Monday, 28 April 2025
NEWS

ครม. เคาะงบกว่า 368 ล้านบาท รักษาเสถียรภาพราคามันสำปะหลัง ช่วยเหลือชาวไร่มัน ลดต้นทุนเกษตรกร

(17 ธ.ค. 67) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ (17 ธ.ค. 67) ที่นำโดยนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มีมติอนุมัติมาตรการรักษาเสถียรภาพราคามันสําปะหลังตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ  ซึ่งเป็นไปตามมติคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการมันสำปะหลัง (นบมส.) เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2567 เพื่อช่วยเหลือสภาพคล่องของสถาบันเกษตรกรและผู้ประกอบการรับซื้อมันสำปะหลังโดยไม่เร่งระบายผลผลิต รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูกและสร้างศักยภาพการแปรรูปของเกษตรกร ในการรักษาเสถียรภาพราคามันสำปะหลังในช่วงผลผลิตออกสู่ตลาดมาก ซึ่งจะส่งผลให้ราคามันสำปะหลังที่เกษตรกรขายได้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ประกอบด้วย 4 โครงการ ดังนี้
 
1. โครงการชดเชยดอกเบี้ยในการเก็บสต็อกมันสำปะหลัง ปี 2567/68 วงเงิน 300 ล้านบาท โดยสนับสนุนดอกเบี้ยแก่ผู้ประกอบการลานมัน โรงแป้ง โรงงานเอทานอลที่กู้ยืมเงินจากธนาคารพาณิชย์หรือธนาคารของรัฐ เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้สามารถรับซื้อมันสำปะหลังและแปรรูปเก็บสต็อกในรูปแบบมันเส้นหรือแป้งมัน เป็นระยะเวลา 60 - 180 วัน เพื่อดึงผลผลิตส่วนเกินออกจากตลาด เป้าหมาย 6 ล้านตันหัวมันสด รัฐชดเชยดอกเบี้ยแก่ผู้เข้าร่วมโครงการฯ ในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี ตามระยะเวลาที่เก็บสต็อก และมีระยะเวลารับซื้อ ตั้งแต่ 1 มกราคม – 31 พฤษภาคม 2568 ระยะเวลาเก็บสต็อก ตั้งแต่ 1 มกราคม – 30 พฤศจิกายน 2568 ระยะเวลาโครงการ ตั้งแต่วันที่ ครม.มีมติ – 31 ตุลาคม 2569

2. โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมมันสำปะหลังและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปี 2567/68 วงเงิน 17.50 ล้านบาท

โดย ธ.ก.ส.สนับสนุนสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกร (สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร และวิสาหกิจชุมชน) ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการรวบรวมหรือรับซื้อหัวมันสำปะหลังสด มันสำปะหลังเส้นจากเกษตรกร สถาบันเกษตรกรที่ดำเนินกิจการโดยมีสมาชิกประกอบอาชีพเลี้ยงสัตว์เป็นหลัก เพื่อช่วยดูดซับปริมาณผลผลิตมันสำปะหลัง เป้าหมาย วงเงินกู้ 500 ล้านบาท ผลผลิตประมาณ 200,000 ตัน อัตราดอกเบี้ยโครงการฯ ร้อยละ 4.5 ต่อปี โดยสถาบันเกษตรกรรับภาระดอกเบี้ยร้อยละ 1 ต่อปี และรัฐสนับสนุนดอกเบี้ยให้ร้อยละ 3.5 ต่อปี ระยะเวลา 12 เดือน ระยะเวลาโครงการ ตั้งแต่ ครม.มีมติ – 30 มิถุนายน 2569

3. โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูกมันสำปะหลัง ปี 2567/68 วงเงิน 41.40 ล้านบาท โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อแก่เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังเพื่อเป็นเงินทุนในการพัฒนาการผลิตโดยใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม และลดต้นทุนการผลิตมันสำปะหลัง เป้าหมายเกษตรกร 3,000 ราย รายละไม่เกิน 230,000 บาท วงเงินกู้รวม 690 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยโครงการฯ เท่ากับ MRR และรัฐรับภาระดอกเบี้ยให้ร้อยละ 3 ต่อปี เกษตรกรรับภาระในอัตรา MRR – 3 ระยะเวลา 24 เดือน  กำหนดระยะเวลาโครงการ ตั้งแต่ ครม.มีมติ – 31 ตุลาคม 2570 

4. โครงการยกระดับศักยภาพการแปรรูปมันสำปะหลัง (เครื่องสับมันฯ)  วงเงิน 10 ล้านบาท โดยเป็นการสนับสนุนเงินทุนให้กลุ่มเกษตรกรเพื่อจัดหาเครื่องสับมันสำปะหลังขนาดเล็กพร้อมเครื่องยนต์ และอุปกรณ์สำหรับตากมันเส้น เครื่องละไม่เกิน 15,000 บาท เป้าหมาย 650 เครื่อง ระยะเวลาโครงการ ตั้งแต่ ครม.อนุมัติ – 30 กันยายน 2568

นอกจากนี้ ยังได้เตรียมของบประมาณกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร เพื่อให้เกษตรกรชะลอการเก็บเกี่ยว มันสำปะหลังไปก่อนในช่วงที่ผลผลิตกำลังจะออกสู่ตลาดมากนี้ ให้ผลผลิตมีเชื้อแป้งและผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้เกษตรกรขายได้ราคา โดยจะสนับสนุนให้ใช้สินเชื่อจาก ธ.ก.ส. เป็นค่าใช้จ่ายในครัวเรือนระหว่างรอการเก็บเกี่ยว โดยรัฐบาลจะรับภาระดอกเบี้ยให้ส่วนหนึ่ง คาดว่าจะเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรได้ภายในสัปดาห์หน้า

“รัฐบาลนำโดยท่านนายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญกับการดูแลราคาสินค้าเกษตรทุกตัวให้สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และในส่วนของกระทรวงพาณิชย์เอง ก็จะเร่งดำเนินมาตรการต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อช่วยรักษาเสถียรภาพของราคา และขอให้เกษตรกรพัฒนาผลผลิตของตนเองให้มีคุณภาพ ซึ่งรัฐบาลจะช่วยสนับสนุนเกษตรกรไทยอย่างต่อเนื่อง ในการเพิ่มคุณภาพผลผลิต และลดต้นทุนการผลิต เป็นการเพิ่มรายได้ให้กับพี่น้องเกษตรกรไทยอย่างยั่งยืน“นายพิชัย กล่าว

โดยก่อนหน้านี้นายพิชัยได้หารือกับนายหาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ขอให้ผู้นำเข้าจีนช่วยรับซื้อมันสําปะหลังของไทย ที่ผลผลิตกำลังจะออกมามากในช่วงนี้ ทั้งยังได้ประสานขอให้ผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ในไทย ให้ช่วยกันใช้ส่วนผสมจากมันสำปะหลังในการผลิตเยอะขึ้นด้วย

'เผ่าภูมิ' ตรวจเตรียมพร้อม 3 พิพิธภัณฑ์ธนารักษ์ ร่วมเทศกาล Night at the Museum 2024

ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ตรวจเยี่ยมเตรียมความพร้อมการจัดงานเทศกาลท่องเที่ยวพิพิธภัณฑ์ในยามค่ำคืน 2567 (Night at the Museum Festival 2024) ที่กรมธนารักษ์เข้าร่วม ณ พิพิธบางลำพู พิพิธภัณฑ์เหรียญกษาปณานุรักษ์ พิพิธตลาดน้อย โดยเข้าร่วมเทศกาลดังกล่าว ในวันที่ 20-22 ธันวาคม 2567

พิพิธภัณฑ์ที่เข้าตรวจเตรียมความพร้อมในวันนี้ แห่งแรกคือ 'พิพิธบางลำพู' เป็นศูนย์การเรียนรู้เพื่อชุมชนและสังคม รวมถึงพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญด้านต่าง ๆ ของชุมชนย่านบางลำพูตั้งแต่สมัยต้นรัตนโกสินทร์จนถึงปัจจุบัน กิจกรรมภายในงาน เช่น เข้าชมพิพิธบางลำพูยามค่ำคืน ชมนิทรรศการพิเศษตลาดอาหารไทยชูรส ร้านจำหน่ายสินค้าฝีมือคนไทย กิจกรรมสาธิตการทำขนมและเครื่องหอมไทย ชมวิวป้อมพระสุเมรุ และฉายหนังกลางแปลงบนดาดฟ้าพิพิธบางลำพู 

แห่งที่ 2 'พิพิธภัณฑ์เหรียญกษาปณานุรักษ์' จัดแสดงเกี่ยวกับเงินตราโบราณและเหรียญกษาปณ์ ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์จนถึงปัจจุบัน และเหรียญต่างประเทศ รวมทั้งการผลิตเหรียญกษาปณ์ และการอนุรักษ์เงินตรา ภายใต้แนวคิด 'วิถีแห่งเงินตรา สินล้ำค่าของแผ่นดิน' ในงาน จัดให้มีการเข้าชมนิทรรการรอบพิเศษในยามค่ำคืน (รอบสุดท้ายเวลา 20.30 น.) ชมนิทรรศการพิเศษ จังหวะ-กะ-เหรียญ ในรูปแบบ Mix Art Media ร่วม Workshop ชุมทางงานศิลป์ และลุ้นของรางวัลจากกิจกรรมเกมลูกเล่น-ลูกทุ่ง 

แห่งที่ 3 'พิพิธตลาดน้อย' จัดแสดงนิทรรศการเผยแพร่ความรู้ด้านประวัติศาสตร์ เศรษฐกิจและสังคมของชุมชนย่านตลาดน้อย ภายในงาน มีการจัดกิจกรรมเข้าชมพิพิธภัณฑ์ยามค่ำคืน ชม ชิม ช็อป ตั๊กลักเกี้ย ไนท์มาร์เก็ต workshop ของเล่นกระดาษ ย้อนอดีตวันวาน ขนมมงคลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ และชมไฟแสงสีรอบอาคาร

โดยในช่วงเทศกาล Night at the Museum Festival 2024 จะเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมโดยไม่เสียค่าเข้าชม

ผบ.ทร./รอง ผอ.ศรชล. เป็นประธานการประชุม ศรชล. และหน่วยงานหลัก ร่วมมือจัดทำโครงการเสริมสร้างขีดความสามารถและการปฏิบัติงานบูรณาการร่วมกัน

(16 ธ.ค. 67) ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) จัดการประชุมคณะกรรมการบริหาร ศรชล. ครั้งที่ 3/2567 ณ โรงแรมรอยัล ออคิด เชอราตัน กรุงเทพฯ 

โดยมีพลเรือเอก จิรพล ว่องวิทย์ ผบ.ทร.ในฐานะ รอง ผอ.ศรชล. เป็นประธานการประชุมฯ พร้อมผู้บริหารจากหน่วยงานหลักใน ศรชล.ในฐานะ ผช.ผอ.ศรชล. ประกอบด้วย พลเรือเอก ชลธิศ นาวานุเคราะห์ รอง ผบ.ทร. นายกริชเพชร ชัยช่วย อธิบดีกรมเจ้าท่า นายสุวัฐน์ วงศ์สุวัฒน์
รองอธิบดีกรมประมง ผู้แทนอธิบดีกรมประมง นายจักกฤช อุเทนสุต รองอธิบดีกรมศุลกากร ผู้แทนอธิบดีกรมศุลกากร ดร.ปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พล.ต.ต.จักรพันธุ์ รัตนเทวมาตย์ ผู้แทนผู้บังคับการกองบังคับการตำรวจน้ำ และนางสาวสุนัน เพชรชู ผู้ตรวจราชการ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ร่วมด้วยกรรมการบริหาร ศรชล. อีก 26 หน่วยงานเข้าร่วมการประชุมฯ 

โดยมี พลเรือเอก ไพโรจน์ เฟื่องจันทร์ เสธ.ทร. ในฐานะเลขาธิการ ศรชล. ดำเนินการประชุมฯ ก่อนการประชุมคณะกรรมการบริหารฯ เป็นการประชุมระดับผู้บริหาร ศรชล. (Senior Officials Meeting: SOM) โดยมีประเด็นหารือเกี่ยวกับแนวความคิดในการบูรณาการการเสนอโครงการเสริมสร้างขีดความสามารถของ ศรชล. แนวทางการจัดหาที่ดินสำหรับก่อสร้างอาคาร ศคท.จังหวัด กรณีเรือประมงที่เข้าไปทำการประมงในพื้นที่ที่ไม่ได้รับอนุญาต และแนวทางปรับโครงสร้างและอัตรากำลังของ ศรชล.

จากนั้น ผบ.ทร./รอง ผอ.ศรชล. ได้เข้ามาเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหาร ศรชล. ครั้งที่ 3/2567 โดยมีสาระสำคัญในการประชุมฯ ได้แก่ การรับทราบรายงานผลการดำเนินงานของ ศรชล. ประจำปีงบประมาณ 2567 และแผนการดำเนินงานประจำปีงบประมาณ 2568 และรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ครั้งที่ 1/2567 ที่ผ่านมา

โดยก่อนปิดการประชุม ผบ.ทร./รอง ผอ.ศรชล. ได้กล่าวขอบคุณหน่วยงานหลักของ ศรชล. ที่ได้ให้ความร่วมมือ ร่วมแรง ร่วมใจในการขับเคลื่อนการปฏิบัติงานของ ศรชล. ในมิติต่าง ๆ ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นไปด้วยความเรียบร้อยตามความมุ่งหมาย “ศรชล. เป็นหน่วยงานหลักในการบูรณาการการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ที่ได้รับการยอมรับในระดับภูมิภาคเพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนของประเทศชาติและประชาชน”

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี รายงาน 0909535645

ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือ ตรวจเยี่ยมการทดสอบความรู้ ของทหารใหม่ ผลัด 3/67

เมื่อวานนี้ (16 ธ.ค.67) พล.ร.อ.พิจิตต  ศรีรุ่งเรือง ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือ ตรวจเยี่ยมการทดสอบความรู้ หัวข้อวิชาชีพทหารเรือ ของทหารใหม่ ผลัด 3/67 โดยมี  น.อ.ทิวา  อ่อนละออ ผู้บังคับการศูนย์ฝึกทหารใหม่ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ และคณะ ให้การต้อนรับ ณ​ กองบังคับการศูนย์ฝึกทหารใหม่ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี

การทดสอบความรู้ หัวข้อวิชาชีพทหารเรือ ประกอบด้วย วิชาการเรือ , เชือกเงื่อน และ การป้องกันความเสียหาย (ปคส.) ของทหารใหม่ผลัด 3/67 ถูกบรรจุให้มีการอบรมแก่ทหารใหม่ทุกนาย เป็นไปตามนโยบายผู้บัญชาการทหารเรือที่กำหนดให้เป็นปีแห่งความปลอดภัยของกองทัพเรือ 'Navy-Safety 2025'

โอกาสนี้ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือ ได้ให้แนวทางแก่ทหารใหม่ ในการนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์แก่กองทัพเรือ สังคม และในชีวิตประจำวันต่อไป

ทร.โดย ทรภ.1 จับกุมผู้ต้องหา 2 ราย พร้อมของกลางไอซ์ 483 กก.เตรียมส่งออกทางทะเล

กองทัพเรือ (ทร.) โดยทัพเรือภาคที่ 1 (ทรภ.1) บูรณาการจับเครือข่ายยาเสพติดเตรียมนำส่งออกทางทะเล การจับกุมเครือข่ายยาเสพติดครั้งนี้ เกิดจากการบูรณาการร่วมกันระหว่าง สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด, กองทัพเรือโดยทัพเรือภาคที่ 1 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หลังจากสืบทราบว่าเครือข่ายยาเสพติดข้ามชาติ ลำเลียงยาเสพติดจากภาคเหนือผ่านพื้นที่ภาคกลาง โดยมีเป้าหมายกระจายในประเทศและลักลอบส่งออกทางทะเล ผ่านเส้นทางชายฝั่งภาคตะวันออกและอ่าวไทย เจ้าหน้าที่จึงเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด จนนำไปสู่การจับกุมผู้ต้องหาพร้อมของกลาง ที่ซุกซ่อนในกล่องโฟมท้ายรถกระบะในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี 

ซึ่งในวันที่ 16 ธันวาคม 2567 พลเรือโท เฉลิมชัย สวนแก้ว รองเสนาธิการทหารเรือ (สายงานกำลังพล) พลเรือตรี รังสรรค์ บัวเผือก รองผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 / รองผู้อำนวยการ ศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ทัพเรือภาค 1 พร้อมด้วย พลเรือโท ภาณุรัตน์ หลักบุญ (เลขาธิการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหา 2 ราย พร้อมของกลางไอซ์ จำนวน 483 กิโลกรัม ณ สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เขตพญาไท กรุงเทพฯ 

ในการนี้ เลขาธิการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด กล่าวเพิ่มเติมว่า จะมีการขยายผลยึดทรัพย์เครือข่ายและประสานกับประเทศปลายทาง ตามนโยบายรัฐบาลที่มุ่งเน้นการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดอย่างเป็นรูปธรรม โดยเน้นการบูรณาการข่าวสารและกำลัง จากทุกภาคส่วน ทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ

ฝนสะสม 3 วัน มวลน้ำจากเทือกเขาหลวงทะลัก สุราษฎร์ธานีอ่วมประกาศพื้นที่ภัยพิบัติ บางจุดสูง 1 เมตร

(16 ธ.ค. 67) จังหวัดสุราษฎร์ธานีประกาศพื้นที่ภัยพิบัติเพิ่มเป็น 8 อำเภอ หลังชาวบ้านประสบความเดือดร้อนหนักจากน้ำท่วม รักษาการผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี พร้อมเจ้าหน้าที่ ปภ. และฝ่ายปกครอง นำถุงยังชีพเยี่ยมชาวบ้าน โดยมีราษฎรได้รับความเดือดร้อน 14,319 ครัวเรือน มีผู้เสียชีวิต 3 ราย  ขณะที่สถานการณ์ล่าสุดยังมีฝนตกหนักต่อเนื่องในหลายพื้นที่

พื้นที่บ้านดอนหลวง ม.1 ต.ท่าอุแท อ.กาญจนดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นจุดรับน้ำก่อนลงทะเล ประสบปัญหาน้ำท่วมสูงกว่า 80 เซนติเมตร บางจุดสูงถึง 1 เมตร โดยมวลน้ำจากเทือกเขาหลวง จ.นครศรีธรรมราช และมวลน้ำฝนที่ตกหนักต่อเนื่องมากกว่า 3 วัน ไหลมาสมทบ สร้างความยากลำบากในการใช้ชีวิตของชาวบ้าน

นายธีรุตม์ ศุภวิบูลย์ผล รักษาการผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี พร้อมเจ้าหน้าที่จาก ปภ. และฝ่ายปกครอง ได้นำถุงยังชีพมาเยี่ยมชาวบ้านในพื้นที่ และประเมินสถานการณ์ในช่วงกลางคืน พบว่าชาวบ้านสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ในระดับหนึ่ง แต่ยังคงประสบความยากลำบากในการดำรงชีวิต โดยล่าสุดประกาศพื้นที่ภัยพิบัติแล้ว 8 อำเภอ ได้แก่ อ.เมืองสุราษฎร์ธานี อ.กาญจนดิษฐ์ อ.ดอนสัก อ.ท่าชนะ อ.ท่าฉาง อ.เกาะสมุย อ.เกาะพะงัน และ อ.บ้านนาสาร

สำหรับสถานการณ์ในพื้นที่ อ.กาญจนดิษฐ์ มีผู้ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมแล้ว 8 ตำบล 47 หมู่บ้าน 2,208 ครัวเรือน รวม 5,247 คน ส่วนผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้มี 2 ราย โดยล่าสุดคือ นายวรกิตต์ อายุ 15 ปี ซึ่งเสียชีวิตจากดินถล่มในพื้นที่ อ.เมืองสุราษฎร์ธานี เมื่อเช้าวันนี้ (16 ธ.ค.)

ในส่วนของเขตเทศบาลนครสุราษฎร์ธานี ฝนตกหนักติดต่อกันเป็นเวลานานกว่า 3 ชั่วโมง ทำให้ถนนหลายสายถูกน้ำท่วมขังและเกิดการจราจรติดขัดจากถนนกาญจนวิถีไปจนถึงหน้าโรงพยาบาลทักษิณ ซึ่งเป็นพื้นที่ลุ่มที่รับน้ำจากถนนอื่นๆ น้ำจึงท่วมสูงและการสัญจรเป็นไปอย่างยากลำบาก ล่าสุดรักษาการผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานีได้สั่งปิดการจราจรบนถนนเส้นดังกล่าวชั่วคราว และจัดการสูบน้ำท่วมขังออกจากพื้นที่ด้วยรถสูบน้ำของ ปภ.สุราษฎร์ธานี

นอกจากนี้โรงเรียนในเขตเทศบาลได้ประกาศปิดเรียนหลายแห่ง และปรับแผนมาเรียนออนไลน์เพื่อความปลอดภัยของนักเรียน ขณะเดียวกัน สายการบินหลายแห่งที่มีกำหนดการถึงสนามบินสุราษฎร์ธานีในช่วง 19.00-19.30 น. ต้องเปลี่ยนเส้นทางไปยังสนามบินภูเก็ตจนกว่าสภาพอากาศจะดีขึ้น ก่อนจะบินกลับมายังสนามบินสุราษฎร์ธานีในช่วง 20.00-21.00 น.

ตำรวจเตือน 'เขากวางเรนเดียร์-ไฟหลากสี' เสี่ยงอุบัติเหตุ เจอที่ไหนแจ้งเบาะแสได้ทันที

(16 ธ.ค. 67) พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) มีความห่วงใยในเรื่องความปลอดภัยของประชาชน ทั้งในด้านชีวิตและทรัพย์สิน โดยพบว่ามีประชาชนบางส่วนประดับตกแต่งยานพาหนะในลักษณะที่อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุหรือเป็นอันตรายต่อผู้ใช้รถใช้ถนน ซึ่งถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย

ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติขอประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนงดการประดับตกแต่งยานพาหนะตามแฟชั่นหรือเทศกาล เช่น การติดเขากวางเรนเดียร์ เนื่องจากลักษณะดังกล่าวยื่นออกมาเกินขอบเขตของตัวรถ หรืออาจหลุดร่วงระหว่างการขับขี่ การติดไฟหลากสี เพราะอาจทำให้เกิดความสับสนหรือทำให้ผู้อื่นไม่สามารถสังเกตสัญญาณไฟจากรถของท่านได้อย่างชัดเจน

การตกแต่งยานพาหนะในลักษณะดังกล่าวเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.รถยนต์ พ.ศ. 2522 มาตรา 12 ประกอบมาตรา 60 ซึ่งอาจมีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท

นอกจากนี้ หากการกระทำดังกล่าวนำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุ และทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ผู้ขับขี่อาจถูกดำเนินคดีในข้อหากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ หรือเสียชีวิต ขึ้นอยู่กับกรณี

หากประชาชนพบเห็นผู้ขับขี่ยานพาหนะที่ประดับตกแต่งในลักษณะที่อาจเป็นอันตรายต่อผู้อื่น สามารถบันทึกภาพไว้เป็นหลักฐานและแจ้งเบาะแสการกระทำผิดได้ที่สายด่วน 191, สายด่วนตำรวจจราจร 1197 และสายด่วนตำรวจทางหลวง 1193 ตลอด 24 ชั่วโมง

แลนด์มาร์กสีเขียวแห่งใหม่ 'ปตท.' สานต่อพระราชปณิธาน พัฒนา 'สวนเปรมประชาวนารักษ์' เพื่อสังคมยั่งยืน

เมื่อวันที่ (10 ธ.ค. 67) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วย สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินไปเปิดสวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติ “เปรมประชาวนารักษ์” ที่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) จัดสร้างเพื่อเฉลิมพระเกียรติในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 และทอดพระเนตรนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ “ชลวิถีธีรพัฒน์” ที่ถนนกำแพงเพชร 6 แนวขนานคลองเปรมประชากร โดยมี คณะองคมนตรี  ผู้บัญชาการเหล่าทัพ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ประธานกรรมการ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท. พร้อมคณะผู้บริหาร ข้าราชการ พนักงาน หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ผู้บริหารและพนักงานกลุ่ม ปตท. และประชาชนทุกหมู่เหล่า เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จ

นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ปตท. กล่าวว่า ปตท. ร่วมกับหน่วยราชการในพระองค์ ภาครัฐ เอกชน และประชาชนได้ร่วมกันพัฒนาโครงการคลองเปรมประชากรตามพระราชดำริ เพื่อพัฒนาเมืองและสิ่งแวดล้อม โดยใช้พื้นที่ 10 ไร่ที่เคยเป็นพื้นที่รกร้าง มาพัฒนาเป็นสวนสาธารณะพร้อมบอกเล่าถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ต่อประชาชน ใช้เวลาสร้างจนแล้วเสร็จประมาณ 5 เดือน ตั้งแต่ มีนาคม - กรกฎาคม 2567  ก่อนจะเปิดให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ พร้อมเชื่อมโยงระบบคมนาคมทั้งทางล้อ (ถนนวิภาวดีรังสิต) ราง (สถานีรถไฟฟ้าสายสีแดง-ทุ่งสองห้อง) และเรือ (คลองเปรมประชากร)

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานชื่อสวนสาธารณะแห่งใหม่นี้ว่า “เปรมประชาวนารักษ์” ซึ่งหมายถึงสวนที่นำความสุขและความเบิกบานมาสู่ประชาชน โดยทรงปลูกต้นประดู่ป่าจำนวน 1 ต้น และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงปลูกต้นพิกุล 1 ต้น เพื่อความเป็นสิริมงคล

หลังจากนั้น เสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ “ชลวิถีธีรพัฒน์” การพัฒนาสายน้ำของผู้เป็นปราชญ์แห่งแผ่นดิน ที่เผยแพร่โครงการในการสืบสาน รักษา ต่อยอด การแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิต บรรเทาความเดือดร้อนของราษฎร ผ่านการนำเสนอโครงการพระราชดำริตามพระบรมราโชบาย โครงการพัฒนาแหล่งน้ำ 10 โครงการทั่วประเทศ ได้แก่ โครงการพัฒนาคลองเปรมประชากร  โครงการพัฒนาถนนวิภาวดีรังสิต โครงการพัฒนาคูคลองในเกาะรัตนโกสินทร์และคลองรอบกรุง โครงการพัฒนาสระบ่อดินขาว จังหวัดนครสวรรค์  โครงการจัดหาน้ำบาดาลขนาดใหญ่แก้ปัญหาภัยแล้งอันเนื่องมาจากพระราชดำริ โครงการพัฒนาบึงสีไฟ จังหวัดพิจิตร โครงการพัฒนาบึงบอระเพ็ด จังหวัดนครสวรรค์  โครงการพัฒนาหุบกะพง จังหวัดเพชรบุรี โครงการพัฒนาคลองแม่ข่า จังหวัดเชียงใหม่  และ โครงการพัฒนาเกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี 

ต่อจากนั้น ทอดพระเนตรนิทรรศการกลางแจ้ง “สายธารพระบารมีจักรีวงศ์” ร้อยเรียงเรื่องราวของ ปตท. บนเส้นทางการสนองแนวพระราชดำริ เพื่อพัฒนาสิ่งแวดล้อม สังคม ชุมชน และการแสดงละครเพลง “สายนทีแห่งราชัน เดอะ มิวสิคัล” ละครเพลงชีวิตริมสายน้ำที่ดีขึ้นจากพระมหากรุณาธิคุณ โดยความร่วมมือของ ศิลปินแห่งชาติ และ ศิลปินศิลปาธร ผสมผสานด้วยการบรรเลงจากวงดนตรี รอยัล แบงก์คอก ซิมโฟนี ออร์เคสตรา (RBSO) และนักแสดงกว่า 60 ชีวิต พร้อมด้วยมัลติมีเดียพิเศษ 3D Mapping เต็มรูปแบบ 

ปตท. ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาโครงการเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมตามแนวพระราชดำริ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน

ปราจีนบุรี-ขุดรากถอนโคน! ตำรวจภูธรภาค 2 ล้อมปราจีนบุรี “ทลายรังนักเลง” EP1  ล็อกเป้า ลุยค้น 3 วัน 59 เป้าหมาย ยึดอาวุธเพียบ 

(16 ธ.ค. 67) ที่ ภ.จว.ปราจีนบุรี พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 (รรท. ผบช.ภ.2) พร้อมด้วย พล.ต.ต.อิทธิพร โพธิ์ทอง รอง ผบช.ภ.2 และ พล.ต.ต.ภูมินทร์ สิงหสุต ผบก.ภ.จว.ปราจีนบุรี ประชุมติดตามการปฏิบัติการในยุทธการ “ทลายรังนักเลง” EP1 ปฐมบท .. ไล่ล่านักเลงปราจีน กวาดล้างเครือข่ายอาชญากรรมในพื้นที่จังหวัดปราจีนบุรี หลังเกิดเหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนยิง สจ.โต้ง หรือ ชัยเมศร์ สิทธิสนิทพงศ์ ภายในบ้านพักของนายสุนทร วิลาวัลย์ อดีตนายก อบจ.ปราจีนบุรี เมื่อค่ำวันที่ 11 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา

พล.ต.ท.ยิ่งยศ กล่าวว่า หลังเกิดเหตุตำรวจภูธรจังหวัดปราจีนบุรี เข้าคลี่คลายสถานการณ์ และจับกุมกลุ่มผู้ก่อเหตุได้ 7 คน คุมตัวไว้ได้ ดำเนินคดีแจ้งข้อกล่าวหาร่วมกันฆ่าโดยเจตนา โดยไตร่ตรองไว้ก่อน และส่งฝากขัง ขณะนี้คุมตัวที่เรือนจำปราจีนบุรี ขณะเดียวกันตำรวจ ภ.จว.ปราจีนบุรี ร่วมกับกองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 2 และกองบังคับการปราบปราม ยังสืบสวนขยายผลนำไปสู่การเปิดยุทธการทลายรังนักเลง เพื่อขุดรากถอนโคนตัดเส้นเลือดเครือข่ายอิทธิพลในพื้นที่ ที่เป็นภัยต่อความสงบสุขของพี่น้องประชาชน

ผลจากการเปิดยุทธการ ทลายรังนักเลง ตั้งแต่วันที่ 14 – 16 ธันวาคม 2567 ตำรวจภูธรภาค 2 ร่วมกับตำรวจกองบังคับการปราบปราม กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ปูพรมตรวจค้นเป้าหมายใน 12 อำเภอ ของจังหวัดปราจีนบุรี รวม 59 เป้าหมาย ตรวจค้นพบอาวุธปืน 79 กระบอก  อาวุธปืนไม่มีทะเบียน 2 กระบอก กระสุน 601 นัด  จับกุมดำเนินคดีผู้ต้องหา 8 ราย

“ตำรวจภูธรภาค 2 ไม่มีที่ยืนให้นักเลง ไม่มีที่ยืนให้บ้านไหนก็ตามที่สร้างความเดือดร้อนเป็นภัยสังคม ยุทธการนี้เริ่มต้นกวาดล้างผู้มีอิทธิพลอย่างเข้มข้นในภาค 2 คือก้าวแรกของการปลดแอกประชาชนจากเงาอิทธิพลมืด ไม่ใช่แค่คำขู่ แต่นี่คือการปฏิบัติการเพื่อผลลัพธ์ที่เห็นได้จริงปราจีนจะไม่ใช่สนามของนักเลงอีกต่อไป รังอิทธิพลเถื่อนกำลังถูกทำลายลงแล้ว ยุทธการนี้เกิดขึ้นเพื่อสร้างสังคมปลอดภัย และให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตอย่างมั่นคง" รรท.ผบช.ภ.2 กล่าว 

‘รองนายกฯ ประเสริฐ’ ปลุกผู้นำยุคใหม่รวมพลังปกป้องไซเบอร์ เปิดหลักสูตรระดับผู้บริหาร ‘Executive CISO’ สร้างอนาคตมั่นคงดิจิทัล

(16 ธ.ค. 67) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานกล่าวเปิด ‘หลักสูตรด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ระดับผู้บริหาร รุ่นที่ 2" (Executive Chief Information Security Officer : Executive CISO#2) ของสถาบันวิชาการความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) โดยมีเป้าหมายในการพัฒนาศักยภาพและความรู้ความเข้าใจด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แก่ผู้บริหารระดับสูงในภาครัฐและเอกชนว่า การพัฒนาความพร้อมผู้บริหารระดับสูงมีความสำคัญในการดำเนินการด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ในระดับประเทศ และการสร้างเครือข่ายระดับผู้บริหารระดับสูงเพื่อการขับเคลื่อนด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ให้สอดคล้องกับนโยบายกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ‘The Growth Engine of Thailand’ ครอบคลุมในด้านต่าง ๆ ได้แก่ 1. การยกระดับขีดความสามารถของประเทศ (Competitiveness) , 2. ความมั่นคงปลอดภัยทางดิจิทัล (Safety & Security) และ 3. การสร้าง พัฒนา ต่อยอด ทุนนุษย์ (Human Capital)

นายประเสริฐ กล่าวว่า หลักสูตร Executive CISO#2 มีวัตถุประสงค์ ในการส่งเสริมและพัฒนาทักษะผู้นำในการเปลี่ยนแปลงด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ขององค์กร , สร้างเสริมศักยภาพในการบริหารจัดการ และดำเนินการด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ขององค์กรในการปฏิบัติตามกฎหมายด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ , พัฒนาเครือข่ายและศักยภาพผู้บริหารระดับสูงในการขับเคลื่อนด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของหน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศในระดับประเทศ และส่งเสริมการสร้างนวัตกรรมด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์และการเชื่อมโยงเครือข่ายระหว่างองค์กร พร้อมทั้งสนับสนุนความเปิดกว้างและโปร่งใสในการบริหารจัดการความปลอดภัยทางไซเบอร์

จากนั้นนายประเสริฐ ได้กล่าวเปิดตัว กิจกรรมการแข่งขันทักษะทางไซเบอร์ (สำหรับผู้หญิงหรือผู้ที่มีเพศสภาพเป็นหญิง) Women Thailand Cyber Top Talent 2024 ของ สกมช. ซึ่งได้จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมความเท่าเทียมให้นักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชนทั่วไป ที่เป็นเพศหญิง หรือมีเพศสภาพเป็นหญิง ได้เพิ่มทักษะการเรียนรู้ พัฒนาประสบการณ์ด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ รวมทั้งเป็นการสร้างแรงงาน

ด้าน Cybersecurity สำหรับผู้หญิง หรือผู้ที่มีเพศสภาพเป็นหญิงของประเทศไทย ต่อไป
สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ ตระหนักถึงความสำคัญของการเตรียมพร้อมในยุคดิจิทัล และมุ่งมั่นที่จะผลักดันให้ประเทศไทยมีความปลอดภัยไซเบอร์ที่แข็งแกร่งและยั่งยืนดังเจตนารมณ์  : ‘Team Thailand for Cybersecurity’ 

เมืองนครศรีธรรมราช ท่วมสูง 20-40 ซม. ปิดจราจร ลานสกา-ถึงคีรีวง เตือนปชช.เร่งอพยพขนของขึ้นที่สูง

(16 ธ.ค. 67) กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) รายงานสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้ โดยมี 4 จังหวัดได้รับผลกระทบ ได้แก่ ชุมพร ระนอง สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช รวม 27 อำเภอ 137 ตำบล 814 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบรวม 43,595 ครัวเรือน และมีผู้เสียชีวิต 3 ราย

โดยสำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดนครศรีธรรมราช รายงานเมื่อเวลา 00.20 น. ของวันที่ 16 ธันวาคม 2567 รายงานว่า น้ำป่าจากคีรีวงไหลลงสู่พื้นที่ลานสกา ระดับน้ำบริเวณสะพานคีรีวงใกล้ถึงใต้สะพานแล้ว เทศบาลนครนครศรีธรรมราชเตรียมรับมือขั้นสูงสุด

ทั้งนี้ปริมาณน้ำป่าที่ไหลบ่าทะลักเชี่ยวกรากผ่านน้ำตกหนานหินท่าหา บ้านคีรีวง ต.กำโลน อ.ลานสกา ลงคลองท่าดี เข้าสู่อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช ใช้ระยะเวลาประมาณ 7 - 8 ชั่วโมง 

โดยเมื่อเวลา 22.30 น. ของวันที่ 15 ธ.ค. เทศบาลนครนครศรีธรรมราชประกาศระดับน้ำที่สถานีท่าใหญ่สูงถึง 650 ซม. (ขั้นสูงสุด) ขอให้ประชาชนในพื้นที่เตรียมเคลื่อนย้ายทรัพย์สินขึ้นที่สูง

เวลา 23.11 น. มีการแจ้งเตือนประชาชนใน 4 โซน จำนวน 20 ชุมชน ให้เตรียมขนย้ายทรัพย์สินและอพยพผู้เปราะบางไปยังพื้นที่ปลอดภัย เนื่องจากคาดว่าน้ำจะท่วมพื้นที่ในเวลาประมาณ 16.00 น. ของวันที่ 16 ธันวาคม 2567

ณ เวลา 06.19 น. ของวันที่ 16 ธันวาคม 2567 สถานการณ์การจราจรในจังหวัดนครศรีธรรมราชมีดังนี้

- ถนนสาย 403 ท้ายสำเภา-มหาวิทยาลัยรามคำแหง: น้ำท่วมสูง รถทุกชนิดไม่สามารถผ่านได้
- ทางเข้าศูนย์ราชการนาสาร: รถเล็กไม่สามารถผ่านได้
- เส้นทางนาพรุ-เบญจม: รถผ่านไม่ได้
- ถนนกะโรม-เบญจม: ผ่านได้เพียงฝั่งเดียว

เมื่อเวลา 07.50 น. เจ้าหน้าที่ประกาศปิดเส้นทางฝั่งขาออก ตั้งแต่หน้า ธ.ก.ส. ลานสกา จนถึงทางเข้าคีรีวง จนถึงขณะนี้สถานการณ์น้ำท่วมในจังหวัดนครศรีธรรมราชครอบคลุม 11 อำเภอ 51 ตำบล 289 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบรวม 32,608 ครัวเรือน และมีผู้เสียชีวิต 3 ราย

กรมชลประทานรายงานปริมาณฝนสะสมในพื้นที่นครศรีธรรมราชตลอด 48 ชั่วโมงที่ผ่านมา (14-15 ธันวาคม 2567) วัดได้ 299.0 มิลลิเมตร โดยมีการติดตั้งเครื่องสูบน้ำจำนวน 63 เครื่อง และเครื่องผลักดันน้ำ 19 เครื่อง ในพื้นที่เสี่ยงต่าง ๆ เพื่อลดผลกระทบจากน้ำท่วม ซึ่งระดับน้ำในคลองท่าดี ณ สถานี X.285 ยังคงสูงกว่าตลิ่งประมาณ 0.66 เมตร และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ จัดประชุมเพื่อพัฒนาแนวทางการให้บริการทางการแพทย์ฉุกเฉิน 

(16 ธ.ค. 67) นาวาเอกหญิง นงลักษณ์ สิงห์โกวินท์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลฝ่ายบริการสุขภาพ เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุม เครือข่ายการแพทย์ฉุกเฉิน โซน 4 และบ้านฉาง ประจำปีงบประมาณ 2568 ณ ห้องประชุม 1 โรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์  กรมแพทย์ทหารเรือ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ซึ่งจัดขึ้นโดย แผนกปฏิบัติการรถพยาบาล กลุ่มงานการพยาบาลอุบัติเหตุและฉุกเฉิน รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ 

โดยการประชุมในครั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมประชุม 24 คน จาก 14 หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีเป้าหมายเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสานงานเกี่ยวกับระบบการแพทย์ฉุกเฉิน รวมถึงการพัฒนาศักยภาพเครือข่ายให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน ในพื้นที่

บรรยากาศการประชุมเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ผู้เข้าร่วมประชุมได้ร่วมกันวางแผนและเสนอแนวทางการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ เพื่อยกระดับการให้บริการทางการแพทย์ฉุกเฉิน ในปีงบประมาณ 2568

ทั้งนี้ ผลลัพธ์จากการประชุม จะถูกนำไปใช้ในการพัฒนาแผนการดำเนินงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันและเพิ่มประสิทธิภาพของระบบการแพทย์ฉุกเฉิน ในพื้นที่ต่อไป

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี รายงาน 0909535645

ผู้บัญชาการทหารเรือ รับมอบอาคารพักอาศัยส่วนกลางกองทัพเรือ เพื่อเป็นสวัสดิการแก่กำลังพลกองทัพเรือ

(16 ธ.ค. 67) พลเรือเอก จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นประธานในพิธีรับมอบอาคารพักอาศัยส่วนกลางกองทัพเรือ เพื่อเป็นสวัสดิการแก่กำลังพลกองทัพเรือ โดยมี พลเรือเอก เชิงชาย ชมเชิงแพทย์ พลเรือเอก วรวุธ พฤกษารุ่งเรือง ประธานคณะที่ปรึกษากองทัพเรือ และประธานกรรมการบ้านพักข้าราชการในกองทัพเรือ พลเรือโท วัชระ พัฒนรัฐ ผู้บัญชาการฐานทัพเรือสัตหีบ คุณคีรี กาญจพาสน์ ประธานกรรมการบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด นายทหารชั้นผู้ใหญ่ของกองทัพเรือ กำลังพลกองทัพเรือ และแขกผู้มีเกียรติเข้าร่วม พิธี ณ บริเวณก่อสร้างอาคารพักอาศัย ติดถนนหลวงหมายเลข 3126 คลองขลอด อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี

ตามที่บริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวเอชั้น จำกัด ได้ก่อสร้างอาคารพักอาศัยให้เป็นสวัสดิการด้านที่พักอาศัยแก่กำลังพลกองทัพเรือ บริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวเอชั้น จำกัด หรือ บริษัท UTA โดยกลุ่มกิจการร่วมค้า บี บี เอส ประกอบด้วย บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ชิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ได้ลงนามในสัญญาร่วมลงทุนโครงการพัฒนาสนามบินสนามบินอู่ตะเภา และเมืองการบินภาคตะวันออก เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2563 การนี้ ทางบริษัท UTA ได้ยื่นข้อเสนอและสิทธิ์ที่เป็นประโยชน์เพื่อช่วยส่งเสริมประสิทธิภาพในการดำเนินโครงการแก่กองทัพเรือ จำนวน 11 ข้อ โดยหนึ่งในข้อเสนอนั้นคือการสร้างอาคารพักอาศัยและพื้นที่สันทนาการ 

ต่อมาคณะกรรมการบ้านพักข้าราชการในกองทัพเรือได้เสนอโครงการโครงการก่อสร้างอาคารพักอาศัยดังกล่าวโดยโดยกองทัพเรือได้อนุมัติให้ดำเนินการก่อสร้างอาคารพักอาศัยในพื้นที่บริเวณพื้นที่ติดถนนหลวงหมายเลข 3126 และคลองขลอด อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี เป็นลำดับแรก ประกอบด้วยอาคารพักอาศัย ขนาดขนาด 51 ครอบครัว จำนวน 4 อาคาร พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวก การนี้ได้ทำพิธีวางศิลาฤกษ์เมื่อวันพุธที่ 15 มีนาคม 2565 โดย พลเรือเอก เชิงชาย ชมเชิงแพทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือในขณะนั้นเป็นประธาน ร่วมกับ คุณคีรี กาญขนพาสน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์ เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด

บัดนี้ โครงการก่อสร้างอาคารพักอาศัยดังกล่าวได้ดำเนินการก่อสร้างเสร็จเรียบร้อย จำนวน 2 อาคาร ได้แก่อาคาร A1 และ A2 พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวก รวมทั้งพร้อมให้กำลังพลของกองทัพเรือและครอบครัวได้เข้าพักอาศัย

ภาพข่าว สมนึก เชื้อสนุก

นราธิวาส – อ.จะแนะ จ.นราธิวาส ร่วมแสดงพลังต่อต้านความรุนแรง

(16 ธ.ค. 67) จากกรณีกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงจำนวน 4 คน ใช้อาวุธปืนยิงทหารสังกัดชุดช่าง หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 49 ขณะกำลังบรรจุทรายใส่กระสอบบริเวณริมคลองหัวสะพาน บ้านมะนังกาแยง หมู่ที่ 3 ตำบลจะแนะ จังหวัดนราธิวาส เพื่อเตรียมไว้ให้กับชาวบ้านในการรับมือกับสถานการณ์น้ำท่วมระลอกใหม่ ก่อนที่ผู้ก่อเหตุจะขี่รถจักรยานยนต์หลบหนีไป ทำให้อาสาสมัครทหารพราน วุฒิชัย ไทยประดิษฐ์ ถูกยิงบริเวณหัวไหล่และมุมปากขวา ได้รับบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตในเวลาต่อมา และอาสาสมัครทหารพราน จักรพงษ์ ฤทธิรุตม์กูล ถูกยิงบริเวณแขนซ้าย บาดเจ็บสาหัส ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความสะเทือนใจให้แก่ประชาชนในพื้นที่เป็นอย่างมาก จึงร่วมกันปฏิเสธความรุนแรง โดยการจัดกิจกรรมประชาชนจะแนะ ร่วมอำนวยพร สู่อำเภอสันติสุขอย่างยั่งยืนขึ้น โดยกิจกรรมเป็นการประกอบพิธีละหมาดฮายัต นำโดย นายโยฮัน เบ็ญฮาวัน นายอำเภอจะแนะ เป็นผู้นำละหมาดฯ ,นายอับดุลอาซิ บาโด ประธานชมรมอิหม่านอำเภอจะแนะ /กรรมการอิสลามประจำจังหวัดนราธิวาส , นายอับดุลฮาดี เจ๊ะแต รองประธานชมรมอิหม่าม คอเต็บ บีหลั่น อำเภอจะแนะ จังหวัดนราธิวาส ร่วมนำบรรดาเจ้าหน้าที่รัฐและผู้นำศาสนา ผู้นำชุมชน ผู้นำท้องที่ ผู้นำท้องถิ่น จาก 44 มัสยิด 10 หมู่บ้าน และนักเรียน กว่า 500 คน เพื่อขอพรจากพระเจ้า (อัลลอฮฺ ซ.บ.) เรียกร้องให้เกิดความสันติสุขในพื้นที่ ในวันนี้ (16 ธันวาคม 2567) เวลา 09.00 น. ที่ หอประชุมอำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส

ภายในกิจกรรมดังกล่าว นายอำเภอจะแนะ , ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 49 , ผู้นำศาสนา และกลุ่มสตรี พร้อมมวลชนทุกคนต่างพร้อมใจกันแสดงพลัง เพื่อแสดงออกถึงการต่อต้านความรุนแรง และประกาศเจตนารมณ์รวมพลังต่อต้านการใช้ความรุนแรงในทุกรูปแบบโดยพร้อมใจกันชูป้ายข้อความว่า ชาวจะแนะต้องการสันติสุข“ชาวจะแนะไม่ต้องการความรุนแรง,หยุดใช้ความรุนแรง ทั้งนี้ มวลชนพร้อมใจกล่าว เจตนารมณ์ว่า ”ประชาชนจะแนะ ร่วมอำนวยพร สู่อำเภอสันติสุข ” เป็นการส่งสัญญาณว่าชาวจะแนะไม่มีใครเห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรง พร้อมเรียกร้องให้สันติสุขกลับคืนสู่พื้นที่ให้เร็ววัน 

ด้าน นางสุภาพร หริกจันทร์  ชาวบ้าน อ.จะแนะ จ.นราธิวาส หนึ่งในผู้เข้าร่วมกิจกรรม กล่าวว่า “วันนี้มาร่วมแสดงเจตนารมณ์ไม่เห็นด้วยกับความรุนแรงที่เกิดขี้น และเพื่อร่วมแรงร่วมใจแสดงออกถึงการไม่เห็นด้วยและต้องการไม่ให้เกิดความรุนแรงในลักษณะแบบนี้อีก ชาวอำเภอจะแนะรักในความสันติสุขและพร้อมจะต่อต้านความรุนแรงในทุกรูปแบบ และขอเป็นกำลังใจกับเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนที่เสียสละช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในพื้นที่”

ข่าว.แวดาโอ๊ะ หะไร จ.นราธิวาส

ผู้ว่าฯ “ชัชชาติ” เปิดหลักสูตรผู้บริหารระดับสูงด้านการพัฒนาผู้นำเมือง (ผู้นำเมือง รุ่น 10) 

วันที่ (13 ธ.ค. 67) ที่ห้องประชุมสภา กทม.(ดินแดน) ชั้น 2 อาคารไอราวัตพัฒนา ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เขตดินแดง มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช จัดพิธีเปิดการอบรมหลักสูตรผู้บริหารระดับสูงด้านการพัฒนาผู้นำเมือง (ผู้นำเมือง รุ่น 10) โดยได้รับเกียรติจาก นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานกล่าวเปิดงาน และ ศ.สุรพล นิติไกรพจน์ นายกสภามหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช กล่าวต้อนรับผู้เข้ารับการศึกษาอบรม โดยมี รศ.พงษ์ศักดิ์ น้อยพยัคฆ์ รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยฯเป็นผู้กล่าวรายงาน พร้อมด้วย ผู้เข้ารับการศึกษาอบรม คณะผู้บริหารมหาวิทยาลัย และศิษย์เก่า (ผู้นำเมืองรุ่น 9)

สำหรับหลักสูตรผู้นำเมือง เป็นหลักสูตรที่เน้นการวิเคราะห์เชิงบูรณาการ ในด้านการบริหารจัดการเมืองและท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพผู้นำทำให้เกิดการพัฒนาต่อยอดแนวคิดที่ดีระหว่างกัน และเกิดองค์ความรู้ในเชิงการบริหารจัดการ การเชื่อมโยงงานภาคีเครือข่ายที่หลากหลาย การบริหารจัดการเชิงพื้นที่ที่ดี และการนำสังคมที่ดี เพื่อมุ่งสู่การพัฒนาเมืองและท้องถิ่นอย่างยั่งยืน

มีวัตถุประสงค์ เพื่อสร้างทัศนคติ ความรู้ ความเข้าใจ การบริหารจัดการเมืองและการปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้ผู้นำหรือผู้บริหารของทุกภาคส่วน ได้นำเสนอและแลกเปลี่ยนประเด็นเชิงประสบการณ์ในด้านการบริหารจัดการเมืองและการปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างอิสระ เพื่อให้ผู้นำภาครัฐ ภาคเอกชน สามารถบูรณาการแนวคิดแนวทางในการบริหารองค์กรบริหารเมืองและท้องถิ่นร่วมกันเป็นประโยชน์ต่อเมือง สังคม ประเทศชาติ

สำหรับผู้เข้าอบรมหลักสูตรผู้นำเมือง รุ่น 10 ประกอบด้วย ข้าราชการกรุงเทพระดับผอ. ข้าราชการการเมืองกรุงเทพมหานคร สมาชิกสภากรุงเทพ ข้าราชการการเมืองระดับประเทศ ผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษา ผู้บริหารหน่วยงานรัฐ  / รัฐวิสาหกิจ ผู้บริหารองค์กรส่วนท้องถิ่น ผู้แทนมูลนิธิ และสื่อมวลชน จำนวน 130 คน อาทิ นายพินิจ จารุสมบัติ อดีตรองนายกรัฐมนตรี พล.ท.เจษฎ์ จันทรสนาม  รอง ผอ.ประสานการปฏิบัติที่ 1 กองอำนวยการรักษาความมัานคงภายในราชอาณาจักร พล.ท.ชนินทร์ สิงหนาทนิติรักษ์ ผู้อำนวยการศูนย์การปฏิบัติที่ 3 กองอำนวยการรักษาความมัานคงภายในราชอาณาจักร นายพรชัย มงคลวนิช  อธิการบดี มหาวิทยาลัยสยาม  


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top