Thursday, 25 April 2024
POLITICS NEWS

โฆษกรัฐบาล ชี้ รัฐบาลอยู่ได้ด้วยศรัทธาประชาชน ต่อ ‘ลุงตู่’ จวก ฝ่ายค้าน ผุดแคมเปญไล่นายกฯ ไม่เหมาะสม ไม่ควรขยายผลนอกสภา จี้ ทบทวน

เมื่อวันที่ 26 ส.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย แถลงข่าวเชิญชวนประชาชนร่วมลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลเป็นกลไกหนึ่งในการตรวจสอบรัฐบาลตามระบอบประชาธิปไตยของพรรคร่วมฝ่ายค้าน ซึ่งเป็นสิทธิที่ชอบธรรมและสามารถดำเนินการได้ แต่การเชิญชวนพี่น้องประชาชนให้ร่วมลงชื่อโหวตไม่วางใจรัฐบาลด้วยนั้น ฝ่ายค้านต้องทบทวนให้ดีว่าเหมาะสมหรือไม่ เพราะการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลควรเป็นเรื่องที่ดำเนินการภายในที่ประชุมสภา ไม่ควรนำไปขยายผลออกไปสู่นอกสภา 

หากฝ่ายค้านมั่นใจว่ามีข้อมูลเพียงพอ ก็สามารถนำมาแสดงและอภิปรายต่อที่ประชุมสภาได้ จากนั้นก็ยังสามารถยื่นให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อตามขั้นตอนได้อีกด้วย ตนอยากให้การอภิปรายนั้นเป็นไปด้วยเหตุและผล ไม่ใช่ใช้เป็นเวทีสาดโคลนใส่กัน โดยรัฐบาลจะถือโอกาสนี้ชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจกับประชาชนถึงนโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาลด้วยเช่นกัน

นายธนกร กล่าวว่า ส่วนกรณีที่ฝ่ายค้านระบุว่า เสียงข้างมากของ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลในสภารวมกับเสียงของสมาชิกวุฒิสภา ค้ำจุนการอยู่รอดของรัฐบาลและการดำรงอยู่ในตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีนั้น ขอชี้แจงว่า การกล่าวหาดังกล่าวถือเป็นการไม่ให้เกียรติสมาชิกวุฒิสภา และเพื่อนส.ส.ในซีกรัฐบาลเกินไปหรือไม่ เพราะสมาชิกวุฒิสภาย่อมมีดุลพินิจของตัวเอง ไม่มีใครไปบังคับหรือสั่งการใด ๆ ได้ 

ขณะที่ ส.ส.รัฐบาลนั้นก็เป็นตัวแทนของประชาชนเช่นเดียวกับ ส.ส.ฝ่ายค้าน ศักดิ์และสิทธิเท่าเทียมกัน แต่วันนี้สิ่งที่ค้ำจุนรัฐบาลอยู่ก็คือ ความเชื่อมั่นและความศรัทธาของประชาชนที่มีต่อ พล.อ.ประยุทธ์ ที่คิดนโยบายต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือประชาชนทุกกลุ่ม อย่างไรก็ตาม วันนี้ประเทศกำลังเผชิญวิกฤตโควิด-19 รัฐบาลทุ่มสรรพกำลังแก้ปัญหาอย่างเต็มที่ เชื่อว่าเมื่อพี่น้องประชาชนให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีอย่างทุกวันนี้ เราจะผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปได้โดยเร็วอย่างแน่นอน


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“สงคราม” อัด “บิ๊กตู่” เปิดช่องทุจริตเชิงนโยบาย หวั่นงบภาษีเกือบหมื่นล้าน ใกล้หาเสียงผ่านโครงการต่างๆ

นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อชาติ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรณีที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี เห็นชอบข้อเสนอโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก รวมเป็นทั้งสิ้น 35 จังหวัด จำนวนโครงการที่ผ่านการอนุมัติ 4,303 โครงการ รวมกรอบวงเงินจัดสรรที่ 9,757.86 ล้านบาท การจัดทำโครงการดังกล่าว รัฐบาลหวังว่าจะเกิดการจ้างงานอย่างน้อย 95,500 คน มีผู้ได้รับประโยชน์มากกว่า 18 ล้านคน และโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก 

แต่จากการพิจารณาโครงการที่รัฐบาลนำเสนอนั้น ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ละเป็นการใช้งบประมาณอย่างมีนัยยะทางการใช้ งบประมาณ เพราะหลายโครงการไม่สมเหตุสมผลและไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ของประเทศ  อาทิ โครงการพัฒนาสินค้า ท่องเที่ยวบริการ และการค้า เช่น การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว พัฒนาผลิตภัณฑ์ การส่งเสริมการตลาด เมื่อสถานการณ์โควิดยังอยู่ในขั้นวิกฤตแล้วจะมีนักท่องเที่ยวที่ไหนมาเที่ยว การพัฒนาสินค้าจะไปขายให้กับใคร 

นายสงคราม กล่าวด้วยว่า หลายจังหวัดได้งบประมาณไปเพื่อ การขุดบ่อบาดาลสำหรับการเกษตร การขยายท่อเพื่อการเกษตร ซึ่งในงบประมาณปี 2565 มีการจัดสรรให้กับแต่ละกระทรวงไปดำเนินการแล้ว การจัดงบประมาณลงไปจึงเป็นการจัดงบประมาณลงไปซ้ำซ้อนและอาจจะเกิดการทุจริตงบประมาณได้ ซึ่งงบประมาณที่ลงไปเป็นงบประมาณหาเสียงมากกว่าพัฒนาพื้นที่

“นอกจากนี้ โครงการที่รัฐบาลกำหนดขึ้นมานั้น น่าสนใจว่าทำไมต้องเร่งรีบใช้เงิน เพื่อประชาชนหรือเพื่อประโยชน์ทางการเมืองมากกว่า หวั่นโครงการดังกล่าวเปิดช่องทุจริต เอื้อประโยชน์ใครหรือไม่และหาโอกาสใช้เงินภาษีหาเสียงทางการเมืองมากกว่าต้องการช่วยเหลือประชาชน”
นายสงคราม กล่าว

“ครูมานิตย์” จี้ โยกงบสัมมนากมธ. ซื้อวัคซีน mRNA บูสเข็ม3ให้ส.ส.-เจ้าหน้าสภาฯที่ทุกคน 

ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาฯคนที่ 2 เป็นประธานการประชุม ทั้งนี้ก่อนเข้าสู่วาระได้เปิดให้สมาชิกหารือถึงปัญหาความเดือดร้อนในพื้นที่ โดยนายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ขอหารือว่า ขอเสนอให้นำงบประมาณในส่วนของการจัดสัมมนาของคณะกรรมาธิการต่างๆที่ต้องลงพื้นที่ไปจัดสัมมนากับประชาชน แต่ไม่สามารถดำเนินการได้ ให้นำงบส่วนตรงนี้ไปจัดซื้อวัคซีน mRNA เพื่อฉีดให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจสภา พ่อค้า แม้ค้า พนักงานทำความสะอาด เจ้าหน้าที่สภาฯ ส.ส.และคนติดตามให้หมด สำหรับตนฉีดซิโนแวค 2 เข็ม เหมือนฉีดน้ำใส่ตัว ลำพังสามารถซื้อฉีดเองได้ แต่ไม่รู้จะไปซื้อที่ใด เมื่อเราต้องประชุมกันแบบนี้ ทางสภาฯควรต้องมาคิดกันใหม่ 

"กมธ.ไม่มีการประชุม ภาระต่างๆ เราจำเป็นต้องงด ต้องเสียโอกาส เสียประโยชน์ จึงขอหารือ รวมทั้งส.ส.ต้องกลับลงพื้นที่ ต้องไปเยี่ยมศูนย์พักคอย สถานที่กักตัว บนแขนเราเต็มไปด้วยซิโนแวค ผมจะไปบูสเข็ม 3 ในพื้นที่โรงพยาบาลที่บ้านก็อายประชาชน เพราะบางคนยังไม่ได้ฉีดกันเลย หรือบางคนฉีดเข็มเดียวซิโนแวค ด้วยซ้ำไป หากอยู่ๆไปฉีด เข็ม 3 ก็อายเขา จึงอยากฝากทางประธานพิจารณา เนื่องจากเป็นเรื่องเร่งด่วน"นายครูมานิตย์ กล่าว 

ด้านนายศุภชัย ชี้แจงว่า ได้รับแจ้งจากทางเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรว่า ทางเจ้าหน้าที่ บุคลากร ส.ส. ฉีดวัคซีนไปแล้วรวม 5 พันกว่าคน ส่วนข้อเสนอของนายครูมานิตย์ ขอฝากเลขาสภาฯนำไปพิจารณาอีกครั้ง 

“สิระ” แต่งชุดดำไว้อาลัย จนกว่าจะจับ “ผกก.โจ้” ได้ ฝาก สภาฯ เร่งนำ พ.ร.บ.อุ้มหายและทรมาน มาใช้ จ่อ เชิญ ผบ.ตร.-ผบช.ภ.6-ผู้การนครสวรรค์-แพทย์-ทนาย เข้าแจงกมธ. เย้ย “เสรีพิศุทธ์” ไม่ขอฟัง หลังบอกไม่มีวัฒนซ้อมผู้ต้องหา เหน็บ กดปุ่มโหวตยังผิด

ที่รัฐสภา นายสิระ เจาจาคะ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่ผู้กำกับโจ้ หรือ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล ผกก.สภ.เมืองนครสวรรค์ มีคลิปฉาวรีดเงินผู้ต้องหาด้วยการคลุมถุงพลาสติกจนเสียชีวิต จนนำไปสู่คำสั่งให้ออกจากราชการและมีการออกหมายจับ รวมถึงมีกระแสข่าวลือว่าเจ้าตัวอาจจะหลบหนีไปแล้วนั้น ว่า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ตนจะแต่งชุดดำเพื่อไว้ทุกข์ให้กับผู้สูญเสียและสำนักงานแห่งชาติ (สตช.) ในฐานะที่เป็นผู้กำกับดูแลตำรวจ ซึ่งได้มีการกระทำซ้อมทรมานกันอย่างโหดเหี้ยมและเปิดโอกาสให้ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ หลบหนีหรือไม่ ทั้งๆ ที่มีหลักฐานเป็นคลิปชัดเจน แต่ทำไมไม่มีการอนุมัติออกหมายจับ มีแค่คำสั่งย้าย โดยตนจะแต่งชุดดำจนกว่าสตช.จะจับพ.ต.อ.ธิติสรรค์ได้และมารับกรรมกับสิ่งที่กระทำไป นอกจากนี้จะมีการตรวจสอบว่าพ.ต.อ.ธิติสรรค์ร่ำรวยผิดปกติหรือไม่ เนื่องจากเมื่อวานนี้ (26 ส.ค.) มีการตรวจสอบทรัพย์สิน เช่น รถ ที่ดิน บ้านและเงินสด 

นายสิระ กล่าวต่อว่า พื้นเพ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ ไม่ใช่คนร่ำรวย แต่มีผู้สนับสนุนเป็นตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ทราบว่าเป็นว่าที่ลูกเขยว่าที่พ่อตากัน รวมทั้งเรื่องกระทำความผิดในการรับราชการลักษณะเดียวกัน และมีการโดนไล่ออกจากราชการ แต่ยังได้กลับมารับราชการใหม่ได้ และมีความเจริญก้าวหน้าในอาชีพข้าราชการตำรวจ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่สตช.ต้องปฏิรูปครั้งใหญ่ วันนี้ขอฝากถึงสภาฯ ขอให้ดำเนินการนำร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) อุ้มหายและทรมานที่คณะกรรมาธิการ (กมธ.) การกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ได้จัดทำเสร็จสิ้นเป็นปีแล้วมาใช้ เพราะหากเร่งดำเนินการจะทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ไม่ต้องได้รับการโดนอุ้มหรือถูกทรมานเพิ่มขึ้นเพราะกฎหมายนี้มีโทษรุนแรง 

เมื่อถามว่ามีข้อมูลจากนายสันธนะ ประยูรรัตน์ อดีตตำรวจสันติบาล ในเรื่องการซ้อมรีดเอาข้อมูล ว่ามีการกระทำกันเป็นปกติอยู่แล้ว ทาง กมธ.กฎหมายฯ จะมีการเรียกมาให้ข้อมูลหรือไม่ นายสิระ กล่าวว่า วันพฤหัสบดีหน้า จะมีการออกหนังสือเชิญผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครสวรรค์ รวมถึงนายแพทย์ที่ออกใบรับรองแพทย์ของผู้ตายว่ามีการออกใบรับรองแพทย์ผิดหรือไม่ และมีการรับผลประโยชน์กันหรือไม่ และขอเรียกร้องไปที่รัฐบาล ซึ่งกมธ.กฎหมายได้ยื่นเรื่องผ่านสภาฯ ไปแล้วเรื่องการแก้ไข ป.วิอาญาในการสอบสวน ซึ่งหากปล่อยพนักงานสอบสวนที่เป็นตำรวจทำการสอบสวนแต่ฝ่ายเดียว การได้ความยุติธรรมของประชาชนอาจจะไม่เพียงพอ จึงต้องมีการขอให้อัยการเข้ามาร่วมการสอบสวนตั้งแต่เบื้องต้น นอกจากนี้จะมีการเชิญทนายที่ได้รับคลิปแต่ไม่ยอมส่งคลิปให้กับพนักงานสอบสวน ที่มีข่าวว่าไปเรียกเงินค่าคลิป 20 ล้านบาทกับ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ มาสอบสวนว่าเพราะอะไรทำไมถึงถือไว้กับตัวเอง 

เมื่อถามถึงกรณีที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวช ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ระบุว่าไม่มีวัฒนธรรมในการซ้อมผู้ต้องหา นายสิระ กล่าวว่า “ผมไม่ฟังท่านหรอก ขนาดกดปุ่มยังผิดเลย แล้วมาแก้ไขมติทีหลัง ซึ่งท่านก็รู้กฎระเบียบข้อบังคับของสภา ผมจึงได้ส่งหนังสือฝากไปที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ให้ไปแก้ไขที่สภาโจ๊ก คิดว่าสิ่งที่พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์พูดค่อนข้างสับสน”

'โฆษกรัฐบาล' จวก 'ฝ่ายค้าน' ผุดแคมเปญไล่นายกฯ ไม่เหมาะสม ไม่ควรขยายผลนอกสภา จี้ ทบทวน

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย แถลงข่าวเชิญชวนประชาชนร่วมลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลเป็นกลไกหนึ่งในการตรวจสอบรัฐบาลตามระบอบประชาธิปไตยของพรรคร่วมฝ่ายค้าน ซึ่งเป็นสิทธิที่ชอบธรรมและสามารถดำเนินการได้ แต่การเชิญชวนพี่น้องประชาชนให้ร่วมลงชื่อโหวตไม่วางใจรัฐบาลด้วยนั้น ฝ่ายค้านต้องทบทวนให้ดีว่าเหมาะสมหรือไม่ เพราะการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลควรเป็นเรื่องที่ดำเนินการภายในที่ประชุมสภา ไม่ควรนำไปขยายผลออกไปสู่นอกสภาหากฝ่ายค้านมั่นใจว่ามีข้อมูลเพียงพอ ก็สามารถนำมาแสดงและอภิปรายต่อที่ประชุมสภาได้ จากนั้นก็ยังสามารถยื่นให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อตามขั้นตอนได้อีกด้วย ตนอยากให้การอภิปรายนั้นเป็นไปด้วยเหตุและผล ไม่ใช่ใช้เป็นเวทีสาดโคลนใส่กัน โดยรัฐบาลจะถือโอกาสนี้ชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจกับประชาชนถึงนโยบายต่างๆ ของรัฐบาลด้วยเช่นกัน

นายธนกร กล่าวว่า ส่วนกรณีที่ฝ่ายค้านระบุว่า เสียงข้างมากของ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลในสภารวมกับเสียงของสมาชิกวุฒิสภา ค้ำจุนการอยู่รอดของรัฐบาลและการดำรงอยู่ในตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีนั้น ขอชี้แจงว่า การกล่าวหาดังกล่าวถือเป็นการไม่ให้เกียรติสมาชิกวุฒิสภา และเพื่อนส.ส.ในซีกรัฐบาลเกินไปหรือไม่ เพราะสมาชิกวุฒิสภาย่อมมีดุลพินิจของตัวเอง ไม่มีใครไปบังคับหรือสั่งการใดๆ ได้ ขณะที่ ส.ส.รัฐบาลนั้นก็เป็นตัวแทนของประชาชนเช่นเดียวกับ ส.ส.ฝ่ายค้าน ศักดิ์และสิทธิเท่าเทียมกัน แต่วันนี้สิ่งที่คำ้จุนรัฐบาลอยู่ก็คือ ความเชื่อมั่นและความศรัทธาของประชาชนที่มีต่อ พล.อ.ประยุทธ์ ที่คิดนโยบายต่างๆ เพื่อช่วยเหลือประชาชนทุกกลุ่ม อย่างไรก็ตาม วันนี้ประเทศกำลังเผชิญวิกฤตโควิด-19 รัฐบาลทุ่มสรรพกำลังแก้ปัญหาอย่างเต็มที่ เชื่อว่าเมื่อพี่น้องประชาชนให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีอย่างทุกวันนี้ เราจะผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปได้โดยเร็วอย่างแน่นอน 

‘พิธา’ ยืนยัน พร้อมสู้ทุกกติกาเลือกตั้ง ด้าน 2 ส.ส.เขต ‘ก้าวไกล’ ซัด ออกแบบระบบเลือกตั้งใหม่ แต่กลับให้ย้อนใช้ระบบเก่า ชี้ ผ่านมาแล้ว 24 ปี บริบทเปลี่ยนแล้วสิ้นเชิง ควรพัฒนาเป็นระบบ ‘บัตรสองใบ’ ที่สะท้อนเสียงของประชาชนถูกตามสัดส่วนจริง

แบบปี 40 ก็ไม่กลัว ‘พิธา’ ยืนยัน พร้อมสู้ทุกกติกาเลือกตั้ง ด้าน 2 ส.ส.เขต ‘ก้าวไกล’ ซัด ออกแบบระบบเลือกตั้งใหม่ แต่กลับให้ย้อนใช้ระบบเก่า ชี้ ผ่านมาแล้ว 24 ปี บริบทเปลี่ยนแล้วสิ้นเชิง ควรพัฒนาเป็นระบบ ‘บัตรสองใบ’ ที่สะท้อนเสียงของประชาชนถูกตามสัดส่วนจริง กระทุ้ง ‘หน้าที่ ส.ส.’ คือใช้อำนาจ ‘นิติบัญญัติ’ แทนประชาชน ไม่ใช่แย่งงานดูแลถนน น้ำ ไฟ ของ ‘ท้องถิ่น’ ไปทำเอง

วันที่ 25 สิงหาคม 2564 ที่อาคารรัฐสภา นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้ร่วมอภิปรายญัตติการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 แก้ไขมาตรา 83 กล่าวว่า น่าเสียดายที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ ไม่สามารถเปิดทางให้มีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญหรือ สสร. มาทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับได้ เพราะการมี สสร. จะเป็นการเปิดพื้นที่ ที่สังคมไทยจะสามารถมาร่วมกันหาฉันทามติใหม่ มาหาทางออกร่วมกันจากประชาชนทุกกลุ่ม ทุกความฝัน เพื่อมาสะสาง หาทางออกจากปัญหาที่ต้นตอได้อย่างแท้จริง

“เมื่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับที่ประชาชนเรียกร้อง ได้ถูกลดทอนลงเหลือแค่ การแก้ไขรัฐธรรมนูญเฉพาะเรื่องระบบเลือกตั้ง อย่างน้อยที่สุดพวกเราก็ต้องเสนอทางออกที่ดีที่สุดให้สังคมในเรื่องนี้ด้วย ทั้งนี้ บัตรเลือกตั้งแบบ 2 ใบ เป็นสิ่งที่พวกเราต้องการตั้งแต่แรก หากจะแก้ไขระบบเลือกตั้งใหม่ให้เป็นแบบบัตร 2 ใบ ก็จำเป็นต้องสรุปบทเรียนจากปัญหาระบบเลือกตั้งที่เคยใช้มาแล้วในอดีต ที่มีข้อบกพร่องด้วย แล้วพัฒนาปรับปรุงให้ดีขึ้นกว่าเดิมโดยใช้รัฐธรรมนูญฉบับประชาชนเมื่อปี 2540 เป็นรากฐาน” นายพิธา กล่าว

นายพิธา กล่าวต่อไปว่า รัฐธรรมนูญปี 40 ได้นำระบบบัตรเลือกตั้งสองใบมาใช้ โดยการมี ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อนั้น ได้กระตุ้นให้พรรคการเมืองแข่งขันกันในเชิงนโยบายที่ตอบสนองประชาชนทั้งประเทศมากขึ้น รวมทั้งสนับสนุนความเป็นสถาบันทางการเมืองให้แก่พรรคการเมืองด้วย ด้วยเหตุนี้จึงเห็นด้วยหากจะแก้ไขให้มีบัตรเลือกตั้งสองใบ ประชาชนสามารถเลือกคนที่ใช่ และเลือกพรรคที่ชอบ และสนับสนุนให้คงสัดส่วนจำนวน ส.ส. แบบเขตกับแบบบัญชีรายชื่อเป็น 350 ต่อ 150 เพื่อส่งเสริมให้การทำงานของผู้แทนราษฎรในเขตเลือกตั้งได้สัดส่วนเหมาะสมกับการทำงานของผู้แทนราษฎรในเชิงนโยบาย นอกจากนี้เรายังสามารถที่จะปรับปรุงระบบเลือกตั้งแบบบัตรสองใบในอดีตให้ดีขึ้นได้อีก ด้วยการออกแบบวิธีการคำนวณ ส.ส. ของแต่ละพรรคการเมืองในสภาอย่างเป็นธรรม ให้สะท้อนเสียงทุกเสียงของประชาชนได้มากขึ้น

“ตลอดเกือบ 2 ทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยผ่านการรัฐประหารมาแล้ว 2 ครั้ง ผ่านวิกฤตการเมืองอีกหลายครั้ง ประเทศของเราเผชิญกับโจทย์ใหญ่ที่สำคัญและยังหาทางออกไม่ได้ คือเรายังไม่สามารถหาข้อยุติว่าระบบการเมืองแบบไหนที่ทุกฝ่ายยินยอมพร้อมใจที่จะอยู่ร่วมกันได้ และระบบเลือกตั้งก็เป็นส่วนหนึ่งของระบอบการเมืองด้วย” นายพิธา ระบุ

หัวหน้าพรรคก้าวไกล ยังระบุด้วยว่า เรื่องนี้ต้องมองให้ยาว ซึ่งการออกแบบระบบเลือกตั้ง จำเป็นต้องตอบโจทย์ปัญหาการเมืองที่ประเทศที่กำลังเผชิญอยู่ขณะนี้ และต้องเป็นระบบที่ออกแบบสำหรับระยะยาว ไม่ใช่มองแค่ปัญหาระยะสั้นเท่านั้น

นายพิธา กล่าวว่า เราควรออกแบบระบบการเมือง รวมถึงระบบการเลือกตั้ง ให้สนับสนุนประสิทธิภาพของระบบรัฐสภา สร้างความเข็มแข็งของสถาบันพรรคการเมือง พร้อม ๆ กับสามารถโอบรับความแตกต่างหลากหลายทางความคิด ความฝัน ของคนในชาติได้ด้วย ทำให้รัฐสภาเป็นพื้นที่ปลอดภัย แปรเปลี่ยนทำให้ทุกคะแนนเสียงจากทุกความฝัน ทุกพื้นที่ มีความหมาย ถูกคิดคะแนนอย่างเป็นธรรม ให้ประเทศชาติเดินหน้าต่อไปได้เสียที ตรงกันข้าม เราไม่ควรออกแบบระบบที่ผลักให้ประชาชนรู้สึกว่า ระบบรัฐสภาไม่ใช่พื้นที่ของพวกเขา ไม่ใช่พื้นที่ที่เสียงของพวกเขาจะมีความหมาย แม้ว่าจะเป็นเสียงที่ขัดหูขวางตาของชนชั้นนำผู้มีอำนาจ

“ในท้ายที่สุดผมเชื่อว่าหากระบบเลือกตั้งสามารถสะท้อนเสียงของประชาชนได้อย่างแท้จริง อำนาจของประชาชนที่เป็นอำนาจสูงสุดของประเทศนี้ จะสามารถปรากฏกายขึ้นในรัฐสภาแห่งนี้ สามารถเข้าไปใช้อำนาจนิติบัญญัติ สามารถเข้าไปใช้อำนาจบริหารจัดตั้งรัฐบาล และเมื่อนั้นเสียงของประชาชนจะไม่มีวันอนุญาตให้ระบอบที่กดหัวประชาชนดำรงอยู่ได้อีกต่อไป”

“พวกผม พรรคก้าวไกลทุกคน ทุกจังหวัด ทุกเขตเลือกตั้ง พร้อมที่จะต่อสู้ผ่านสนามการเลือกตั้ง ไม่ว่าผู้มีอำนาจจะพยายามออกแบบระบบการเลือกตั้งให้ตนเองได้เปรียบอย่างไร เพราะพวกผมมั่นใจว่า เสียงของประชาชนส่วนใหญ่จะมีความหมายมากที่สุด มีพลังมากที่สุด และมีความชอบธรรมมากที่สุด พวกผมจะนำเสียงของผู้ทรงอำนาจสูงสุดของประเทศนี้ มาปรากฏในสภาผู้แทนราษฎรให้ได้อย่างแท้จริง” นายพิธา กล่าวทิ้งท้าย

‘ปดิพัทธ์’ ย้ำ ระบบเลือกตั้งต้องออกแบบอย่างประณีต

ด้าน ปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.เขต 1 จังหวัดพิษณุโลก พรรคก้าวไกล กล่าวว่า เรื่องระบบเลือกตั้งในรายละเอียดเป็นเรื่องเทคนิคและเป็นผลประโยชน์พรรคการเมือง ดังนั้น แต่ละประเทศที่จะออกแบบระบบการเลือกตั้งจะต้องมาจากบริบททางสังคมว่า อยากจะออกแบบระบบรัฐสภาอย่างไร ออกแบบสัดส่วน ส.ส.แบบไหน จะแก้ปัญหาของกลุ่มประชากรต่าง ๆ อย่างไร จึงไม่ใช่การมาคุยกันเรื่องตัวเลข ซึ่งไม่แก้ปัญหาว่าจะมีระบบเลือกตั้งที่ดีได้อย่างไร 

“เราจึงไม่เสนอเรื่องนี้ในชั้นกรรมาธิการ เพราะการออกแบบระบบเลือกตั้งจำเป็นต้องถกเถียงในชั้น สสร. จำเป็นต้องมีนักวิชาการมาร่วม หรือแม้แต่ควรมีการทดลองใช้ เช่น ในการเลือกตั้งท้องถิ่นหรือการเลือกตั้งบางอย่างมาก่อน เพื่อออกแบบระบบอย่างประณีต เพราะเรื่องนี้จะมีผลต่อพรรคการเมืองและคุณภาพของสังคมไทยโดยรวม” 

ปดิพัทธ์ กล่าวต่อไปว่า แต่เมื่อทุกคนรับรู้กันดีว่า รัฐธรรมนูญ 60 มีปัญหาและอาจมีการเลือกตั้งเร็ว ๆ นี้ จึงปฏิเสธไม่ได้ที่จะต้องยอมรับความจริงและต้องพูดคุยกันเรื่องระบบเลือกตั้ง แต่สิ่งที่พรรคก้าวไกลพยามยามผลักดัน แม้จะมีข้อจำกัดคือ การออกแบบระบบเลือกตั้งควรต้องคิดไปข้างหน้าไม่ใช่มีปัญหาแล้วจะกลับไปใช้ระบบเมื่อ 24 ปีก่อน อย่าลืมว่า 2 ปีที่แล้วคนไทยยังไม่รู้จักโควิด 10 ปีที่แล้วยังไม่มีสมาร์ทโฟน ดังนั้น ระบบเลือกตั้งเมื่อ 24 ปีที่แล้วจึงไม่มีทางที่จะตอบโจทย์ทางการเมืองในปี 64 ได้ 

“หลักการที่สภารับมาได้กำหนดตัวเลขสัดส่วน ส.ส.เขตและปาร์ตี้ลิสต์ไว้ แต่หากคิดแค่เรื่องการคำนวณตัวเลขก็คงเถียงกันไม่จบ เพราะบางประเทศไม่มี ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ เลยก็มี แต่นั่นเพราะ ส.ส.เขตทำหน้าที่ด้านนิติบัญญัติได้อย่างดี ไม่ต้องไปดูแลเรื่องถนนหนทาง ไฟส่องสว่าง น้ำประปา เพราะตรงนั้นคือหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและส่วนราชการ เพราะฉะนั้นจะมี ส.ส.เขต ทั้งหมดก็ได้ หากทำหน้านิติบัญญัติได้โดยถ้าไม่หลงทางเรื่องการทำหน้าที่ของ ส.ส.ว่าคืออะไร”

ปดิพัทธ์ กล่าวต่อไปว่า ส่วนสาเหตุที่ต้องมี ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์นั้น หากจำได้คือ ก่อนปี 40 เอาเฉพาะในจังพิษณุโลกที่ตนเกิดมา นักการเมืองมีแค่ 3 แบบ  คือ เจ้าพ่อ มาเฟีย และนายทุนเกษตร คนธรรมดาที่มีความรู้ความสามารถเข้าไปในระบบการเมืองไม่ได้ การชนะการเลือกตั้งได้ต้องเป็นนายทุนเกษตรที่ผูกขาดเศรษฐกิจได้หรือเป็นผู้มีอิทธิพลที่มีลูกน้องมากมาย จึงมีการคิดเรื่องระบบปาร์ตี้ลิสต์และสามารถทำให้พรรคการเมืองหาเสียงด้วยนโยบายได้ เป็นมรดกอันดีของรัฐธรรมนูญ 40 แต่มรดกอันดีนี้ได้พิสูจน์ผ่านการเลือกตั้งมมาแล้ว 2 ครั้งคือ ปี 44 และ 48 ทำให้พบว่า สัดส่วนการคิดคำนวณคะแนนแบบนี้ยังมีข้อผิดพลาดคือ จำนวนเก้าอี้ ส.ส.ที่เกินความเป็นจริงจากคะแนนนิยมของพรรคการเมืองนั้น ๆ ที่ประชาชนเลือกมา เพราะคำนวณจากคะแนนเสียงแบบคู่ขนานที่คิดแยกกัน ถ้าถอยกลับไปก็เหมือนเราไม่เรียนรู้ข้อผิดพลาดอะไรเลย 

“ทำไมจึงไม่คิดหาวิธีการคำนวณคะแนนที่ถูกต้องเป็นธรรม ทำไมเราจึงไม่คิดหาวิธีถ่วงดุลตรวจสอบในสภาให้ได้ดีขึ้น แต่การยืนยันเพื่อความถูกต้องนี้กลับถูกนำไปบิดเบือนว่า พรรคก้าวไกลกลัวการเลือกตั้งแบบ MMM หรือแบบคู่ขนาน ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่จริง พรรคก้าวไกลพร้อมเข้าสู่ระบบการเลือกตั้งทุกรูปแบบแต่ไม่สบายใจเลยที่จะเดินกลับไปสู่ระบบที่มีข้อผิดพลาดแบบนี้โดยการเห็นชอบของสภา สิ่งที่ผมพยายามผลักดันบรรยากาศทางการเมืองพิษณุโลกให้มีเปลี่ยนแปลงคือบทบาทหน้าที่ของ ส.ส. 

จนตอนนี้เวลาไปลงพื้นที่ เช่น จะไปแก้ปัญหาน้ำประปาสีแดง ประชาชนเริ่มไล่ให้ไปทำหน้าที่ในสภาโดยบอกว่านี่คือหน้าที่ของ อปท. หลายครั้งที่ไปพบประชาชน เขาจะถามว่ากฎหมายที่สัญญาไว้ตอนเลือกตั้งผลักดันถึงไหนแล้ว รัฐสวัสดิการผลักดันหรือยัง กฎหมายความเท่าเทียมทางเพศผลักดันหรือยัง เขาไม่ได้บอกให้ไปดูหลังคาเสียหายอีกแล้ว นี่คือสิ่งที่เราพยายามพัฒนาและเปลี่ยนแปลงเพื่อทำให้หน้าที่ ส.ส.เป็น ส.ส.จริง ๆ แต่กลับไปแบบเดิมและบอกว่า ควรมี ส.ส.เขต เพิ่มขึ้นจาก 350 เป็น 400 เพื่อจะได้ไปดูแลประชาชนได้ทั่วถึงนั้น ต้องขอโทษที่ต้องบอกว่า หากคิดคำนวนแล้วเท่ากับ ส.ส.ที่เพิ่มขึ้นลดจำนวนการดูแลประชาชนลงไปได้แค่ 20,000 คนเท่านั้น เหตุผลนี้จึงไม่หนักแน่นพอในการยืนยันให้ผ่านสัดส่วนแบบนี้” ปดิพัทธ์ ระบุ 

ดูแลพื้นที่คืองานท้องถิ่น ‘จิรัฏฐ์’ เทียบ ส.ส.เพิ่มอีกแค่ 50 จะดูแลใกล้ชิดกว่าบุคลากร 3,000,000 ได้อย่างไร

จิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ ส.ส.เขต 4 จังหวัดฉะเชิงเทรา พรรคก้าวไกล กล่าวว่า ขอแปรญัตติในมาตรา 83 เพื่อขอให้คงจำนวน ส.ส. เขต 350 ต่อจำนวน ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ 150 คน เอาไว้ ด้วยเหตุผลประการแรกคือ มิติด้านการเแข่งขันของพรรคการเมือง เพราะการแก้ไขให้เพิ่ม ส.ส.เขต เป็น 400 คน และปาร์ตี้ลิสต์เหลือ 100 คน หมายความว่าต้องขีดเส้นแบ่งเขตเลือกตั้งใหม่ ซึ่งผู้เป็นคนขีดเส้นจะได้เปรียบและยืนยันว่าการขีดเส้นมีผลต่อการเลือกตั้งมาก ไปดูเขตตนก็ได้เพราะหากดูจากแผนที่เทียบกับจำนวนประชากรจะรู้ทันทีว่าการขีดเส้นแบ่งเขตจะต้องไม่มีขีดอย่างที่เป็นตอนนี้แน่นอน 

“ประการต่อมา คือเอาหลักการมาจากอะไรไปบอกว่า ส.ส. 400 เหมาะกว่า 350 และอ้างว่าจะดูแลแลประชาชนได้ใกล้ชิดมากขึ้น ใกล้แค่ไหนคือดี ถ้าใช้หลักการนี้ไม่คงต้องมีปาร์ตี้ลิสต์เพราะไม่ใกล้ชิดประชาชนเลย แต่เจตนาของการแบ่งเขตเลือกตั้งคือ การกระจายตัวแทนของประชาชนให้มาจากทุกเขตพื้นที่ แต่ไม่ได้หมายความว่า ผู้แทนราษฎรมีหน้าที่ดูแลสารทุกข์สุกดิบหรือดูแลเฉพาะเขตของตัวเอง เมื่อเป็นผู้แทนราษฎร หมายถึงการเป็นตัวแทนของคนทั้งประเทศ และหน้าที่ของผู้แทนก็คือ การใช้อำนาจนิติบัญญัติแทนประชาชน ส.ส. ไม่ได้มีหน้าที่ในการใช้อำนาจบารมีเพื่อทำให้เขตตัวเองดีขึ้นโดยดึงงบประมาณไปลงเขตเลือกตั้งของตัวเอง ไม่มีหน้าที่ใช้อำนาจบารมีไปดึงเอาหน่วยราชการไปช่วยในเขตพื้นที่ตัวเอง ถนนพัง น้ำไม่ไหล ไฟดับ ก็ไม่ใช่งานหลักของผู้แทนราษฎร เพราะเรามี อปท.อยู่แล้วถึง 7,850 แห่งทั่วประเทศ 

การไปแทรกแซงงานของ อปท.ต่างหากที่จะทำให้การแก้ปัญหาพื้นที่ยากขึ้นเพราะต้องใช้อำนาจบารมีที่ให้คุณให้โทษเขาได้ ตามหลักก็คือการลุแก่อำนาจ ซึ่ง อปท.ก็เลือกตั้งมา การทำแบบนั้นจึงดูเหมือนใหญ่กว่าประชาชนเกินไป ไม่เบื่อหรือที่การเมืองจะมีแต่บ้านใหญ่เข้าไปได้เท่านั้น ถ้าใช้วิธีแบบนี้คนธรรมดาไม่มีโอกาสเข้ามา อาชีพนี้จะจำกัดไว้แค่คนหน้าเดิม 

"ที่จะเพิ่มเป็น 400 คน บอกว่าเพราะดูแลไม่ทั่วถึง หมายความ อปท. 7,850 แห่ง ที่มีบุคลากรกว่า 3,000,000 กว่าคนดูแลไม่ทั่วถึงหรือ ต้องตอบตรงนี้ก่อน ถ้าแบบนี้ยังไม่ทั่วถึง การเพิ่มผู้แทนอีก 50 คนจะทั่วถึงได้อย่างไรถ้าเทียบกับสามล้านคน แต่ถ้าห่วง กลัวไม่มีคนดูแลสารทุกข์สุกดิบประชาชนก็มีวิธีอื่นอีกมากที่ทำได้โดยไม่ต้องแก้รัฐธรรมนูญมาตรานี้และทำได้ทันที เช่น ใช้หน้าที่ กมธ.ไปตรวจสอบการใช้งบประมาณให้เป็นประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน วันนี้ทำได้เลย ไม่ควรเอาเวลาของสภาไปทำอะไรที่ไม่เป็นประโยชน์เพียงแค่เพื่อแสวงหาความได้เปรียบทางการเมืองเท่านั้น 

สำหรับจำนวนปาร์ตี้ลิสต์เวลานี้ เรื่องดีที่เกิดขึ้นก็มีมากมายในสภาแห่งนี้ วันนี้ เรามีผู้แทนที่มาจากกลุ่มแรงงานที่พูดเรื่องแรงงานโดยเฉพาะ ยังมีเรื่องคนพิการ ชาติพันธุ์ LGBT ที่มีตัวแทนของเขาในสภามาผลักดันเรื่องความเท่าเทียมโดยเฉพาะ เมื่อก่อนเราไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้ และเราทิ้งไม่ได้ ต้องคิดเรื่องนี้อย่างจริงจัง การเลือกตั้งผลต้องมาจากการตัดสินใจของประชาชนเป็นสำคัญ ตัวแปรต้องไม่ใช่กติกา ถ้าอยากชนะการเลือกตั้งก็ไปทำงาน ถ้าไม่ยอมทำงานที่ตัวเองควรจะทำแต่ไปแก้กติกามันไม่ถูกต้อง และถ้าอยากแก้ปัญหาประเทศนี้จริง ควรไปตั้ง สสร. ให้ได้ นั่นต่างหากคืการแก้ปัญหาจริง ๆ และจะได้แก้ระบบการเลือกตั้งที่ท่านต้องการด้วย"


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“แรมโบ้” ไม่เลิก “ณัฐวุฒิ – สมบัติ” มอบฝ่ายกม.ดำเนินคดีอีกเพียบ ลั่น ต้องส่งเข้าคุกให้ได้

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวกรณีที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำนปช. นายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด นัดชุมนุมคาร์ม็อบวันที่ 29 ส.ค. ว่า ขอให้นายณัฐวุฒิ และนายสมบัติ มีจิตสำนึกก่อนจะออกมาเคลื่อนไหวว่าจะทำให้บ้านเมืองเกิดความเสียหายมากน้อยแค่ไหน ประชาชนเดือดร้อนหรือไม่ ที่ผ่านมาการเคลื่อนไหวสร้างความรุนแรง มีประชาชน ตำรวจ ได้รับบาดเจ็บ และเสี่ยงต่อการระบาดของโควิด-19 

หากเกิดคลัสเตอร์ใหม่จะเพิ่มภาระให้บุคลากรทางการแพทย์ และนายณัฐวุฒิ นายสมบัติ จะต้องรับผิดชอบเพราะเป็นทั้งตัวการสั่งการให้ทำผิดกฎหมาย และร่วมกระทำการอย่างชัดเจน เพื่อให้เกิดความไม่สงบ หวังกดดันให้นายกฯลาออก เพื่อให้ฝ่ายตนเองได้รับประโยชน์หวังกลับมามีอำนาจรัฐ รับโบนัสกันจากนายทุนใหญ่หากเห็นแก่บ้านเมืองและประชาชน คงหยุดการเคลื่อนไหวไปตั้งนานแล้ว จึงขอย้ำกับประชาชน หรือเยาวชนที่จะเข้าร่วมกับนายณัฐวุฒิ ว่ากำลังถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือ และให้ทำผิดกฎหมาย

นายเสกสกล กล่าวว่า ตนจึงต้องตัดไฟต้นลม โดยให้ฝ่ายกฎหมายเตรียมแจ้งความดำเนินคดีกับทั้งสองคนเพิ่มเติมอีกหลายกระทง ต่างกรรมต่างวาระ เพื่อให้สองคนที่กำลังคิดร้ายต่อแผ่นดินไทย เข้าไปอยู่ในคุกให้ได้ ไม่ให้ทำตัวเป็นเยี่ยงอย่างที่ไม่ดีต่อเยาวชน คนหนักแผ่นดินเช่นนี้ เป็นภัยร้ายต่อประเทศชาติบ้านเมือง ไม่สมควรมีที่ยืนในสังคม

“สงคราม” ชี้พรรคที่ไม่อยากแก้กลัวเสียอำนาจต่อรองรัฐธรรมนูญแก้ไขยากเหตุกระทบสืบทอดอำนาจเผด็จการ

นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อชาติ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เข้าสู่ที่ประชุมของสภาผู้แทนราษฎร เป็นการแก้ไขที่ว่า ด้วยระบบเลือกตั้ง ที่คณะกรรมาธิการพิจารณาแล้วเสร็จ นำเข้าสู่การพิจารณาเห็นชอบในวาระที่สอง แบบทีละมาตรา และเมื่อรัฐสภาพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระสองแล้วก่อนที่จะมีการพิจารณา ในวาระที่ 3 ต่อไป ถ้าหากร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมรัฐสภา ก็ถือได้ว่าเป็นความสำเร็จครั้งแรกในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หลังจากถูกคว่ำจากวุฒิสภา และถูกเตะถ่วงจากฟากรัฐบาลอยู่หลายรอบ

ทั้งนี้การแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าว เป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 83 และมาตรา 91)” หรือเรียกกันง่ายๆ ที่แก้ไขระบบเลือกตั้งให้กลับไปคล้ายกับรัฐธรรมนูญ 2540 คือให้มีบัตรเลือกตั้งสองใบที่แยก ส.ส.เขต และบัญชีรายชื่อออกจากกัน รวมทั้งปรับสัดส่วนให้มี ส.ส.เขต 400 คน และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 100 คน  เป็นไปตามรูปแบบการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูนปี 2540 ที่ประชาชนมีความคุ้นเคย และสะท้อนถึงความนิยมของพรรคการเมือง รวมทั้งพรรคการเมืองที่ได้รับเสียงข้างมากสามารถที่จะนำนโยบายพรรคการเมืองหาเสียงไว้ มาสู่การปฎิบัติได้ 

นายสงคราม   กล่าวด้วยว่า  การเลือกตั้งที่ผ่านมา พบว่าหลายฝ่ายต่างออกมาวิพากษ์วิจารณ์รูปแบบการเลือกตั้งว่าไม่เป็นไปตามเจตนารมย์ของประชาชน ชี้ชัดว่าระบบเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ 2560 ว่ามีปัญหาหลายด้าน และเป็นการเลือกตั้งที่ผู้มีอำนาจกำหนดได้ ไม่สะท้อนความต้องการของประชาชน รวมทั้งไม่สามารถป้องกันการซื้อสิทธิขายเสียงได้จริง และทำให้การเมืองอ่อนแอเพราะมีจำนวนพรรคการเมืองที่มากเกินไปส่งผลให้การเมืองไม่มีเสถียรภาพและมีการต่อรองทางการเมืองกันมาก 

“ด้วยเหตุนี้การกลับไปหาระบบเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ 2540 แบบดั้งเดิมย่อมทำให้พรรคการเมือง เช่น พรรคขนาดกลางรวมทั้งพรรคขนาดเล็ก หวั่นเกรงว่าจะเสียเปรียบในการเลือกตั้ง  เหตุผลที่ใช้ในการคัดค้านระบบเพราะจะกระทบกับการสืบทอดอำนาจและผลโยชน์ให้กับพรรคใหญ่และเปิดโอกาสให้พรรคที่ คสช. หนุนหลังมีอำนาจเบ็ดเสร็จมากยิ่งขึ้นในการเลือกตั้งครั้งหน้าโดยไม่ต้องกังวลกับเสียงพรรคเล็กพรรคน้อย รวมทั้งครองอำนาจได้ยาวนานยิ่งขึ้น” นายสงคราม กล่าว

“นายกฯ” ย้ำ ทุกหน่วยงานหามาตรการจ้างงาน คนทำงาน-นศ.จบใหม่-ดูแลหนี้ครัวเรือน

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า  พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม รับทราบรายงานสถานการณ์ภาวะสังคมประจำไตรมาสที่2/2564จากสำนักงานคณะกรรมการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.)ที่ระบุถึงแนวโน้มการจ้างงานเพิ่มขึ้น 2 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี2563โดยเฉพาะการจ้างงานในภาคการผลิตอุตสาหกรรม ดีขึ้นตามแนวโน้มการส่งออก 

แต่ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 นายกฯมอบหมายให้ทุกหน่วยงานร่วมกันพิจารณามาตรการการจ้างงาน มาตรการพยุงการจ้างงาน ช่วยเหลือให้แรงงานยังมีรายได้ เพราะในช่วงโควิด-19แพร่ระบาด อาจส่งผลกระทบอย่างน้อย 3 ปีตั้งแต่ปี 2563-2565 สร้างจุดเปราะบางมีผู้ว่างงาน ผู้เสมือนว่างงาน คือทำงานไม่ถึง 24 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นรวมถึงต้องมีมาตรการรองรับ กลุ่มนักศึกษาจบใหม่ ที่มีแนวโน้มต้องใช้เวลาหางานยาวนานขึ้น

“นายกฯย้ำว่า รัฐบาลจะดำเนินการควบคุมการแพร่ระบาดให้เร็ว พยุงการจ้างงาน ดูแลรายได้ของประชาชน โดยเร่งใช้จ่ายภาครัฐให้เกิดผลอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะทำให้จีดีพี ฟื้นตัวได้เร็วขึ้น” น.ส.ไตรศุลี กล่าว

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า นายกฯรัฐสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณามาตรการที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ให้เดินหน้าต่อเนื่อง โดยเฉพาะมาตรการลักษณะร่วมจ่าย หรือ co-pay โดยดึงเอกชนเข้ามามีส่วนร่วม ทุกมาตรการ และต้องตรวจสอบการใช้จ่ายให้โปร่งใส ปรับแผนงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ได้ รวมถึงพิจารณามาตรการบรรเทาภาระหนี้สิน ภาวะหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง การดำเนินการมาตรการต่างๆต้องระมัดระวัง เข้าถึงลูกหนี้จริง ดูผลได้ผลเสียทั้งต่อตัวลูกหนี้กับผู้ประกอบการ ไม่ให้ไปใช้หนี้นอกระบบ ขณะเดียวกันต้องไม่ให้ผู้ประกอบการต้องขาดทุนจนเกิดผลกระทบเชิงระบบการเงินในภาพรวม 

พท. ผุด แคมเปญเชิญชวนปชช.ลงชื่อโหวตไม่ไว้วางใจ “พล.อ.ประยุทธ์” ผ่านเว็บไซต์ เชื่อศรัทธาปชช.จะชนะมือในสภา 

ที่รัฐสภา นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน พร้อมด้วยส.ส.พรรค แถลงข่าว เชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมลงชื่อโหวตไม่วางใจรัฐบาล ผ่าน https://www.change.org/prayutgetout  ในหัวข้อ “ลงมติประชาชน รวมพลไล่ประยุทธ์” เพื่อร่วมแสดงพลัง และเจตจำนง ไม่ยอมรับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี อีกต่อไป เพราะเป็นผู้นำที่ไร้ความสามารถ บริหารประเทศล้มเหลวซ้ำซาก ปล่อยปละละเลย ทำให้พี่น้องประชาชนประสบกับภาวะทุกข์ยากอย่างแสนสาหัส ซึ่งการเข้าร่วมลงชื่อในครั้งนี้จะเป็นการแสดงพลังของพี่น้องประชาชนอีกทางหนึ่งตามวิถีประชาธิปไตย ควบคู่ไปกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรคฝ่ายค้านในสภาที่จะเกิดขึ้นในระหว่างวันที่ 31 ส.ค. – 2 ก.ย.นี้  ทั้งนี้ การลงมติไม่ไว้วางใจของประชาชนครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีและพรรคร่วมรัฐบาล จะได้ตระหนักว่า เสียงข้างมากของส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลในสภารวมกับเสียงของสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ไม่อาจค้ำจุนการอยู่รอดของรัฐบาล และการดำรงอยู่ในตำแหน่งของนายกฯได้ ตรงกันข้ามหากพี่น้องประชาชนทั้งประเทศ ขาดความเชื่อมั่น ขาดความไว้วางใจ ขาดศรัทธาที่จะให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ บริหารประเทศต่อไป ปัญหาวิกฤตของประเทศที่เผชิญอยู่จะไม่อาจแก้ไขได้ และประเทศจะจมดิ่งลึกลงจนกอบกู้แก้ไขลำบากขึ้นทุกที  

“พรรคเพื่อไทยขอเชิญชวนให้ประชาชนร่วมแสดงออกด้วยการร่วมลงชื่อ ลงมติในครั้งนี้ จำนวนผู้ร่วมลงชื่อมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งสื่อถึงความปรารถนาของประชาชนได้มากเท่านั้น  เพราะเราเชื่อมั่นว่า มือในสภาหรือจะสู้ศรัทธาของประชาชน พรรคเพื่อไทย และพรรคร่วมฝ่ายค้าน จะเดินหน้าทำหน้าที่เปิดโปงความล้มเหลวทุกด้านที่พล.อ.ประยุทธ์ และพวก ได้ทำไว้กับพี่น้องประชาชนอย่างเต็มความสามารถ ขอให้พี่น้องประชาชนที่อดทนอดกลั้นกับรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ มาตลอด 7 ปีที่ผ่านมา รอดูการเช็คบิลของพรรคเพื่อไทย และพรรคร่วมฝ่ายค้านในการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่จะเกิดขึ้น” นายสมพงษ์ กล่าว

ด้าน นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา และเลขาธิการพรรคเพื่อไทย  กล่าวว่า การทำงานในสภากับการทำงานนอกสภา เป็นการทำงานคู่ขนานกันไป ก่อนหน้านี้เราเปิดโอกาสให้ประชาชนส่งข้อมูลในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งขณะนี้ประชาชนส่งข้อมูลมามากพอสมควร 

ขณะที่ นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) กล่าวว่า สำหรับแคมเปญเชิญชวนประชาชนร่วมลงชื่อไม่ไว้วางใจพล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้เป็นการปลุกระดม แต่เป็นการทำงานแบบประชาธิปไตยคู่ขนาน คือ ประชาธิปไตยทางตรง และประชาธิปไตยแบบตัวแทน วันนี้จำเป็นที่ทุกฝ่ายจะต้องขับเคลื่อนร่วมกัน ส่วนความพร้อมของพรรคร่วมฝ่ายค้าน ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่กำลังจะมาถึง ตอนนี้ถือว่าพร้อมมาก และกำลังเข้าสู่ขั้นตอนการปรับเนื้อหาให้คมเข้าเป้า โดยจะเน้นที่เรื่องของโควิด – 19 เศรษฐกิจ และการทุจริตคอรัปชั่น หลายเรื่องเป็นบรรยากาศที่ไม่ควรเกิด เราจะต้องชี้ให้เห็นว่าเป็นการซ้ำเติมสถานการณ์ด้วยการทุจริต 

ถามต่อว่า เป็นลักษณะที่ชี้ให้สังคมเห็นเหมือนในหลายครั้งที่ผ่านมาหรือครั้งนี้จะมีใบเสร็จที่จะชี้ชัดเอาผิดทางอาญาต่อไปได้ นายสุทิน กล่าวว่า มีทั้งที่มีใบเสร็จ และบางส่วนที่มีการทุจริต ความไม่ชอบมาพากลสมัยใหม่ไม่มีใบเสร็จ เมื่อไม่มีใบเสร็จก็จะชี้ให้เห็นว่าเมื่อได้ฟังแล้วจะเชื่อได้ว่ามีการทุจริต และความผิดพลาด ไม่มีใบเสร็จหรอกสมัยใหม่ แต่พูดแล้วเชื่อ

เมื่อถามว่า การอภิปรายครั้งนี้มั่นใจว่าจะน็อครัฐบาลได้เลยหรือไม่ หรือเป็นการเปิดเนื้อหาต่างๆ ให้ประชาชนได้รับรู้ถึงความล้มเหลวเท่านั้น นายสุทิน กล่าวว่า แม้ฝ่ายค้านจะยังไม่อภิปราย ตนเชื่อว่ารัฐบาลต้องหาความชอบธรรม เพียงแต่เราได้ตอกย้ำ และชี้ให้เห็นชัดเจนเท่านั้น ส่วนจะน็อคได้หรือไม่ ตนเชื่อว่าอยู่ที่ระดับสำนึกของรัฐบาล ว่าเป็นรัฐบาลที่มีสำนึก และรับผิดชอบต่อประชาชนสูง วันนี้ประชาชนน็อครัฐบาลไปแล้ว และสังคมอภิปรายไปก่อนเราแล้ว ไม่ต้องถึงมือเราแต่เชื่อว่าหากถึงมือเราถ้าอยู่ก็คงลำบาก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การแถลงข่าวของพรรคเพื่อไทยวันนี้เป็นที่น่าสังเกตว่า บรรดาส.ส.ของพรรคเพื่อไทย พร้อมใจกันแต่งกายใส่สูทผูกเนคไทดำ ซึ่งนายประเสริฐ เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ ในความล้มเหลวของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา นายกรัฐมนตรี


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top