนินการฟ้องผู้กล่าวอ้างคืนเสียบ้าง"

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ในมุมมองของชาวเน็ตส่วนใหญ่ ยังเห็นไปในทางเดียวกันอีกด้วยว่า "นี่คือสิ่งที่น่าเป็นห่วงของพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ชอบทำอะไรเงียบๆ ไม่ค่อยออกมาตอบเรื่องใด ๆ ในทันที อย่างเรื่องดี ๆ ที่ทำไป ก็มักจะหายเข้ากลีบเมฆ แต่ถ้าเป็นเรื่องปมดรามาหรือประเด็นทางสังคม ก็มักจะปล่อยให้ถูกนำมาโจมตีและแพร่กระจายในโซเชียลโดยไม่มีการชี้แจงทันที... พรรค รทสช.ควรทำงานด้านการสื่อสารเพิ่มบ้าง"

'อ.ไชยันต์' แชร์!! การยุบพรรคในฝรั่งเศส โดนมาแล้วเกือบ 100 พรรค จาก 'รัฐบาล-ศาล' ถาม!! อยากให้ไทย เปลี่ยนจากศาล รธน.มาเป็นรัฐบาลสั่งยุบพรรคได้แบบฝรั่งเศสไหม?

(27 ส.ค. 67) ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์ประจำภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊ก Chaiyan Chaiyaporn ระบุว่า… “มารู้เรื่องการเมืองฝรั่งเศสกันครับ” / “การยุบพรรคการเมืองในฝรั่งเศส” รายงานตรงจากกรุงปารีส โดย คุณ ‘ณิเชล’

Bonjour de Paris, สวัสดีจากปารีสค่ะ

วันนี้ ณิเชลจะมาแชร์เรื่องการยุบพรรคการเมืองของประเทศฝรั่งเศสโดยย่อให้ค่ะ

พรรคการเมืองและกลุ่มการเมือง ต้องจดเป็นสมาคม (association) ก่อน ตามกฎหมายเกี่ยวกับสมาคม (la loi du 1er juillet 1901)

หากพรรคการเมืองและกลุ่มการเมือง ได้ละเมิด มาตรา 4 ของรัฐธรรมนูญ เกี่ยวกับความเป็นประชาธิปไตยและรัฐอธิปไตย (sovereign state), มาตรา 3 ของกฎหมายเกี่ยวกับสมาคม (la loi du 1er juillet 1901)

ทั้งรัฐบาลและศาล ‘ทริบูนาล จูดิซีแยร์’ (tribunal judiciaire) สามารถยุบพรรคการเมืองและกลุ่มการเมืองได้

รัฐบาลมีอำนาจยุบพรรคการเมืองและกลุ่มการเมือง โดยการออก ‘เดเคร’ (décret = decree) ตาม มาตรา L212-1 ของกฎหมายความมั่นคง หลังจากที่ได้มีมติในการประชุม ‘กงไซย์ เด มินิสตร์’ (Conseil des ministres = council of ministers) ของประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีและรัฐมนตรีความมั่นคง ‘มินิสตร์ ดังเตรีเยอร์’ (ministre d’Intérieur)

พรรคการเมืองหรือกลุ่มการเมือง ที่เข้าเกณฑ์ถูกยุบ ส่วนมากเป็นพวกหัวรุนแรง ‘เอ็กซเทร็ม’ (extrême ) ทั้งฝ่ายซ้ายและขวา ที่ :

1.สร้าง Discrimination, เหยียด (racist), เกลียดชาวต่างชาติ (Xenophobia)

2.ยุยงให้มีการเกลียดชังหรือสร้างความรุนแรงต่อกลุ่มคน ด้วยเหตุผลเชื้อชาติ, เพศ และ sexual orientation

3.ก่อให้เกิดการชุมนุมประท้วงติดอาวุธ

4.มีลักษณะเป็น ‘มีลิส’ (milice) คือ กองกำลังกึ่งทหารทางการเมือง ตามกฎหมาย 10 มกราคม 1936 (แก้ไขเพิ่มเติมในปี 1972)

5.ต้องการแบ่งแยกดินแดนเพื่อปกครองเอง (independentist, separatist)

6.เข้าข่ายการก่อการร้าย (terrorist)

ตั้งแต่มีการประกาศใช้กฎหมาย ‘มีลิส’ ในปี ค.ศ. 1936 มาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 5 มีกลุ่มการเมืองและพรรคการเมืองถูกยุบ รวมกันเกือบ 100 กลุ่ม/พรรค

ล่าสุด เป็น :

1.พรรคเล็กขวาจัด ชื่อ Civitas ‘ซีวีตัส’ มีแนวทางเน้นศาสนา, ต่อต้านชาวยิว (anti-semistism) และการสมรสเท่าเทียม ถูกยุบในวันที่ 4 ตุลาคม 2023 โดยรัฐบาล

2.กลุ่มการเมืองขวาจัด ใช้ความรุนแรง ชื่อ Les Remparts ‘เล ร็องปาร์’ อยู่ที่เมือง Lyon ‘ลียง’ ทางตอนใต้ มีแนวทางในการต่อต้านผู้อพยพ (immigrant) และเกลียดชาวต่างชาติ (Xenophobia) ถูกยุบในวันที่ 26 มิถุนายน 2024 โดยรัฐบาล

Voilà, à la prochaine (วัวลา อา ลา โพรเช็น) ไว้พบกันครั้งหน้าค่ะ

#ณิเชลการเมืองฝรั่งเศส

ศ.ดร.ไชยันต์ โพสต์ความเห็นเพิ่มเติมว่า คำถามสำหรับผู้ไม่เห็นด้วยกับศาลรัฐธรรมนูญในบ้านเรา คือ ถ้าบ้านเรา เปลี่ยนจากศาลรัฐธรรมนูญมาเป็นให้รัฐบาลมีอำนาจออกกฎหมายยุบพรรค และ ศาลสามารถยุบได้ ตามแบบฝรั่งเศส จะยอมรับและเป็นธรรมมากกว่าไหมครับ?


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top