Friday, 3 May 2024
POLITICS NEWS

'ผศ. ดร. ปริญญา' หนุนส.ส.โหวตคว่ำนายกฯ เพื่อปิดสวิตช์คสช. ชี้! อยู่มา 7 ปี ไม่ถูกตรวจสอบทรัพย์สิน

ศึกอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล เป็นวันที่ 3 ก่อนลงมติในวันที่ 4 ก.ย. 64 โดยหนึ่งในรายชื่อที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม อยู่ด้วยนั้น

ล่าสุด ผศ. ดร. ปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว Prinya Thaewanarumitkul ระบุข้อความว่า... #เรื่องร้ายแรงที่สุด ของพลเอกประยุทธ์ 7 ปีผ่านไป ประเทศไทยได้ระบบที่ #นายกรัฐมนตรีไม่ถูกตรวจสอบบัญชีทรัพย์สิน การอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา โดนข้อกล่าวหามากมายอย่างที่แทบไม่เคยมีนายกรัฐมนตรีคนไหนเคยเจอมาก่อน แต่เรื่องที่ผมเห็นว่าน่าจะร้ายแรงที่สุด แล้วอาจจะยังไม่ได้มีการพูดถึงมากนักในการอภิปรายครั้งนี้ คือเรื่อง #การทำลายหลักการตรวจสอบถ่วงดุล และ #ความโปร่งใสของระบบการเมืองของประเทศ ครับที่ชัดเจนที่สุดคือ การที่ ปปช.ไม่เปิดเผยบัญชีทรัพย์สินของพลเอกประยุทธ์ตอนที่มาเป็นนายกรัฐมนตรีในครั้งที่สองหลังการเลือกตั้งในปี 2562 โดยประธาน ปปช. ชี้แจงว่า เพราะกฎหมาย ปปช. ฉบับใหม่ไม่ได้ให้อำนาจ ปปช.ไปตรวจสอบ

ทีแรกผมสงสัยว่าพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ปปช. พ.ศ. 2561 ที่ร่างโดยคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ และให้ความเห็นชอบโดย สนช. ที่เลือกมาโดยพลเอกประยุทธ์ จะเขียนชัดเขียนไว้ชัดเจนอย่างนั้นเชียวหรือ เพราะดูจะน่าเกลียดเกินไป ผมจึงไปเปิดดูแล้วก็พบว่า เขียนไว้ให้ ปปช.ไปตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินของพลเอกประยุทธ์ไม่ได้จริงๆ ครับ

โดยมาตรา 105 วรรคสี่ กำหนดว่า ถ้าผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองคนใดพ้นตำแหน่ง แต่ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรง “ตำแหน่งเดิม” หรือ “ตำแหน่งใหม่” ภายในหนี่งเดือน ผู้นั้นไม่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สิน โดยมีประโยคปิดท้ายว่า “แต่ไม่ต้องห้ามที่ผู้นั้นจะยื่นเพื่อเป็นหลักฐาน” คือไม่บังคับให้ยื่น แต่ถ้าอยากยื่นก็ยื่นได้ ว่าง่าย ๆ คือขึ้นอยู่กับอำเภอใจของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองผู้นั้นว่าอยากจะยื่นหรือไม่ ซึ่งเป็นการเขียนกฎหมายที่ดูจะเอาใจผู้มีอำนาจจนน่าเกลียด

นี่เองทำให้ ปปช.ไปตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินพลเอกประยุทธ์ตอนที่มาเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งที่สอง รวมถึงรัฐมนตรีอีกบางคน และ ส.ว.จำนวนมากที่เป็น สนช. ไม่ได้ครับ

โดยหลักความโปร่งใส และหลักการที่ผู้บริหารบ้านเมืองจะต้องถูกตรวจสอบได้นั้น ใครยิ่งอยู่นาน ยิ่งเป็นหลายสมัย ยิ่งต้องเปิดเผยบัญชีทรัพย์สิน แต่ภายใต้กฎหมาย ปปช. ฉบับใหม่กลับตรงกันข้าม เพราะยิ่งเป็นต่อ ยิ่งเป็นหลายสมัยยิ่งตรวจสอบไม่ได้ นี่จึงทำให้ผมใช้คำว่าน่าประหลาด เพราะนอกจากจะตรงข้ามกับหลักการ แล้วยังเขียนไว้ตรง ๆ แบบไม่ค่อยเกรงใจประชาชนเลย

แต่แม้ว่าจะไม่ได้บังคับให้ยื่นบัญชีทรัพย์ แต่ถ้าจะยื่นเพื่อเป็นหลักฐานก็ยื่นได้ ซึ่งเท่าที่เราทราบกันคือพลเอกประยุทธ์ก็ได้ยื่นให้ ปปช.แล้ว และก็มีคนไปขอคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารให้สั่ง ปปช.ให้เปิดเผยบัญชีทรัพย์สินพลเอกประยุทธ์ ซึ่งคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารเห็นว่าเป็นข้อมูลสาธารณะ เมื่อสมัครใจยื่นมาแล้ว มีคนขอดูก็ควรเปิดให้ดูได้ แต่ ปปช. ก็ไม่ยอมเปิดเผยโดยประธาน ปปช.อ้างว่าไม่มีอำนาจ

ซึ่งอันนี้ก็ไม่น่าประหลาดใจ เพราะองค์กรอิสระทั้งหลายที่รัฐธรรมนูญ 2540 สถาปนาขึ้นมาให้มาตรวจสอบรัฐบาล ตอนนี้ก็กลายเป็นองค์กรที่ไม่ค่อยมีใครเชื่อว่าเป็นอิสระ เพราะล้วนแต่มีที่มาที่ยึดโยงกับพลเอกประยุทธ์ คือมาจาก สนช. และ ส.ว.ที่พลเอกประยุทธ์เลือกไว้ทั้งสิ้น

ไม่ต้องพูดถึงกระบวนการยุติธรรมที่ต้นทางคือตำรวจ ซึ่งเป็นผู้ปราบปราม จับกุม และตั้งข้อหา ที่อยู่ใต้อำนาจนายกรัฐมนตรีตาม พรบ.ตำรวจแห่งชาติ โดย 7 ปีที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีไม่ยอมแก้ไขหรือปฏิรูปอะไรเลย

ที่เมื่อ 7 ปีที่แล้วพูดกันว่าจะต้อง “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” จนทำให้พลเอกประยุทธ์ยึดอำนาจได้ และมีอำนาจมาจนทุกวันนี้ น่าจะสรุปกันได้เสียทีแล้วว่าเหลว แล้วยิ่งจะอยู่นานไปทั้งการเมืองและบ้านเมืองดูท่าจะยิ่งแย่ไปกันใหญ่

7 ปีที่แล้วมีการพูดว่า ชัตดาวน์กรุงเทพเพื่อจะรีสตาร์ทประเทศไทย ผมว่าตอนนี้ถ้าจะรีสตาร์ทประเทศไทยที่เสียหายมา 7 ปีแล้ว จะยืมคำ 7 ปีที่แล้วมาใช้ว่า ต้องชัตดาวน์พลเอกประยุทธ์ ก็ดูก็จะแรงเกินไป จึงขอใช้คำว่า ชัตดาวน์ คสช. คือปิดสวิตช์ คสช.ให้จบไป ทั้งนี้ในวิถีทางแห่งรัฐธรรมนูญนะครับ ประเทศไทยและประชาธิปไตยจะได้ฟื้นตัวเสียที

ในการลงมติหลังการอภิปรายครั้งนี้ ท่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรไม่ว่าจะสังกัดพรรคไหนก็สามารถช่วยกันปิดสวิตช์ คสช.ได้ หรือจะเรียกว่าเป็นการก้าวข้ามพลเอกประยุทธ์ก็ได้ เพื่อประเทศไทยจะได้มีโอกาสเริ่มต้นใหม่ครับ

#อภิปรายไม่ไว้วางใจ


ที่มา : https://siamrath.co.th/n/277221

'เรืองไกร' จี้ 'เสี่ยโจ้' แจง เที่ยวบินนาริตะ เอี่ยว ประมูลกรมอุตุฯ หรือไม่ 

ที่รัฐสภา นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีต ส.ว. แถลงว่า ได้รับข้อมูลจากผู้หวังดีส่งมาให้ ตรวจสอบเกี่ยวกับพฤติกรรมของนายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส. มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยเรียกร้องให้ออกมาชี้แจงว่า หลังจากที่ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2562 แล้วเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2562 พบว่ามีการเดินทางโดยหลักฐานเป็นเอกสารตั๋วโดยสารเครื่องบินเฟิร์สคลาส TG677 ที่เดินทางจากนาริตะ มายังกรุงเทพมหานคร ซึ่งการเดินทางในครั้งนั้น เป็นการเดินทางพร้อมทั้งครอบครัว และเกี่ยวข้องกับผู้ประมูลในกรมอุตุนิยมวิทยาหรือไม่ เพราะการเป็น ส.ส. ต้องชี้แจง รายได้ ค่าใช้จ่าย ในการเดินทางใครเป็นผู้ออกให้ ได้มีการนำไปชี้แจงตามกฎหมายหรือไม่ และการเดินทางน่าจะเป็นประเด็นที่ต้องตรวจสอบ พร้อมค่าที่พักว่าใครเป็นผู้ใช้จ่าย รวมทั้งมีการนำคนในครอบครัวเดินทางไปด้วยอีก 2 คน พร้อมตั้งข้อสังเกตจากข้อมูลพบว่า จากการประมูลของกรมอุตุนิยมวิทยา ผู้ชนะการประมูลได้บริจาคให้พรรคจำนวน 10 ล้านบาท จึงขอให้นายยุทธพงศ์ ชี้แจงว่าเดินทางไปเมื่อไหร่ เพราะเอกสารที่ได้รับแต่รายละเอียดการเดินทางขากลับ 

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ถาม จะเลือก 'ระบอบปรสิต' หรือ 'ชีวิตประชาชน' ย้ำ 6 เดือนที่ผ่านมามีราคาที่ต้องจ่าย

ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล วันที่ 2 ก.ย.64  นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวว่า 6 เดือนที่แล้ว ในเดือนกุมภาพันธ์ ได้อภิปรายไม่ไว้วางใจและตั้งคำถามต่อสมาชิกในสภาว่า พวกท่านจะเลือก ‘ประเทศ’ หรือจะเลือก ‘ประยุทธ์’ 

ถ้าเลือกประเทศ พล.อ.ประยุทธ์ คือ สลักแรกที่ต้องถอด แต่วันนั้นสภาเลือกประยุทธ์ หมายความว่าสภาแห่งนี้รับได้กับความไม่ชอบธรรม การทุจริตเชิงนโยบาย การเอื้อพวกพ้อง การแทรกแซงการทำงานของตำรวจและตั๋วช้าง

นอกจากนี้ยังเตือนรัฐบาลว่าประเทศที่มีความพร้อม แต่ปล่อยให้คนตายเป็นใบไม้ร่วง บีบคั้นมากเกินไป น้ำตาเวลาออกจากตามันเป็นน้ำ แต่ถ้าตกถึงพื้นเมื่อไหร่ก็ลุกเป็นไฟ วันนั้นมีผู้ติดเชื้อ 230,000 คน เสียชีวิต มากกว่า 2,000 คน ถึงวันนี้ เดือนกันยายน มีผู้ติดเชื้อ 1.2 ล้านคน ผู้เสียชีวิตจำนวน 12,103 คน ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 4,800% เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 14,000% นี่คือราคาที่สภาแห่งนี้และประเทศต้องจ่าย จากเวลาที่การอภิปรายไม่ไว้วางใจห่างกันแค่ 6 เดือน 

>> ถึงเวลาเลือกใหม่ ‘ประชาชน’ หรือ ‘ปรสิต’

“ด้วยเหตุที่เป็น จึงเข้าใจคนที่ออกมาชุมนุม ความเครียดแค้นมันพิเศษ มันไม่ใช่ความเศร้าหรือโมโห แต่มันอยู่ในใจ เรียนจบมาก็ไม่มีงานทำ พอมาเรียกร้องวัคซีน เรียกร้องเยียวยา ก็โดนกระสุน พอบอกให้สู้อย่างตรงไปตรงมาอย่าเอาสถาบันมาแอบอ้างเป็นเกราะกำบังก็กลับทำตรงกันข้าม เห็นเขาเป็นศัตรู แทนที่จะขอโทษไปแก้ปัญหา เพื่อจะไม่กลายเป็นวิกฤตซ้อนวิกฤตและซ้อนวิกฤต ไม่เป็นระบอบปรสิต เป็นพยาธิที่คอยกินอาหารในท้องพวกเขาไป"

“แล้วจะไปกันอย่างไร คราวที่แล้วถามผิด และถามแค่ในสภาว่าจะเลือกประยุทธ์หรือประเทศ ซึ่งแต่ถามแคบไป ครั้งนี้ต้องถามใหม่ว่าระหว่างประชาชนกับปรสิตที่กินประเทศ เราจะเลือกอะไร และจะถามดัง ๆ ไปมากกว่าแค่สมาชิกในห้องนี้ คือถามกับพี่น้องประชาชนที่ได้โหวตเลือกพวกเรามาด้วย ว่าจะไว้ใจกับระบอบที่กัดกินประเทศไทยอยู่แบบนี้หรือ"

“ถ้าท่านเป็นนายทุนเป็นเจ้าสัว ได้สัมปทานการท่องเที่ยว มันจะมีประโยชน์อะไรถ้าไม่มีคนมาเที่ยวประเทศไทยของท่าน?"

“ถ้าท่านเป็นเจ้าสัวเจ้าของรถไฟฟ้า แต่ไม่มีคนนั่งอยู่ในรถไฟฟ้ามันจะมีประโยชน์อะไร?"

“ถ้าท่านเป็นเจ้าสัวธนาคาร เพียงเพื่อมีพนักงานเฝ้าอยู่หน้าเคาเตอร์ที่ว่างเปล่า มันจะมีประโยชน์อะไร?"

“ถ้าท่านเป็นชนชั้นกลางที่คิดว่าไม่เดือดร้อน ไม่ได้ติดโควิด ยังมีงานประจำอยู่ เป็นข้าราชการมีเงินเดือนประจำ ท่านมั่นใจได้อย่างไรว่าในอนาคต ลูกหลานของท่านที่จะโตมา จะมีคุณภาพชีวิตที่ดีเท่ากับท่าน?"

“มันจะมีประโยชน์อะไร ถ้าท่านเห็นแต่เพียงประโยชน์เฉพาะหน้าของตัวเอง แล้วเลือกความสบาย เลือกรับประโยชน์จากระบอบปรสิต หรือวางเฉยต่อมัน?"

“สิ่งที่ผมได้พูดมาทั้งหมด คนที่ถูกกดขี่ละเลยมาเป็นเวลานานในประเทศไทย เขามีคำตอบในเรื่องนี้มานานมากแล้ว ว่าเขาต้องการอะไร ผมเชื่อว่าอนาคตของประเทศไทยดีกว่านี้ได้ มีรัฐบาลที่ดีกว่านี้ได้ นี่คือสิ่งที่พวกเราต้องเลือก เพราะท่านเห็นแล้วว่าการที่พวกท่านผลักเวลาออกไปถึง 6 เดือน ไม่ยอมเลือกตั้งแต่ตอนนั้น เลือกอะไรที่มันเป็นเรื่องเฉพาะหน้า เลือกสัมปทานเฉพาะหน้า คุณภาพชีวิตเฉพาะหน้า หน้าที่การงานเฉพาะหน้า มันมีราคาที่ต้องจ่ายในภายหลังอีกเยอะแยะมากมาย"

“มาถึงตอนนี้ ผมถึงเรียกร้องให้สภาแห่งนี้ สังคมแห่งนี้ ประเทศนี้ ต้องเลือกว่าจะเอาชีวิตของประชาชนหรือเอาระบอบปรสิต ที่ต้องการให้ประเทศไทยเป็นอย่างนี้ต่อไป" หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวทิ้งท้าย

'ผศ.ดร.วรัชญ์' ยื่นเรื่องต่อ กสทช. สอบผู้ประกาศข่าว เหตุชวนข้ามข่าว 2 ทุ่ม ถือว่าเป็นการด้อยค่าสถานบันหรือไม่?

ผศ.ดร.วรัชญ์ ครุจิต รองคณบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา คณะนิเทศศาสตร์และนวัตกรรมการจัดการ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) และที่ปรึกษา ศบค. โพสต์เฟซบุ๊กว่า... 

เมื่อคืนนี้ (1 ก.ย.) กัลยาณมิตรท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นข้าราชการระดับสูง ได้แจ้งผม พร้อมทั้งส่งลิงก์มาให้ดู ว่า... 

มีรายการข่าวทางโทรทัศน์ช่องหนึ่ง (ช่องที่ช่วงหลังมานี้ทำข่าวด้วยอคติจนเนื้อหาผิดพลาดอย่างร้ายแรงหลายครั้ง จนทางการต้องออกมาบอกชี้แจงว่าเป็นข่าวปลอม และเมื่อผมไปทักท้วง ก็เรียกผมว่าเป็น "นักวิชาเกิน") 

ได้มีการกล่าวข้อความที่ไม่เหมาะสม คือ หลังจากนำเสนอข่าวของรายการในช่วงแรกเสร็จ ก่อนจะตัดเข้าสู่ช่วงข่าวในพระราชสำนัก ผู้ประกาศคนหนึ่งได้กล่าวว่า... 

"เราจะมาเจอกันอีกรอบนึง เป็นยกสอง ของ (ชื่อรายการ) หลังข่าวในพระราชสำนักนะครับ" 

และกล่าวต่อไปว่า "พักไปอาบน้ำอาบท่า แป๊บเดียวเท่านั้น แล้วเดี๋ยวมาพบเจอกับ (ชื่อผู้ประกาศ) กันต่อ"

ซึ่งความหมาย หากใครฟังก็คงเข้าใจได้ว่า ช่วงข่าวในพระราชสำนัก เป็นช่วงที่ไม่มีความสำคัญ ไม่ต้องดู ไปอาบน้ำ ไปทำอะไรอย่างอื่นก่อน จบแล้วค่อยมาดูข่าวกันต่อ ซึ่งไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ก็เป็นความไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง 

บางคนอาจจะคิดว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ อาจจะเป็นแค่การพูด "หลุดปาก" แต่หากผู้ประกาศข่าวเผยแพร่ความคิดเช่นนี้ต่อคนจำนวนมากไปเรื่อย ๆ ก็เป็นการด้อยค่า กัดเซาะ บ่อนทำลายความสำคัญของสถาบันหลักของชาติอย่างแน่นอน และคำว่า "หลุดปาก" จริง ๆ แล้วก็คือการแสดงตัวตนของบุคคลคนนั้นนั่นเอง

ข้าราชการท่านนี้ จึงบอกผมว่า ฟังแล้วอึดอัดใจมาก จึงมาปรึกษาผมว่าควรจะทำอย่างไร ตัวท่านเองก็ได้แจ้งทางผู้บังคับบัญชาไปอีกชั้นหนึ่งด้วย 

ผมจึงได้ร้องเรียนต่อ กสทช. ในนามประชาชนคนหนึ่งที่จงรักภักดี และจะคอยติดตามผลแนวทางการดำเนินการของ กสทช. ในกรณีนี้ ว่าจะให้ความสำคัญมากน้อยเพียงใด และจะแจ้งให้ทุกท่านทราบผลต่อไปครับ

หมายเหตุ: ไม่ได้อยู่บนถนนวิภาวดีครับ


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก???? https://lin.ee/vfTXud9

'ไอติม' แนะ ก่อตั้งผู้ตรวจการกองทัพ เพื่อตรวจสอบทหารแทนประชาชน ย้ำ หยุดใช้เงินภาษีไปทำ “นักรบไซเบอร์”

นายพริษฐ์ วัชรสินธุ หรือ "ไอติม" อดีตผู้สมัคร ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ ปัจจุบันลาออกจากสมาชิกพรรคแล้ว ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก โดยมีเนื้อหาว่า 

หยุดใช้เงินภาษีไปทำ “นักรบไซเบอร์” - ตั้ง #ผู้ตรวจการกองทัพ ตรวจสอบทหารแทนประชาชน

การอภิปรายของ ส.ส.ณัฐชา บุญไช ยอินสวัสดิ์ เมื่อคืนที่ผ่านมา เป็นอีกครั้งที่เปิดเผยการทำปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร (Information Operation หรือ ไอโอ) ของกองทัพ โดย ส.ส.ณัฐชาอ้างจากข้อมูลหลักฐานว่า ปฏิบัติการดังกล่าวมีการทำอย่างเป็นระบบ (เช่น สั่งการผ่านหนังสือราชการ ติดตามและรายงานผลต่อผู้บังคับบัญชาอย่างสม่ำเสมอ) ใช้กำลังพล และงบประมาณจากภาษีประชาชนในการดำเนินการ จุดประสงค์เพื่อสนับสนุนการทำงานของรัฐบาล และตอบโต้/ลดทอนคุณค่าความเห็นของผู้เห็นต่าง (จากรัฐบาล) ในเวลาเดียวกัน

มีบางคนที่พยายามปกป้องรัฐบาลและกองทัพโดยการบอกว่า IO ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เหมือนกับคนทั่วไปที่แสดงความเห็นชื่นชมรัฐบาล แต่ประเด็นที่ต้องชี้ให้เห็นคือ การแสดงความเห็นของ IO กองทัพนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่มาจากการจัดตั้งโดยใช้ทรัพยากรของประเทศ ปัญหาของ IO กองทัพจึงอยู่ที่

1.) ปฎิบัติการ IO เป็นการใช้เงินภาษีของประชาชนไปดำเนินการ ไม่ได้ใช้เงิน เวลา หรือทรัพยากรส่วนตัว

2.) การอวยผลงานรัฐบาล หรือ ตอบโต้คนเห็นต่าง ไม่ใช่หน้าที่ของกองทัพ หากอ้างว่าทำไปเพื่อความมั่นคงของรัฐ ก็ต้องบอกย้ำว่าความมั่นคงของรัฐบาลเป็นคนละสิ่งกับความมั่นคงของรัฐ

แม้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมจะชี้แจงแล้วว่า เอกสารที่ ส.ส.ณัฐชา แสดงในสภานั้น “มีเอกสารที่ไม่เป็นเอกสารจริง” แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธเรื่องการนำงบประมาณไปใช้ในปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร รวมถึงไม่ได้ชี้แจงให้ประชาชนคลี่คลายความกังวลว่าการใช้งบประมาณในเรื่องนี้ เหมาะสม-โปร่งใสหรือไม่

นอกจากใช้งบประมาณไปกับเรื่องที่ดู “ไม่ใช่หน้าที่” แล้ว เมื่อเปรียบเทียบกับหน่วยงานอื่น กองทัพยังขึ้นชื่อเรื่องการเป็นหน่วยงานที่ตรวจสอบยาก มีเอกสาร “ลับ” อยู่ไม่น้อย ประชาชนจะเข้าถึงข้อมูลก็ทำได้ลำบาก หลายครั้งที่หลักฐานเล็ดลอดออกมาจึงเป็นเพราะ “คนใน” แอบส่งให้ ทั้งที่จริง หากหน่วยงานยึดความโปร่งใสเป็นพื้นฐานในการทำงาน เจ้าหน้าที่จะไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นเลย

ในเมื่อความหวังให้กองทัพปฏิรูปตัวเอง อาจมีความเป็นไปได้น้อย กลไกหนึ่งที่อาจช่วยกระตุ้นและเป็นทางออกของเรื่องนี้ คือการจัดตั้ง “คณะผู้ตรวจการกองทัพ” เป็นตัวแทนของประชาชนเข้าไปตรวจสอบการทำงานของกองทัพ โดยอำนาจหลัก ๆ อาจครอบคลุมไปถึง

1.) การตรวจสอบการใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรม หรือที่ไม่ตรงกับหน้าที่ในการรักษาความมั่นคงของรัฐ

กองทัพมีหน้าที่รักษาความมั่นคงของรัฐภายใต้รัฐบาลพลเรือน แต่ปัจจุบันเราเห็นกองทัพใช้ทรัพยากรหลายอย่างไปทำสิ่งที่ไม่เข้าข่ายหน้าที่หลักข้อนี้

นอกจากการทำ IO เพื่อชื่นชมผลงานรัฐบาล อีกตัวอย่างหนึ่งคือการที่กองทัพใช้ทหารเกณฑ์มาทำหน้าที่เป็นพลทหารรับใช้ให้กับนายทหารที่มียศสูงกว่า

ยิ่งไปกว่านั้น ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย กองทัพไทยยังมีการกระทำอื่นที่ขัดกับหลัก “กองทัพอยู่ใต้รัฐบาลพลเรือน” เช่น การที่ผู้นำทหารแสดงออกทางการเมืองในที่สาธารณะ หรือการทำรัฐประหาร

2.) ตรวจสอบการใช้งบประมาณกองทัพ ที่อาจไม่โปร่งใสหรือมีการทุจริต

ข้อมูลบางส่วนของกองทัพเป็นสิ่งที่เข้าถึงยากกว่าหน่วยงานอื่น อาจด้วยประเด็นเรื่อง “ความมั่นคง” ที่มักถูกหยิบยกมาเป็นข้ออ้าง - ผู้ตรวจการกองทัพจึงควรมีหน้าที่ตรวจสอบว่างบประมาณทุกบาทที่ถูกใช้ ไม่มีเรื่องการทุจริต หรือใช้ไปอย่างไม่เหมาะสม ซึ่งรวมถึง

- การตรวจสอบงบประมาณรายจ่าย (แม้งบของกองทัพในปีงบประมาณ 2565 ในภาพรวมลดลงเช่นเดียวกับหน่วยงานอื่น แต่ต้องตรวจสอบให้แน่ชัดว่าทุกบาทถูกใช้อย่างคุ้มค่า - เช่น งบการจัดหายุทโธปกรณ์ เพิ่มเป็น 4,937 ล้านบาท จากเดิมปีงบ 2564 อยู่ที่ 3,132 ล้านบาท ซึ่งต้องตรวจสอบว่าการจัดงบประมาณแบบนี้ จำเป็นหรือไม่ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันของประเทศ)

- การตรวจสอบรายได้ของกองทัพ เพราะนานมาแล้วที่อำนาจทางการเมืองของกองทัพได้แปรไปเป็นอำนาจในการครอบครองทรัพยากรของชาติ โดยปัจจุบันมีธุรกิจในการดูแลของทหาร (อย่างน้อย) 15 ธุรกิจ เช่น สถานีโทรทัศน์ สนามม้า สนามกอล์ฟ (อ.สุรชาติ บำรุงสุข เรียกว่า “เสนาพาณิชย์นิยม” หรือ military commercialism) ซึ่งสร้างความมั่งคั่งส่วนบุคคลแก่ทหารบางนาย และทำให้เกิดคำถามตามมาว่า รายได้จากธุรกิจเหล่านี้ถูกนำมาพัฒนากองทัพมากเพียงใด


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก???? https://lin.ee/vfTXud9

“ทิพานัน”ปลื้ม ส.ส.ฝ่ายค้าน ลดใช้วาทสร้างความเกลียดชัง ชี้ ใช้เอกสารปลอม โทษผิดอาญา ไม่มีเอกสิทธิ์คุ้มครอง 

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงภาพรวมวันที่สองของการอภิปรายไม่ไว้ว่า บรรยากาศดีกว่าวันแรก และขอบคุณผู้นำฝ่ายค้านและส.ส.พรรคร่วมฝ่ายค้าน ที่ให้ความสำคัญกับการทำหน้าที่ตรวจสอบโดยไม่จำเป็นต้องใช้ถ้อยคำหยาบคาย หรือถ้อยคำสร้างความเกลียดชัง ทำให้กระทบต่อภาพลักษณ์ของสภาฯ และความศรัทธาของประชาชน แต่ยังเป็นห่วงเรื่องของเอกสารหลักฐานมาประกอบการอภิปราย จะต้องเป็นหลักฐานที่แท้จริง ไม่ใช่เอกสารเท็จที่มีการตกแต่งหรือปลอมแปลงมาเพื่อหวังผลสร้างกระแสดิสเครดิต

ยกตัวอย่าง กรณีที่นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล ที่แฉกระทรวงกลาโหมสนับสนุนงบฯทำไอโอ ซึ่งต่อมากองทัพภาคที่ 2 และพล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม ได้ตรวจสอบเอกสารที่นายณัฐชา นำมาใช้อภิปรายแล้วพบว่า ไม่ใช่เอกสารที่แท้จริง มีพิรุธถึง 7 จุด เช่น ลายมือชื่อในเอกสารไม่ตรงกัยลายมือชื่อจริง นอกจากกองทัพภาคที่ 2 จะยืนยันว่าเอกสารเป็นเอกสารเท็จที่ได้มีการปลอมแปลง จึงได้แจ้งความลงบันทึกประจำวันเป็นหลักฐานในเบื้องต้นแล้ว

“สุดท้ายประชาชนจะไม่ไว้วางใจฝ่ายค้าน ฉะนั้นต้องช่วยกันยกระดับมาตรฐานการอภิปรายอย่างสร้างสรรค์ ก่อนจะตรวจสอบการทำงานรัฐบาล ต้องรู้จักการตรวจสอบข้อเท็จจริงและนำเสนอเฉพาะข้อเท็จจริง เพราะถึงแม้ส.ส.จะมีเอกสิทธิ์คุ้มครองในการอภิปราย แต่ก็ไม่คุ้มครองไปถึงการอภิปรายด้วยข้อมูลเอกสารเท็จที่ปลอมแปลงขึ้นมา”

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า อยากขอให้พรรคต้นสังกัด ตรวจสอบเอกสารหลักฐานต่างๆก่อนที่จะให้ส.ส.มาอภิปราย และถ้าเห็นแล้วปล่อยให้อภิปรายก็เปรียบเหมือนทำการบ้านมาผิด แล้วครูยังปล่อยให้ผ่านไป เด็กจะสอบตก ฉะนั้นหวังว่าการอภิปรายในวันนี้จะไม่พบการปั้นน้ำเป็นตัว นำข้อมูลปลอม เอกสารเท็จมาอภิปรายลดทอนความน่าเชื่อถือของฝ่ายค้านและลดศรัทธาของประชาชนที่อาจตั้งคำถามว่าที่ผ่านมาใช้เอกสารปลอมมาตลอดหรือไม่

“ประวิตร” ประชุม คกก. เห็นชอบ แนวทางขับเคลื่อนฯ  มุ่งสู่เป้าหมาย "อยู่รอด พอเพียง ยั่งยืน"  เน้นสร้างการรับรู้/มีส่วนร่วม ปชช.น้อมนำ "หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง"  เร่งแก้ปัญหาความยากจนทุกกลุ่ม 

พล.ต.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์  ผู้ช่วยโฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า.  พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตร เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการขจัดความยากจน และพัฒนาคนทุกช่วงวัย อย่างยั่งยืน ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง (คจพ.) ครั้งที่ 2/2564 ผ่านระบบ Video Conference  โดยมี  รมว.มท.,รมว.พม. เข้าร่วมการประชุม 

ที่ประชุมได้รับทราบ การจัดตั้ง ศูนย์อำนวยการขจัดความยากจน และพัฒนาคนทุกช่วงวัย อย่างยั่งยืน ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ในระดับจังหวัด และระดับต่างๆ ซึ่งได้ผ่านความเห็นชอบ จาก คจพ. เมื่อ 19 มี.ค.64 และดำเนินการจัดตั้งแล้ว ได้แก่ ศูนย์ฯจังหวัด 76 ศูนย์ ,ศูนย์ฯ กทม.1 ศูนย์ และทีมปฏิบัติการระดับตำบล 7,097ทีม ,ทีมระดับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 166 ทีม เพื่อเป็นกลไกในการขับเคลื่อน ต่อไป  หลังจากนั้น คณะกรรมการฯ ได้พิจารณาเห็นชอบ แนวทางการขับเคลื่อนการปฏิบัติการขจัดความยากจน และการพัฒนาคนทุกช่วงวัย บนพื้นฐานข้อมูลเชิงประจักษ์ ในระดับพื้นที่ ให้ครอบคลุมกลุ่มคนเป้าหมาย ของระบบ TPMAP และกลุ่มคนเปราะบางทุกกลุ่ม เพื่อช่วยเหลือคนยากจนอย่างทั่วถึง จริงจัง บนหลักการวงจรการบริหารงานคุณภาพ (PDCA) ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ได้แก่ Plan :แนวทางการขับเคลื่อนการแก้ไขความยากจนฯ, Do :ลงมือดำเนินการ ,Check :ติดตาม ตรวจสอบ ประเมินผล และ Act :ปรับปรุงการดำเนินการ วิเคราะห์และประมวลข้อมูลจากการติดตาม ตรวจสอบ 

ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร ได้กำชับ กระทรวงมหาดไทย , กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้น้อมนำ"หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง" เพื่อใช้ขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาความยากจน และพัฒนาคนทุกช่วงวัย อย่างยั่งยืน โดยเร่งรัดสำรวจเพิ่มเติม และปรับปรุงข้อมูลบุคคล/ครัวเรือน ปี64 ในระบบ TPMAP และระบบแฟ้มบ้านพัฒนาคนไทย (Logbook) ให้แล้วเสร็จภายใน 31 ธ.ค.64 เพื่อให้มีฐานข้อมูลที่สมบูรณ์ เชิงประจักษ์ และนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายการพัฒนา คือ"อยู่รอด พอเพียง และยั่งยืน" พร้อมทั้งเน้นให้มีการประชาสัมพันธ์ และสร้างการมีส่วนร่วม ของประชาชน อย่างทั่วถึงด้วย

ทภ.2 จับพิรุธ 7 ข้อ พร้อมแจ้งความ 'ส.ส.ณัฐชา' ใช้เอกสารปลอมแปลงซักฟอกรัฐบาล แจงภาพทหารรับเบี้ยเลี้ยงของเก่า ก่อนโควิดระบาด เพราะไม่ใส่แมสก์

1 ก.ย. 64 พล.ต.สวราชย์ แสงผล โฆษกกองทัพภาคที่ 2 ชี้แจงกรณี ผู้อภิปราย นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพฯ พรรคก้าวไกล ได้อภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2564 ใช้อำนาจขัดต่อรัฐธรรมนูญโดยนำเสนอข้อมูลเรื่องปฏิบัติการไอโอ โดยกล่าวอ้างว่าใช้เอกสารของกองทัพภาคที่ 2 เป็นหลักฐานประกอบการอภิปราย กองทัพภาคที่ 2 ขอเรียนชี้แจงข้อเท็จจริงให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องดังนี้

1.) กรณีนำเอกสารมาประกอบการอภิปรายจากการตรวจสอบเอกสารเบื้องต้นพบว่าไม่ใช่เอกสารจริงโดยพบจุดพิรุธดังนี้

(1) หนังสือที่นำมาแสดงเป็นหนังสือที่ทำขึ้นในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนกรกฎาคม 2564 ลายมือชื่อของแม่ทัพภาคที่ 2 ท่านปัจจุบันในหนังสือทั้ง 2 ฉบับไม่ตรงกับลายมือจริง

(2) นามสกุลของแม่ทัพภาคที่ 2 ท่านปัจจุบันในหนังสือฉบับหนึ่งพิมพ์ไม่ถูกต้อง

(3) ลายมือชื่อของรองแม่ทัพภาคที่ 2 ไม่ตรงกับลายมือชื่อจริง

(4) มีรายมือชื่อของผู้อำนวยการกองยุทธการกองทัพภาคที่ 2 ที่ลงนามในหนังสือฉบับนั้นซึ่งปัจจุบันท่านดังกล่าวได้ปรับย้ายไปดำรงตำแหน่งใหม่แล้วเป็นเวลากว่า 2 ปีเศษตั้งแต่ตุลาคม 2561 และนามสกุลสะกดไม่ถูกต้อง

(5) กำลังพลที่เกี่ยวข้องยืนยันว่าไม่เคยมีการจัดทำหนังสือดังกล่าวโดยเมื่อตรวจสอบการออกเลขที่หนังสือแล้วเป็นของกองยุทธการกองทัพภาคที่ 2 ซึ่งเลขหนังสือที่ออกจนถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2564 มีเลขหนังสือถึงแค่ลำดับที่ 851 ยังไม่ถึงลำดับที่ 1121 ตามเอกสารที่ผู้อภิปรายนำมาแสดงแต่อย่างใด

(6) ตามเลขที่คำสั่งที่ปรากฏ (เลขที่ 1107/2564) หน่วยมิได้เคยออกคำสั่งเกี่ยวกับเรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการศูนย์แต่อย่างใดอีกทั้งรายชื่อคณะกรรมการศูนย์ปฏิบัติการสารสนเทศกองทัพภาคที่ 2 (ศปสท.ทภ.2) ชั้นยศไม่ตรงกับความเป็นจริงเช่นระดับผู้อำนวยการกอง ซึ่งต้องมีชั้นยศพันเอกแต่ในเอกสารมีชั้นยศเป็นพันโทในส่วนของแม่ทัพน้อยที่ 2 ต้องมีชั้นยศพลโทไม่ใช่พลตรี

(7) การพิมพ์หนังสือราชการตามระเบียบงานสารบรรณปกติจะมีการตรวจสอบความถูกต้องความเป็นระเบียบรวมถึงการสะกดคําให้ถูกต้องตามหลักแต่หนังสือฉบับดังกล่าวมีคำผิดแม้กระทั่งชื่อนามสกุลของผู้ที่ต้องลงนาม จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว

กองทัพภาคที่ 2 ขอยืนยันว่าเอกสารดังกล่าวข้างต้นถือเป็นเอกสารอันเป็นเท็จที่ได้มีการปลอมแปลงทางรูปแบบให้เป็นไปตามระเบียบของทางราชการ รวมทั้งการลงลายมือชื่อไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง หน่วยจึงได้เข้าแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้ที่สถานีตำรวจภูธรเมืองนครราชสีมาเป็นหลักฐานแล้ว

และ 2.) กรณีมีการอภิปรายว่ามีการเบิกจ่ายเบี้ยเลี้ยงกำลังพลพร้อมทั้งมีคลิปเสียงและรูปภาพประกอบกองทัพภาคที่ 2 ขอยืนยันว่าหน่วยไม่เคยได้รับการสนับสนุนงบประมาณตามที่กล่าวอ้างแต่อย่างใดรวมทั้งไม่ทราบที่มาของคลิปเสียงโดยเฉพาะอย่างยิ่งรูปภาพการยืนต่อแถวรับเบี้ยเลี้ยงตามที่กล่าวอ้างนั้นเป็นภาพเก่าของการจ่ายเบี้ยเลี้ยงตามปกติของหน่วยก่อนการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 สังเกตได้จากกำลังพลไม่มีการสวมหน้ากากอนามัยตามมาตรการที่กองทัพภาคที่ 2 กำหนด

จึงเรียนมาเพื่อทราบในข้อเท็จจริงเพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดต่อการดำเนินการของหน่วย


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก???? https://lin.ee/vfTXud9

‘ธรรมนัส’ เก็บทรงไม่อยู่ เดือดจัด ด่าไอ้ห้อยไอ้โหน ปล่อยข่าวเสี้ยมล้มนายกฯ ขู่สมัยหน้าไม่ส่งลง ส.ส.แน่ ติง รมต.ในพรรค ไร้ผลงานบอกชาวบ้าน ลั่น อย่ากดดันมาก เพราะมาจากปชช. เมินคุย ‘บิ๊กตู่’ ถกแต่กับหัวหน้าพรรค พปชร. เท่านั้น

เมื่อเวลา 14.45 น. ที่รัฐสภา ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ และเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวอยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวล้ม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ว่า ก่อนจะพูดเรื่องอื่นขอบอกกับสื่อมวลชนว่า ชื่นชมเกือบทุกสำนักที่นำเสนอเรื่องราวด้วยความเป็นกลาง แต่ฝากไปถึงสื่อสำนักหนึ่งให้รู้จักจิตสำนึกและจริยธรรมของความเป็นสื่อในการนำเสนอ เพราะมีสำนักหนึ่งที่แยกตัวมาใหม่ และตนฟ้องอยู่ที่ จ.พะเยา พยายามนำตนไปพูดในทางเสียหาย ไปเขียนเอาเอง โดยไม่ฟังเสียงประชาชนที่เดือดร้อนกันทั้งบ้านทั้งเมือง แต่ไปเขียนชื่นชมใครบางคน 

ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า ส่วนที่ถามถึงข้อเท็จจริงของกระแสข่าวนั้น ขอยืนยันว่าไม่เคยสนใจหรือใส่ใจเรื่องตำแหน่งหน้าที่ และพูดมาเสมอว่าจากลูกชาวนา เด็กบ้านนอก คนจน มาถึงทุกวันนี้ และได้ทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองถือว่าชีวิตสูงสุดแล้ว ส่วนที่เหลือถ้ามีโอกาสทำงานเพื่อชาติบ้านเมือง รับใช้แผ่นดิน รับใช้ประชาชนก็จะทำให้ดีที่สุด ตลอด 2 ปีที่ผ่านมาคงไม่ต้องพูดอะไรมากว่าทำอะไรเพื่อบ้านเมือง เพื่อประชาชนบ้าง ดังนั้น การจะมาแกร่งแย่งชิงดีชิงเด่นในรัฐบาล ในคณะรัฐมนตรีเดียวกัน ไม่ใช่พฤติกรรมของตน หากจำได้การประชุมใหญ่พรรค พปชร.ที่ จ.ขอนแก่น ได้ยืนยันว่าจะนำพรรค พปชร.ให้เป็นสถาบันการเมืองที่มีความเข้มแข็ง เป็นที่พึ่งของประชาชน และจะทำต่อไป

“ข่าวลือที่ออกมาว่าผมจะทำอันนู้นอันนี้ ไม่เป็นความจริง และมีข่าวที่ได้ยินมาจาก ส.ส.ที่โทรศัพท์มาหาว่ามีหัวหน้าพรรคการเมืองพรรคเล็กคนหนึ่งเสนอรับเงิน 10 ล้านบาท เพื่อต่างตอบแทน และร้ายไปกว่านั้นมีรัฐมนตรีในพรรค พปชร.รับงานมาล็อบบี้ ส.ส.พรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ และพรรค พปชร.ในการโหวตสนับสนุนใครคนใดคนหนึ่ง ต้องถามว่าคนเป็นรัฐมนตรีสมควรทำอย่างนั้นหรือไม่ เพราะควรเห็นแก่ประโยชน์ของชาติบ้านเมือง ไม่ต้องใคร 4 ช.ที่ว่ากัน ฝากไปบอกเขาด้วยว่า ทำอะไรเพื่อบ้านเพื่อเมืองบ้าง อย่าเห็นผลประโยชน์ส่วนตัว นี่คือ คำตอบของผม” ร.อ.ธรรมนัส กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า มีการโยงชื่อ ร.อ.ธรรมนัส เป็นหนึ่งในขบวนการล้มนายกฯ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ระบุชัดเจนว่า 1 เสียงของ ส.ส.คือ เสียงจากประชาชน ส.ส.รู้จักคิด รู้จักทำว่าควรจะทำอะไร ไม่สามารถไปครอบงำอะไรได้ มติพรรคจะให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ไม่ได้ เพราะผิดรัฐธรรมนูญ พรรค พปชร.ไม่มีอย่างนั้น ใครมาถามก็บอกไปว่าดูแล้วกัน และให้ตัดสินใจเอง ตนไม่ได้ถูกใช้ให้มาล็อบบี้ใคร ไม่ว่าจะให้ช่วยรัฐบาลหรือไปรับรองพรรคอื่นให้มาช่วย หรือโหวตคว่ำใครคนใดคนหนึ่ง ตนไม่ทำ และตนเข้ามาสภาก็มีทุกพรรคเข้ามาสวัสดี ถ่ายรูปด้วย นายอุบลศักดิ์ บัวหลวงงาม ส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย ดึงแขนมาก็เพื่อจะคุยเรื่อง ส.ป.ก. เป็นเรื่องปกติ ไม่เคยคิดว่าคนต่างพรรคจะต้องเป็นศัตรูกัน แม้แต่ถูกกระทำก็ไม่เคยโทษใคร เขาจะด่าเราอย่างไรก็ควรนำมาปรับปรุงตัวเอง ถามว่าในคณะรัฐมนตรีใครโดนหนักเท่าตนบ้าง มีม็อบบุกไปที่บ้านของตน ใครโดนแบบนี้บ้าง เคยได้ยินบ่นหรือแหกปากสักคำหรือไม่ เพราะไม่ใช่สัตว์ประเภทที่เหยียบหางหน่อยแล้วมาแหกปาก 

เมื่อถามว่า คิดว่าเรื่องดังกล่าวมีขบวนหรือไม่ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า “ขบวนการมีหรือไม่มีต้องไปถามคนเต้าข่าวว่าต้องการอะไรแน่ คนเต้าข่าวไม่ใช่ฝ่ายค้าน พรรคฝ่ายรัฐบาล ไอ้ห้อยไอ้โหนทั้งหลาย ชอบเลียแข้งเลียขา สำเหนียกซะบ้าง ผมรู้หมดแล้ว บางคนบันทึกเทปไว้หมดแล้ว ระวัง เดี๋ยวเจอกัน”

เมื่อถามว่า ขณะนี้ยังคุยกับ พล.อ.ประยุทธ์อยู่หรือไม่ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า ขอถามกลับไปหาไอ้ห้อยไอ้โหนว่าเคยทำเหมือนตนหรือไม่ที่นำนโยบายของนายกฯ นำไปสู่การปฏิบัติให้เกิดประโยชน์กับประชาชนและชาติบ้านเมือง มัวแต่ห้อยโหนอย่างนี้ประเทศชาติจะเจริญได้อย่างไร ตนพูดเสมอว่าไม่โกรธใคร ไม่แค้นใคร แต่จำนาน และพี่น้องร่วมอุดมการณ์เยอะ 

เมื่อถามย้ำว่า ต้องทำความเข้าใจกับนายกฯ หรือไม่ เพราะอาจจะไม่พอใจกับกระแสข่าวที่ออกมา ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า “ผมไม่ได้คุยกับนายกฯ ผมคุยกับหัวหน้าพรรคผม และนายกฯ ก็พูดตลอดเวลาว่าจะคุยเฉพาะหัวหน้าพรรค เราเป็นลูกพรรคและเป็นเลขาธิการพรรคก็ต้องคุยกับหัวหน้าพรรค กินข้าวคุยด้วยกันทุกวัน และในการประชุมพรรค พปชร.เมื่อวันที่ 30 ส.ค.ที่ผ่านมา ถามพี่น้องทุกคนเลยว่าผมพูดอะไรเกี่ยวกับการเลื่อยขา มท.1 ได้ยินจากปากผมหรอครับ ผมพูดกับ ส.ส. 50-60 คน บอกว่า ส.ส.ในพรรคอึดอัดหลายเรื่อง และรัฐมนตรีที่นั่งอยู่ตรงนี้มีผลงานไปบอก ส.ส.ให้บอกชาวบ้าน นี่คือ ผลงานของพรรค พปชร. ส.ส.ตอบได้เลยว่าไม่มี มีหน้าที่เป็นฝ่ายนิติบัญญัติอย่างเดียว คนที่เป็นตัวแทนของประชาชน ถ้าเป็นที่พึ่งไม่ได้ อย่าเป็น ส.ส.เลยดีกว่า แล้วถ้าไม่เคลียร์ตัวผมพร้อมที่จะกลับไปเป็น ส.ส.เหมือนเดิม ไม่ได้สนใจด้วย”

เมื่อถามว่า มีแนวคิดอยากเป็นนายกฯ หรือไม่ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า บอกแล้วว่าไม่เคยใส่ใจตำแหน่งหน้าที่ จะอยู่ในสถานะใด แม้แต่ตอนเป็นนายธรรมนัส เป็นประธานมูลนิธิธรรมนัส พรหมเผ่า ทำอะไรเพื่อคนพะเยา คนภาคเหนือบ้าง ดังนั้น ทุกอย่างไม่จำเป็น ทุกอย่างอยู่ที่ใจ ใจสั่งสมองให้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง

เมื่อถามว่า ยืนยันหรือไม่ว่าทุกอย่างเป็นข่าวลือ และต้องการสกัดดาวรุ่ง ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า “อย่ากดดันกันมาก ผมมาจากประชาชน” 

เมื่อถามว่า ที่บอกว่าเป็นคนจำนาน จะมีการแก้แค้นเกิดขึ้นหรือไม่ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า เป็นคนแบบนี้ จำนาน และจำดี แต่ไม่ใช่การแก้แค้น ถ้าคนเหล่านั้นไม่แก้ไขก็ถูกประชาชนลงโทษเอง และบอกได้เลยว่าถ้ายังเป็นแกนนำพรรค พปชร. ส.ส.ที่เป็นไอ้ห้อยไอ้โหนทั้งหลายสมัยหน้าไม่ได้ลงหรอก


ที่มา : https://www.naewna.com/politic/599102


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก???? https://lin.ee/vfTXud9

ราเมศ ยัน รบ. ทำตามนโยบายที่แถลงต่อสภา สวน เพื่อไทย ประกันรายได้ ปชป. ไม่มีทุจริต เหมือนจำนำข้าว

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงกรณีที่ มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ว่า

ข้อมูลของ ส.ส.เพื่อไทย ที่อภิปราย เป็นข้อมูลที่ไม่ตรงกับความจริง ไม่มีความรู้จริงในเรื่องที่อภิปราย รัฐบาลโดยนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทำตามนโยบายที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภาอย่างครบถ้วนคือความรับผิดชอบสำคัญในทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นการรักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตรและรายได้ให้กับเกษตรกร ไม่ว่าจะเป็นข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง ปาล์ม อ้อยและข้าวโพด 

การลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตที่เหมาะสมการปรับโครงสร้างต้นทุนการผลิต เล็งเห็นความสำคัญของเมล็ดพันธุ์พืชพื้นที่เพาะปลูกปุ๋ยและอุปกรณ์ทางการเกษตรรวมถึงแหล่งน้ำ การพัฒนาองค์กรเกษตรและเกษตรกรรุ่นใหม่ก็ดำเนินการอย่างครบถ้วน ดูแลเกษตรกรผู้มีรายได้น้อยให้สามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ในที่ดินทำกิน มีแผนแม่บทชัดเจนในเรื่องการทำเกษตรปลอดภัย เกษตรชีวภาพ เกษตรแปรรูป

เกษตรอัจฉริยะ ระบบนิเวศการเกษตร คือการสนับสนุนให้เกษตรกรบริหารจัดการผลผลิตให้สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่

การพัฒนาแหล่งกักเก็บน้ำและฟื้นฟูและปรับปรุงคุณภาพดินการส่งเสริมระบบการเกษตรแบบแปลงใหญ่ การแก้ไขปัญหาสินค้าเกษตรตกต่ำและการควบคุมป้องกันปัญหาโรคระบาด ทุกอย่างเป็นนโยบายที่ประสบผลสำเร็จแทบทั้งสิ้น

และกรณีประกันรายได้ชัดเจนว่าเป็นนโยบายที่มุ่งแก้ปัญหาให้กับพี่น้องเกษตรกรให้มีหลักประกันในเรื่องราคาพืชผลสินค้าทางการเกษตร เพื่อให้ราคาพืชผลทางการเกษตรดีที่สุดโดยกำหนดรายได้ขั้นต่ำที่พี่น้องเกษตรกรจะได้รับเป็นเพดาน ช่วยให้พี่น้องเกษตรกรมีรายได้ 2 ทาง ถ้าราคาต่ำกว่ารายได้ที่ประกันจะมีเงินส่วนต่างโอนเข้าบัญชีพี่น้องเกษตรกรโดยตรงช่วยให้พี่น้องมีหลักประกัน ยามที่พืชเกษตรราคาตกให้พอยังชีพได้โดยมีเงินส่วนต่างเข้ามาเป็นตัวช่วย ไม่มีเงินรั่วไหล ไม่มีเรื่องทุจริต เช่นโครงการรับจำนำข้าว 

พรรคประชาธิปัตย์ได้หาเสียงไว้เรื่องประกันรายได้แล้วเราทำตามสัญญาที่ให้ไว้ ผลักดันจนสำเร็จ มีพี่น้องเกษตรกรได้รับประโยชน์แล้วกว่า 7.67 ล้านครัวเรือนได้รับประโยชน์ ฝ่ายค้านควรใช้ข้อมูลที่ตรงไปตรงมา แต่เข้าใจได้ว่าเมื่อมีผลงานที่มีผลสำเร็จ ก็ต้องโจมตีและทำลายเป็นเรื่องธรรมดา


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top